สงครามทัพหินเหล็ก(เรื่องสั้น) - สงครามทัพหินเหล็ก(เรื่องสั้น) นิยาย สงครามทัพหินเหล็ก(เรื่องสั้น) : Dek-D.com - Writer

    สงครามทัพหินเหล็ก(เรื่องสั้น)

    การต่อสู้รบระหว่างสองเมืองใหญ่ อันมีวัตถุแข็งประจำแต่ละเมือง และก่อเกิดเป็นเรื่องมหัศจรรย์ตามมา

    ผู้เข้าชมรวม

    113

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    113

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  แฟนตาซี
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  18 ส.ค. 66 / 07:23 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    ขอบคุณดิสคอร์ด “นักเขียนว่างๆมาเมาส์กัน” ที่จัดกิจกรรมให้นักเขียนหน้าใหม่แต่งเรื่องสั้นแต่ละธีมที่กำหนดไว้ เป็นตัวจุดประกายให้เราอยากแต่งเรื่องสั้นแยกจากพล็อตหลักที่คิดไว้ในหัว แต่ยังไม่ได้แต่งแบบเป็นรูปเป็นร่าง (พล็อตที่ว่ามันยิ่งใหญ่มาก ไม่รู้ทำไมช่วงนี้นึกเพ้อเรื่องนี้ตลอด อดใจไม่ไหวต้องทำเรื่องสั้นออกมา)
         เดิมทีในดิสคอร์ดกำหนดให้แต่งได้ไม่เกิน 10000คำ ทีแรกว่าจะลองตัดทอน แต่รายละเอียดมันเข้มข้นเหลือเกิน สุดท้ายเลยไม่ได้ส่งเข้าร่วมอีเว้นท์(ส่วนหนึ่งเพราะหัวข้อ แฟนตาซีสงคราม มันเล่ายากมาก แถมทำให้จบในตอนเดียวโดยไม่เกินหมื่นคำ ถึงกระนั้นยังมีหัวข้ออย่างอื่นอยู่ต่อจากนี้ หวังว่าจะได้ร่วมส่งไปใหม่????)

     หวังว่าจะเป็นผลงานประเดิมที่ดีและสร้างความสนุกแก่ผู้อ่านทุกท่านนะครับ

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ณ ลานโล่งกว้างแห่งหนึ่ง รายล้อมไปด้วยก้อนหินกรวดใหญ่ตามจุดต่างๆ ในตอนนี้ ที่นี่ได้ถูกใช้เป็นสนามก่อศึกสงครามตัดสินระหว่างสองเมืองใหญ่แห่งดินแดนเขตนี้

      ฝั่งแรกคือร็อคสโตน กลุ่มชาวเมืองที่อยู่ฝั่งทิศตะวันตก คนในเผ่านี้โดดเด่นเรื่องการนำก้อนหินมาใช้งาน จนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน  ทั้งการสร้างบ้านเรือนผนังจากหิน อุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆที่ดัดแปลงขึ้นมาด้วยกรรมวิธีแบบพิเศษ เรียกได้ว่าทุกอย่างรังสรรค์ขึ้นด้วยหิน

      เดล หัวหน้าชายหนุ่มผู้ดูแลหมู่บ้าน เป็นคนริเริ่มรากฐานการใช้ชีวิตควบคู่กับหินจนพัฒนาเมืองให้เป็นปึกแผ่น เขาประทับใจในความแข็งของหินทั้งมวล แต่เวลานี้ เขาได้รวมคนจำนวนมากจากหมู่บ้านมาตั้งทัพต่อสู้ ทั้งนี้ก็เพื่อปกป้องหมู่บ้านและเอาคืนพวกกลุ่มเมืองเหล็ก ที่เข้ามาจู่โจมพวกเขาก่อน

      เมืองเหล็กเบอร์รอน อาศัยอยู่ฝั่งทิศทางตะวันออก แม้เพิ่งตั้งรากฐานใหม่ได้เพียงครึ่งปี แต่ฝีมือเชี่ยวชาญการผลิตเหล็กโลหะของเมืองนี้ได้รับการยกย่องมาก จึงดัดแปลงสร้างสรรค์พื้นที่สิ่งของเครื่องมือขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เมืองนี้ยังสะสมแร่เหล็กเก็บไว้มาก ซึ่งถูกนำมาใช้สร้างอาวุธต่อสู้ เพื่อชัยชนะครั้งนี้

      แม็กเกอร์ ชายหัวโล้นผู้นำทัพเบอร์รอน ผู้จุดประเดิมสงครามนี้ขึ้นมา โดยไม่มีคำเจรจาอย่างเป็นเหตุเป็นผล ทำให้สองเมืองนี้ยังคงห้ำหั่นต่อกรกันเป็นเวลานาน

