ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ราชาโลกเบื้องหลัง

    ลำดับตอนที่ #4 : Ch.3 เงาที่ทอดยาวของเธอ(1)

    • อัปเดตล่าสุด 13 ธ.ค. 67


    “ยะ-อย่าเข้ามานะ!? นะ-ไนน์! รีบหนีไปเร็วเข้า!!”

            เสียงตะโกนอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความสิ้นหวังของนิวนั้นดังมากพอจะทำให้ทุกคนโดยรอบหันมาสนใจจุดนี้เป็นสายตาเดียว

            นิวพยายามจะถอยหนีทั้ง ๆ ที่ยังตัวสั่น แต่สุดท้ายก็พลาดล้มขาพับไปเพราะเรี่ยวแรงที่ขาดันหนีหายไปซะก่อน และเมื่อรู้ว่าตัวเองหนีไม่รอดแล้ว เธอเลยพยายามหันไปเรียกสติไนน์ที่ยังมัวแต่ยืนนิ่งตัวแข็งค้างด้านข้างแทน ทว่านั่นก็ไม่ได้ผลอยู่ดี เพราะไนน์กำลังโดนสิ่งที่ ‘มองเห็น’ มาครอบงำความนึกคิดอยู่เหมือนกัน แค่อาจจะคนละอย่างกับที่นิวรู้สึก

            “นายรู้จักเด็กใหม่ด้วยเหรอเมฆ?”

            “No?”

            “แต่พวกเธอเหมือนจะรู้จักนายนะ?”

            “No idea?”

            แก้วกับเมฆมองหน้ากันด้วยความงุนงงไม่เข้าใจ ทั้งคู่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะโดนคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกแสดงท่าทีรุนแรงใส่ถึงขนาดนี้ แค่จะมาช่วยนำทางไปห้องเรียนให้เพราะถูกฟ้าไว้วานมาเท่านั้นเอง

            “พี่ผู้หญิงตรงนั้น! ระ-รีบปล่อยตัวในมือแล้ววิ่งมาทางนี้เร็วเข้า!? ตรงนั้นอันตรายนะ!!”

            “เอ่อ…? ก็ไม่รู้หรอกนะว่ารุ่นน้องกำลังกลัวอะไรกัน แต่ช่วยใจเย็นก่อนได้ไหม พวกพี่ไม่ใช่คนแปลกหน้าสักหน่อย เมื่อกี้ก็เพิ่งนั่งรถรับส่งมาด้วยกันไง จำไม่ได้เหรอ--------อ๊ะ ตอนนั้นพวกเธอหลับอยู่นี่หว่า”

            “ไม่ใช่เวลามาตลกนะ! รีบปล่อยเขาแล้วมาทางนี้สักทีสิ!!”

            นิวพยายามตะโกนเรียกแก้วพลางฝืนลุกยืนขึ้นอย่างยากลำบาก เพราะขาทั้งสองข้างไม่ยอมเชื่อฟังเธอเลย ไม่ว่าจะใช้มือทุบยังไงก็ไม่ยอมหยุดสั่น เหมือนกับว่าร่างกายของเธอยอมแพ้ที่จะขัดขืนไปเองอย่างสมบูรณ์

            “นี่! ตรงนั้นเกิดอะไรขึ้นน่ะ!?”

            และยังไม่ทันที่ความสงสัยจะกระจ่าง คุณครูเวรที่น่าจะบังเอิญได้ยินความวุ่นวายตรงนี้เข้าก็รีบเดินเข้ามาเพื่อตรวจสอบเหตุการณ์ทันที ซึ่งเมื่อแก้วเห็นเช่นนั้นจึงรีบปล่อยเมฆที่จูงไว้ลงกับพื้นและเดินไปรับหน้าอธิบายให้คุณครูเวรฟัง

            แก้วเดินเข้าหาพลางยกมือไหว้สวัสดีอย่างเป็นมิตร เนื่องจากคุณครูเวรคนนี้เคยเป็นคุณครูประจำชั้นของแก้วกับเมฆเมื่อปีก่อน ดังนั้นแก้วเลยคิดว่าอาจจะพอจำตัวเองได้บ้าง

            “สวัสดีค่ะครู”

            “สวัสดีจ้ะ อ่าว หนูแก้วนี่หน่า พอดีเลย ๆ ช่วยอธิบายให้ครูฟังหน่อยสิว่าตรงนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมวุ่นวายอย่างงี้?”

            “ได้ค่ะ”

            แก้วยิ้มรับคำขอของคุณครูแล้วเริ่มอธิบายเรื่องราวคร่าว ๆ ให้คุณครูฟัง แน่นอนว่าแก้วพยายามเล่าออกไปในเชิงที่จะไม่ทำให้เหตุการณ์นี้บานปลายเกินไปจึงแอบพูดมั่วไปนิดหน่อยในระดับที่มั่นใจว่าจะไม่มีใครจับได้

            ซึ่งเป็นในระหว่างนั้นเองที่เมฆต้องประจันหน้ากับเด็กใหม่แบบหนึ่งต่อสอง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องพูดอะไรในสถานการณ์ที่อีกฝ่ายหวาดกลัวเขาถึงขั้นนี้

            “ยะ-อย่าขยับจากตรงนั้นเชียวนะ มะ-ไม่งั้นฉันจะโทรแจ้งตำรวจแน่!”

            นิวตั้งท่าเหมือนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาตำรวจจริง ๆ แต่ว่าเธอก็ไม่ได้โทรออกไป เป็นเพียงแค่การขู่ให้กลัวเท่านั้น ซึ่งภายในใจของเธอก็กำลังก่นด่าตัวเองที่เมื่อคืนลืมชาร์จแบตโทรศัพท์มือถือก่อนเข้านอนจึงทำให้ตอนนี้เปิดไม่ติด

            “แต่ฉันยังไม่ทันทำอะไรเลยนะ?”

