คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : The Seventh Story : [TAO] What is LOVE? 你的世界
...
ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า ‘ความรักคืออะไร’
ทั้งๆที่ตอนนั้นผมไม่ได้สนใจจะหาคำตอบเท่าไหร่
จนกระทั่ง... ผมได้มาเจอเธอ...
ทำให้ผมค่อยๆรู้ๆว่า ..ความรักเป็นยังไง
“ฮ่า... อาจารย์สอนอะไรก็ไม่รู้ กว่าจะเลิกเรียน... เฮะ? ห้องหลุยส์ยังไม่เลิกหรอ ทำไมยังไม่มา -*-”
ผมก้มลงมองเจ้าของเสียงบ่นยาวๆ เธอเป็นเด็กผู้หญิงตัวไม่สูงมาก ไม่ผอมมาก ผมยาวเกือบจะถึงไหล่ แก้มป่อง ตาตี่ๆ มองอีกทีอาจดูเหมือนเด็กผู้ชาย ถ้าหากเธอไม่ออกเสียงอะไรเลยนะ เธอล้มตัวนั่งลงพิงต้นไม้ต้นใหญ่ ต้นเดียวกับที่ผมนั่งอยู่นี่ล่ะ แต่ผมอยู่บนต้นไม้ บนกิ่งที่สูงและใหญ่มากพอที่จะรับน้ำหนักคนหนึ่งคนนั่งลงได้
เหมือนเธอจะไม่ได้สังเกตว่าผมนั่งอยู่ด้านบน...
ผมนั่งมองเธออยู่นานมากๆ เพราะผมรู้สึกว่าผมเหมือนเคยเห็นเธอที่ไหนมาก่อน รู้สึกคุ้นมากๆ ผมจ้องอยู่อย่างนั้นจนหลุดออกจากภวังค์ เมื่อได้ยินเสียงของเธอทักทายใครบางคนที่กำลังเดินมาหาเธอ ด้วยท่าที... นิ่งเฉย
“หลุยส์ !!! ช้าอ่ะ ฉันกินข้าวตัวเองจะหมดกล่องละ จวนจะแอบกินของนายแล้วด้วย”
“เจอหน้าฉันเป็นอันต้องพูดหรือไง - -”
“เอ้า! ปากก็มีไว้พูดนี่” เธอยื่นกล่องข้าวอีกกล่องให้กับเขาที่ค่อยๆ นั่งลงข้างๆ เธอ เขาหันมามองเธอด้วยสีหน้าหน่ายๆ เล็กน้อยก่อนจะรับกล่องข้าวมาจากมือของเธอ เธอหัวเราะให้กับคนที่ชื่อ ‘หลุยส์’ แล้วก้มไปกินข้าวในกล่องของตัวเองต่อ
“เก็บปากไว้กินข้าวกับทำอย่างอื่นเถอะ - -”
“นาย... ทะลึ่งอีกละ!!!” ผมมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างล่างจากคนสองคนนั่น จนพอจะเข้าใจได้ว่า 2 คนนี้คงไม่ใช่แค่เพื่อนกันเป็นแน่ จริงๆ ผมไม่ได้อยากจะสนใจอะไรมากมาย ไม่อยากยุ่งกับเรื่องของใครเลยนะ แต่ทั้งคู่เล่นเถียงกันซะเสียงดัง จนทำให้ผมไม่สามารถหลับอยู่บนนี้ได้เลยต่างหากล่ะ .. ความเงียบสงบของผมหายไปซะแล้ว
เสียงกริ่งเรียกให้นักเรียนทุกคนเข้าเรียนภาคบ่าย หลุยส์ กับ เปียกปูน เอ่อ... ผมบังเอิญได้ยินชื่อที่หลุยส์เรียกเธอน่ะ เดินออกไปจากใต้ต้นไม้ ยัยคนตัวเตี้ยนั่นพยายามจะจับมือเขาจะซะให้ได้ แต่หลุยส์กับสะบัดออกก่อนจะเป็นฝ่ายจับเอง ผมไม่แน่ใจว่ามันต่างกันตรงไหน เพราะยังไงมันก็คือการจับมือเดินไปด้วยกัน
แต่คงเป็นเพราะ... ผู้ชายต้องเป็นฝ่ายเริ่มก่อนล่ะมั้ง ?
