คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Ch.2 สองมงกุฎในหนึ่งนิทาน(2)
“นายจะหนีอีกแล้วเหรอ”
ขณะถาม แก้วก็ลู่คิ้วขึ้นอย่างข้องใจ สายตาจ้องเขม็งไปทางเมฆโดยยังคงไม่มีท่าทีจะคลายมือออกเลย มิหนำซ้ำ เธอยังพยายามกระชับมือให้แน่นขึ้นราวกับกลัวว่าตัวตนของเมฆจะจางหายไปพร้อมกับความเป็นจริงตรงหน้า และยิ่งได้จ้องมองเข้าไปในดวงตาของเมฆมากเท่าไหร่ เธอยิ่งรู้สึกไม่อยากปล่อยมือมากเท่านั้น
ซึ่งแน่นอนว่าเมฆก็เข้าใจสิ่งที่เธอกำลังพยายามจะสื่อ
“....ถ้าฉันอยู่ด้วยก็รังแต่จะทำให้งานวันนี้เสียบรรยากาศเปล่า ๆ เอานะ”
“บะ-แบบนั้นไม่จริงหรอกนะลูก!”
คุณแม่รีบพูดขัด เธอห้ามใจตัวเองไม่ให้แก้ความคิดที่ผิดเพี้ยนของเมฆไม่ได้ แต่นอกจากจะเผลอตะโกนใส่เมฆแล้ว เธอยังเผลอแสดงสีหน้าหงุดหงิดออกมาด้วย ซึ่งเมื่อรู้ว่าตัวเองเผลอทำอะไรลงไป เธอก็รีบชักมือขึ้นปิดปากตัวเองทันที
คุณพ่อที่เริ่มเห็นท่าไม่ดีแล้วก็รีบพูดต่อจากคุณแม่พร้อมเดินเข้าไปโอบไหล่เธอเพื่อปลอบให้ใจเย็นลง
“ใช่แล้ว เป็นอย่างที่แม่เขาพูด วันนี้เป็นวันเกิดของลูกนะ จะเสียบรรยากาศเพราะตัวลูกเองได้ไงกัน พวกพ่อจัดงานนี้ก็เพื่อฉลองให้กับพวกลูกที่เติบโตขึ้นทุกปี กะอีแค่บรรยากาศ----”
“----ขอโทษนะครับ ผมไม่อยากพูดคุยแล้ว เชิญฉลองกันไปแค่สี่คนเถอะครับ”
เมฆเมินคำพูดโน้มน้าวทั้งหมดอย่างไม่ใยดีพลางหันสายตามองตรงไปทางแก้ว และภายในดวงตานั้นมีแต่คำขอร้องที่แก้วรับรู้ได้
“ขี้โกงจังนะ เล่นจ้องกันแบบนั้นน่ะ...”
เธอยากจะพูดต่อให้จบว่า ‘จะให้ปฏิเสธลงได้ไงเล่า’ แต่ก็เลือกจะไม่พูดออกมา
แม้แก้วจะพยายามทำตัวทำใจให้หนักแน่นสู้เมฆแล้ว ทว่า เธอเองก็ไม่ต่างจากเมฆ...ที่ถึงจะไม่อยาก แต่ไม่ว่ายังไงก็มีความรู้สึกเชิงลบกับเขาไม่ลง รวมไปถึงการทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจด้วย
ตอนนี้บรรยากาศงานวันเกิดพังเละไม่เป็นท่าแล้ว ยิ่งยื้อเมฆนานเท่าไหร่ ทุกอย่างก็ยิ่งแย่ลงไปอีก
สุดท้าย แก้วก็หลับตาลงและยอมคลายมือออกเพื่อจบปัญหา ปล่อยให้เมฆหยิบมงกุฎกระดาษบนหัวตัวเองมาวางลงบนหัวเธอแทน ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็เดินขึ้นห้องไปอย่างเงียบ ๆ ไม่แม้แต่จะมองหน้าคุณพ่อคุณแม่ด้วยซ้ำ ขนาดฟ้าที่ยืนดูอยู่ใกล้ยังไม่กล้าเข้าไปขวางทาง
โดยหลังจากมองไล่หลังตามเมฆจนเขาปิดประตูห้องไป แก้วก็รีบหันมาไหว้ขอโทษคุณแม่ที่เริ่มใจเย็นลงบ้างแล้ว
“ขอโทษนะคะคุณป้า หนูห้ามเขาไม่ได้จริง ๆ ค่ะ ...ก่อนหน้านี้หนูอุตสาห์พูดไว้ซะดิบดีว่าจะทำให้เมฆมาร่วมงานวันเกิดด้วยได้ แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ ขอโทษจริง ๆ ค่ะ”
“มะ-ไม่ใช่หรอกจ่ะ...หนูแก้วทำดีสุดแล้ว ป้าต่างหากที่ต้องของโทษหนูแก้วที่ให้มาเจอเรื่องแบบนี้ ความจริงควรเป็นป้ากับสามีเองนี่แหละที่ต้องเป็นคนแก้ปัญหากัน ลูกชายป้าไม่มีความสุขแบบนั้นก็เพราะการกระทำของพวกป้า แต่พวกป้าดันไปโยนภาระในหนูแก้วแก้ไขซะได้ ขอโทษนะจ๊ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องนั้นหนูเป็นคนเลือกที่จะทำเอง”