            “ยะ-อย่ามาพูดกับฉัน!?”

            “......”

            งุนงงสงสัยเกินกว่าจะโกรธ ไม่ว่าเมฆจะย้อนคิดดูความทรงจำในอดีตสักเท่าไหร่ เขาก็ยังนึกไม่ออกว่าเคยเจอหรือรู้จักกับพวกเธอจากที่ไหน ทั้งหน้าตา น้ำเสียง ท่าทาง เขามั่นใจว่าไม่เคยรู้จักพวกเธอทั้งคู่แน่ ยิ่งเรื่องที่จะทำให้พวกเธอแสดงอาการตอบโต้ตัวเขารุนแรงถึงขนาดนี้ก็คิดว่าไม่เคยทำด้วย

            แต่ถึงอย่างนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่าพวกเธอทำตัวเหมือนจะรู้จักเขาจริง ๆ 

            (เฮ้อ...สรุปคือเป็นพวกคนไม่ปกติสินะ)

            เมฆมองนิวที่ล้มอยู่กับพื้นสลับกับมองไนน์ที่ยังยืนนิ่งอยู่ โดยเป็นตอนนั้นเองที่ไนน์เพิ่งจะได้สติกลับมา ซึ่งสิ่งแรกที่เธอทำหลังได้สติกลับมาก็คือการมองสังเกตผู้คนรอบข้างอย่างลุกลี้ลุกลนเหมือนกับกำลังทดสอบความคิดบางอย่าง ก่อนจะวนกลับมามองทางเมฆอีกครั้งนึง ทว่าในคราวนี้กลับเป็นการมองด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมอันบริสุทธิ์ใจถึงขนาดที่เมฆยังขนลุกชูชันแบบอธิบายสาเหตุไม่ได้ และแม้แต่นิวที่ยังนั่งขาสั่นอยู่ก็อดแปลกใจกับสายตานั้นของน้องสาวตัวเองไม่ได้เหมือนกัน

            ไนน์หายใจเข้าลึกก่อนจะยกมือไหว้เมฆเพื่อแสดงความเคารพและเดินเข้าไปพยุงนิวลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีเจียมเนื้อเจียมตัวผิดปกติ

            “เธอเป็นอะไรไปไนน์…??”

            “นิวนั่นแหละเป็นอะไรไป ทำไมถึงลงไปนั่งเล่นฝุ่นบนพื้นแบบนั้นล่ะ? สนุกเหรอ??”

            “จะไปเป็นอย่างงั้นได้ยังไงเล่ายัยบ้า อ้า ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าตอนนี้รีบพาฉันถอยห่างจากคนตรงนั้นก่อน”

            สุดท้ายนิวก็ไม่วายชี้นิ้วมาทางเมฆด้วยสีหน้าหวาดกลัวอีกรอบ ไม่มีคำใบ้หรืออะไรที่จะช่วยทำให้เมฆเข้าใจสาเหตุของการแสดงออกนั้นได้เลย แถมก่อนหน้านี้เมฆก็พอรู้ว่านิวเกือบจะโทรแจ้งตำรวจแล้วจริง ๆ แค่โทรศัพท์มือถือของเธอบังเอิญแบตหมดเท่านั้น ไม่แน่ว่าหลังจากนี้เธออาจจะลองโทรไปใหม่อีกรอบก็ได้

            แต่คนที่ทำให้เมฆประหลาดใจมากที่สุดตอนนี้ก็คือไนน์ที่เพิ่งยกมือไหว้เขา จากจู่ ๆ คนที่ยืนนิ่งอ้าปากค้างด้วยความตกใจกลายเป็นคนที่แสดงความเคารพต่อเขาอย่างสุภาพนอบน้อม...แบบนี้จะไม่ให้ประหลาดใจได้ยังไงกัน

            (อารมณ์ของคนน้องจะเปลี่ยนเร็วไปหน่อยไหมเนี่ย? แล้วก็ที่มองด้วยสายตาแบบนั้นคือจะสื่ออะไรครับ?? ตกหลุมรักผมเหรอ???)

            ประโยคสุดท้ายเป็นแค่เรื่องล้อเล่น แต่ที่เป็นเรื่องจริงคือเมฆได้ปัญหาชีวิตเพิ่มมาให้คิดอีกหนึ่งเรื่องแบบไม่เต็มใจ เมฆลุกขึ้นเมื่อไม่เห็นว่ามีคนอยากนั่งพื้นลานจอดรถเป็นเพื่อนเขาแล้ว ก่อนจะเลือกเดินถอยไปยืนเคียงข้างแก้วที่กำลังพูดคุยอยู่กับคุณครู

            โดยลานจอดรถรับส่งของโรงเรียนปอมเลห์นั้นจะมีหลายจุดในแต่ละพื้นที่ ซึ่งจุดพวกเมฆอยู่กันตอนนี้จะเป็นพื้นที่แถวขอบรั่วโรงเรียนที่มีความกว้างขวางพอสมควร สามารถรองรับรถรับส่งหลายสิบคันที่จะเข้ามาจอดได้สบาย