      วันที่39ของสงครามอันยืดเยื้อ ทั้งสองกองทัพเดินทางเข้ามาประจันหน้ากลางลานนี้ เดลเชื่อมั่นว่าวันนี้จะขอให้เป็นศึกสุดท้ายเสียที ด้วยอาวุธพิเศษที่แอบสร้างขึ้นมาแบบลับๆในช่วงปะทะกัน

      “คอยดูนะ เจ้าแม็กเกอร์ คราวนี้แกจะได้เห็นพลังหินจากเมืองเรา”หลังสิ้นเสียงตะโกน พวกของเดลเข็นเครื่องเหวี่ยงออกมา บรรจุหินระอุตรงแท่นเหวี่ยง เป็นหินที่อาบความร้อนเป็นเวลานาน ในไม่ช้าก็ใช้งานทันที เหวี่ยงหินที่ว่าใส่กองทัพอีกเมือง พวกเบอร์รอนตกใจกลัวจนต้องหลบแต่เมื่อหินนั้นแตกกระแทกกับพื้น ได้กระจายตัวออกเป็นลูกสะเก็ดไฟร้อน กระเด็นใส่พวกนั้น หินระอุยังคงถูกขว้างออกมาเรื่อยๆไม่หยุด ฝ่ายเบอร์รอนเริ่มเสียเปรียบมากขึ้น

      “หน็อยแน่ อย่าคิดนะว่าข้าจะไม่มีของดีมาจัดการทัพแก เอาออกมาเร็วเข้า” แม็กเกอร์รีบกู้หน้าโดยด่วน พลทหารยกปืนใหญ่ยักษ์ติดล้อออกมาหันปลายปืนใหญ่ไปยังฝั่งหน้าของพวกร็อคสโตน พวกเขายัดลูกตุ้มหนักใส่เข้าในกระบอกปืน เพียงไม่กี่วิหลังจุดไฟ กระสุนตุ้มเหล็กถูกยิงเข้าสู่ฝ่ายตรงข้าม พวกร็อคสโตนถูกลูกตุ้มหนักอึ้งนี้กระแทกใส่ มิหนำซ้ำยังกลิ้งไถลทับพวกเขาต่อ ได้รับบาดเจ็บถ้วนหน้า

      แม็กเกอร์หัวเราะสาแก่ใจ เดลโกรธเกินขีดสุด รีบสั่งให้พรรคพวกยิงหินร้อนให้มากขึ้น เช่นเดียวกับปืนใหญ่เบอร์รอนที่กระหน่ำยิงไม่ยั้ง ทั้งสองต่างเน้นโจมตีระยะไกล กะหวังทำลายอาวุธยิงแต่ละฝั่งให้พินาศ ขณะที่พวกทหารสองเมืองรับผลกระทบจากอาวุธนี้เยอะขึ้น แต่สองผู้นำยังห้ำหั่นกันต่อไป โดยไม่สนเสียงโอดครวญของพวกพ้องเคียงบ่าเคียงไหล่ที่กำลังสาหัสหนัก

      ถึงอย่างนั้น แม็กเกอร์ได้ตัดสินใจหันเปลี่ยนทิศทางของปืนใหญ่อันหนึ่ง เมื่อเห็นตำแหน่งของเดลที่อยู่ใกล้เครื่องเหวี่ยงชัดเจนขึ้น เขาจะขอเป็นคนยิงลูกนี้เองใส่หัวหน้าทัพ

      เช่นเดียวกับเดลที่คิดทำเหมือนกัน จึงปล่อยเครื่องเหวี่ยงหินให้พุ่งตกใส่จุดที่แม็กเกอร์ยืนอยู่ ในชั่วพริบตา สองวัตถุจากแต่ละฝั่งได้ปล่อยออกพร้อมกัน ภายใต้ความเร็วของสิ่งที่เพิ่งปล่อย เดลกับแม็กเกอร์จึงอาจหลบไม่ทัน……

      “อ….อะไรกัน ข้าขยับตัวไม่ได้”

      ทันใดนั้น สงครามมหาภัยเกิดชะงักขึ้นมาอย่างน่าตกตะลึง ตุ้มเหล็กกับหินระอุดันลอยค้างอยู่เหนืออากาศ พร้อมกับพรรคพวกสองฝั่งที่หยุดนิ่งไร้การเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น

