อีกส่วนของฉัน
เจ้าความรักเอ๋ย.....
เจ้าอยู่ที่ไหน....
เจ้าเป็นใครกันนะ.....
หรือเจ้าไม่มีอยู่จริง (สำหรับฉันผู้เฝ้ารอมาเนิ่นนาน)
ฉันยังเหมือนเดิม ยังเฝ้ารอใครสักคนที่เป็นอีกส่วนของชีวิต รอวันที่ได้มาบรรจบเป็นมนุษที่สมบูรณ์สักที คนบนโลกใบนี้มีเกือบเจ็ดพันล้าน คนที่เจอจริงในชีวิตนับรวมโลกออนไลน์แล้ว คงไม่อยู่แต่หลักร้อยหละกพันแต่มันก็อยากอยู่ดี ฉันรู้แต่เพียงว่า ต้องตระเตรียมครึ่งหนึ่งที่อยู่กับฉันไว้ให้ดีที่สุด รอวันเวลาที่สายลมแห่งโชคชะตาพัดพาอีกครึ่งหนึ่งให้มาร่วมชะตากรรม ฉันไม่รู้เลยว่าอีกนานเท่าไรหรือความจริงแล้ว อีกครึ่งหนึ่งของฉันมันไม่มีอยู่จริง
“ สวัสดี “ ฉันทักทาย
“ หวัดดี ” เธอตอบกลับมา
แค่ประโยคแรกสำหรับฉัน ผ่านการคิดตรึกตรองเป็นเวลาหลายวัน ในหัวมันคิดวกวนไปมาว่าเธอจะคิดอย่างไร เธอจะตอบกลับมาไหม เธอจะอยากคุยกับฉันเหมือนที่ฉันอยากคุยหรือป่าว แม้แต่พิมพ์ไปแล้วแทนที่จะกดส่งกลับกลายเป็นกดลบ
พิมพ์แล้วลบ ลบแล้วพิมพ์ เบื่อหน่ายกับตัวเอง................
ประโยคที่สองสำหรับฉัน เหมือนยกภูเขาที่มีต้นไม้ใหญ่เต็มไปด้วยสัตว์ในเทพนิยาย มันทำให้ฉันตื่นเต้นตกตะลึงพรึงเพลิน
กับประโยคที่ตอบกลับมา แล้วต้องพิมพ์ตอบกลับไปว่าอะไร จะทำอย่างไรดี ใครก็ได้ช่วยฉันที หัวใจของฉันมันเต้นตุบๆ
พิมพ์แล้วลบ ลบแล้วพิมพ์ สังเวชตัวเอง...............
ฉันไม่รู้ว่าปกติแล้วการที่ผู้ชายคนหนึ่งจะจีบผู้หญิงจนกระทั่งคบหาดูใจกันได้ เขาจะคิดว่านั่นเป็นงานที่น่าภาคภูมิใจหรือเปล่า แต่สำหรับฉันอาจจะเป็นผลงานชิ้นโบแดง เพียงแต่ว่าแค่เริ่มต้นการแข่งขันฉันก็ไม่ได้ลงสมัครแล้ว กรรมการที่ไหนจะเปิดโอกาสให้คนที่ไม่ได้สมัครกัน พอหมายหมั่นปั้นมือว่าจะลงแข่ง กรอกใบสมัครเรียบร้อย กรรมการก็คัดออกตั้งแต่ยังไม่เริ่ม บางครั้งฉันมีโอกาสได้แข่ง แต่ก็ไม่กล้าแข่งเต็มที่เพราะเกรงใจกรรมการ หรือรู้อยู่แก่ใจว่ามาเป็นเพียงตัวประกอบงานให้มันดูคึกคักขึ้นก้เท่านั้น
“คนญาติเยอะ คุยกับใครก็ได้พี่น้องเพิ่ม” ท่อนหนึ่งของเพลงของรัชโย
เพลงนี้ดนตรีดี แต่ถ้าถามฉันชอบส่วนไหนของเพลง ก็ตรงประโยคนี้นี่แหละ ประโยคแรกมันโดนดีเหลือเกิน
“คนนี้หละเป็นใคร คนนี่ก็พี่น้อง”อีกท่อนของเพลงโดนใจพอๆกัน
บางคนไม่ได้คุยกันนาน เนื่องด้วยรู้อยู่แก่ใจทำอย่างไรก็ได้แค่เพื่อน วันดีคืนดีไปเจอเขาตรงสะพานลอย เห็นเขานั่งซ้อนท้าย(วินมอเตอร์ไซด์) ถึงกับต้องเปิดโทรศัพท์แชทไปถามเขาเฉยเลย
“ ได้อยู่ตรงสะพานลอยป่าวนะ” (ฉันเป็นอะไรของฉันเนี่ย)
“ ใช่ๆ “ เธอตอบกลับมา (มันเป็นอะไรของมันวะ) อันนี้ฉันคิดเอง
“ โอเคเลย” ยังมีหน้าพิมพ์ต่อ แล้วก็จบการสนทนาแค่นั้น
พออีกวันเจอเธอคราวนี้เจอแบบตัวเป็นๆ ดวงตาโตใสแจ๋วเดินผ่าน แทนที่จะทักทายกลับกลายเป็นหลบหน้าหยิบหนังสือมากั้นท่าทีเขรอะเขิน ไม่เหตุผลอะไรเลยที่เธอคนนี้จะชอบฉัน และที่สำคัญไม่รังเกียจกันก็ดีเท่าไรแล้ว
ถ้าจะให้นิยามความพอดีผ่านเรือนร่างของผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งใกล้เคียงนิยามนี้มากที่สุด คงเป็นเธอนี่แหละ .........นน........
ฉันพยายามเหลือบมองเธอด้วยหางตาอยู่บ่อย ๆ ฉันนั่งอยู่แถวล่างกว่าเธอประมาณสองแถว แต่ก็พอมีช่องให้สอดส่องสายตาคู่นี้ ดูเหมือนบ้างครั้งเธอจะรับรู้ว่ามีใครบางคนจดจ้อง และบางครั้งฉันก็ได้สบกับสายตาคู่นั้นของเธอผู้นี้