            แต่เดิมที ลานจอดรถรับส่งนักเรียนก็ไม่ใช่สถานที่ที่จะมีคนแห่มาเยอะกันอยู่แล้ว เพราะนอกจากใช้จอดรถก็ไม่มีอะไรให้ทำอีก แค่อาจจะมีบางครั้งที่ลานจอดรถนี้ถูกใช้เป็นโซนจัดกิจกรรมเวลามีงานโรงเรียนหรือเทศกาลต่าง ๆ ให้นักเรียนแห่มามีส่วนร่วม ซึ่งคนจะเยอะขึ้นเป็นพิเศษก็เฉพาะช่วงนั้น แต่หลังจบกิจกรรมไปยังไงที่นี่ก็จะกลับไปเป็นแค่ลานจอดรถธรรมดาเหมือนอย่างเคย

            ทว่าช่วงเวลานี้กลับแตกต่าง คนรอบข้างที่มามุงดูเหตุการณ์ของพวกเมฆดันมีเยอะซะจนเหมือนว่าตรงนี้มีจัดกิจกรรมหรือคอนเสิร์ตอะไรสักอย่างขึ้น ซึ่งไม่แน่ว่าอาจมีคนเยอะกว่าตอนจัดงานโรงเรียนของจริงซะด้วยซ้ำ

            กระทั่งเมฆยังแอบคิดในใจว่าคนพวกนี้ชอบสอดรู้สอดเห็นมากกว่าเขาอีก

            “เรื่องก็เป็นประมาณนี้ค่ะครู”

            “อ๋ออออ สรุปคือเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดกันใช่ไหม โธ่ ครูก็ใจหายใจคว่ำหมด คิดว่ามีเด็กนักเรียนจะวางมวยกันตั้งแต่เปิดเทอมวันแรกซะอีก แต่ก็เป็นแค่การเข้าใจผิดกันเนาะ”

            “ฮะฮ่า ๆ จะว่าแบบนั้นก็ได้ค่ะ ครูสามารถลองถามเด็กใหม่ดูได้นะคะ แต่ทั้งคู่ก็น่าจะตอบแบบเดียวกัน”

            และหลังจากใช้เวลาสักพักใหญ่เพื่ออธิบายเรื่องราวให้คุณครูฟัง แก้วก็ผายมือไปทางนิวกับไนน์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตรเพื่อให้ทั้งสองคนมีโอกาสได้พูดในมุมมองของตัวเองบ้าง

            ซึ่งสำหรับมุมมองของคนรอบข้างผู้ชอบสอดรู้สอดเห็นตอนนี้ ไม่มีใครสักคนที่สงสัยหรือเอะใจกับเรื่องราวที่แก้วอธิบายมา มิหนำซ้ำยังพากันพยักหน้าเห็นด้วยกับทุกการกระทำของแก้วในเรื่องราวเหมือนกับเป็นพยานตัวจริงที่อยู่ในเหตุการณ์

            “เข้าใจผิดเหรอ...มะ----”

            “----ใช่ค่ะ เป็นอย่างที่พี่คนนั้นว่าเลยค่ะ พวกเราแค่เข้าใจผิดกัน”

            “เอ๊ะ??”

            นิวที่ถูกพูดขัดหันหน้าควักไปมองไนน์อย่างไม่เข้าใจ ในหัวมีหลายเรื่องที่อยากถาม แต่เธอก็กลับถูกสายตาของไนน์จ้องสวนกลับมาจนทำให้ไปต่อไม่เป็น ซึ่งหลังจากนั้น ไนน์ก็เมินเธอแล้วหันหน้าไปคุยกับคุณครูต่อ

            “แล้วก็คุณครูคะ คุณครูช่วยพาพวกหนูไปส่งห้องเรียนหน่อยได้ไหมคะ ตามเอกสารที่ได้มาคือพวกหนูต้องไป ม.1/5 กับ ม.2/2 ขอรบกวนคุณครูหน่อยนะคะ พอดีไม่อยากรบกวนเวลาพวกพี่เขาแล้ว เมื่อกี้ก็เผลอสร้างปัญหาให้พวกพี่เขาไปเยอะด้วย...รู้สึกเกรงใจมากเลยค่ะ”

            “หือ? โอเครจ้ะ แต่ครูหวังว่าจะไม่มีปัญหาอะไรตามมาอีกนะนักเรียน”

            “ไม่มีค่ะ” 

            “งั้นก็แยกย้ายกันเถอะจ้ะ เสียเวลาไปมากแล้ว”

            และเมื่อคุณครูว่าอย่างงั้น ทุกคนก็พยักหน้ายอมรับแต่โดยดี รวมถึงเหล่าคนรอบข้างที่ชอบสอดรู้สอดเห็นเองก็พยักหน้าตามไปด้วย โดยเป็นเวลานานสักพักใหญ่แล้วที่เกิดความวุ่นวายตรงจุดนี้ ถ้าหากในท้ายที่สุดก็ยังไม่ได้ข้อสรุป เมฆเชื่ออย่างสุดใจว่าทุกคนจะได้เข้าเรียนสายกันหมดตั้งแต่วันแรกแน่

            ซึ่งหลังจากคุณครูเดินนำเด็กใหม่ทั้งสองคนขึ้นอาคารเรียนไปแล้ว แก้วกับเมฆก็หันหน้ามาสบตากันด้วยความบังเอิญ ทว่าพวกเขาก็ทำเพียงแค่ยักไหล่ให้กันแบบที่ไม่ได้พูดอะไรแล้วเดินอ้อมไปขึ้นอาคารเรียนจากทางขึ้นอีกทิศนึงแทน พยายามหลีกเลี่ยงเส้นทางที่อาจผ่านหรือเข้าใกล้ห้อง ม.1/5 กับ ม.2/2 เท่าที่ทำได้

