ที่สุดปลายสายรัก
เมื่อพบเจอคนที่ใช่ คุณจะรั้งเอาไว้ หรือผลักไส เพื่อให้คนๆ นั้นปลอดภัยจากสิ่งเลวร้ายทั้งปวง
ผู้เข้าชมรวม
857
ผู้เข้าชมเดือนนี้
13
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เทียมฟ้าละสายตาจากสมุดโน้ตเล่มเล็กในมือเงยหน้ามองร่างเล็กแบบบางซึ่งเข้ามายืนตรงหน้าด้วยดวงตาระยับพราวพรายคล้ายกับว่ากำลังมีเรื่องที่สุขใจจนแทบเก็บเอาไว้กับตัวเองไว้ไม่ได้อีกแล้วต้องบอกเล่าให้ใครสักคนได้รับรู้ความสุขสนุกที่เธอมีนี้ด้วยกัน และในสถานการณ์อย่างนี้คนๆ นั้นก็คงไม่ใช่ใครถ้าไม่ใช่เขา คงไม่ยากนักที่จะเดาเรื่องรื่นรมย์ของผู้หญิงคนนี้ได้
ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างอ่อนใจเสียนักหนาแล้วกับท่าทางคล้ายเด็กสาวที่เพิ่งจะเริ่มแตกเนื้อสาว อีกทั้งหน้าตาแจ่มใสของเธอก็ทำให้เธอของเขาคนนี้อ่อนกว่าวัยไปหลายปีทั้งที่อายุเธอก็น้อยกว่าเขาแค่สองปีเท่านั้น
“มาช้าแล้วมายืนยิ้มกริ่มไม่พูดไม่จาอย่างนี้หมายความว่าไงครับ” เทียมฟ้าเอ่ยปากถามยิ้มๆ เพียงแค่จับปลายนิ้วเรียวเล็กไว้เธอก็นั่งลงข้างๆ สอดแขนกอดแขนของเขาไว้พลางแนบหน้ากับต้นแขนเขาอย่างประจบไม่นำพากับสายตาของใครหลายคนที่เดินผ่านไปมาในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ ว่าไปที่จริงการที่เขามานั่งรอเธอที่ร้านกาแฟนี่ก็เป็นจุดสนใจกับหลายคนมากพออยู่แล้ว จะดีหน่อยก็เพียงแต่ว่าหลายคนที่มองอย่างสนใจนั้นคงมีแค่ความสงสัยใคร่รู้เสียมากกว่าว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นใคร เป็นบุคคลที่เคยเป็นข่าวครึกโครมหรือว่าเป็นบุคคลที่เคยลงปกนิตยสารคู่กับน้องชายฝาแฝดในฐานะบุคคลที่ได้รับรางวัลนักธุรกิจดีเด่นจากสิงคโปร์กันแน่
“กำลังยิ้มให้คุณนักเขียนใหญ่ไง” หญิงสาวเฉลยพลางหยิบหนังสือนิยายเล่มหนาในกระเป๋าออกมาโชว์ และในฐานะที่ทำงานให้กับสำนักพิมพ์ผู้ได้รับลิขสิทธิ์การตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้ทำให้บอกได้ว่า “สั่งพิมพ์ครั้งที่สองแล้วนะ ขอลายเซ็นต์หน่อยค่ะ”
เทียมฟ้าหัวเราะกับคำบอกเล่าที่เขาเองก็รู้อยู่แล้วซึ่งก็ไม่ใช่ว่ารู้จากใคร แต่รู้เพราะเธอนั่นแหละเป็นคนบอกเล่าให้ฟังเมื่อหลายวันก่อน ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างอ่อนใจแต่ก็ยอมรับปากกาจากมือเล็กมาเซ็นต์ชื่อให้เธออย่างไม่กล้าอิดออดเล่นตัวให้อีกฝ่ายส่งค้อนให้และต้องมีรายการง้องอนกันอีกให้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เวลา...ที่ต่างฝ่ายต่างก็หาให้ว่างตรงกันได้ยากจริงๆ