      เดลกับแม็กเกอร์ พบว่าร่างกายของตนแข็งทื่อจนขยับสักส่วนไหนไม่ได้ดั่งใจ แม้แต่ดวงตายังไม่อาจกะพริบได้ สงครามนี้จึงเงียบสงัดทันทีเพราะทุกคนต่างทำได้เพียงพูดคิดเห็นในใจเท่านั้น ทั้งคู่คิดว่านี่มันเป็นพลังวิเศษไม้ตายจากฝั่งใดฝั่งหนึ่งหรือเปล่า แต่ไหงถึงเป็นกันทั้งหมด

      จังหวะนั้น เงายักษ์ปริศนาได้โผล่ขึ้นมาบดบังแสงอาทิตย์บนท้องฟ้า เงาเริ่มขยายตัวมากขึ้น ทุกคนบนลานต่างรู้ตัวและพยายามขยับตัว แต่ก็ไม่ได้ผล จนกระทั่งเงานั้นลงมาแตะพื้นโลก

      สิ่งที่เห็นคือหุ่นร่างคนสีน้ำตาลสลับเงินขนาดยักษ์ ทั้งลำตัวแขนขาสร้างจากเหล็กกล้า ตรงส่วนเท้ามีวงล้อติดไว้ ส่วนบนหัวเป็นหมวกเกราะแบบที่นักรบอัศวินสวมใส่ พื้นดินสั่นสะเทือนและแตกออกจากกัน เนื่องด้วยความหนักหลายตันของหุ่นเหล็ก ทำให้ทุกคนพากันล้มลงในสภาพแข็งทื่อ

      ดวงตาสีเหลืองภายในหมวกเกราะจ้องมองสองผู้นำ ก่อนเอื้อมมือกำจับเดลกับแม็กเกอร์ขึ้นมาคนละข้าง ทั้งคู่ต่างกระอักกระอ่วนในสภาพแบบนี้ ไม่นึกว่าระหว่างก่อศึก จะมีศัตรูหน้าใหม่เข้ามาขวางกลางคัน

      “โชคดีจริงที่เรามาทันเวลา ไม่งั้นหายนะกว่านี้แน่”

      เสียงหนึ่งอันอ่อนวัยได้เล็ดลอดออกมา พร้อมกับท่าพยักหัวของหุ่นยักษ์ เดลกับแม็กเกอร์ได้ยินเสียงใกล้มาก ก่อนจะพบกับหนุ่มวัยรุ่นตัวสูง ผู้ยืนอยู่บนบ่าของหุ่นตัวนี้

      “เฮ้ย มีคนอยู่ตรงนั้นตอนไหน ข้านึกว่าเป็นเสียงจากไอ้หุ่นนี้ซะอีก” แม็กเกอร์ประหลาดใจ

      “แกเป็นใครนะ….อ๊ะ ข้าพูดได้แล้ว” ปากของทั้งคู่นั้นกลับมาขยับพูดเอ่ยได้ แต่ก็เป็นแค่อวัยวะส่วนเดียวเท่านั้น

      “นี่เป็นฝีมือแกใช่ไหม ทำให้ข้ากลับมาขยับได้เดี๋ยวนี้ อึดอัดจะแย่อยู่แล้ว” แม็กหัวโล้นโวยวายสุดเสียง

      “นั่นแหละ สิ่งที่ข้าต้องทำ ข้ามาที่นี่เพื่อหยุดสงครามกระหายเลือดนี้ รวมถึงกำจัดจิตร้ายของพวกท่านที่ถูกใช้เป็นตัวเพาะอยู่”

      ทั้งคู่มึนงงสับสัน พวกเขาอยากได้คำอธิบายเพิ่มเติม เด็กหนุ่มตอบด้วยการชี้นิ้วไปอีกฟากเหนือนภา ให้เห็นบางอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้นเอง

      สิ่งนั้นที่มีรูปลักษณะเป็นไอหมอกสีดำเข้มปะปนกับแดงเลือดหมู จากที่เห็นตอนนี้ พวกมันเปลี่ยนรูปร่างให้คล้ายกับมนุษย์มากขึ้น ทั้งยังคเบ่งตัวแยกออกจากกันเพื่อเพิ่มจำนวน ดวงตาสีขาวดวงเดียวกลางหน้าท้องจ้องมองมายังหุ่นเหล็กอย่างอำมหิต พวกมันในตอนนี้มีปริมาณเทียบเท่าได้กับคนที่ออกมาสู้รบถึง2500คน

      “กรรรรร ไอ้ตัวแทนเทพงี่เง่า บังอาจมาขัดขวางการกำเนิดเป็นพลังสูงสุดของพวกข้าหรือ”  หลังตะเบ็งเสียงแหบกร้าน มันทั้งหมดพุ่งกระโจนเข้าหาหุ่นเหล็ก