            โดยภายในโรงเรียนปอมเลห์ อาคารเรียนระหว่างฝั่งประถมและฝั่งมัธยมนั้นจะตั้งแยกอยู่กันคนละโซนอย่างที่ฟ้าเคยพูดถึงไว้ ซึ่งก็เป็นเพราะโรงเรียนปอมเลห์เป็นโรงเรียนเอกชนขนาดใหญ่ที่มีนักเรียนจำนวนมาก จึงต้องมีมาตรการเพื่อลดความสับสนวุ่นวายจากกิจกรรมและรูปแบบการเรียนที่แตกต่างกันของระดับชั้น ซึ่งนอกจากจุดประสงค์เพื่อลดความสับสนวุ่นวายแล้ว การแยกโซนอาคารเรียนยังช่วยทำให้ง่ายต่อการจัดสรรสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับนักเรียนในแต่ละช่วงวัยที่มีความต้องการแตกต่างกัน

            ซึ่งความแตกต่างระหว่างอาคารเรียนของฝั่งประถมกับฝั่งมัธยมจะมีให้เห็นได้อย่างเด่นชัดหลายจุด ถ้าให้ยกตัวอย่างก็เช่น ในโซนอาคารเรียนฝั่งประถมจะถูกออกแบบให้มีสีสันสดใส มีลวดลายน่ารักที่ดึงดูดความสนใจของเด็ก ๆ และโดยรอบของอาคารเรียนก็จะเน้นเป็นพื้นที่โล่งกว้างสำหรับการเรียนรู้ผ่านการเล่น พร้อมทั้งยังมีพื้นที่ร่มเงาให้เด็ก ๆ ได้พักผ่อนควบคู่

            ในทางกลับกัน ที่โซนอาคารเรียนของฝั่งมัธยมจะมีการออกแบบที่เรียบง่าย เน้นประโยชน์ใช้สอย และมีห้องเรียนเฉพาะทางที่ตอบโจทย์ทางวิชาการกับห้องเรียนสำหรับการเรียนรู้เชิงลึกมากกว่า อย่างเช่น ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ห้องคอมพิวเตอร์ หรือห้องสมุดขนาดใหญ่ นอกจากนั้นก็ยังมีห้องโถงรวมสำหรับทำกิจกรรมทางศาสนาด้วย

            อย่างไรก็ตาม วิธีการจัดการรูปแบบนี้จะนำไปปฏิบัติจริงไม่ได้เลยถ้าหากไม่ใช่โรงเรียนที่มีพื้นที่กว้างขวางและงบประมาณที่มากพออย่างโรงเรียนปอมเลห์ ซึ่งปอมเลห์ก็มีผู้สนับสนุนรายใหญ่เป็นหนึ่งในสองตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศอย่างตระกูลไคม์มาแต่ไหนแต่ไร จึงไม่แปลกที่โรงเรียนแห่งนี้จะกลายเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับผู้ปกครองที่มองเห็นศักยภาพอันโดดเด่น และพากันส่งบุตรหลานเข้ามาเรียนอย่างคับคั่งในทุก ๆ ปี

            ซึ่งเมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ นามสกุลของแก้วเองก็คือไคม์

            “สวัสดีครับ คุณประธานคนเก่ง”

            “หวัดดีครับ ประธาน”

            “สวัสดีค่ะ ท่านประธาน”

            “อื้ม สวัสดีนะทุกคน”

            และในระหว่างทางขึ้นบันไดเพื่อไปยังห้องเรียน นักเรียนที่เดินสวนแก้วกับเมฆต่างพากันกล่าวทักทายพวกเขาอย่างร่าเริงเป็นกันเอง คอยยิ้มแย้มและโบกมือส่งมาให้ตลอดทาง ทว่าคำทักทายเหล่านั้นกลับห้อยท้ายด้วยคำว่า ‘ประธาน’ จากนักเรียนทุกคน

            “โอ้ หวัดดีครับ ประธาน”

            “สวัสดีนะคะ ประธาน”

            “สวัสดี ๆ ”

            แม้กระทั่งเดินมาจนถึงหน้าห้องเรียน ม.3/5 ที่มีแต่คนรุ่นราวคราวเดียวกันตอนนี้ พวกเขาก็ยังไม่พ้นถูกกล่าวทักทายจากนักเรียนคนอื่นอีก

            ซึ่งตลอดทางที่ถูกทักทายมานี้ เมฆไม่ได้มีท่าทีจะตอบโต้คำทักทายกลับ ต่างจากแก้วที่ตอบรับคำทักทายทั้งหมดนั้น เพราะในความเป็นจริงแล้ว เป้าหมายของคำทักทายของทุกคนไม่ใช่สำหรับแก้วกับเมฆ แต่เป็นแก้วแค่เพียงผู้เดียวต่างหาก

            เมฆที่เดินตามมาติด ๆ ก็เป็นแค่ตัวแถมที่ได้รับอานิสงส์ของความสนใจไปด้วยเท่านั้น

            “ฉันเหมือนสส.ลงพื้นที่เลยว่าไหม?”

            “หะ?”