พอผมแน่ใจว่าสองคนนั้นเดินไปไกลแล้ว ผมก็กระโดดลงจากต้นไม้สูงนี่ซะ ก่อนจะเดินล้วงกระเป๋าเดินขึ้นอาคารเรียน ระหว่างทางผมสังเกตได้ว่ามีสายตานับจำนวนไม่ถ้วนมองมาที่ผม มีเสียงซุบซิบดังขึ้น ที่โดยสัญชาตญาณรู้ว่าน่าจะพูดถึงผมอย่างแน่นอน พอผมหันไปมอง พวกเขาก็หลบสายตาผม และเหลือบมองด้วยความกลัว ซึ่งผมไม่เข้าใจว่าผมน่ากลัวตรงไหน แต่เพื่อนๆของผมเคยบอกว่า ‘สายตา’ ของผมค่อนข้างน่ากลัว ยิ่งตอนที่ผมลงแข่งฟันดาบ หรือคาราเต้ทีไร สายตาของผมเหมือนกันคนที่ไม่มีหัวใจเลยล่ะ ผมอยากจะหัวเราะและเดินไปบอกเขาว่า ผมไม่ได้เป็นคนแบบนั้นเสียหน่อย แต่มาคิดดูอีกทีเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่มีใครเข้ามายุ่งวุ่นวายดี
“ลี =O= พี่ชายลีแกล้งฉัน ตอนที่ไปกินข้าว ลีไปจัดการเลยนะ T.T” ผมเดินเข้ามาภายในห้องเรียนอีกครั้ง พร้อมกับได้ยินเสียงที่คุ้นหู ราวกับเพิ่งได้ยินไปเมื่อไม่นาน เมื่อผมหันไปมองอีกครั้งตามเสียงต้นทาง ก็พบว่า..
‘เปียกปูน’ เด็กผู้หญิงใต้ต้นไม้คนนั้น..
ผมตรัสรู้ได้โดยอัตโนมัติว่าเธอคงเป็นเพื่อนร่วมห้องเป็นแน่แท้ ผมรีบเบือนหน้าไปมองออกไปหน้าต่างทันทีที่เธอหันมาสบตากับผม ผมรู้สึกเหมือนไฟมันจะช็อตที่ตัวผมแปลกๆ ทั้งที่ใต้โต๊ะผมไม่อุปกรณ์ไฟฟ้าหรือปลั๊กไฟอะไรใดๆทั้งสิ้น ผมยังคงมองออกไปนอกหน้าต่างต่อไป ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปเรื่อย นี่ถ้าหากเป็นคนอื่น ก็คงจะนั่งคุยกับเพื่อนข้างๆ ไม่ก็ทำอะไรบางอย่างที่มากกว่าการมองไปนอกหน้าต่าง มองท้องฟ้า ต้นไม้ และอากาศ เช่นผม
ผมไม่มีเพื่อนในห้องเรียนนี้ .. ผมไม่รู้จักใคร ใช่ไม่รู้จักใครเลย แต่ผมเชื่อว่าทุกคนรู้จักผม ก็ผมเป็นนักกีฬาโรงเรียนนี่นา ผมสร้างชื่อให้กับโรงเรียนไว้มากมายด้วยซ้ำ แต่ว่า.. ปีที่แล้ว ก่อนจะเปิดเทอมไม่กี่วัน ผมไปแข่งกีฬาที่เชียงใหม่ และกลับมาด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส ดร็อปเรียนไปปีหนึ่งเพื่อรักษาตัว นั่นแหละ... ที่ทำให้ผมไม่รู้จักใครในห้องนี้ ก็เพื่อนผมร่วมห้องของผมเขาจบม. 6 กันไปหมดแล้วนี่นา ...
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า และน่านอนอย่างที่สุด ผมฟุบหลับลงไปไม่รู้กี่รอบ การเรียนวรรณคดีไทย วรรณคดีที่ไม่ใช่ชองชาติบ้านเกิดของผม ผมไม่รู้จะเรียนไปทำไม แต่ผมก็ต้องเรียนสินะ ก็ผมมาอาศัยแผ่นดินที่นี่อยู่นี่นา อาป๊าบอกว่า.. จีนแผ่นดินใหญ่เดี๋ยวนี้ไม่ยิ่งใหญ่และน่าอยู่แล้ว ผมหมุนปากกาวนไปวนมา พานสงสัยไปว่า นางวันทอง นี่โชคดีเหลือเกินนะ มีคนมารุมรัก จนนางเลือกไม่ได้เลย ผมไม่รู้ว่าวรรณคดีเรื่องนี้แต่งออกมาเพื่อสอนอะไร ผมรู้แค่ว่า... ผมอยากให้เลิกเรียนไวๆ ผมจะได้ไปซ้อมฟันดาบ .. แค่นั้นแหละ เฮ้อ.. ง่วงอีกแล้ว