ขณะพูดคุยกับแก้ว คุณแม่ก็กำลังตัวสั่น ดวงตาเริ่มชื้นขึ้นเรื่อย ๆ เพราะใกล้จะร้องไห้แล้ว แต่ก็เพราะได้ฟ้ามากุมมือไว้ เธอจึงยังฝืนยิ้มไหวอยู่
“พอ ๆ พักเรื่องเครียดไว้กันแค่นี้ก่อนดีกว่า ผมว่าพวกเราไปฉลองวันเกิดกันสี่คนก็ได้ ในเมื่อลูกเราต้องการแบบนั้น พวกเราก็ทำแบบนั้นกันเถอะ”
“ที่รักคะ แบบนั้นมัน…”
“ผมรู้...คุณก็คิดว่าผมทำเรื่องไม่ดีอยู่งั้นสินะ”
น้ำเสียงของคุณพ่อขณะพูดถูกเบาลงเหมือนคนขาดความมั่นใจ เป็นที่ชัดเชนว่าคุณพ่อเองก็รู้สึกลำบากใจที่จะทำตามที่พูดเมื่อกี้เหมือนกัน
และเพราะว่าเป็นคนรัก เป็นคนรู้ใจ เป็นคนที่อยู่ด้วยกันมานาน คุณแม่ที่เห็นว่าคุณพ่อเป็นแบบนั้นจึงตัดสินใจพูดสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับตอนนี้ออกมาพลางกุมมือของคุณพ่อไว้
“ไม่ค่ะ ฉันเชื่อใจคุณ”
~~~★★★~~~
ขอร้องละนะ ช่วยตายทีเถอะ ตายไปสักทีได้ไหม พวกเราเหนื่อยกันแล้วนะ ยอมแพ้กันแล้วด้วย ช่วยหยุดทรมาณพวกเราสักทีจะได้ไหม หายไปสักที ไม่น่าให้เกิดมาเลย ทำไมถึงเกิดมาเป็นอย่างนี่ล่ะ ไม่มีหนทางรักษาแล้ว หมดหนทางแล้ว ไม่ไหวแล้ว พอสักที หมดความอดทนแล้ว เวรเอ้ย ขยะเอ้ย ไร้ประโยชน์ ภาระความสัมพันธ์ของพวกเราจริง ๆ ถ้ายัยนั่นไม่ห้ามไว้ ฉันนี่แหละจะฆ่าแกเอง ไปให้พ้นจากชีวิตพวกเราสักที ขอยอมแพ้เถอะนะ ตายไปซะ ไอ้เด็กนรกส่งมาเกิด ไอ้ตัวปัญหา ขอร้องล่ะ ใครก็ได้ช่วยทำให้เด็กคนนี้หายไปที พวกเราช่วยไม่ไหวแล้ว ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ฉันถึงต้องเป็นแม่ของเด็กคนนี้ด้วยนะ ผมเห็นด้วยกับการปลิดชีวิตเด็กคนนี้ครับ ผมไม่อยากให้เขาทรมาณตัวเองไปมากกว่านี้แล้ว ผมจะเป็นคนทำเอง ฉันไม่อยากรู้อะไรเกี่ยวกับเด็กคนนี้ทั้งนั้น เพราะงั้นอย่าพูดถึงให้ฉันฟังอีก
ตั้งแต่เกิดมา เมฆที่ต้องทนนอนอยู่บนเตียงในห้องรักษาตัวชั้นใต้ดินได้ฟังถ้อยคำเหล่านี้จากอีกฝากของกระจกในทุก ๆ วัน เป็นราวกับบทเพลงกล่อมเด็กชนิดหนึ่งที่คิดขึ้นมาเพื่อสาปแช่งตัวเมฆที่อ่อนแอ ทั้งคำขอร้องให้เขาตาย คำขอร้องให้เขาหายไป คำขอร้องให้เขาไม่เคยมีอยู่ เขาได้รับฟังมันทั้งหมด
ทุกช่วงเวลาที่อยู่ในห้องนั้นล้วนแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกไม่เข้าใจ สงสัยว่าทำไม มันช่วยไม่ได้สักหน่อยที่เขาจะเกิดมาแล้วมีความผิดปกติทางร่างกายเพราะดันได้รับ [ร่างไร้พร] ที่ถูกยืนยันว่ามีอยู่จริงไว้มาครอบครอง
เขาไม่ได้อยากได้มันสักหน่อย ไม่ได้อยากมีเลยสักนิด ทำไมในชีวิตนี้ถึงยังมีความสุขไม่ได้กัน
ทั้งหมดนั่นคือสิ่งเล็ก ๆ ที่อัดแน่นอยู่ภายในใจของเด็กผู้ชายที่มีชื่อว่าเมฆ ค่ำคะนอง เป็นแค่สิ่งเล็ก ๆ ที่ยังตราตรึงจนมาถึงปัจจุบันได้โดยยังไม่ถูกทำให้ลืม
*ก๊อก ๆ ๆ *
“......”