            “เปล่า ช่างมันเถอะ”

            ส่วนสาเหตุที่แก้วถูกนักเรียนคนอื่นเรียกว่า ‘ประธาน’ ราวกับเป็นเรื่องปกตินั้นก็เป็นเพราะเธอคือ ‘ประธานสภานักเรียน’ ตำแหน่งสูงสุดที่นักเรียนคนหนึ่งสามารถก้าวขึ้นมาเป็นได้ผ่านการเลือกตั้ง ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงกลางภาคเรียนที่หนึ่งของทุก ๆ ปี

            โดยสิ่งที่น่าทึ่งคือ ตั้งแต่ปีแรกที่แก้วย้ายเข้ามาเรียนปอมเลห์พร้อมกันกับเมฆในชั้น ม.1 จนกระทั่งปัจจุบันอยู่ชั้น ม.3 เธอครองตำแหน่งนี้มาแล้วถึงสามปีซ้อน และนั่นก็หมายความว่า แก้วได้รับเลือกให้เป็นประธานสภานักเรียนตั้งแต่ปีแรกที่เธอเข้ามาเรียนที่นี่เลย

            ด้วยเหตุนี้ การที่นักเรียนเกือบทั้งหมดจะคุ้นชินกับการเรียกเธอว่า ‘ประธาน’ จึงอาจเป็นเรื่องปกติสำหรับโรงเรียนแห่งนี้ ทั้งยังสะท้อนถึงการยอมรับความเป็นผู้นำของแก้วในสายตาทุกคนได้เป็นอย่างดีด้วย

            “สวัสดีนะ ประธาน”

            “สวัสดีรอบที่ล้าน”

            “หือ? หมายความว่าไงเหร----”

            “----นั่งที่ ๆ นักเรียน จะแปดโมงแล้ว ครูขอเวลาโฮมรูมไม่นานนะ เดี๋ยวครูต้องไปประชุมอยู่”

            ในจังหวะที่เพื่อนร่วมห้องเริ่มตั้งคำถามถึงความหมายของสิ่งที่แก้วพูด เป็นตอนนั้นเองที่คุณครูประจำชั้นเดินเข้าห้องมาพร้อมกับคุณครูประจำชั้นร่วมอีกคน การมาถึงของทั้งสองทำให้บทสนทนาทั้งหมดถูกขัดจังหวะได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ และทันทีที่เห็นคุณครู เพื่อนร่วมห้องต่างก็รีบเดินกลับไปยังที่นั่งของตัวเองอย่างรวดเร็วและเรียบร้อย แน่นอนว่าแก้วกับเมฆเองก็ทำเช่นเดียวกัน

            โดยโต๊ะเรียนภายในห้องเรียนนี้จะถูกจัดอย่างเป็นระเบียบในรูปแบบ 2-3-2 ไล่ยาวไป 5 แถวจนครบจำนวนนักเรียนในห้องที่มี 35 คนพอดี ซึ่งโต๊ะที่นั่งของแก้วกับเมฆจะตั้งอยู่ติดกันในแถวที่ 4 ชิดซ้ายริมหน้าต่าง เป็นตำแหน่งที่ไม่เพียงแค่ได้รับแสงธรรมชาติได้อย่างพอเหมาะ แต่ยังเป็นจุดที่เงียบสงบพอสมควรสำหรับการเรียนในแต่ละวันให้มีประสิทธิ์ภาพด้วย

            “ถึงวันนี้จะเป็นวันแรกของภาคเรียน แต่เรื่องที่ควรพูดส่วนใหญ่ทุกคนก็น่าจะรู้ดีกันอยู่แล้ว เพราะงั้นครูขอไม่พูดซ้ำนะ”

            “ครูดูรีบจังนะคะ จะไปไหนเหรอ?”

            “โอ่ยยยย ก็บอกว่ามีประชุมไงงงงง เรื่องสอบ O-NET ของพวกเธอนี่แหละ”

            “ปล่อยวางครับครู อย่าไปเครียด อย่าไปรีบ”

            “พวกเธอก็เตรียมบอกตัวเองไว้แบบนั้นได้เลยหลังสอบ”

            ซึ่งสำหรับโรงเรียนปอมเลห์ที่ขึ้นชื่อเรื่องมาตรฐานการดูแลนักเรียนที่รัดกุม หนึ่งสิ่งที่สะท้อนถึงความใส่ใจนี้ได้อย่างชัดเจนก็คือระบบครูประจำชั้นสองคนในหนึ่งห้องเรียน โดยในแต่ละห้องจะมีทั้งครูประจำชั้นหลักและครูประจำชั้นร่วมที่มีหน้าที่ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แต่กลับเติมเต็มกันและกันได้อย่างลงตัว

            ในส่วนนี้เอง ครูประจำชั้นหลักมักจะมีบทบาทเป็นคนที่นักเรียนจะได้เห็นอยู่หน้าห้องบ่อยที่สุด เพราะเป็นตัวแทนของห้องเรียนในสายตาของผู้ปกครองและคนอื่น ๆ  เป็นผู้วางแผนการประชุมโฮมรูมและตัดสินใจในกิจกรรมสำคัญเกือบทั้งหมดของห้อง

            ส่วนครูประจำชั้นร่วมจะมีบทบาทที่น้อย แต่ก็อ่อนโยนกว่า เนื่องจากต้องเป็นคนที่คอยพูดคุยกับเด็กนักเรียนเป็นรายบุคคลในมุมที่ละเอียดอ่อน พร้อมทั้งช่วยจัดการปัญหาจุกจิกที่อาจไม่ทันถึงมือครูประจำชั้นหลักแทน

            ซึ่งสำหรับห้องเรียน ม.3/5 ของแก้วกับเมฆนั้น คุณครูประจำชั้นหลักจะเป็นครูหญิงอาวุโสที่ทั้งห้องคุ้นเคยกันดี เธอไม่เพียงแต่เป็นผู้ดูแลนักเรียนในฐานะครูประจำชั้น แต่ยังรับหน้าที่สอนวิชาสังคมและวิชาประวัติศาสตร์ด้วย และแม้เธอจะเป็นครูอาวุโสที่มีประสบการณ์สูง แต่เธอกลับไม่มีความถือตัวเลยแม้แต่น้อย นักเรียนหลายคนจึงชื่นชอบและมักจะพูดถึงคุณครูคนนี้ด้วยรอยยิ้มทุกครั้งที่มีโอกาส