“คนอ่านเขาคงตกใจนามสุกลที่ลงท้ายคำนำของนักเขียนน่ะสิ คงไม่มีใครคิดว่าใครสักคนหนึ่งในธรรมธัชจะทำงานแบบนี้” ชายหนุ่มพึมพำยิ้มๆ คำนำที่เขาใช้เปิดตัวหนังสือลำดับที่สิบสาม พิมพ์ครั้งที่สองของตัวเองแม้จะยังใช้นามแฝง แต่นามสกุลธรรมธัชนั้นไม่ใช่ใครที่สามารถนำมาแอบอ้างได้เป็นแน่ เชื่อว่าคงมีการควานหาตัว “ฟ้าสาง ธรรมธัช” กันให้ควั่กเป็นแน่ ชายหนุ่มปิดหนังสือและเป็นฝ่ายถือเอาไว้เสียเองแต่หญิงสาวดึงกลับคืนไปเก็บลงกระเป๋าสะพายพร้อมปากกา
“ใครจะว่ายังไงก็ช่างเขาสิ หนังสือขายดีอย่างกับเททิ้งแบบนี้ก็การันตีแล้วว่าเขียนดีจริงๆ ซึ้งมากๆ นี่ลองทายสิว่าแสนอ่านกี่รอบแล้ว” แสนรักถามอย่างกระตือรือร้น แต่คนช่างคิดและแสนจะรู้เท่าทันนั้นไม่ค่อยยอมให้เธอชนะได้สักครั้งเลยนี่สิ น่าเบื่อชะมัด
..ไม่ได้หรอก ถ้าผมยอมแสนมากๆ แสนก็ข่มผมแย่ไปสิ เท่านี้ผมก็ยอมแสนมากอย่างที่ไม่เคยยอมให้ใครแล้วนะ รู้ไหม...
คนฟังได้แต่ทำหน้างอง้ำที่พ่อเคยเปรียบเทียบว่าคล้ายตวักตักถ่าน แต่ก็ยอมรับอยู่ในใจล่ะว่าที่เขาพูดมาน่ะจริงยิ่งกว่าจริงเสียอีก คนที่เกิดมาในฐานะคุณชายอย่างเขา มีแต่คนคอยพะนอเอาใจมาตั้งแต่เกิดแล้วมีหรือที่จะต้องมาคอยเอาใจใส่ใครอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวของเขาเอง
“แสนอ่านในคำนำที่ผมกล่าวขอบคุณที่รักของผมล่ะสิ ที่ว่าหลายรอบน่ะ” เทียมฟ้าดักคอแล้วหัวเราะเมื่อเห็นหน้าแจ่มใสเริ่มหงิกขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์เพราะถูกรู้เท่าทัน เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่องด้วยการเอาใจว่า “หิวแล้วล่ะไปกินพิซซากันดีกว่า แสนบ่นว่าอยากกินไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ต้องเอาของกินมาล่อเลยนะ” แม้จะกระเง้ากระงอดออกไปอย่างนั้นแต่หญิงสาวเองก็คิดว่ามันได้ผลทุกครั้งเหมือนกันนะ ใครจะว่าเห็นแก่กินก็ช่าง ช่วยไม่ได้ก็คนมันมีพรสวรรค์ กินแล้วไม่อ้วน ใครจะทำไม มิหนำซ้ำเจ้ามือยังไม่เคยเกี่ยงงอนหรือตำหนิเรื่องกินแม้แต่น้อย
“ไม่สำเร็จหรือนี่ แปลกจัง” เทียมฟ้าทำหน้าตายแบบสงสัยจัด แต่มองเธอด้วยสายตายิ้มๆ อย่างล้อเลียน “งั้นเราไปดูหนัง กินป๊อบคอร์นดีไหม”
“ค่ำนี้ต่อด้วยอาหารญี่ปุ่นนะ แต่เริ่มด้วยพิซซ่าก่อนจะดีมากๆ” แสนรักรีบบอกอย่างไม่มีมาดก่อนที่จะอดกินพิซซาเพราะบรรดาเพื่อนสนิทต่างก็กลัวอ้วนไม่ค่อยมีใครยอมมากินอะไรแบบล้างผลาญอย่างนี้แล้ว และวันว่างของอีกฝ่ายที่หาได้ยากทั้งทีมีหรือที่คนอย่างแสนรักจะชวนใครมาเป็นก้างขวางความสำราญ
“ฟังแล้วก็ขำนะ ถ้าเป็นเมื่อปีก่อนฟังแสนบอกแบบนี้ผมคงตำหนิหรือทำอะไรสักอย่างไปแล้วเพื่อให้ผิดแผนการกินของแสนน่ะ”
“คุณเคยว่าแสนมีหลุมดำอยู่ในท้อง หยาบคายที่สุด” แสนรักต่อให้อย่างนึกสนุกมากกว่าจะโกธรหัวฟัดหัวเหวี่ยงอย่างแต่ก่อน