*ก๊อก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ *
“จะเคาะทำหอกไรหนักหนา! ประตูไม่ได้ล็อกโว้ย!!”
และในขณะที่เมฆกำลังนอนอ่านหนังสืออยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีคนมาเคาะประตูหน้าห้องถี่รัวราวกับจงใจกวนประสาทเขา โดยต่อให้ไม่ต้องบอกเมฆก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร
“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู~”
“โค้ดนี้หมดอายุแล้ว”
“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยูจุ๊บ ๆ ~”
“โค้ดนี้หมดอายุแล้ว”
และคนที่เดินเปิดประตูทำหน้าสบายใจเข้ามาก็คือแก้ว ไคม์ เพื่อนสมัยเด็กสมองเพี้ยนของเมฆ เธอเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถือถาดเค้กในมือสองถาดซ้ายขวาและสวมมุงกุฎกระดาษไว้บนหัวสองชั้น เมฆอยากจะตบมุกเรื่องนั้นแต่ก็คิดว่าควรปล่อยผ่านไปจะดีกว่า
โดยหลังจากแก้วเข้ามาในห้องแล้ว เธอก็เอาเค้กทั้งสองมาวางลงบนโต๊ะอ่านหนังสือที่ยังว่างและดึงเก้าอี้ออกมานั่ง
“อะ เอาไปสิ ฉันแบ่งเค้กมาให้”
พูดแล้วเธอก็หยิบหนึ่งในสองเค้กบนโต๊ะยื่นมาให้เมฆที่เพิ่งลุกจากเตียง ซึ่งเตียงที่อยู่ในห้องนี้เป็นเตียงแบบสองชั้นเนื่องจากเมฆกับฟ้านั้นนอนอยู่ห้องเดียวกันเพื่อประหยัดพื้นที่ในบ้าน โดยฟ้าจะนอนอยู่เตียงชั้นบน ส่วนเมฆจะนอนอยู่เตียงชั้นล่าง พวกตู้เสื้อผ้ากับโต๊ะอ่านหนังสือเองก็ใช้ร่วมกันในห้องนี้
“อา ขอบใจ”
“ไม่ต้องซึ้งใจไปหรอก การแบ่งปันให้ผู้ตกทุกข์ได้ยากคือหน้าที่ของผู้มั่งคั่งร่ำรวย”
“งั้นเอาคืนไปเถอะแม่คุณ ผู้ตกทุกข์ได้ยากคนนี้ไม่อยากกินแล้ว”
“ไม่เอา สกปรก”
“เฮ้ย แอบใส่อะไรไปรึเปล่าเนี่ย??”
“กิน ๆ ไปเถอะน่า ฉันแค่พูดเล่นเอง แล้วก็เอานี่ไปด้วย”
แก้วหยิบมงกุฎกระดาษบนหัวตัวเองลงมาแล้วโยนหนึ่งในสองอันให้หมุนล่อนไปลงลงบนหัวเมฆทั้งด้านหน้าและด้านหลังของมงกุฎต่างก็อยู่ในฝั่งที่ควรอยู่พอดี เป็นความบังเอิญที่แม่นอย่างกับจับวาง
“ฉันมันโคตรเจ๋ง!”
“จะโยนเพื่อ? ส่งให้แบบปกติเหมือนให้เค้กไม่ได้รึไงยัยบ้านี่”
เมฆพูดโดยไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับผลลัพธ์นี้ เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าแก้วจะทำอะไรโชคดีก็พร้อมจะเข้าข้างเธอเสมอ ราวกับเป็นลูกคนโปรดของพระเจ้าที่จะได้รับ ‘สิ่งที่คิดว่าดี’ โดยไม่ต้องร้องขอเลย ถึงแม้ครั้งนี้เธอจะแสดงอาการดีใจออกมาเวอร์เกินไปหน่อยสำหรับคนที่ทำให้เรื่องแค่นี้เกิดขึ้นได้ตลอดก็ตาม
และถึงจะเคยบอกว่าความสัมพันธ์ของแก้วกับเมฆเป็นเพื่อนสมัยเด็กกัน แต่อะไรหลาย ๆ อย่างกลับซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจในทีเดียว เป็นเพียง ‘ความบังเอิญที่ไม่ใช่ความบังเอิญหลายอย่างหลายครั้งเกิดพร้อมกันและทับซ้อนกันในทีเดียว ทำให้แก้วกับเมฆได้มารู้จักกัน’ ซึ่งสามารถเข้าใจได้แค่ว่าเป็น ‘เรื่องบังเอิญที่มีสาเหตุ’ สำหรับความสัมพันธ์นี้
เมฆไม่มีทางเกลียดแก้ว และแก้วก็ไม่มีทางเกลียดเมฆ นี่คือสิ่งที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่พวกเขาเกิดมาพร้อมกับร่างกายพิเศษกันทั้งคู่แล้ว
“......”