            “พอ ๆ เสียเวลาเยอะไปละ ครูขอเข้าเรื่องก่อน เพราะที่จะโฮมรูมวันนี้คือจะให้ย้ายที่นั่งกัน”

            ทันทีที่ได้ยิน นักเรียนในห้องต่างก็พากันร้องเฮดีใจลั่นห้อง นักเรียนบางคนถึงกับหันไปพูดคุยกับเพื่อนข้าง ๆ ด้วยรอยยิ้มตื่นเต้น

            “ชู่วววว เงียบก่อน ๆ เมื่อวานครูทำกล่องจับฉลากมาให้แล้ว ทีแรกก็ว่าจะดูแลเองแหละ แต่เผอิญว่าครูดันติดประชุมเลยต้องฝากให้ครูคิวจัดการต่อแทน เพราะงั้นก็ช่วยทำตัวดี ๆ หน่อยล่ะนักเรียน อย่าเสียงดัง”

            “ “ครับ/ค่ะ” ”

            พูดเสร็จ คุณครูประจำชั้นก็หอบกระเป๋าแล้วเดินออกจากห้องไปทันที ทิ้งคุณครูประจำชั้นร่วมที่ยืนนิ่งไว้คนเดียวท่ามกลางเด็กนักเรียนที่กำลังคึกคัก

            โดยครูประจำชั้นร่วมของห้อง ม.3/5 จะเป็นครูผู้ชายร่างสูงใหญ่ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะครูพละและสุขศึกษา เขามักจะมีสีหน้าครึ้ม ๆ ดูเคร่งขรึมอยู่ตลอด หลายครั้งก็เผลอทำให้นักเรียนรู้สึกเกร็งเมื่อได้อยู่ใกล้ และแม้จะไม่ได้พูดอะไรบ่อยนัก แต่ทุกครั้งที่เขาให้คำสั่งหรือคำชี้แนะ คำพวกนั้นก็มักจะมีน้ำหนักและเหตุผลที่ชัดเจนพอจนไม่มีใครกล้าปฏิเสธในสิ่งที่เขาพูด

            “ก็อย่างที่ครูเจนพูด ลุกมาต่อแถวกันได้เลยครับ”

            คุณครูประจำชั้นร่วมที่ถูกเรียกว่า ครูคิว พูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งครึมที่นักเรียนทุกคนเข้าใจดีว่านั่นคือสีหน้าปกติของคุณครู จากนั้นจึงวางกล่องกระดาษใบเล็กไว้บนโต๊ะด้านหน้าห้องให้นักเรียนทุกคนเดินมาหยิบ เสียงเก้าอี้เสียดสีกับพื้นดังระงมเมื่อพวกเขาลุกทยอยไปต่อแถว โดยใบหน้าของนักเรียนแต่ละคนต่างก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังต่อการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น

            ขณะเดียวกัน สายตาหลายคู่ในห้องกลับหันมองไปทางแก้วอย่างกระตือรือร้น ราวกับเธอเป็นตัวแทนหรือจุดสนใจในสถานการณ์นี้อย่างผิดสังเกต ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนชายหรือนักเรียนหญิงก็ล้วนจ้องมองมาทางแก้วที่ยืนต่อแถวอยู่ข้างหน้าเมฆเป็นสายตาเดียว

            และแน่นอนว่าแก้วก็รับรู้สายตาทั้งหมดนั้น เพียงแต่เธอเลือกที่จะเมินเฉย

            “นายคิดว่าจะจับได้ที่นั่งตรงไหน?”

            “....ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่แถวหลัง แถวหน้าสุดยิ่งดี”

            “หือ? นี่นายพยายามพูดดักทางโชคตัวเองเหรอ...หึ ๆ ฉันการันตีเลยว่านายได้นั่งแถวหน้าสุดสมพรปากแน่” 

            “รู้มากก็ไม่จำเป็นต้องพูดมากด้วยก็ได้ครับคุณพี่”

            ขณะที่แก้วกับเมฆพูดคุยหยอกล้อกัน แถวข้างหน้าก็ค่อย ๆ ขยับเข้าใกล้จุดจับฉลากจนเหลืออีกไม่กี่คนก็จะถึงคิวของพวกเขาทั้งคู่แล้ว 

            ซึ่งในระหว่างนี้ เสียงกรีดร้องและคร่ำครวญมากมายก็ดังขึ้นเป็นระยะจากกลุ่มนักเรียนข้างหน้า เป็นเสียงของเหล่าผู้ที่โชคชะตาไม่เข้าข้างเพราะดันจับฉลากได้ที่นั่งข้างกันเองจนหมดหวังให้แก้วไปนั่งด้วย บางคนถึงขั้นคุกเข่าลงกับพื้นด้วยสีหน้าสิ้นหวังราวกับโลกทั้งใบพังทลาย ทำให้เมฆที่เผลอเหลือบไปมองเริ่มเป็นห่วงเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมการเติบโตของเด็กยุคนี้แบบจริง ๆ จัง ๆ

            “....ขอสลับหน่อย”

            “หะ อะไรเนี่ย??”