“เห้ย!! เฮียเต๋า เป็นไรมั้ย?!” ผมล้มลงเพราะอยู่ดีๆ รู้สึกเจ็บหัวเข่าขึ้นมาอย่างกะทันหัน รุ่นน้องที่เป็นคู่ซ้อมกับผม รีบนั่งลงถอดหน้ากากของเขาและของผมออกให้ ก่อนจะถามด้วยสีหน้าตื่นตกใจ ผมส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นยืน แต่ก็ยืนได้ไม่เต็มขา ตั้งแต่บาดเจ็บครั้งนั้นก็ทำให้ผมรู้สึกพิการลงไปไม่น้อย ไม่รู้จะกลับมาเล่นกีฬาได้เหมือนเดิม จะใช้ความสามารถได้เต็มที่อย่างที่เคยทำได้หรือเปล่า
“เฮ้ยจริงๆ เฮียไม่ต้องมาซ้อมก็ได้ รุ่นน้อง...” ผมยกมือปรามให้ไอ้เด็กผู้ชายพูดมากนี่พูดอะไรต่อ ผมรู้ว่าเขาจะพูดอะไร เขาคงไม่อยากให้ผมมาซ้อมแล้ว อยากให้ผมวางมือ เลิกเล่นกีฬานี่ไป เพราะสุขภาพของผมล่ะมั้ง จริงๆ อาจารย์ก็ห้ามผมแล้วล่ะ ไม่รู้สิ กีฬา.. คงเป็นสิ่งเดียวล่ะที่ผมทำมันได้ดี ถ้าต้องเลิกเล่นไป.. ผมจะเอาอะไรไปทำมาหากินกันนะ
สุดท้ายผมก็จำใจกลับบ้าน เพราะอาจารย์แทบจะกราบขอร้อง และเข่าของผมก็รู้สึกเจ็บเป็นระยะๆ จะให้ซ้อมคาราเต้ก็คงหนักยิ่งกว่าฟันดาบแน่นอน ผมก็เลยต้องเดินกลับบ้าน ตอนนี้ท้องฟ้ามันก็มืดแล้ว ไฟข้างทางก็เริ่มทยอยสว่างโดยอัตโนมัติ ผมเดินเข้าไปในซอยเล็กๆ ที่สองข้างทางเรียงรายไปด้วยบ้านหลังน้อยหลังใหญ่ตามฐานะของเจ้าของที่ปลูกบ้าน บ้านของผมเปิดเป็นร้านขายยาสมุนไพรจีนอยู่ที่ท้ายซอย อาม้าของผมเป็นคนขายเอง ส่วนอาป๊าเป็นครูสอนภาษาจีนที่โรงเรียนสอนภาษาใกล้ๆนี่แหละ
“เนี่ยถึงบ้านแล้วพ่อ กำลังไขกุญแจรั้วบ้านเนี่ย ถึงก่อน 2 ทุ่มเห็นป้ะ บ้านหลุยส์หนูก็ไม่ได้ไป .. ฮะ? ฟาร์มมันก็อยู่หอไง ... อ้อ พ่อยังไม่รุ้ใช่ป่ะ คือ... อ๊ากกกก พ่อ ฟังก่อน =[]=!!! เอ้า...วางสายใส่ลูกอีก -*-”
ผมหยุดเดิน ก่อนจะมองคนตรงหน้าที่กำลังหัวเสียกับโทรศัพท์มือถือก่อนจะไขกุญแจประตูรั้วที่ผมคิดว่านั่นน่าจะเป็นบ้านของเธอ เธอหันมามองผมก่อนจะส่งยิ้มให้ ผม...ชะงักทันทีที่เธอยิ้มให้ผม ขาก้าวไม่ออก ราวกับเห็นผี มันก็คงไม่ใช่ ใจเต้นแปลกๆ ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเป็นมาก่อน เหมือนโลกมันหมุนช้าลง เธอคิ้วขมวดเล็กน้อย ก่อนจะส่งยิ้มให้ผมอีกรอบ ผมค่อยๆยิ้มให้เธอก่อนจะก้าวเท้าเดินอีกครั้ง
“นายน่ะ... เรียนห้องเดียวกับฉันใช่มั้ย? ^w^” เธอชี้มาที่ผม
“อย่าทำหน้างง ตอนนี้ทั้งซอยมีแค่ฉันกับนายที่ยืนอยู่ ฉันไม่ใช่คนเห็นผีนะ ที่จะได้ชี้มั่วซั่ว” ผมชี้ตัวเองก่อนจะพยักหน้าให้กับเธอ ทันทีที่เธอพูดจบ
“ฉันไม่เคยเห็นหน้านายมาก่อน อันที่จริงฉันก็ย้ายมาใหม่ปลายเทอมที่แล้ว แต่... จำได้ว่าฉันก็ไม่เคยเห็นนายอ่ะ -*- อืม...” เธอเม้มปากเหมือนกับว่าคิดอะไรบ้างอย่างอยู่ ในขณะที่ผมเองก็ลุ้นว่าเธอจะพูดอะไรออกมา
“ฉันยังไม่ค่อยมีเพื่อนอ่ะ .. และดูนายก็ไม่ค่อย...มี?” เธอเลิกคิ้วขึ้นสูงนิดนึง ”อ่า... มาเป็นเพื่อนกัน ^w^”
“ฮะ?” ผมหลุดปากออกไปนิดหน่อย ก่อนจะคิ้วขมวด คนเราต้องมาชวนกันเป็นเพื่อนด้วยหรอ แปลก.. แล้วหลุยส์นั่นล่ะ .. อ้อ แฟนสินะ ไม่ใช่เพื่อน