“จ้องกันแบบนั้นหมายความว่าไง? อยากได้ส่วนของฉันด้วยเหรอ??”
“ไม่ใช่เฟ้ย”
ขณะที่แก้วกำลังกินเค้กอย่างเอร็ดอร่อย เมฆที่ยืนถือถาดเค้กอยู่ก็เอาแต่จ้องมองเธอราวกับต้องการถามอะไรบางอย่าง
“เธอไม่ให้ช้อนมาแล้วฉันจะกินยังไง”
“อ่อใช่ ลืมเลยแฮะ เอานี่ แล้วมีอะไรอีกล่ะ ง่ำ~ คงไม่ได้จ้องตาเป็นมันขนาดนั้นเพราะแค่อยากได้ช้อนหรอกเนอะ?”
เมฆรับช้อนจากแก้วที่ถามแล้วจึงตักเค้กเข้าปาก ขณะเดียวกันก็เดินถอยกลับไปนั่งที่ขอบเตียงด้วยท่าทีนิ่งสงบผิดกลับสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความลังเลจนชวนเวทนา ซึ่งแก้วก็นั่งมองภาพเช่นนั้นพลางอดทนรอดูการแสดงออกต่อไปของเขา
“....ด้านล่างฉลองกันเสร็จแล้วเหรอ?”
“ยังหรอก ๆ แค่คุณป้าเขาให้ฉันขึ้นมาอยู่เป็นเพื่อนนายได้ ง่ำ~ ฉันเลยขึ้นมาน่ะ”
“ ง่ำ~ แล้วจะขึ้นมาทำไม?”
“ก็แค่อยากมา นายมีปัญหานักรึไง ง่ำ~”
“ก็เปล่า...”
เมฆเบือนสายตาหนีราวกับคนขี้ขลาด โดยเรื่องที่เขาเพิ่งถามออกไปเมื่อกี้นี้ แก้วสามารถดูออกได้ทันทีว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่เขาอยากถามจริง ๆ เป็นแค่ข้ออ้างถ่วงเวลาให้ตัวเองได้มีเวลาตรียมใจนานขึ้น
ซึ่งเมื่อเห็นภาพเช่นนั้นเกิดซ้ำอีกรอบ แก้วก็ถึงกับถอนหายใจหน่ายออกมาเยียดยาวและลุกขึ้นเดินเข้าไปหาเมฆด้วยตัวเองตรง ๆ
เธอเดินไปนั่งลงที่ตำแหน่งด้านข้างเขาพร้อมกับวางถาดเค้กลงบนตัก
“นายเกลียดคุณลุงกับคุณป้าเหรอ?”
“หะ?!”
เธอไม่พูดพร่ำทำเพลงเหมือนอย่างปกติ จับจูงเข้าประเด็นสำคัญที่ชวนลำบากใจทันที และดูแล้วเธอก็คงไม่ปล่อยให้เมฆมามัวลังเลใจอีก
“นายเกลียดคุณลุงกับคุณป้า...ใช่ไหม?”
แก้วถามย้ำอีกรอบเพื่อป้องกันไม่ให้เมฆแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินหรือเมินคำถามของเธอ
การกระทำของเมฆที่ชั้นล่างตอนเจอคุณพ่อกับคุณแม่ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาปฏิเสธความหวังดีของทั้งคู่ เพราะตลอดที่ผ่านมาเมฆก็ทำเช่นนี้มาตลอด ถอยห่างจากความสัมพันธ์กับครอบครัวนี้ ถอยห่างจากความรักกับครอบครัวนี้ และถอยห่างจากช่วงเวลากับครอบครัวนี้ หลีกเลี่ยงการอยู่กับพวกเขาให้มากที่สุด นั่นคือสิ่งที่เมฆทำ
มีแค่ฟ้ากับคุณยายของเขาเท่านั้นที่ยังถูกปฏิบัติตัวดีด้วยหน่อยในฐานะคนของครอบครัวนี้
“ฉันไม่ได้เกลียด...แต่ก็ชอบไม่ลงเหมือนกัน”
“หมายความว่ายังไง?”