            “ก็ขอสลับคิวไง เชิญนายจับก่อนได้เลย”

            และเมื่อถึงคิวของพวกเขา จู่ ๆ แก้วที่ยืนอยู่คิวหน้าสุดก็ขอสลับที่กับเมฆอย่างกะทันหัน เธอรีบเดินอ้อมมาด้านหลังและผลักเขาให้เดินไปข้างหน้าพลางยิ้มนึกสนุก ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเธอถึงยิ้ม แต่เด็กนักเรียนทุกคนที่ได้เห็นรอยยิ้มนั้นก็ล้วนแต่รู้สึกเหมือนได้รับการชำระล้างจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ทว่าไม่นานหลังจากนั้น ความคิดชั่วร้ายต่าง ๆ ที่มีต่อเมฆดันผุดขึ้นมาในหัวพวกเขาซะอย่างนั้น

            ซึ่งเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ความชื่นชมที่นักเรียนของปอมเลห์มีต่อแก้วไม่ได้หยุดอยู่แค่คำยกย่องทั่วไป แต่กลับพัฒนาไปสู่ความคลั่งไคล้ในระดับที่น่าทึ่งจนบางครั้งก็น่ากลัว และจากความคลั่งไคล้นั้นก็ได้ก่อกำเนิดกลุ่มหรือแก๊งลับที่เรียกตัวเองว่า ‘สมาคม G’ ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อบูชาแก้วโดยเฉพาะ

            และสิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือ สมาชิกของสมาคมนี้ไม่ได้มีเพียงหยิบมือ แต่กลับประกอบไปด้วยนักเรียนกว่า 70% ของจำนวนทั้งหมดในโรงเรียน ไล่ตั้งแต่ประถมต้นลามไปยังมัธยมปลาย จนแทบจะเรียกได้ว่าสมาคม G เป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมทั่วทั้งโรงเรียนนี้อย่างสมบูรณ์

            “จะกี่รอบต่อกี่รอบก็เกิดขึ้นแค่กับมัน ความยุติธรรมอยู่ที่ไหนวะ”

            “ใช่ ก็รู้แหละว่าเป็นเพื่อนสมัยเด็กในฝันกัน แต่แบบนี้ก็ชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ”

            “ที่ผ่านมาสมาคม G ยอมให้มันรอดชีวิตนานขนาดนี้ได้ไงเนี่ย ไม่คิดจะจัดการมันเลยรึไง”

            “ชิ ใกล้ถึงคราวที่หมัดมังกรแห่งความมืดของฉันจะได้ซัดหน้าคนจริง ๆ แล้วสินะ”

            “ฉันเห็นด้วย แต่นายคงแพ้ล้านเปอร์เซ็นต์เลยว่ะเพื่อนเอ้ย คนจากสมาคม G เคยลองดูแล้ว”

            “หะ เอ็งพูดจริงดิอับดุล?!”

            ณ ที่นั่งแถวหลังห้อง ซึ่งเป็นเขตแดนที่ถูกลืมและห่างไกลจากจุดสนใจของใครหลายคน ได้มีกลุ่มนักเรียนชายผู้อาภัพห้าคนกำลังนั่งล้อมกันอย่างเงียบเหงา บางคนย่อตัวลงไปจัดของใต้โต๊ะ ขณะที่อีกคนพยายามปรับเก้าอี้ให้เข้าที่ ทุกคนล้วนแต่มีใบหน้าที่แฝงไว้ด้วยความอาลัยอาวรณ์

            การพูดคุยเบา ๆ ของพวกเขาต่างก็เต็มไปด้วยเสียงถอนหายใจและถ้อยคำบ่นปนหยอกล้อ ราวกับกำลังปลอบใจกันเองที่จับฉลากได้ที่นั่งที่ดูเหมือนจะเป็น 'โซนอาถรรพ์' เพราะไม่มีโอกาสใกล้ชิดกับแก้วได้เลย

            “อับดุลเอ้ย ถามอะไรตอบได้”

            “ตอบได้”

            “งั้นก็ตอบมาว่าที่พูดเมื่อกี้หมายความว่าไงกันอับดุล? สมาคม G เคยทำอะไรผู้ชายคนนั้นแล้วเหรอ??”

            น้ำเสียงลังเลผสมความตื่นเต้นจากเพื่อนในกลุ่มทำให้นักเรียนชายผู้มีฉายาว่า ‘อับดุล’ ที่กำลังก้มหน้าก้มตาจัดกระเป๋าอยู่ต้องเงยหน้าขึ้นมา ก่อนเขาจะเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และลดเสียงกระซิบลงตอบ

            “เป็นอย่างที่นายพูดมาเลยเพื่อนเอ้ย ทางสมาคม G เคยส่งสมาชิกหลายคนไปทำเรื่องที่พวกนายอยากทำกันหมดแล้ว ทว่าสุดท้ายก็จบลงโดยที่พวกนั้นต้องยอมแพ้กันไปเอง ซึ่งนั่นเป็นเพราะอะไรน่ะเหรอ...”

            เขาเว้นจังหวะเล็กน้อย ขณะที่เพื่อนคนอื่นกลืนน้ำลายรอคำตอบ

            “มันเป็นเพราะพวกนั้นเจอ ‘สายตาของเธอ’ เข้าไปน่ะสิ!”

            อับดุลตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง ราวกับกำลังเปิดเผยความลับอันยิ่งใหญ่ของโลก

            หลังจากคำพูดนั้น สิ่งที่ตามมาคือเสียงหัวเราะเบา ๆ ที่หลุดออกมาจากเพื่อนอีกสี่คนในกลุ่ม เสียงหัวเราะที่แม้จะฟังดูขำขัน แต่กลับเต็มไปด้วยความสิ้นหวังในคราวเดียวกัน ราวกับว่าพวกเขากำลังเยาะเย้ยโชคชะตาของตัวเอง

            เมื่อเสียงหัวเราะค่อย ๆ ซาลง ทั้งกลุ่มก็ตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะก่อนจะตามมาด้วยเสียงถอนหายใจหนักหน่วง สะท้อนถึงความเข้าใจอันลึกซึ้งในสิ่งที่อับดุลพูด

            “ก็นะ ถ้าเกิดโดนประธานมองด้วยสายตาไม่ชอบใจแบบนั้น เป็นฉันก็คงถอดใจเหมือนกัน” 

            หนึ่งในพวกเขาพูดขึ้นพร้อมกับคอตกเล็กน้อย

            “แต่ถ้าเป็นฉัน คงไม่กล้าโผล่หน้ามาเรียนอีกแล้วล่ะ”

            เพื่อนอีกคนเสริมขึ้นด้วยน้ำเสียงกึ่งขบขันปนความจริงจัง ขณะที่ทั้งกลุ่มพยักหน้ารับอย่างเห็นพ้องกับชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

            “แต่ ๆ ๆ ๆ ”

            “หือ? มีอะไรอีกอับดุล?”