      เมื่อสายตาหุ่นจับจ้องมองหมอกแปลงกายกลุ่มนั้น พวกมันก็ต้องแข็งทื่อไปทั้งตัว หยุดค้างกลางอากาศแบบเดียวกัน เดลสังเกตเห็นถึงฝ่ามือของเด็กหนุ่มที่แตะคอหุ่นยักษ์ เสมือนส่งพลังแฝงและหยุดการเคลื่อนไหวของสิ่งที่เล็งไว้

      “พวกนั้นเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติที่ดูดกลืนความทุกข์ของมวลชีวิตเพื่อเจริญเติบโตจนวิวัฒนาการรูปร่างและเพิ่มพลัง หากปล่อยไว้ พวกมันจะทำให้ทุกชีวิตบนโลกนี้ต้องมีแต่ความทรมาน” เด็กหนุ่มอธิบาย และยังเห็นแววตาเขม็งอย่างเลือดเย็นของพวกมัน ที่อยากกลับมาขยับตัวให้จงได้

      “สงครามนี้ได้สร้างตัวตนนรกขึ้นมามากมาย แต่จริงๆแล้วมันเริ่มตั้งแต่ตอนที่พวกคุณทั้งสองได้พบกัน”

      ทั้งคู่นึกย้อนถึงจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง แต่ยิ่งแปลกใจที่หนุ่มคนนี้รู้เรื่องนี้ด้วย

      เมื่อ 3 เดือนก่อน เดลกับพรรคพวกกำลังค้นหาก้อนหินตามแหล่งธรรมชาติเพื่อนำกลับเข้าเมือง เขาได้พบแม็กเกอร์และพวกจากฝั่งเบอร์รอนซึ่งกำลังขุดเจาะแร่เหล็กโลหะสำริดมาเก็บใช้งาน ทั้งสองมีจุดประสงค์เหมือนกันและรักในของความแข็งของแต่ละวัตถุ ระหว่างค้างคืน พวกเขาจึงมีโอกาสคุยกันอย่างสนิทสนม

      เดลเชื่อมั่นว่าทุกสรรพสิ่งนั้นล้วนมีเทพตัวแทนประจำ หรือผู้ควบคุมบันดาลสิ่งนั้นให้เป็นไป ซึ่งเขากำลังพูดถึงเทพแห่งความแข็งถึกทน ผู้ทำให้วัตถุหลายชิ้นมีความแข็งแรงทนทาน โดยเฉพาะหินจากธรรมชาติ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์เวลาใช้งาน

      แต่แม็กเกอร์กลับไม่เคยเชื่อแบบนั้น เขาภาคภูมิใจในความบรรเจิดและพยายามของมนุษย์อย่างเรา ที่สามารถคิดค้นประดิษฐ์สิ่งรอบตัวขึ้นมาเอง นับว่าเป็นความน่าทึ่งมาก

      ทั้งที่ตอนแรกยังไม่มีความขัดแย้งใดๆ จนเชื่อว่าเราจากสองเมืองคงได้ผูกมิตรกันต่อจากนี้ กลับกลายว่าภายหลังกลุ่มเบอร์รอนได้ระดมโจมตีใส่ร็อคสโตน ต่อยอดไปยังศึกสงครามรบรา

      ถึงอย่างนั้น ตอนนี้พวกเขากำลังสนใจปัญหาใหม่ ว่าจะจัดการตัวหมอกปีศาจนั่นได้อย่างไร

      “ก่อนอื่น ผมเชื่อนะว่าพวกคุณสองคนมีอะไรอยากบอกกัน” เด็กหนุ่มเปิดโอกาสเฉพาะขึ้นมาแบบไม่น่าเชื่อ โดยประเดิมให้แม็กเกอร์พูดก่อนเจ้าตัวอ้ำอึ้งสักพักหนึ่ง ก่อนรวมความกล้าพูดความคิดในใจออกมา

      “เดล….ตอนนั้นข้าแค่ประหลาดใจมาก การที่นายศรัทธาถึงสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง สำหรับข้าคือไม่ยอมรับความคิดแบบนี้เท่าไหร่ แต่มันน่าทึ่งเกินไปมากที่นายพัฒนาหมู่บ้านหินให้เป็นปึกแผ่นได้ขนาดนี้ จนถูกผู้คนตามที่ต่างๆที่เคยมาเยือน ยกย่องร็อคสโตนในความยิ่งใหญ่เทียบเท่ากับเมืองข้า”

      “ข้าต้องการให้เมืองเบอร์รอนเป็นที่หนึ่งของดินแดนเขตนี้ อยากแสดงให้เห็นว่าน้ำพักน้ำแรงของประชาชนเมืองเราที่ร่วมมือกันมันยอดเยี่ยมขนาดไหน ตั้งแต่พบเจ้าครั้งนั้น ข้าเกิดกลัวขึ้นมาว่าเมืองเหล็กจะต้องเสียอันดับไป เลยคิดว่าต้องตัดสินการด้วยวิธีนี้……”