“ตอนนี้ก็คิดว่ามี ดูรึตัวเล็กกว่าผมตั้งครึ่งแต่กินมากกว่าผมตั้งครึ่ง ใครไม่เห็นกับตาไม่มีทางเชื่อหรอก” เทียมฟ้าล้อเลียนพลางยกแขนขึ้นโอบไหล่บางไว้หลวมๆ พาเดินไปด้วยกันโดยไม่นำพากับสายตาที่มองจ้องกันแทบตลอดทาง
“ก็ไม่ได้กินอย่างผลาญเงินในกระเป๋าแบบนั้นบ่อยๆ นี่นา นานๆ ทีก็อยากกินอะไรหลายๆ อย่างมันก็เยอะเป็นธรรมดา หรือถ้าวันนี้นักเขียนใหญ่ไม่มีเงินจ่าย คนรักของนักเขียนคนนี้จ่ายเองก็ได้นะ” แสนรักตวัดสายตาค้อนให้อีกสองทีซ้อนก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข นานๆ หรอกที่เขาจะยอมต่อปากต่อคำด้วยแบบนี้ ...นั่นสิ จะว่าไปวันนี้ยิ้มง่าย หัวเราะง่ายพิลึก ทั้งที่เมื่อก่อนกว่าจะยิ้มได้แต่ละครั้งเล่นเอาอ่อนใจจนไม่อยากจะใส่ใจเรื่องยิ้มหรือหัวเราะของเขาแล้ว ว่าแล้วก็ถามซะเลยไม่ต้องคิดไปไกลให้เสียความมั่นใจในตัวเอง
“เป็นอะไรหรือเปล่าทำไมยิ้มง่าย หัวเราะคล่องเชียววันนี้”
“หนังสือผมขายดีไง” ชายหนุ่มตอบพร้อมส่งยิ้มกว้างให้อีกครั้งอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่
“อ้อ เรื่องงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติเดือนหน้าคุณว่างไปพบนักอ่านพร้อมแจกลายเซ็นต์ให้วันไหนคะ นี่บอกอฝากมาถามนะคะ เดี๋ยวจะหาว่าแสนอยากรู้” คนไม่อยากรู้ถามด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่ก็ตวัดสายตาส่งค้อนให้อีกทีอย่างหมั่นไส้ในความยิ้มง่าย หัวเราะคล่องแบบไม่ทราบที่มาที่ไปของเขา ทำไมนะ ทำไมถึงให้เขาช่างรู้เท่าทันเพียงแค่อ้าปากพูด แต่เธอไม่ค่อยจะรู้เท่าทันเขาเอาเสียเลย ไม่ยุติธรรมเลย ให้ตายสิ!
“วันอาทิตย์ช่วงบ่าย วันเดียวเท่านั้นครับ” เทียมฟ้าตอบได้เพราะให้เลขาฯเช็คเวลามาแล้ว คิดว่าจะให้โทรศัพท์บอกไปทางสำนักพิมพ์เหมือนกันแต่ก็รอให้อีกฝ่ายมาถามเองจะดีกว่า “ผมต้องเดินทางไปลอนดอนคืนวันอาทิตย์นั่นพอดี แสนลาพักร้อนแล้วไปด้วยกันดีไหม คิดว่าเที่ยวนี้คงจะมีเวลาพาเที่ยวน่ะ”
“แอบไปมีใครทิ้งไว้ที่โน่นหรือเปล่าไม่รู้ ไปบ่อยจริง” แสนรักสัพยอกและตั้งท่าคล้ายจะงอนอยู่ในที อยากเข้าใจอยู่หรอกว่ามันเป็นงาน แต่งานก็แย่งเวลาของเขาไปหมด และตอนนี้ก็มีแต่คนคิดว่านางสาวแสนรักเป็นโสด ไม่มีใครคอยจับจ้องจะสอยลงจากคานเสียที แล้วเขาเองก็เนื้อหอมจนน่าเกลียดมิหนำซ้ำก่อนหน้านี้ก็เกิดเรื่องขึ้นมากมายทำให้เขากับคู่แฝดและเพื่อนๆ ของเขาเป็นที่รู้จักของคนแทบทั้งประเทศทีเดียว โดยเฉพาะสาวๆ กรี๊ดพวกเขายิ่งกว่าบ้าดารา อะไรไม่เท่าที่พวกเขามีแฟนคลับนี่สิ ที่พอได้รู้ข่าวนี้ปุ๊บก็เล่นเอาอึ้งไปนานหลายนาทีเลยก่อนจะพึมพำออกมาได้ว่า...อะไรจะเวอร์ขนาดนั้น แล้วก็เป็นเธอเองนั่นแหละที่ได้รับมอบหมายจากเขาให้เข้าไปตอบคำถามหรือเข้าไปเช็คข่าวในเว็บบอร์ดของแฟนคลับให้ ชิ!