“นึกว่าเป็นใบ้ ^O^ ฉันชื่อเปียกปูน เรียกปูนเฉยๆก็ได้ แต่อย่าเรียกว่าเปียก แล้วนายอ่ะ?” เธอยืนอยู่ตรงหน้าผมตั้งแต่ตอนไหนผมก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ๆคือเธอยื่นมือเตรียมจะมาจับเพื่อเป็นการทักทายแบบตะวันตก
ผมเงียบอยู่นานก่อนจะตอบเธอไป
“ชื่อ..เต๋า”
“เต๋า? ลูกเต๋าที่ไว้เล่นไฮโลอ่านะ? เห้ยฉันโคตรเซียนไฮโลเลยนะ ฮ่าๆ” เธอหัวเราะน้อยๆก่อนจะมองมาที่มือของผม บอกเป็นนัยๆ ว่าให้ผมจับมือเธอได้แล้ว ผมพยักหน้าก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือไปแตะมือของเธอ เธอบีบมือของผมก่อนจะเขย่าเบาๆ แต่ผมกลับรีบชักมือกลับ มันเหมือนไฟช็อตอีกแล้ว
“เห้ย =[]=!! ฉันล้างมือนะเวลาเข้าห้องน้ำแล้วไม่สกปรก นายรังเกียจฉันหรอ? T[]T”
ผมหลุดขำหน่อยๆ กับท่าทางของเธอที่ดูตลกๆ ผมส่ายหน้าเบาๆ เธอเริ่มหน้ามุ่ยแล้วเลื่อนมือเข้าไปในกระเป๋ากระโปรงนักเรียนของเธอ
“บ้านนาย? อยู่ซอยนี้ ? ทำไมฉันไม่เคยเห็นหน้านายเลยอ่ะ จริงๆนะ”
“นั่นสิ ฉันก็ไม่เคยเห็นเธอ” ผมมองเธอก่อนจะชี้ไปด้านหลังของเธอ ผมชี้ไปที่ท้ายซอย ประตูรั้วบ้านสีน้ำเงินที่หน้าเป็นเรือนไม้ที่สร้างไว้สำหรับขายยาสมุนไพรจีน
“เห้ย.. ฉันเคยไปซื้อยาร้านนั้น ยาจีนดีมากเลยนะ รักษาเวลาฉันต่อยมวยแล้วเจ็บๆปวดๆ เห้ย บ้านนายหรอ อย่างงี้ไปอุดหนุนต้องได้ส่วนลดนะ ^O^” เธอยิ้มร่าพลางมองเงยหน้ามองผม ผมก้มมองเธอก่อนจะยิ้มให้
“คงได้แหละ”
“นายนี่พูดน้อยชะมัด แถมสายตานี่ก็จะจิกไปไหน อ้อ... ยังไงก็ตามยินดีที่ได้รู้จักนะ ไว้โชคดีคงตื่นเช้าไปโรงเรียนพร้อมกัน ฮ่าๆ ฉันเข้าบ้านล่ะ กลับบ้านดีๆนะ เต๋าไฮโล” เธอโบกมือให้ผมแล้วก็เดินเข้าบ้านของเธอไปอย่างดูอารมณ์ดีมากๆ ผมมองเธอจนเธอเข้าไปภายในบ้านแล้ว ก่อนจะก้าวเท้าเดินกลับไปยังบ้านของผม ผมเอามือทาบหน้าอกของตัวเอง เพราะรู้สึกว่า หัวใจผมมันเต้นเร็วผิดปกติ
ผมคงไม่ได้เป็นโรคหัวใจนะ?
I lost my mind当你走进我视线
“เอ้า! เต๋า ไปโรงเรียนพร้อมกันอีกแล้ว ดีจังไม่ต้องเดินไปคนเดียว หลุยส์ไม่มารับด้วย T.T” เปียกปูนเดินเข้ามาทักผมทันทีที่เธอปิดรั้วบ้านแล้ว เธอแบ่งขนมปังก้อนนึงมาให้ผม ก่อนจะเดินนำหน้าผมไป ผมกัดขนมปังแล้วรีบเดินตามเธอ ถึงเธอจะไม่ได้ขายาวแต่เธอก็เดินเร็วมากเลยล่ะนะ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเดินไปโรงเรียนกับเปียกปูน มันเรียกได้ว่าตอนนี้เราไปโรงเรียนพร้อมกันเกือบทุกวันเลยดีกว่า แรกๆมันก็เป็นความบังเอิญที่เจอกันก็เลยไปพร้อมกัน แต่ผมอยากจะสารภาพไว้ตรงนี้เลยว่า หลังๆ มันไม่ใช่แล้วล่ะ ผมมารอเธอที่หน้าบ้านมากกว่า เรียกว่าดักรอเลยก็ได้มั้ง
ผมแค่รู้สึกอยากเดินไปโรงเรียนกับเธอ ฟังเสียงเธอจ้อไปเรื่อยๆ แล้วก็อยากกินขนมปังที่เธอทำมาแบ่งทุกเช้ามากกว่า มันดูดีกว่าที่ผมจะเดินมองท้องฟ้า อากาศ ต้นไม้ริมทาง..นิดนึง
“ข่าวเมื่อเช้าอะไรก็ไม่รู้น่าเบื่อ ตกลงบัวขาว ป.ประมุข นี่เขาหมดสัญญากับทางค่ายหรือไงนะ โอ๊ยงง เฮ้อ...”