            “ฉันเคยได้ยินเรื่องบางอย่างมาด้วยนะ จะบอกว่าเป็นข่าวลือก็ได้...”

            อับดุลที่จัดโต๊ะของตัวเองเสร็จเรียบร้อยพูดขึ้น พลางชี้นิ้วไปทางเมฆอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ สีหน้าดูลังเลกับข้อมูลที่เขารู้มา แต่สุดท้ายก็เลือกจะพูดออกมาทั้งที่ยังไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่

            “ฟังหูไว้หูหน่อยละกัน”

            “พูดมาเหอะเพื่อน จะเชื่อหรือไม่เชื่อพวกเราตัดสินกันเองได้”

            อับดุลสูดหายใจเข้าลึกก่อนพูดออกมาช้า ๆ ราวกับกลัวว่าเรื่องที่เขากำลังจะเล่าอาจสร้างปัญหาให้ใครหลายคน

            “....มีข่าวลือว่าเมื่อปีก่อน มีคนระดับสูงในสมาคม G คนหนึ่งตามตอแยผู้ชายคนนั้นให้ออกห่างจากประธาน แล้วลงมือเกินเหตุ คือแอบขโมยกระเป๋านักเรียนของผู้ชายคนนั้นมาเผา จากนั้นก็เรียกให้มาดูพร้อมกับยืนพูดถากถางใส่”

            “โห โหดเหี้ยมชะมัด”

            “สารเลวมากกว่ามั้ง”

            “แล้วจากนั้นเกิดอะไรขึ้นล่ะ?”

            อับดุลลดเสียงลงจนแทบกระซิบ แต่ความตึงเครียดกลับเพิ่มขึ้นรอบวงสนทนา

            “จู่ ๆ คนระดับสูงในสมาคม G ที่ทำคนนั้นก็โดนตัดนิ้ว จนถูกส่งเข้าห้องพยาบาล แล้วก็ถูกส่งโรงพยาบาลอีกทีนึงน่ะสิ”

            “โคตรเวอร์”

            “คิดงั้นเหมือนกัน”

            “ก็แค่ข่าวลือข่าวมั่วจริง ๆ นั่นแหละ ของแบบนี้ใครจะพูดยังไงก็ได้”

            แต่แล้วอับดุลกลับเพิ่มข้อมูลที่ทำให้เรื่องราวยิ่งดูน่าขนลุก

            “คนที่ว่าคือเลขานุการของสภานักเรียนนะ รุ่นพี่หล่อ ๆ ที่นอกจากเป็นเลขาของสภานักเรียนแล้ว เขาก็ยังเป็น S ของชมรมบาสคนนั้นน่ะ”

            “....ใช่คนที่พึ่งมีข่าวว่าลาออกไปเพราะนิ้วขาดรึเปล่า”

            “ตามนั้นเลยเพื่อนเอ้ย...”

            ทั้งห้าคนมองหน้ากันอย่างอึดอัดคล้ายจะพูดอะไรออกมาสักอย่างแต่ก็ลังเล บรรยากาศรอบตัวพวกเขาเต็มไปด้วยความเงียบงันอันหนักอึ้ง ราวกับข่าวลือนั้นได้เปลี่ยนความอยากรู้อยากเห็นให้กลายเป็นความกังวลจากห้วงลึกในทันที

            เพื่อนคนหนึ่งพยายามทำลายความเงียบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นใจนัก

            “ยะ-อย่าไปคิดมากน่า ข่าวลือก็แค่ข่าวลืออยู่วันยังค่ำ”

            “กะ-ก็ต้องเป็นงั้นแหละเนอะ”

            อีกคนพยักหน้าเห็นด้วยแม้สายตาจะยังฉายแววกังวล

            “ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง มันคงไม่จบแค่ข่าวลือหรอก ทางโรงเรียนไม่ก็พวกชมรมสื่อสารมวลชนต้องออกมาประกาศอย่างเป็นทางการแล้วสิ ยังไงเรื่องใหญ่ขนาดนั้นไม่มีทางเงียบได้หรอก”

            เสียงพูดคุยเบาลงเรื่อย ๆ ก่อนจะจางหายไปอีกครั้ง พวกเขาต่างพยายามปลอบใจกันและกัน แต่ดูเหมือนความคิดบางอย่างที่ข่าวลือจุดประกายขึ้นมา จะยังวนเวียนอยู่ในหัวของทุกคนไม่จางหาย

            ในขณะเดียวกัน จากอีกมุมหนึ่งของห้อง เมฆที่จับฉลากได้ที่นั่งแถวหน้าสุดกำลังจ้องมองนักเรียนห้าคนที่อยู่ด้านหลังด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาสีดำสนิทของเขาดูนิ่งสงบแต่กลับเต็มไปด้วยความลึกลับ ราวกับบ่อน้ำลึกที่ไม่มีใครหยั่งถึง เมฆไม่ได้พูดอะไร เพียงปล่อยให้สายตาของเขาเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบต่อพวกนั้นจากระยะไกล

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×