ดาวกระดาษ
ท้องฟ้ายามค่ำคืนระบายด้วยสีหยดหมึก แสงดาวนับร้อยพันถูกประดับกระจัดกระจายเหนือราชวังอาณาจักรกาแลสเซียฝั่งตะวันตก ภายในห้องของเจ้าชายเวก้ายังคงมีแสงเทียนลอดออกมา แม้จะนาฬิกาจะตีครบสิบสองครั้งไปแล้ว ทว่า เขายังคงใช้ปลายนิ้วเรียวเล็กกรีดพับกระดาษเงาเลื่อมชิ้นน้อยหลากสีบนโต๊ะอย่างตั้งอกตั้งใจ เมื่อจัดรูปทรงให้พองกลมขึ้นจึงใส่ในขวดโหลใสที่เต็มไปด้วยกระดาษชนิดเดียวกันแล้วปิดฝาให้สนิท
อัลแตร์จะชอบไหมนะ…
เวก้านั่งมองขวดโหลนี้ครู่หนึ่งพลางนึกถึงสีหน้าของผู้รับ แม้ไม่มั่นใจนักแต่อีกไม่นานคงได้รู้ว่าจะเป็นอย่างไร
ไม่กี่คืนถัดมาเป็นคืนสำคัญสำหรับอาณาจักรกาแลสเซียทั้งสองฝั่งเพียงแค่คืนนี้เท่านั้นที่สามารถข้ามสะพานมาเจอกันได้ ปีนี้อาณาจักรฝั่งตะวันตกเป็นฝ่ายต้อนรับ ทั่วราชวงสว่างด้วยแสงไฟ ภายในโถงจัดงานมีเหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ของสองอาณาจักรยืนพูดคุยด้วยบรรยากาศผ่อนคลายกว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาในรอบปี
เจ้าชายอัลแตร์พูดคุยทักทายกับเหล่าราชวงศ์เสร็จ เขาปลีกตัวออกมายังระเบียงกว้างที่สามารถมองเห็นหมูดาวได้อย่างชัดเจน เส้นผมสีดินปลิวไสวไล้กับสายลมที่พัดมาเป็นเพื่อน ดวงตาเขียวทุ่งหญ้ามองบนผืนฟ้าและดวงดาวที่เปล่งประกายงดงามที่สุดในยามนี้คงมีเพียง…
“เวก้า” เสียงทุ้มเอ่ยนามของเพื่อนสนิทผู้เป็นที่รักเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวบางเบาที่คุ้นเคยมาจากทางด้านหลัง
เจ้าของร่างผอมบางอมยิ้ม “คิดว่าจะทำให้อัลแตร์ตกใจสักหน่อย”
“นายก็เล่นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้วนี่” เขาหัวเราะเบา ๆ พลางจับจ้องไปที่ของในมืออีกฝ่าย “นั้นคือ…”
“นี่เป็นของขวัญสำหรับอัลแตร์ล่ะ” เวก้าส่งขวดโหลใส่บรรจุดวงดาวมากมายที่ถูกพับอย่างบรรจงให้กับเพื่อนรัก “เปิดดูวันล่ะดวงนะ”
“ขอบใจนะ แต่ว่าฉันไม่ได้เตรียมอะไรให้เวก้าเลย”
“ไม่เป็นไรหรอก แค่รับไว้ ผมก็ดีใจมากแล้ว” ริมฝีปากอวบอิ่มเผยรอยยิ้มออกมาทำให้อัลแตร์ยิ้มตอบกลับไปแทนคำขอบคุณอีกครั้ง
หลังจากงานเลี้ยงเสร็จสิ้น อัลแตร์ถือขวดโหลกลับเข้าห้องนอนของตนก่อนว่างไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียง ความง่วงและอ่อนเพลียกำลังเล่นงานจึงตัดสินใจจะล้มตัวลงนอนบนเตียงแต่เมื่อเหลือบมองดาวหลากสีที่สะท้อนเลื่อมลายต่างๆ ทำให้เปลี่ยนใจ ฝ่ามือหนาเปิดฝาขวดออกก่อนหยิบดาวดวงน้อยดวงหนึ่งไว้ในมือ