“ฉันมีเหตุผลมากพอให้เกลียดทั้งคู่ได้ตลอดชีวิต และก็มีเหตุผลมากพอให้ชอบทั้งคู่ได้ตลอดชีวิตเช่นกัน พอเป็นงั้นมันก็เลยไม่ได้ทั้งชอบหรือเกลียดอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่จะปฏิบัติตัวด้วยเหมือนกับคนแปลกหน้าก็ไม่ได้...พูดไปพูดมาก็น่าตลกเนอะ”
เมฆเผยยิ้มเจื่อนออกมาขณะหลับตาลง เขาไม่กล้ามองหน้าของแก้วตอนนี้ด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าเธอจะตอบสนองยังไงกับความคิดและคำอธิบายวกวนของเขา เพราะคนในบ้านที่รู้ต้นสายปลายเหตุของสถานการณ์ความสัมพันธ์ครอบครัวก็มีแค่คุณพ่อคุณแม่แล้วก็เมฆแค่สามคนเท่านั้น แก้วไม่ได้รู้เรื่องด้วยเพราะเป็นคนนอกครอบครัว และเมฆก็ไม่ได้อยากให้เธอรู้ขนาดนั้นจึงไม่เคยบอก แต่เขาก็เชื่อว่าเธอน่าจะพอเดาเรื่องราวได้บางส่วนจากที่คุยกันเพราะแก้วเป็นเด็กฉลาด มีไหวพริบพอจะจับสังเกตข้อมูลเล็กน้อยที่ได้ยิน
“แค่นั้นเองเหรอ?”
“หะ อา? ก็แค่นั้นแหละ??”
แต่การตอบสนองกลับมาของแก้วกลับเกินคาดของเมฆไปไกล เขาคิดว่าเธอจะรั้นอยากรู้ข้อมูลลงลึกกว่านี้ แต่นี่กลับถามสวนมาแค่ว่า ‘แค่นั้นเองเหรอ’ จนเขาเริ่มสงสัยแล้วว่าคำที่เธอพูดอาจไม่ใช่ภาษาไทยจริง ๆ แต่เป็นคำพูดภาษาอื่นที่ออกเสียงคล้ายกันแทน
“......?”
“เฮ้อออออ...ง่ำ~”
แก้วถอนหายใจเยียดยาวอีกรอบและตักเค้กเขาปากโดยไม่พูดไม่จาอะไรต่ออีก เหลือทิ้งไว้แค่ความสงสัยที่ไร้คำตอบให้เมฆครุ่นคิดอยู่คนเดียว
(หะ? มองหน้าแล้วถอนหายใจแบบนั้นหมายความว่าไงครับเนี่ย? ผมต้องตบมุกเหรอ? หรือยังไงกันแน่?)
เมฆได้แต่ตั้งคำถามในใจตัวเองไปเรื่อยจนกระทั่งแก้วกินเค้กหมดแล้วเดินออกจากห้องไปเขาก็ยังไม่ได้รับคำตอบสักที เพียงแต่ ความลังเลและความกังวลก่อนหน้านี้ทั้งหมดถูกความสงสัยทำให้ลืมหายไปหมดแล้ว เมฆไม่รู้ว่านี่ใช่เจตนาที่แท้จริงของแก้วรึเปล่า แต่ในคืนนี้เขาสามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจขึ้นก็เพราะเธอ...
“ตื่น ๆ ๆ ๆ ช่วยตื่นสักทีเถอะไอ้โง่เมฆฆฆฆ! รถรับส่งจะมาแล้ววววว รีบตื่นสิไอ้บ้า! ไอ้ติ๊งต๊อง! ไอ้โง่!”
“จะสายแล้วนะคะพี่! รีบตื่นเร็วเข้า หนูไม่อยากวิ่งไปโรงเรียนเหมือนตอนนั้นอีกแล้วนะ!”
และในยามเช้าที่สดใสของวันถัดมา เมฆซึ่งนอนหลับบนเตียงอย่างสบายใจเฉิบอยู่นั้น จู่ ๆ เขาก็ถูกปลูกขึ้นมาด้วยเสียงเจี๊ยวจ๊าวภายในห้อง พอลืมตาในสภาพที่ยังงัวเงียก็เห็นภาพของแก้วที่กำลังกระชากคอเสื้อของตัวเขาเขย่าไปมาพลางโหวกเหวกโวยวายเสียงดังอยู่กับฟ้า
“....เช้าแล้วเหรอ?”
“สายแล้วต่างหาก! รีบไปเปลี่ยนชุดเลยนะ เดี๋ยวฉันกับฟ้าจะลงไปถ่วงเวลาลุงโจ้ให้เอง เร็วเข้า!”
“....อา เค?”