“พูดตลอดทาง เธอไม่เหนื่อยหรอ?” ผมเคี้ยวขนมปังตุ้ยๆ พลางใบหน้ากลมๆที่ไม่ต่างกับขนมปังที่ผมกำลังกินซักนิด
“ไม่อ่ะ นายนั่นแหละเงียบ ไม่อึดอัดหร๊อออ... พูดซะบ้างๆ” เธอเอื้อมมือมาตบบ่าผมก่อนจะก้มหน้ากดมือถือโทรออกหาหลุยส์เหมือนทุกวัน ผมไม่รู้นะ ผมรู้สึกหงุดหงิดหน่อยๆ ทำไมต้องโทรหา ต้องรายงานว่าไปไหนกับใคร ใกล้จะถึงโรงเรียนแล้ว อะไรอย่างนี้ อยากจะหยิบมือถือของเธอมาปาทิ้ง แต่.. ผมจะหงุดหงิดทำไมล่ะนั่น ?
“เดินมากับเต๋า.. เอ้า!เพื่อนในห้องฉันไง ถามลีดิๆ เขาอยู่แถวบ้านฉันไง ... เต๋าอ่ะหรอ... ” เธอหันหน้ามามองผมแวบนึง ยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนจะไปจดจ่อกับโทรศัพท์ต่อ
“เต๋าเป็นกิ๊กคนที่สามล้านห้าของฉันไงหลุยส์ ฮ่าๆ หึงก็บอก ...... อะไรไม่เอาไม่คุยกับนายละ ถึงโรงเรียนเดี๋ยวไปหาที่ห้อง >O<”
ผมสะดุ้งกับคำว่า ‘กิ๊ก’ นิดหน่อย เราเป็นเพื่อนกัน กิ๊กเกิ๊กอะไรกัน เปียกปูนคงพูดเล่นล่ะมั้ง
ตั้งแต่วันแรกที่เรารู้จักกัน จนมาถึงวันนี้ ผมว่าผมสนิทกับเปียกปูนขึ้นเรื่อยๆ นานๆทีจะมีคนเข้ามาหาผมน่ะนะ ผมรู้สึกดีที่ได้อยู่กับเธอนะ เหมือนผมลืมๆอะไรหลายๆอย่างไปได้บ้าง เธอชวนผมคุยตลอดทั้งๆที่ผมไม่ค่อยจะขยับปากพูด แต่เธอก็คะยั้นคะยอให้ผมพูดอะไรออกมาจนได้ ชอบให้ผมอธิบายอะไรยาวๆ เพราะเธอชอบทำตัวเข้าใจอะไรได้ยากเหลือเกิน ง่ายๆ เธอชอบให้คนอื่นอธิบายร่ายยาวๆนั่นล่ะ เธอยังชวนทำนั่นทำนี่ไปให้ที่บ้าน อยู่ในห้องเรียนเธอก็เดินมาคุยเป็นพักๆ บางทีก็ชวนผมโดดเรียนไปนั่งเล่นบนต้นไม้ด้วย
บางทีผมว่ามีหลายๆอย่างที่เปียกปูนคล้ายผม เปียกปูนเป็นผู้หญิงที่ถึกมากๆ เล่นกีฬาเป็นสารพัด แต่เธอทำได้ดีมากๆ สำหรับมวยไทยน่ะนะ เธอขี้เกียจเรียน ไม่ชอบเรียน แต่ต้องเรียนเพราะอยากจะเรียนหมอ ชอบนั่งเล่นที่ต้นไม้ พ่อแม่ของเธอทำงานที่เมืองนอก มีพี่ชาย 1 คน พี่สาว 2 คน น้องสาวอีก 1 เป็นลูกพี่ลูกน้อง บลาๆ เธอเป็นคนบอกข้อมูลเหล่านี้เองกับผม ทั้งๆที่ผมไม่ได้เอ่ยถาม และข้อมูลที่ตอกย้ำผมทุกวัน ... คงไม่พ้นเรื่องของ ‘หลุยส์’ แฟนของเธอนั่นแหละ - - อยากจะบอกเธอเหลือเกินว่า เรื่องทุกเรื่องฟังได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องของ หลุยส์ ทีไร ผมรู้สึกหงุดหงิดเอามากๆ จับหมอนั่นเหวี่ยงไปดาวอังคารได้ก็คงจะดี
“ฮ๊าวววววว คาบต่อไปฟิสิกส์อ่ะ เย็นๆมาเรียนฟิสิกส์สมองใครจะรับว้า โดดอีกซักคาบมั้ยเต๋า ฮ่าๆ”
ผมหันไปมองหน้าเธอคิ้วขมวดนิดหน่อย แต่ก็พยักหน้าเชิงเห็นด้วย
“งั้นโดดเนอะ ฮ่าๆ ฮ๊าวววว ฉันง่วงจังเลย เมื่อคืนไปแกล้งหลุยส์ที่บ้านมา =O= นอนแปปนะ” เปียกปูนค่อยหลับตาลงแล้วเอนหัวมาพิงที่ไหล่ผมโดยที่ผมยังไม่อนุญาต ผมรู้สึกได้ว่าผมค่อยๆคลี่ยิ้มออกมา นั่งตัวเกร็งอยู่ไม่น้อย มันรู้สึกทำตัวไม่ถูก มันเหมือนมีกระแสไฟฟ้าปะทะมาที่ตัวผมตลอดเวลา หรือสึกตื่นเต้นยังไงชอบกล แล้วก็...อยากให้เวลาแบบนี้มันเดินไปอย่างช้าๆ ช้าราวกับว่า 1 วินาทีเท่ากับ 1 นาทีไปเลย ไม่ก็หยุดไว้ ณ ตอนนี้ก็พอ