“ช่างตัดพ้อจริง” เทียมฟ้าส่ายหน้ายิ้มๆ มองหญิงสาวตัวเล็กตรงหน้าที่กำลังแสดงอาการงอนหน้างอแต่ส่งสายตาคล้ายว่าจะรู้เท่าทันแล้วอดหัวเราะไม่ได้ “ถ้ามีใครรออยู่ ผมจะชวนแสนไปทำไมละครับ”
คำง้องอนนั้นทำให้คนฟังยิ้มหวานใส่แล้วเลยหัวเราะยอมรับว่า
“ล้อเล่นค่ะ เป็นว่าแสนขอเช็ควันลากับงานก่อนนะคะแล้วจะบอก”
“รีบหน่อยนะช่วงปลายปี ผมกลัวไม่มีตั๋วให้แสนล่ะแย่เลย”
“ไม่เห็นแย่ ไม่ทันก็ไปคนเดียวไงคะ ทีนี้จะเหล่สาวยังไงก็ไม่มีใครคอยเขม่น แสนว่ามันชื่นหัวใจหนุ่ม ๆ ดีออกนะ” แสนรักว่าพลางเหลือบตามองอย่างจับสังเกตหาสาเหตุความรื่นเริงของอีกฝ่ายที่มีคนแนะลู่ทางอันบรรเจิดให้ แต่ตรงข้ามในเมื่อเขากลับขมวดคิ้วใส่เสียอีกและเรื่องก็กลายเป็นว่า
“แสนจะเหล่หนุ่มใหม่ทางนี้ระหว่างผมไม่อยู่ใช่ไหมล่ะ ไม่ยอมนะ” เทียมฟ้าดักคออย่างไม่จริงจังนักแต่ก็ไม่ใช่ว่าล้อเล่นซะทีเดียว มันไม่ง่ายนักหรอกนะที่คนเราจะพบคนที่คิดว่า ‘ใช่’ แล้วเมื่อพบแล้วเขาก็มั่นใจได้ว่าจะไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือไปแน่นอน
“แหม” แสนรักหัวเราะอย่างกลั้นไว้ไม่ได้เลย ก็เธอหรือกังวลเรื่องเขาไปเหล่สาว แต่เขากลับกังวลว่าเธอจะไปเหล่หนุ่มคนอื่นเสียด้วยนี่สิ ผิดคาดพิลึก “ใครจะทำอย่างนั้นล่ะคะ แฟนของแสนออกจะน่ารักอย่างนี้ถึงแม้จะไม่ค่อยมีเวลาให้แสนเท่าไรก็ตามเถอะ แสนรักของแสนออกนะ”
“ค่อยชื่นใจหน่อย” คนฟังล้อเลียนหน่อย ๆ ปลื้มนิด ๆ ด้วยอาการสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ส่งให้ด้วยนัยน์ตาพราวพรายหมายมาด
แสนรักเองก็มองเห็นสายตาระยับน่าดูของเขาแต่ไม่ไหว...มองแล้วใจสั่นจนต้องเบือนหลบก้มหน้าหาจานหั่นพิซซาแก้เก้อ บอกไม่ถูกว่าทำไมอ๊าย อายทั้งที่รู้จักรู้ใจกันมาได้ซักพักหนึ่งแล้ว...หวาย! หรือว่า...