      “แม็กเกอร์ นี่หรือเจตนาแท้จริงของนาย รู้ไหมว่าข้าโกรธและเศร้าขนาดไหน ตอนที่นายยกทัพมาบุกวันแรก สิ่งที่ข้าควรทำตอนนั้นคือการปกป้องบ้านเมือง ครอบครัวข้า พรรคพวกข้า แต่ไม่นึกเลยว่าจะกลายมาเป็นสงครามมหาภัยแบบนี้”

      การเปิดใจหนนี้ทำให้ทั้งสองดำดิ่งในอารมณ์หมองมัว ความรู้สึกที่อยากขึ้นครองที่หนึ่งคงจุดประกายให้พวกหมอกเข้าใกล้พวกเขาเพื่อซึมซับความทุกข์ระทม

      “สงครามกินเวลามาเกือบ40วัน ความทนทุกข์ที่มหาศาลที่สุด คือความรู้สึกของบรรดาพรรคพวกและคนสำคัญของทั้งสองเมือง ชาวเมืองต่างต้องต้องทรมานในผลกระทบสงคราม ทั้งเศร้าและกลัว หากคนใดคนหนึ่งในทัพจะต้องบาดเจ็บหรือตายไป” น้ำเสียงเด็กหนุ่มปนความเศร้าร่วม

      สายตาสองผู้นำได้ก้มมองข้างล่าง ประชาชนที่ถูกบังคับออกรบยาวนานครั้งแรก ทุกบาดแผลความเจ็บปวดที่ไม่ก่อผลดีอะไร มิหนำซ้ำยังเพิ่มพลังให้สิ่งร้ายพวกนั้น  ขณะที่ฝั่งตัวหมอก เริ่มใช้พลังทุกข์สะสมเร่งพลัง จนเริ่มจะขยับออกมาได้บ้างแล้ว

      “อึก….ข้าขอโทษ ข้ามันเป็นตัวต้นเหตุของทุกอย่าง ทำให้ทุกคนต้องทรมาน จนปีศาจนั้นเกิดขึ้น” เมื่อนึกย้อนถึงความรู้สึกของคนใกล้ตัว น้ำตาของแม็กเกอร์ก็ไหลออกมา สื่อถึงความเจ็บปวดแท้จริง ขณะที่เดลก็มืดแปดด้าน

      “ไม่ต้องเสียใจหรอกครับ ถือว่าผมมาได้ทันเวลาอยู่ เรายังมีโอกาสกำจัดพวกนั้นได้”

      “จ…จริงเหรอ ท่านเทพ” เดลเรียกเขาเช่นนั้นอย่างมีหวัง

      “ที่จริงต้องขอบคุณแรงศรัทธาเชื่อมั่นจากน้องอูรุและน้องโซโล ถึงทำให้ผมกับคู่หูมาที่นี่ได้”

      ทั้งคู่ตกใจกับสองชื่อที่เอ่ยมา นั่นเป็นชื่อลูกชายของพวกเขา อูรุลูกชายคนเดียวของเดลที่ตอนนี้พยายามช่วยดูแลคนในหมู่บ้านหิน กับโซโลเด็กหนุ่มผู้รักอิสระแบบเด็ดเดี่ยวของแม็กเกอร์

      “ลูกชายคุณสองคนเป็นคนอธิษฐานจากใจมากที่สุดเลยล่ะ อูรุที่รอพ่อเดลกลับมาสอนวิธีแกะสลักหินครั้งแรกในชีวิต กับโซโลที่อยากลองผลิตอาวุธจากแร่เหล็กตามคำแนะนำของพ่อแม็กเกอร์

      “ภายใต้สถานการณ์ย่ำแย่ อูรุยังภาวนาเต็มอกทุกคืน หวังให้เทพประจำแห่งดินแดนนี้ช่วยหยุดทุกอย่าง ส่วนโซโลที่อาจจะไม่ได้ศรัทธาต่อเทพแต่ก็เฝ้าหวังให้ทุกอย่างจบลงอย่างสันติ โดยไม่ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียหาย นอกจากนี้ยังมีจิตใจของทหาร คนในหมู่บ้าน ครอบครัวญาติตระกูลของคุณทั้งสอง ซึ่งวันนี้พรนั้นเห็นผลแล้ว”

      แม้สภาพที่เห็นจะเป็นเพียงเด็กหนุ่ม แต่ทั้งการพูด ความรู้สึก และการเห็นใจมนุษย์นั้น คือรูปแบบของเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้วิเศษ