漫长的一天 仿佛就像短暂一秒的感觉
ผมรู้สึกอิจฉาหลุยส์อย่างบอกไม่ถูก ถึงจะหงุดหงิดที่เปียกปูนพูดถึงก็ตาม แต่หลุยส์ได้ชื่อว่าเป็นแฟนของเปียกปูน คงมีหลายครั้งนั้นแหละที่ตกอยู่ในสภาวะเดียวแบบผมตอนนี้ และคงได้ทำอะไรมากกว่านี้ เฮ้ย ผมไม่ได้ทะลึ่งนะ ผมหมายถึงคงได้เดินจับมือกันไปตลอดเวลาที่เดินด้วยกันอย่างที่ผมเคยเห็นในวันแรกที่ผมเห็นเขา 2 คน เขาคงได้ลูบผมเธอเล่น ได้สัมผัสแก้มขาวๆเนียนๆ ป่องๆ นี่บ่อยแน่ๆ ผมไม่รู้หรอกว่าคนเป็นแฟนกันเขาปฏิบัติตัวกันยังไง แต่ความคิดลึกๆ ผมก็อยากทำบ้าง ขอเนียนๆ ลูบผมของเธอหน่อย แล้วกัน แต่ว่า... เวลาเปียกปูนหลับแล้วมันน่า... ฮึ่ย ผมคงบ้าไปแล้ว =^=!
ผมชักไม่แน่ใจแล้วล่ะ ว่าผมคิดยังไงกับยัยคนที่นอนพิงไหล่ผมอยู่นี่
เพื่อนกันโดยทั่วไป ก็คงไม่ใช่แบบที่ผมรู้สึกแน่ๆ คงไม่ได้อยากจะเจอกันตลอดเวลา คงไม่รู้สึกอะไรมากมายกับแค่เขาเอาหัวมาพิงไหล่ เพื่อนกัน.. ก็คงไม่ต้องรู้สึกอิจฉาแฟนของเขา ที่เขาได้เธอไปครอบครอง
หรือว่านี่เขาเรียกว่า ‘ชอบ’น่ะ งั้นก็แย่แล้วล่ะ ... ผมไม่ได้อยากทำให้ความรักของใครพังซักกะหน่อย มันดูเลวยังไงก็ไม่รู้ แค่หน้าตาผมก็เลวพอแล้วล่ะ อย่าเลวตามหน้าเลย =_=a
’แอบชอบ’ ไปอย่างนี้.. ผมก็มีความสุขแล้วนะ
请你告诉我 如果这样就是爱
“ฮะ?! ไม่ว่างอีกแล้วหรอ =^= อ่านหนังสือไปเถอะ! ... เปล๊า ฉันงอนนายเพื่อ งอนไปนายก็ไม่ง้อ =_=+ ... เข้าใจ ฉันรู้หรอกนายเป็นคนยังไง .... ฮ่า เดี๋ยวตามไปคิดบัญชีที่บ้านทีหลัง ... โอเค =3= แค่นี้แหละ” เปียกปูนหย่อนโทรศัพท์มือถือลงไปในกระเป๋าเป้ใบใหญ่อย่างลวกๆ แล้วค่อยดึงมันมาสะพายที่หลัง สอดเก้าอี้ไว้ใต้โต๊ะ ก่อนจะหันมองผมด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ และแปลกที่เธอมองผมแต่ไม่พูดอะไร
“?” ผมเลิกคิ้วมองเธอ พลางสะพายกระเป๋าเช่นกัน เธอส่ายหน้าให้ผมก่อนจะเดินออกไปจากห้องเรียน ผมรีบสาวเท้าเดินตามเธอไป แต่ก่อนผมจะออกไปจากห้อง ผมรู้สึกได้ว่าเหมือนมีสายตาคู่นึงจ้องมองมาที่ผม แม้ว่าถ้ามองเผินๆ ก็ไม่มีใครมองมาที่ผมหรอก แต่ผมเชื่อสัญชาตญาณของผม ว่ามีคนมองผมอยู่
“ย๊ากกกกกกกกกก!!!” ผมนั่งมองเธอเตะกระสอบไม่ยั้งทั้งๆที่ยังอยู่ชุดนักเรียน ภายในโรงยิมที่มีนักกีฬาเยอะแยะเต็มไปหมด ผมเองก็ทำท่าจะไปซ้อมคาราเต้บ้าง แต่กลับไปไม่ได้ เพราะผมห่วง... กระสอบทราย มันคงจะหลุดลงมาในไม่ช้าแน่ๆ
“นี่ -_-”
ผมจับกระสอบทรายไว้แน่นไม่ให้ขยับไปไหน แต่เปียกปูนก็ยังคงเตะไม่ยั้ง และหลายครั้งที่โดนแขนของผม
“เจ็บนะ -_-”
“แล้วนายมาจับไว้ทำไมล่ะ อยากเป็นเป้าหรอ หลีกไป ไปซ้อมกีฬาของนายสิ ย๊ากกกกก !!!” เธอยังคงเตะมันไม่ยั้ง ผมเลยตัดสินใจปล่อยกระสอบทรายนั่นให้มันโอนเอนตามแรงกระแทก ผมถอยออกมาห่างๆ ยืนเท้าเอวมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ
“ไปโมโหใครมา ? แฟนเธอหรอ?”