“เปิดวันละดวงสินะ”
อัลแตร์พยายามแกะออกอย่างระมัดระวังไม่ให้กระดาษที่พับขาดพลางคิดในใจว่าหากเป็นเวก้าคงแกะได้ออกอย่างประณีตกว่าเป็นแน่
กระดาษเลื่อมสีม่วงอ่อนถูกแกะคลี่ออก อีกด้านเป็นสีขาว มีรอยปากกาเขียนไว้ด้วยลายมือมีระเบียบตัวเล็กอ่านง่าย
“ดึกแล้ว อัลแตร์นอนหรือยัง”
เจ้าของชื่อที่ถูกเอ่ยถึงในกระดาษประหลาดใจเล็กน้อย เวก้าคงเขียนและพับมาให้เขาได้อ่านในทุก ๆ วัน เขาชักอยากจะรู้แล้วสิว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นข้อความอะไร
สองวันถัดมา อัลแตร์เข้าไปในเมืองเพื่อดูชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในอาณาจักร ผักสดสีเขียวนานาชนิดถูกส่งมาจากไร่เพื่อนำมาขายที่ตลาด เจ้าชายสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละสัปดาห์กับพ่อค้าผลไม้คนหนึ่ง เขาบอกข่าวสารราคาผลไม้ในฤดูกาลนี้ให้ผู้สูงศักดิ์ทราบ อัลแตร์ยิ้มออกมาอย่างพอใจจากนั้นแวะไปพูดคุยกับเด็กๆ ตัวน้อยที่มาวิ่งเล่น
“เจ้าชายอัลแตร์ เมื่อไหร่ฝั่งนี้จะเป็นเพื่อนกับฝั่งโน้นสักทีฮะ”
“นั่นสินะ ฉันก็อยากให้เป็นแบบนั้นไว ๆ ” เขาตอบ “หลังจากนั้นจะได้เจอเพื่อน ๆ ด้วย”
“ได้เจอเจ้าหญิงแสนสวยฝั่งตะวันตกด้วยใช่ไหมคะ”
อัลแตร์ตกตะลึงกับคำพูด “เจ้าชายเวก้าน่ะเหรอ” เขากล่าวพลางลูบหัวเด็กสาวคนนั้น “อื้ม ได้เจอแน่นอน”
ความมืดมิดแสนอบอุ่นมาเยือนอีกครั้งในรอบวัน อัลแตร์เปิดขวดโหลหยิบดาวดวงน้อยมาดวงหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความใจร้อนอยากอ่านข้อความโดยเร็วหรือแสงในห้องมีน้อยจนทำให้กระดาษขาดออกจากกัน ปลายนิ้วหนาพยายามคลี่กระดาษแผ่นใหญ่ออกก่อนตามด้วยแผ่นเล็กนำมาวางต่อกันบนโต๊ะ
“วันนี้กับข้าวมีผักเต็มไปหมด ทำให้นึกถึงอัลแตร์”
ร่างสูงนึกขำในใจ แค่เห็นผักบนโต๊ะอาหารก็นึกถึงแล้วหรือ หลังจากนำกระดาษเลื่อมที่ขาดมาซ่อมแซมต่อกันก็นำไปเก็บไว้ในกล่องไม้
“วันนี้เจอเด็กๆ พูดถึงนายด้วย” เขาเอ่ย “นึกถึงนายเหมือนกัน”
วันแล้ววันเล่าที่เจ้าชายหนุ่มผมน้ำตาลทำหน้าที่ของตนอย่างแข็งขันทั้งประชุมงานราชการ รวมงานพิธีการต่างๆ ไปจนถึงทำไร่สวน ความพยายามนี้เป็นผลจากข้อความในดาวกระดาษที่เปิดอ่านก่อนนอนทุกๆ คืน เป็นทั้งกำลังใจและคลายความเงียบเหงาที่ต้องจากเวก้าในระยะเวลาหนึ่งปี
“ถ้าแดดร้อนต้องทาครีมป้องกันไว้ด้วยนะ”
“วันนี้ฝึกเล่นพิณเพลงใหม่ อยากให้ฟังจัง”
“คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง อัลแตร์ก็มองเห็นเหมือนกันใช่มั้ย”