      “ฟังให้ดีนะครับ วิธีจัดการพวกตัวหมอกนั่น ต้องใช้พลังประสานระหว่างเทพกับมนุษย์ โดยจะส่งผ่านมายังหุ่นเหล็กเพื่อนซี้ของผมตัวนี้ ที่ผมให้พวกคุณสองคนมาคุยกัน เพื่อปรับความเข้าใจ ก่อนจะดึงความกล้าอันเป็นพลังของมนุษย์ออกมา เรียกได้ว่าขึ้นอยู่กับพวกท่านสองผู้นำแล้ว”

      ช่วงที่ถกคุยวิธีการ พวกตัวหมอกนรกทำลายพลังสะกดแข็งนี้ได้แล้ว มันเตรียมระบายความโกรธแค้นที่แข็งทื่อไปพักใหญ่ คราวนี้จ้องจะจัดการทุกอย่างให้สิ้นซาก กับปริมาณความทุกข์อันล้นหลามในตัว หารู้ไม่ว่าสองผู้นำกำลังมีความคิดเปลี่ยนไป

      หุ่นเหล็กได้ย้ายทั้งคู่มายืนตรงแท่นกลางอก เมื่อเข้าใจทุกอย่างและรู้ดีว่านี่แหละ คือสงครามพิชิตมารแท้จริง หากพลาดพลั้ง ก็ส่งผลต่อทุกชีวิตทั้งหมด

      “แม็กเกอร์ ฟังข้านะ ถึงเรื่องจะมาขนาดนี้ ยังไงข้าก็พร้อมจะให้โอกาสเจ้าอยู่ เพราะความฝันใหม่ของข้าแต่เดิม คือการที่เราสองเมืองจะได้เป็นมิตรร่วมกัน ไม่ว่าเกิดปัญหาอะไร เราสองคนก็จะต่อสู้แก้ไขไปพร้อมกัน” เดลกำลังรอฟังความรู้สึกของแม็กเกอร์ ผู้ซึ่งตระหนักถึงความรู้สึกใหม่หลังเห็นผลลัพธ์ทุกอย่าง

      “เดล….ข้าขอบใจเจ้ามากที่ยังให้โอกาส ครั้งนี้มันไม่ใช่แค่เพื่อตัวข้า แต่มันคือของทุกคน พลังใจจากเมืองเราทั้งสองจะเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อกำจัดไอ้พวกปีศาจเชื้อรานั่นซะ”

      เทพหนุ่มเคียงบ่า เริ่มสัมผัสรับรู้ถึงจิตใจมุ่งมั่นอันมากขึ้น บวกคำภาวนาจากคนในสนามรบ และสองเมืองหินเหล็ก ประสานหลอมรวมมอบให้สู่หุ่นเหล็กตัวนี้

      หินระอุจากร็อคสโตน และลูกตุ้มเหล็กจากเบอร์รอน ได้ลอยขึ้นมาใกล้กับฝ่ามือหุ่นเหล็กที่กำลังกวัดแกว่งให้เป็นทรงกลม วงล้อใต้เท้าหุ่นหมุนเร็วขึ้น คอยปั่นรีดพลังงาน ดัดแปลงออกมาเป็นลูกศรแหลมคมสีทองสลับเงิน อันมีขนาดมหึมา เดลกับแม็กเกอร์อึ้งในภาพที่เห็นตรงนี้ มันเป็นอาวุธของเทพชัดๆ

      “จงรับไปซะ พลังประสานจากมนุษย์และเทพ”

      หุ่นเหล็กปลดปล่อยพลังศรผสาน ให้พุ่งใส่ตัวหมอกจอมโอหังทั้งหมด เพียงแค่ศรนั้นสะกิดโดนสักส่วนของร่าง พวกตัวหมอกก็รับรู้ถึงความเจ็บที่ถูกย่อยสลายทั้งตัว จนกลายเป็นอากาศธาตุบริสุทธิ์ ขนาดศรนั้นใหญ่มากจนกวาดล้างพวกมันเกลี้ยงทีเดียว เสียงหวีดร้องอันไม่อาจยอมรับความพ่ายแพ้ครั้งนี้ของพวกมัน ดังสนั่นไปทั่วสนามรบ ดวงตาของตัวสุดท้ายจับจ้องเทพวัยหนุ่มผู้นั้นอย่างเคียดแค้น

      หลังผ่านพ้นการกำจัดครั้งยิ่งใหญ่ แสงอาทิตย์วันใหม่ได้ส่องขึ้นมากลางสนาม ทหารทั้งสองฝั่งกลับมาขยับตัวได้ดั่งใจ พวกเขาเองก็เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ถึงอย่างนั้นก็ยังลังเลใจ ว่าเวลานี้ เรายังควรสู้รบต่อหรือไม่

      หุ่นเหล็กยักษ์ส่งตัวเดลกับแม็กเกอร์ลงมาสู่พื้น ทั้งคู่แหงนมองท้องฟ้าบริสุทธิ์กว่าครั้งที่ผ่านมา ก่อนประกาศให้เต็มเสียงว่า

      “พวกเราขอยกเลิกสงคราม!!!!!!!!”