“เปล่า” เธอหันมาตอบผมทั้งๆที่ยังใช้หน้าแข้งฟาดที่กระสอบทรายไปมา
“กระโปรงเธอจะเปิดหมดแล้วนะ -_-”
“แฮ่ก...” เธอยอมหยุดการฟาดหน้าแข้งลงบนกระสอบทราย ก่อนหันมามองผมช้าๆ เหงื่อไหลโทรมกายไปหมด ผมคิดว่าผู้หญิงทั่วๆไป ที่ไม่ใช่เปียกปูน คงไม่ยอมให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพนี้แน่ๆ
“ตอบมาดิ ตกลงโมโหใครมา”
“อยากรู้เป็นเหมือนกัน? .. ฉัน ... โมโหตัวเองนิดหน่อย” เธอทรุดตัวนั่งลงกับพื้นอย่างเหนื่อยอ่อน คือ... ม้านั่งก็มีแต่เธอไม่นั่ง ผมนั่งยองๆ มองหน้าเธอก่อนจะยื่นขวดน้ำให้เธอ เธอรับมันขึ้นมายกดื่มรวดเดียวหมด
“จุกตายพอดี”
“ฮ่า... ไม่ตายหรอกคนอย่างฉัน ^O^” สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเร็วมาก เมื่อกี๊หน้าตายังดูไม่สบอารมณ์ แต่พอดื่มน้ำแล้วนั่งพักครู่เดียวเธอก็ฉีกยิ้มได้แล้ว
“ฉันน่ะ... โมโหที่ตัวเองงี่เง่ามากไปหน่อย ฉันแค่อยากเจอหลุยส์บ้าง เพราะว่าพักนี้ไม่ค่อยได้เจอ... อยากไปนั่นไปนี่ด้วย อยากไปกินข้าวด้วย อยากเล่นด้วย แต่..นะหลุยส์น่ะ ชอบอยู่บ้าน อยู่ในห้อง นั่งอ่านหนังสือมากกว่าจะออกไปไหน” เธอเงียบลงไปพักนึง ผมยื่นผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดเหงื่อที่ไหล่เต็มใบหน้าของเธอ ก่อนจะมองอยู่อย่างนั้น... ไม่ได้พูดอะไร
“จริงอยู่ หลุยส์ต้องอ่านหนังสือ ก็คนจะสอบเข้าหมอนี่นา..เนอะ ฉันเข้าใจนะ ... แต่ทำไมทำตามที่เข้าใจไม่ได้เลย...โมโหหลุยส์ อยากจะโกรธ อยากจะงอนหลุยส์ซะงั้น...” เปียกปูนดึงผ้าขนหนูในมือผมไปเช็ดหน้าเอง ก่อนจะลุกขึ้นยืน ปัดกระโปรงนิดหน่อย แล้วเดินไปสะพายกระเป๋าเป้ของตัวเอง
“ฉันกลับบ้านล่ะนะ ซ้อมดีๆล่ะ ระวังเข่าด้วยนะ ^w^” เธอโบกมือให้ผมแล้วเดินออกมาไปช้า ดูล่องลอยชอบกล ผมรีบคว้ากระเป๋าแล้ววิ่งตามเธอไป เธอเดินก้มมองพื้นตลอดเวลาที่เดิน เสียบหูฟัง ฟังเพลงเสียงดังมากพอที่ผมเดินข้างหลังรู้ว่าเธอกำลังฟังเพลงอะไร และเธอคงไม่รู้หรอกว่าผมเดินตามเธอมา
ปริ๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน !!!!