หลายข้อความถูกเขียนด้วยวันและเวลาที่ต่างกันแต่ทั้งหมดนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่ได้เอื้อนเอ่ยออกมาโดยตรงแต่ทำให้ผู้อ่านรับรู้ได้ถึงสัมผัสอันอ่อนหวานละมุน มิตรภาพที่เชื่อมต่อกันอย่างมั่นคงเริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นการสื่อถึงกันผ่านอารมณ์อันหอมหวลราวกับมวลดอกไม้แย้มกลีบบานในวสันตฤดู
เมื่อดาวดวงสุดท้ายในขวดถูกแกะคลี่ออกเป็นสัญญาณว่าใจที่ถูกกีดกั้นให้แยกห่างจะกลับมาพบกันอีกครั้ง แต่จะละลายจนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวได้แนบสนิทดีหรือไม่ มีเพียงเวลาเท่านั้นที่รู้
วันเวลาผ่านไปจนครบหนึ่งปีเต็ม อาณาจักรกาแลสเซียทั้งสองฝั่งได้มาพบปะกันอีกครั้ง ภายในงานยังคงความงดงามของสถานที่ไปจนถึงดอกไม้ที่ประดับประดาเบ่งบานต้อนรับแขกผู้มาเยือน
เจ้าชายเวก้าที่อ่อนล้าจากการทักทายบรรดาขุนนางภายในวังเดินออกจากงานที่แสนอึกทึกครึกโครมมาอยู่ในสวนดอกกุหลาบ
พระจันทร์คืนนี้ส่องแสงนวล ล้อมรอบด้วยกลุ่มดาวต่าง ๆ เต็มฟากฟ้า เวก้าเหม่อมองนานเท่าไรไม่อาจทราบ พลันภาพตรงหน้ามืดลงพร้อมสัมผัสอุ่นที่ตา
“อัลแตร์…? ”
เจ้าของชื่อหัวเราะเบา ๆ ก่อนละมือที่ปิดตาอีกคนไว้
“ตกใจหมดเลย” เวก้ากล่าวพลางหันกลับ ตาสีฟ้าเงยขึ้นมองรอยยิ้มที่คุ้นเคย
“ฉันอ่านของขวัญหมดแล้ว”
เมื่ออัลแตร์เอ่ยถึงดาวกระดาษที่ได้รับปีก่อน แก้มของเวก้าก็ร้อนผ่าว ทั้งคู่ตกอยู่ในความเงียบครู่หนึ่ง อัลแตร์ทำท่านึกบางสิ่งได้
“ปีนี้ฉันขอมอบของขวัญให้นายนะ”
เจ้าชายแห่งอาณาจักรกาแลสเซียตะวันตกประหลาดใจเล็กน้อย เจ้าของนัยน์ตามรกตเดินไปด้านหลังอีกฝ่ายก่อนสวมสร้อยสีเหลืองทองให้
เวก้าก้มลงมองจี้รูปดาวที่พาดเหนืออกปลายห้อยอัญมณีสีอำพัน
“สวยจัง”
“ไหนดูหน่อยสิ” อัลแตร์จับไหล่แคบให้หันมาช้า ๆ ตากลมโตหลุบมองพื้นอย่างเอียงอาย จมูกได้รูปกับริมฝีปากที่แย้มขึ้นเล็กน้อย เข้ากับจี้ดวงดาวชวนฝันเป็นอย่างดี
“ขอบคุณนะอัลแตร์”
“ไม่ต้องหรอก”
“แต่ว่า…”
ปลายนิ้วชี้อุ่นหนาแตะที่ริมฝีปากเล็กก่อนไล้อย่างนุ่มนวล ร่างของเจ้าชายผมสีน้ำตาลโน้มลงเล็กน้อยเพื่อช่วงชิงคำพูดทั้งหมดจากเจ้าชายผู้งดงามอีกองค์
ดาวกระดาษชิ้นสุดท้ายถูกแกะออกด้วยความระมัดระวัง
“รักนะ อัลแตร์”
“ฉันก็รักนาย เวก้า…”
----------------------------------------------------------------------------
ฝากคอมเม้นด้วยค่า หรือมาติดตามในทวิตเตอร์ได้น้า @TanicWrite