...ใกล้แล้วแก ระวังเถอะทีนี้ล่ะเสร็จเรียบร้อยโรงเรียนธรรมธัชแน่...เสียงเพื่อนผู้มีสามีเปรยขึ้นอย่างหมายมาดและคนไม่เคยมีสามีอย่างแสนรักก็ยังมีหน้าย้อนถามอย่างไร้เดียงสาเสียอีกด้วย
...อะไรยะ...
...ผู้ชายเขาคบแกเป็นแฟน และหวังจะให้เป็นแม่ของลูกเขาในอนาคตนะยะ ไม่ใช่คบแกไว้เทิดทูนกราบไหว้เขาถึงไม่กล้าแตะต้องแก เอ๊ะ อย่าทำหน้าอย่างนี้นะแก หน้าใสซื่อจนโง่อย่างนี้ฉันเดาได้ว่าแกยังขาวใสไร้รอยราคีปราศจากมือชาย ถึงแม้ว่าแกจะคบผู้ชายเหมือนผักปลาก็เถอะ...
“แสน” เทียมฟ้าเรียกพลางจับมือเรียวเล็กเขย่าเบาๆ จนมองเห็นสายตาเธอสบตากับเขาจึงถามขึ้น “เป็นอะไรครับเหม่อเชียว ผมนั่งตรงนี้เองไม่ต้องคิดถึงขนาดนี้ก็ได้ เดี๋ยวผมได้ใจแย่”
“บ้า” แสนรักมองเขาแล้วก็รู้สึกว่าหน้าร้อนๆ ชอบกล มิหนำซ้ำพิซซาที่อยากกินนักหนาชนิดนับวันรอก็พลอยอืดในท้องเสียอย่างนั้นทำให้กลืนไม่ลงเอาง่ายๆ เมื่อคิดถึงประโยคที่คุยกับเพื่อน “แสนอิ่มแล้ว เรารีบไปดูหนังดีกว่าค่ะ”
“อะไรนะ” เทียมฟ้าร้องถามอย่างไม่เชื่อหูมองอาหารที่ยังเหลือเกือบครึ่งโต๊ะสลับกับมองหญิงสาวไม่วางตา “แน่ใจนะ”
“เอ๊ะ คุณฟ้าจะเอายังไงคะ ก็แสนอิ่มอยากดูหนังแล้วคุณฟ้าก็ไม่ค่อยกินเพราะไม่หิวไม่ใช่หรือไง” แสนรักทำเสียงดุกลบความอายกับเรื่องพิเรนทร์ที่ผุดขึ้นในสมอง...ต้องโทษยัยมิ่งแก้ว...เพื่อนตัวแสบทีเดียวที่ฝังความคิดพิลึกแถมพิเรนทร์แบบนั้นเอาไว้ในหัว ดูซิมองหน้าไม่ค่อยได้เลย เฮ้อ! แล้วถ้าเขาคิดอย่างนั้นเหมือนกันจะเอาปัญญาที่ไหนมาห้ามเขาเนี่ย...
“คิดอะไรทะลึ่งอยู่แน่ๆ หน้าแดงๆ หลบหน้าหลบตาชอบกล” เทียมฟ้าเดาได้ราวกับไปนั่งอยู่กลางใจเธอแล้วเขาเองก็ยิ้มอย่างเอ็นดูเมื่อคิดว่าเขาเข้าใจถูกต้องเพราะอีกฝ่ายส่งค้อนให้เสียจนน่ากลัวว่าตาจะเหล่ “ผมว่าเรากลับดีกว่า ผมไม่ค่อยอยากดูหนังเท่าไร มีเรื่องอยากพูดกับแสนมากกว่า หรือว่าแสนอยากจะดูหนัง”
“งั้นเราไปเขาดินกันไหม แสนอยากถีบเรือ” หญิงสาวรู้ว่าข้อเสนอนี้เป็นสิ่งที่ทำให้คนฟังอยากส่ายหัวเสียเต็มแก่แต่แล้วเขาก็พยักหน้าตามใจ และวันเวลาที่นานๆ จะมีใช้ร่วมกันสักครั้งก็หมดลงอย่างรวดเร็วด้วยเนื้องานธุรกิจและงานเขียนที่เขาทำด้วยใจรัก และงานที่สำนักพิมพ์ของเธอเองก็ช่างหาเวลาให้กันได้ยากเต็มที บางทีเธอว่างเขาไม่ว่าง บางทีเขาว่างเธอต้องปิดต้นฉบับไม่ว่างก็มี หลายครั้งที่เขามาหายามดึกเพียงแค่พูดว่าอยากเห็นหน้าแล้วก็กลับไปโดยไม่แชเชือน ไม่มีคำหวานๆ ไว้ให้กันบ่อยนักแต่ก็รู้สึกได้ถึงความรักอวลอยู่ในบรรยากาศรอบตัวอย่างสงบนิ่ง ไว้วางใจ และอุ่นอกอุ่นใจ