เสียงบีบแตรรถดังลั่น จนทุกคนได้ยินกันหมด ผมเองก็ได้ยิน แต่คนที่ไม่ได้ยินกลับเป็นเปียกปูน ยัยผู้หญิงตัวเตี้ยที่มัวแต่ฟังเพลงเสียงดัง เดินด้วยท่าทางเหม่อลอยนั่น นาทีนั้นรถกำลังจะพุ่งชนมาที่ตัวเธออยู่แล้ว เธอกำลังจะข้ามถนนไปอีกฝั่ง เสียงผู้คนเริ่มกรีดร้อง ตะโกนดังนั้น รถคันนั้นแล่นเข้ามาไม่มีท่าทีว่าจะลดความเร็วลงเลย ผมรีบวิ่งให้เร็วสุดชีวิตก่อนจะคว้าเอวเธอให้กลับเข้ามาอีกฝั่ง เธอดูตกใจไม่น้อย ภาพรถที่กำลังแล่นเตรียมจะพุ่งปะทะตัวเธอ ผมคว้าเธอไว้ได้ทัน จนเรามมานอนกองอยู่ริมฟุตบาธกันทั้งคู่
ผมได้ยินเสียงหายใจของเธอ .... ผมได้ยินเสียงหัวใจเต้นรัวๆของเธอ
เธอค่อยๆลืมตามองผม ผมจ้องมองเธอตาแทบจะไม่กระพริบ เราสบตากันอยู่นานมาก สีหน้าที่ยังดูตื่นตกใจไม่น้อย เธอเบิกตากว้างโต หายใจหอบรัวๆ ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากมองตาเธอเท่านั้น นี่มันไม่ใช่เวลาที่ผมควรจะมีความสุขและหยุดเวลาเอาไว้เท่านี้หรือเปล่านะ แต่เราอยู่ใกล้ชิดกันมาก มือของผมโอบเธอเอาไว้มันแทบ.. จะไม่อยากปล่อย แต่สุดท้ายก็ต้องปล่อย เพราะเธอดันตัวที่นอนทับร่างผม ลุกขึ้นยืนและปัดเนื้อปัดตัวที่เปรอะเปื้อน ก่อนจะยื่นมือมาฉุดผมให้ลุกขึ้นตามบ้าง ผมยืนขึ้นปัดเนื้อปัดตัวนิดหน่อย ผมหันไปมองเธอ กำลังจะอ้าปากพูด แต่แธอก็โพล่งขึ้นมาเสียก่อน
“ขอบใจนะ เกือบได้ตายก่อนแต่งงานซะแล้วแฮะ.. ฮ่าๆ” เธอยังคงยิ้มและหัวเราะ ทั้งๆที่เมื่อกี้เธอเกือบจะได้คุยเล่นกับยมบาลแท้ๆ คนอะไรแปลกจริงๆ จะมองชีวิตเป็นเรื่องง่ายอะไรขนาดนั้น -*-
“อื้อ ทีหลังเดินข้ามถนนดูรถด้วย แล้วก็ไม่ใช่เสียบหูฟังเปิดเพลงดังแบบนี้ -*-” ผมดึงหูฟังที่เสียบอยู่จากหูทั้งสองข้างของเธอออก
“อ้อ... ใช่ ฉันไม่ควรทำแบบนี้อีกแล้ว ^-^” เธอคลี่ยิ้มบางๆให้กับผม ทำให้ผมต้องยิ้มตามไปอย่างห้ามไม่ได้ ก็ผมอยากจะยิ้มด้วยนั่นล่ะ
每天都像是为你写下的情节
这一幕浪漫爱情片 下一幕动作片男主角
我扮演你心中唯一英雄 ...
“แล้วนี่นายไม่ซ้อมคาราเต้แล้ว?” เธอเลิกคิ้วถามผมด้วยความสงสัย นั่นสินะ ผมยังอยู่ในชุด.. คาราเต้อยู่เลยแฮะ ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ เปียกปูนเม้มปากพลางคิดอะไรบางอย่างก่อนจะคว้ามือข้อมือผมให้เดินตาม
“งั้น... วันนี้กลับบ้านพร้อมกัน กลับเป็นเพื่อนหน่อย” เธอหันมาพูดกับผม แล้วก็ลาก ใช่ต้องใช้คำว่าลากถึงจะเรียกถูกสำหรับกริยาอาการของเธอในตอนนี้ ผมไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้พูดอะไร ยอมให้เธอลากผมไปไหนก็ได้ ผมก็จะเดินตามไป ผมรู้สึกแค่ว่า นี่เป็นแค่โอกาสเดียวที่ผมจะได้อยู่กับเธอ เป็นโอกาสที่ทำให้ผมไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจอะไร ไม่ต้องหงุดหงิดอะไร เพราะ.. ไม่มีหลุยส์อยู่นี่ไง
จริงอยู่ที่ผมอยากจะอยู่ใกล้ๆ เธอ อยากจะเป็นคนที่อย่ในใจของเธอ เป็นคนแรกที่เธอนึกถึงตลอดแต่ลองคิดดูสิ ... ถ้าเธอรักผมขึ้นมา... ถ้าเกิดวันหนึ่งผมทำให้เธอเสียใจล่ะ มันคงจะแย่ไม่ใช่น้อย
ผมไม่อยากให้เธอต้องรู้สึกเสียใจ อยากเรียกร้อง หรือโมโหอะไรเพราะผม
ผมอยากให้เป็นแบบนี้... ไปเรื่อยๆ เป็นคนที่เธอนึกถึงเวลาที่เธอไม่มีใคร
ให้ผมเป็นคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอ มองเธออยู่อย่างนี้ก็พอ
ไม่ต้องเป็นเจ้าของ ไม่ต้องให้เธอมาสนใจความรู้สึกผม
ความรักคงไม่ต้องสมหวังหรือครอบครอง แต่ถ้าได้ยืนมองคนที่เรารักมีความสุข .. ผมว่า มันก็ดีแล้วล่ะ
เปียกปูนสอนให้ผมเชื่อแบบนี้น่ะ... J
...
:) Shalunla
ความคิดเห็น