เมฆยังคงสะลึมสะลือ แต่ก็พยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ เมื่อวานนี้คือวันเกิดของเขา ขณะเดียวกันก็เป็นวันอาทิตย์ที่เป็นวันหยุดวันสุดท้ายหลังปิดภาคเรียนที่หนึ่ง ดังนั้นจะหมายความว่าวันนี้คือวันจันทร์...วันเปิดภาคเรียนที่สองวันแรก
(ชิบบบบบบบบหายแล้วไง!? ฉันตื่นสายนี่หว่า! ตอนนี้กี่โมงแล้วเนี่ย?!)
หลังแก้วกับฟ้าพากันออกจากห้องไป เมฆที่เพิ่งรวบรวมสติกลับมาได้เต็มร้อยก็รีบหอบร่างพัง ๆ ไปที่หน้าตู้เสื้อผ้า พยายามจัดการตัวเองอย่างเร่งรีบจนไม่ทันดูด้วยซ้ำว่าติดกระดุมถูกขั้นหรือไม่ ทุกอย่างถูกทำไปโดยคำนึงถึงแค่เวลา ซึ่งเมื่อเสร็จจากการแปรงฟันไม่ถึงหนึ่งนาที เขาก็หอบร่างพุ่งตัวออกจากบ้านไปกับกระเป๋านักเรียนที่ไม่มีอะไรอยู่ข้างใน
ส่วนเหตุผลที่เขาไม่ได้เห็นหน้าคุณพ่อคุณแม่เลยก็เพราะทั้งสองคนออกไปทำงานกันตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าแล้ว เป็นช่วงก่อนที่เมฆจะลืมตาตื่นซะอีก
ซึ่งหลังจากเมฆล็อกรั้วประตูบ้านเสร็จ เขาก็หันไปเห็นฟ้าที่กำลังกระโดดขี่หลังคุณลุงคนขับรถรับส่งพร้อมทั้งใช้มือปิดตาคุณลุงไว้ ขณะเดียวกันเขาก็เห็นแก้วกำลังดึงยื้อประตูรถตู้ไว้สุดแรงสู้คุณลุง ไม่คิดยอมให้คุณลุงได้ปิดประตูรถ โดยจากภาพที่เห็นก็ดูเหมือนจะแก้วจะชนะคุณลุงเรื่องพละกำลังซะด้วย เพราะประตูรถเล่นไม่ขยับไปตามแรงฝ่ายคุณลุงเลย
(นี่เหรอที่บอกว่าจะไปถ่วงเวลาให้ฉันน่ะ???)
ความคิดจากใจจริง เมฆรู้สึกซาบซึ้งกับการกระทำของแก้วกับฟ้ามากที่ไม่อยากให้เขาไปโรงเรียนสายตั้งแต่วันแรก ทว่าในเวลาเดียวกัน เขาก็เผลอคิดว่าตัวเองช่างโชคร้ายจริง ๆ ที่ได้รู้จักสองคนนี้
สุดท้ายแล้ว เขาก็เดินย่องผ่านความวุ่นวายเข้าไปนั่งในรถได้ โดยแก้วที่เห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยก็ส่งสัญญาณให้ฟ้ากลับเข้ารถพร้อมตัวเองไปนั่งแถวเดียวกับเมฆเนียน ๆ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“โธ่เอ้ย แล้วทีนี้จะไปส่งทุกคนทันไหมเนี่ย...”
คุณลุงคนขับรถรับส่งหันสายตามองค้อนมาทางเมฆเหมือนรู้อยู่แล้วว่าใครเป็นต้นเหตุ ซึ่งเมฆก็ได้แต่ส่งยิ้มเจื่อนกลับไปให้อย่างรู้สึกผิดเพราะเหตุการณ์ทำนองนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นจากฝีมือของเขา มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วราว ๆ ยี่สิบครั้งต่อต่อปี และเป็นมาตลอดสามปีหลังเขาใช้บริการรถรับส่งนักเรียน
โดยเมื่อคุณลุงขับรถออกจากหมู่บ้านชาทอง เด็กนักเรียนคนอื่น ๆ ภายในรถก็เริ่มหันหน้าคุยกัน ไม่มีใครต่อว่าหรือแสดงท่าทีไม่พอใจใส่เมฆเลย เนื่องจากเด็กนักเรียนในรถคันนี้ทั้งหมดเป็นเด็กจากหมู่บ้านชาทองเหมือนกัน แค่อาจจะอยู่กันคนละซอยเลยไม่ได้เจอกันบ่อยนอกจากในรถรับส่งนักเรียนนี้ ดังนั้นจึงยังสามารถเรียกได้ว่าพอรู้จักนิสัยใจคอกันเองระดับหนึ่ง
“แค่วันแรกพี่เมฆก็จะพาพวกผมสายเลยเหรอ ฮะฮ่า ๆ ๆ ”
จู่ ๆ หนึ่งในเด็กผู้ชายที่นั่งอยู่เบาะด้านหลังของเมฆก็ชะเง้อคอโผล่หน้ามาชวนคุยด้วยอย่างเป็นกันเอง
“โทษทีนะ”
“อ๋า ไม่เป็นไรหรอก ผมชินได้แล้วล่ะ เวลาแค่นี้ยังไงก็ไปทันอยู่แล้วด้วย เป็นลุงโจ้ต่างหากที่รีบมารับเร็วเกิ๊น ผมยังนอนไม่เต็มอิ่มเลย”
เด็กนักเรียนคนอื่นที่ตั้งใจฟังพอให้ผ่าน ๆ หูก็พยักหน้าเห็นด้วยกันหมดแบบไม่รู้ตัว โดยคนที่แสดงอาการกับคำพูดประโยคนี้มากที่สุดก็คือคุณลุงคนขับรถที่ได้ยินทุกอย่างเต็มสองรูหู เขาหายใจฟืดฟาดใส่อารมณ์นิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับมาเพิ่มเติมอีก คงจะตั้งใจปล่อยผ่านเพราะมองว่าเป็นแค่เรื่องที่เด็กคุยเล่นกัน
“อ่อใช่ ๆ แล้วพี่แก้วกับพี่เมฆรู้รึยังว่ามีเด็กใหม่มาในรถด้วยนะ”
“เด็กใหม่เหรอ? ช่วงนี้เนี่ยนะ??”