“ลงไปก่อนไหมคะ” แสนรักตั้งคำถามเมื่อรถจอดหน้าคอนโดหรูในเครือธรรมธัช ความจริงห้องที่ได้ครอบครองอยู่ก็ห้องของเขานั่นแหละ เธอได้มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่มีเรื่องมีราวใหญ่โต บ้านของเธอกับพี่ที่เกิดระเบิดก็ซ่อมเรียบร้อยแล้วแต่มันไกลไปกลับไม่สะดวกแบบอยู่ที่นี่ และแล้วที่สุดคนขี้เกียจอย่างเธอก็ถือโอกาสยึดเอาไว้เป็นที่พักถาวรตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ความจริงแสนรักก็ถามเหมือนทุกครั้งที่เขามาส่งและเห็นว่ายังหัวค่ำก็ชวนเขาฆ่าเวลาระหว่างที่รถกำลังติดเป็นแพยาวเหยียดบนท้องถนน เพียงแต่ตอนนี้ความคิดพิเรนทร์ที่ยังไม่หายไปจากความคิดทำให้แสนรักภาวนาไม่ให้เขาตอบรับคำชวนเท่าไร
“แสน” เทียมฟ้าเรียกและรั้งแขนดึงร่างบางที่กำลังหันไปเปิดประตูรถให้หันมาหาเขา ความสว่างจากลานจอดรถของคอนโดไม่ทำให้มันลอดผ่านเข้ามาในรถคันเตี้ยได้จนมองเห็นสีตาของอีกฝ่ายแต่ก็มองเห็นสีหน้าตะลึงได้อย่างไม่ต้องเพ่งสายตา “เคยคิดเรื่องแต่งงานกับผมบ้างหรือยัง ถ้ายังไม่เคยก็คิดซะ หรือถ้าเคยแล้วก็คิดด้วยว่าอยากให้งานแต่งงานของเราเป็นแบบไหน”
“คะ” แสนรักรู้สึกเหมือนหวิวๆ ตัวลอยๆ และลิ้นคับปากจนไม่สามารถพูดออกมาเป็นคำได้มองสบตายิ้มๆ ของเขาแล้วไม่อยากนั่งตรงนี้อีกด้วยความอายแต่ก็ไม่มีปัญญาจะก้าวเท้าลงจากรถ หรือจะว่าไปมันตื่นเต้นจนเปิดประตูรถไม่เป็นด้วยซ้ำ เคยคิดเหมือนกันแหละว่าอยากให้เขาพูดเสียทีแต่ตอนนี้มันยังไม่ทันได้ตั้งตัวหรือเตรียมใจเลยนี่
“ผมคิดว่าถึงงานเราทั้งคู่จะเยอะ แต่ให้กลับกันดึกยังไงก็ยังพบกันที่บ้านทั้งตอนกลับบ้านและตอนจะออกจากบ้าน แสนคิดอย่างผมไหม คิดว่าเวลาที่มีนอกเหนือจากงานเราควรจะมีให้กัน” เทียมฟ้ายิ้มมากขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยิ้มกว้างตอบกลับมาแล้วแทนการอึ้งและนิ่งเงียบที่เห็นแล้วไม่ค่อยสบายใจเท่าไร มือใหญ่หงายมือขึ้นกุมมือเล็กไว้บีบแน่นขึ้น “ผมให้เวลาตัดสินใจกี่วันดี”
“ไม่ต้องหรอกค่ะเพราะจะกี่วันคำตอบก็เหมือนกันคือแสนตกลง รอเหมือนกันนะเนี่ยว่าเมื่อไรคุณฟ้าจะขอแต่งงานซะทีน๊า แต่นี่ไม่ให้เตรียมใจเลย...ตื่นเต้นจะแย่ไป” แสนรักยิ้มหน้าชื่นหัวเราะด้วยนัยน์ตาพราวระยับ วางศีรษะกับไหล่หนาอย่างประจบ “สงสัยจะนอนไม่หลับแหงเลยคืนนี้”