      พลทหารทั้งหมดต่างดีใจเฮลั่น ที่จากนี้ความเจ็บปวดอันระทมจะได้หมดลงเสียที สายตาทุกคนมองเทพหนุ่มกับหุ่นเหล็กอย่างเคารพยกย่อง ผู้ดลบันดาลให้คำปรารถนาสงบศึกเป็นจริง จากนั้นผู้คนทั้งสนามรบต่างคุกเข่าก้มคำนับต่อหน้า แสดงคำขอบคุณจากใจทั้งปวง

      หุ่นเหล็กแสดงออกเพียงการขยิบตาแสนน่ารักหนึ่งที แล้วหันมามองรอยยิ้มเทพเด็กหนุ่มข้างบ่า อันเป็นความรู้สึกประทับใจที่สุด

      เมื่อทุกคนแหงนมองเทพอีกครั้ง ร่างหุ่นยักษ์กับเทพวัยรุ่นก็หายไปอย่างไม่ทันตั้งตัว เสมือนตัวตนแห่งความมหัศจรรย์ได้หมดหน้าที่ของตน สองผู้นำช็อคไปชั่วครู่ ก่อนจะรู้หน้าที่ต่อไปที่ต้องทำ นั่นคือการรีบเร่งรักษาผู้บาดเจ็บทั้งสองฝั่ง นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นครั้งใหม่ของสองเมือง ที่จะกลับมาสมานมิตรใหม่

      ยังยากนักที่คนส่วนมากจากเมืองร็อคสโตน จะให้อภัยและยอมรับเมืองเบอร์รอนมาเป็นพวกพ้อง แม็กเกอร์รู้ดีถึงความผิดที่ตนก่อไว้และยังสาบานที่จะหาทางแก้ไข หลังสิ้นสุดสงคราม ทั้งสองเมืองต่างเก็บตัวกันพักใหญ่ๆ โดยไม่ได้ติดต่อพบปะกัน

      หลายเดือนต่อมา เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม เมืองเบอร์รอนได้ตัดสินใจส่งผู้ใหญ่3คนไปเยือนเมืองร็อคสโตน ภารกิจของพวกเขาคือการนำวัตถุเหล็กติดตัวมาช่วยชาวเมืองหมู่บ้านหิน ซึ่งมีประกาศจากเดลอย่างเป็นทางการ แม้ช่วงแรกอาจต้องปรับตัวอยู่บ้าง แต่มันก็สร้างประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะบ้านออกแบบที่ผสมทั้งหินและโครงเหล็กเพื่อความทนทานที่ทั้งสามคิดขึ้นมา นับว่าแปลกใหม่มาก หลังจากสามคนที่ว่ากลับเมืองไปตามเวลาที่กำหนด เมืองร็อคสโตนเองก็ส่งผู้ใหญ่3คนไปเยือนเมืองเบอร์รอน พร้อมของฝากด้วยหินแปลกตา กับกิจกรรมแกะสลักหินที่ไปจัดแสดงในอีกเมือง

      การเริ่มจากเล็กๆแค่นี้ ได้รับกระแสตอบรับดีล้น จนเพิ่มจำนวนคนที่แวะไปเยือนแต่ละฝั่งมากขึ้น ภายหลังผู้คนจากทั้งสองเมืองนั้น สามารถแวะเวียนไปหาอย่างเป็นมิตรกันได้แล้ว รุ่นตระกูลเชื้อสายระหว่างเมืองก็มีมากขึ้น ประวัติศาสตร์สงครามที่เกิดขึ้นมายังคงถูกเล่าขานต่อมาเรื่อยๆเพื่อแสดงถึงความพลาดและความทุกข์ของศึกรบรา รวมถึงตำนานเทพวัยหนุ่มผู้รับฟังเสียงความหวังของทุกคน มาพร้อมกับคู่หูในร่างหุ่นเหล็กยักษ์

      สองผู้นำยังสานต่อเจตนาคติของตนไว้เช่นเดิม เมืองของเดลที่ศรัทธาทวยเทพ ยังเคารพกราบไหว้บูชาเสมอมา มิใช่เพียงแค่เชื่ออย่างเดียว แต่แสดงให้เห็นถึงคุณค่าสิ่งหนึ่งที่เราใช้มันตลอดเวลา หรือก็คือก้อนหินนั่นเอง สมกับฉายาใหม่ “เมืองคนรักหิน”