“ใช่ครับพี่แก้ว เป็นสองคนที่นั่งหลับอยู่เบาะหลังสุดตรงนู้นอ่ะ”
ฟ้าชะเง้อหัวขึ้นพยายามมองด้านหลังข้ามเบาะไปดูแบบที่ยังรักษามารยาทอยู่ ถึงจะได้ยินว่าหลับ แต่เธอก็ยังคงระมัดระวังเรื่องมารยาทเป็นอย่างดี
“เห็นว่าเพิ่งย้ายเข้ามาในหมู่บ้านช่วงวันหยุดปิดภาคเรียนนี่เอง แล้วก็ได้ยินว่าพวกเขาทำเรื่องย้ายไปเรียนที่เดียวกับพวกพี่ด้วยนะ เป็นเด็กใหม่ของแท้เลยครับ แถมอายุน่าจะน้อยกว่าพวกพี่ปีนึงมั้ง?”
“รู้เยอะไปไหม??”
“ฮะฮ่า ๆ ๆ พี่เมฆก็พูดเกินไป ที่รู้เพราะแค่บ้านที่เด็กใหม่ย้ายมาดันบังเอิญอยู่ในซอยเดียวกันกับผมเท่านั้นเอง แถมพ่อของเขาก็พามาฝากตัวกับเพื่อนบ้านใกล้เคียงทุกหลังด้วย ผมเลยพอได้รู้จักมาบ้างน่ะ ฮะฮ่า ๆ ๆ ๆ ”
เด็กผู้ชายหัวเราะร่าพลางนั่งลงและหันหน้าไปคุยกับเด็กคนอื่นในรถต่ออย่างไม่ใส่ใจ ยังไงซะ เมฆกับเด็กผู้ชายคนนี้ก็รู้จักกันแค่ระดับหนึ่ง ไม่ถึงขั้นเรียกกันว่าเพื่อนได้ การคุยแลกเปลี่ยนกันแค่นี้ก็ถือว่ามากพอแล้วสำหรับปัจจุบัน
และความจริงอีกอย่างคือพวกเมฆกับเด็กผู้ชายคนนี้เรียนกันคนละโรงเรียน เพราะรถรับส่งนักเรียนคันนี้ไม่ได้จะไปส่งแค่โรงเรียนเอกชนปอมเลห์ที่เดียว ยังมีการรับนักเรียนจากหมู่บ้านชาทองไปส่งที่โรงเรียนอื่นด้วย โดยโรงเรียนที่ว่าจะเป็นโรงเรียนรัฐบาลเล็ก ๆ ที่ชื่อ ‘โรงเรียนวัดไม้พลอย’ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากโรงเรียนปอมเลห์ขนาดนั้นจึงยังสามารถร่วมไปทางเดียวกันได้
แต่เรื่องพวกนั้นเมฆไม่ได้ให้ความสนใจเลยสักนิด เพราะเรื่องที่เขาสนใจอยู่ตอนนี้ก็คือเรื่องเด็กใหม่ที่จู่ ๆ ก็ย้ายมาในช่วงภาคเรียนที่สองอย่างผิดปกติต่างหาก
(อืม...จะให้เข้าไปถามหาเหตุผลที่ย้ายบ้านมาก็คงดูสอดรู้สอดเห็นมากเกินไปหน่อย แต่จะให้มองข้ามเรื่องแปลกขนาดนี้เลยก็ไม่ไหว ทำไมถึงต้องย้ายมากะทันหันช่วงนี้ด้วย มีเหตุผลอะไรรึเปล่านะ จะเป็นเหตุผลส่วนตัวหรือของครอบครัวกันแน่...แล้วนี่ฉันดูสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านมากไปไหมเนี่ย??)