“นอนมากๆ จะได้สวยๆ วันแต่งงาน เดี๋ยวผมจะกลับล่ะจะรีบไปบอกพ่อบอกพี่ธรรศให้รีบจัดการไปขอแสนหวังว่าพ่อกำนันของแสนจะยกให้ง่ายๆ นะ คงไม่มีคนมาจองเอาไว้อย่างที่นิยายเขาชอบแต่งกันหรอกนะ”
“บ้า แสนไม่ใช่นางเอกซะหน่อย” หญิงสาวหัวเราะกับคำกระเซ้าของเขาอย่างมีความสุข
“เป็นสิ” เทียมฟ้าตอบรับอย่างรวดเร็วมองเธอที่เอียงซบกับไหล่ด้วยความรักและเอ็นดู “แสนเป็นนางเอกของผมนี่ไง ไม่ว่าจะอยู่กับใครผมไม่เคยยิ้มง่าย หัวเราะคล่องเสียงดังเหมือนเวลาที่อยู่กับแสนหรอกนะ ผมยังเคยคิดด้วยซ้ำว่าเรื่องของเรานี่น่าเอามาแต่งนิยายขายนะ คิดไปแล้วก็อย่างที่เขาว่าล่ะ...”
“น้ำเน่าชะมัด” สองเสียงพูดประสานเป็นเสียงเดียวแล้วหัวเราะให้กันอย่างมีความสุข และแสนรักเป็นคนเอ่ยกลั้วหัวเราะต่อไปว่า “เขียนสิคะ แสนว่าขายได้แน่ๆ ถ้าคุณฟ้าเป็นพระเอกนะ แสนก็ยอมเป็นนางเอกล่ะ ใครจะว่าน้ำเน่าก็ช่างเรื่องมันจริงเสียอย่าง ว่าแต่เราจะตั้งชื่อว่าไงดีคะ ตอนที่แสนพบคุณครั้งแรกน่ะกลั๊ว กลัวคุณนะแต่ก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ว่าคนอะไรจะเย็นชาและขี้เก๊กซะขนาดไม่เห็นหัวใครได้ขนาดนั้น”
“โห ขนาดกลัวนะนั่น” เทียมฟ้าหัวเราะแล้วนึกถึงร่างเล็กบางในวันแรกที่พบเจอ “ตอนนั้นแสนค่อนว่าผมเสียให้คะแนนไม่ทันเลย ผมยังคิดเลยว่าผู้หญิงอะไรปากจัดชะมัด”
“ฮึ อย่ามาหลอกว่าแสนนะ ตอนนั้นคุณฟ้าเองก็ไม่ใช่ย่อยเหมือนกันแหละ” แสนรักสะบัดหน้างอนแต่ริมฝีปากยิ้มกริ่มส่งให้ขณะที่มือซ้ายเปิดประตูรถ “กลับบ้านดีดีนะคะ ถึงบ้านแล้วโทรศัพท์กลับมาบอกแสนด้วยนะ”
“ครับแสนรัก” เทียมฟ้ารับคำอย่างเล่นคำกับชื่อที่เขาเคยทึ่งเมื่อได้ฟังชื่อเธอครั้งแรก ชื่อที่เขาสามารถจดจำได้ในทันทีและเวลาต่อมาเขาก็คิดว่าเธอช่างน่ารักสมชื่อมากเหลือเกิน
ดีล่ะ เมื่อเจ้าตัวยุส่งเสียอย่างนี้เขาคงต้องลงมือเขียนจริงๆ เสียแล้วทั้งที่คิดเอาไว้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าตอนนั้นคิดแค่จะยกมาบางส่วน แต่ตอนนี้ยกมาทั้งหมดเลยแล้วกันเผื่อลูกๆ อยากเก็บไว้อ่านว่ากว่าพ่อแม่จะรักกันได้ต้องพบเจออะไรมาบ้าง...
ผลงานอื่นๆ ของ CheriNeo ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ CheriNeo
ความคิดเห็น