      ส่วนแม็กเกอร์นั้นนับถือความทรงพลังของเทพอย่างไม่เคยลืม ถึงนี่จะไม่ได้เปลี่ยนความคิดเดิมมาก แต่เขาก็แสดงถึงความพยายามของมนุษย์ให้เป็นที่ประจักษ์ทั่วแคว้น ว่าเราทุกคนต่างมีเรื่องภาระให้ทำมากมาย ความพยายามมุ่งมั่นคือหัวใจสำคัญของการกระทำทุกอย่าง ถึงบางทีมันอาจจะผิดพลาดหรือส่งผลร้าย ก็ให้เก็บตรงนี้ไว้ทบทวน เพื่อพัฒนาให้ตนนั้นจัดการอะไรต่อจากนี้ให้ดีขึ้น

      แม้ยังไม่มีการตัดสินชัดแจ้งว่าเมืองใดกันแน่ เหมาะสมกับที่หนึ่งในดินแดนนี้ แต่ในด้านความรู้สึกของผู้คนส่วนมาก พวกเขาแทบคิดว่าสองเมืองเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแท้จริง อีกทั้งรู้ดีอีกด้วยว่าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมัวหลงอำนาจความยิ่งใหญ่ จนต้องปะทะกันอีก ความเจริญรุ่งเรืองที่มีมานี้คงพังทลายอย่างน่าเศร้าแน่ ในเวลานี้ ทั้งสองจึงอยู่อย่างสันติร่วมมา

      คืนหนึ่งที่พิเศษ อูรุกับโซโล ลูกของสองผู้นำได้มานั่งเชิงผาสูงชันแถวร็อคสโตนยามค่ำคืน เนื่องในวันครบรอบ 1 ปีของความสัมพันธ์สองเมืองใหญ่ จึงจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง บนนั้นเด็กน้อยยังมองเห็นพ่อเดลกับพ่อแม็กเกอร์ สนุกสนานบันเทิงร่วมกับประชาชน ทั้งเสียงดนตรี เกมแข่งขัน และมื้ออาหารเลิศรส เด็กน้อยยิ้มอย่างสุขใจ ที่ภาพความสุขนี้กลับมา จากที่เคยทุกข์ว่าอาจจะไม่มีวันนี้แล้วด้วยซ้ำ

      “ดูสิโซโล ฉันแกะสลักหินเป็นหุ่นเหล็กด้วยล่ะ ตั้งใจยกให้นายเลยนะ” อูรุยื่นรูปปั้นขนาดเล็กให้ หลังฝึกฝนทำมาตั้งหลายตัว ในที่สุด หุ่นสลักรูปทรงหุ่นเหล็กในแบบที่พ่อเดลเคยเล่าให้ฟังก็สมบูรณ์จนได้ ภายในเวลาถึง2เดือน

      “โห ขอบใจนะ อูรุทำได้สวยมาก ฉันเองก็เพิ่งทำมีดสั้นมาเอง” โซโลหยิบมีดเล่มเล็กจากปลอกเข็มขัดขึ้นมา ความสวยตรงของมีดนี้ ชวนให้ระลึกถึงช่วงตีเหล็กร้อน ด้วยคำแนะนำอย่างดีจากพ่อแม็กเกอร์ ทำให้มีดเล่มแรกของโซโลออกมาดูดีทีเดียว

      “แต่ฉันดันไม่มีอะไรให้นายเลยอ่ะ”

      “ไม่เป็นไรหรอก แค่นายพาฉันไปเที่ยวเมืองเบอร์รอนบ้าง ก็ดีใจแล้วล่ะ แถมพ่อฉันอนุญาตแล้วด้วย”

      “จริงเหรอ ฉันจะพานายเที่ยวให้เต็มที่เลย แล้วพาไปดูห้องตีเหล็กประจำบ้านฉันด้วยนะ“

      มิตรภาพของสองรุ่นถัดไปนั้นช่างแน่นแฟ้นขึ้นมาก และเรื่องสำคัญที่ไม่ควรลืมอย่างยิ่งในวันครบรอบนี้ คือการส่งกล่าวคำขอบคุณให้แด่เทพศักดิ์สิทธิ์ ต่อหน้าอนุสาวรีย์ประจำเมืองทั้งสองฝั่งอันเป็นตัวแทน ซึ่งเชื่อมั่นว่าเทพตัวแทนแห่งความแข็ง จะรับรู้ความรู้สึกนี้ไปชั่วนิจนิรันดร์

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×