ไม่ว่าจะยังไง เรื่องที่มีเด็กใหม่ย้ายมาในช่วงภาคเรียนที่สองก็น่าสงสัย ยิ่งเป็นเด็กผู้หญิงสองคนที่หน้าตาดีแบบนั้นยิ่งน่าสงสัย โลกนี้ไม่ใช่มังงะหรือนิยายที่จู่ ๆ จะมีเด็กใหม่แห่งโชคชะตาโผล่มาเป็นคู่ชีวิตได้ แต่เป็นโลกที่จะยังคงหมุนวนต่อด้วยตัวเองแม้จะมีสิ่งเหนือสามัญสำนึกหลบซ่อนอยู่ต่างหาก
“นายกำลังสนใจรุ่นน้องสองคนนั้นเหรอ?”
“....หะ???”
และในขณะที่เมฆครุ่นคิดอยู่นั้น แก้วที่กำลังนั่งจัดชุดนักเรียนของเมฆให้เรียบร้อยอยู่ก็พลันถามขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เธอเงยหน้าขึ้นมาพร้อมเผยรอยยิ้มแปลกประหลาด
“ไม่ต้องมาทำมึนเลย ฉันเห็นนายแอบเหล่ทั้งคู่เหมือนโรคจิตมาสักพักละ แหม~ น้ำลายหกหมดแล้วนะ ช่วยรักษามารยาทหน่อยได้ไหม”
“มะ-ไม่ได้ทำเฟ้ย”
“ตอบอึกอักแบบนั้นใครจะเชื่อ ถ้าขึ้นศาลไป นายคงโดนโทษประหารชีวิตแล้วนะ ข้อหาคำพูดไม่มีน้ำหนัก”
“หะ เพ้อเจ้อไปไกลแล้วคนไข้รายนี้ หมอไม่น่าอนุญาตให้ออกจากศรีธัญญามาเลย…ภาระสังคม”
“ภาระสังคมเลยเหรอ น่าสงสารจังนะ”
แก้วกับเมฆจ้องหน้ากัน ทั้งคู่เหมือนกำลังสื่อสารกันด้วยบทสนาอื่นที่ไม่ได้มีความหมายอย่างที่ปากพูดออกมา เป็นบทสนาที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าการเล่นส่งกระแสจิตกันก่อนหน้า ซึ่งฟ้าที่คอยฟังอยู่เงียบ ๆ มาตลอดก็ได้แต่นั่งเหม่อลอยเพราะตามความคิดความเข้าใจของทั้งสองคนไม่ทัน
เรื่องเดียวที่ฟ้าพอจะจับใจความได้ในทีแรกก็คือเด็กใหม่น่าสนใจ เพราะงั้นต้องไปทำความรู้จัก
และเมื่อสรุปเองเออเองได้เช่นนั้น ฟ้าจึงลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วค่อย ๆ เดินฝ่าเด็กคนอื่นเข้าไปใกล้เด็กใหม่ที่หลับอยู่อย่างสบายใจราวกับไม่มีความกังวลเรื่องสภาพแวดล้อมใหม่ที่ไม่รู้จัก
โดยในระหว่างนี้เอง แก้วกับเมฆก็ไม่ได้รู้เรื่องเลยว่าฟ้าลุกออกไปแล้ว
“ขอโทษนะคะ พี่ตื่นอยู่รึเปล่า?”
ฟ้าที่สามารถเข้าถึงตัวอีกฝ่ายได้แล้วก็ไม่รีรอ ทำการสะกิดไหล่เด็กใหม่ทั้งสองคนเบา ๆ เพื่อปลุกให้ตื่น ซึ่งในทีแรกฟ้าก็มีท่าทีลังเลนิดหน่อย กลัวว่าสิ่งที่ทำจะเป็นการรบกวนมากเกินไปรึเปล่า แต่เพราะรถรับส่งเริ่มขับเข้ามาในเขตโรงเรียนปอมเลห์แล้ว ฟ้าจึงคิดว่าเป็นโอกาสดีที่จะปลุกพวกเธออย่างสมเหตุสมผล
“ฮัลโหลลลล ยังตื่นอยู่ใช่ไหมคะ…?”
“อือ...”
“คือว่าาาา จะถึงจุดจอดรถแล้วนะคะ ถ้ายังไม่เตรียมตัวตอนนี้ระวังจะลงรถไม่ทันเอานะคะ”
“อือ หาว~”
ภายในใจของฟ้าคิดออกได้แค่คำเดียวคือคำว่า ‘พี่ชาย’ เพราะเด็กใหม่ทั้งสองคนตอบสั้นเหมือนพี่ชายของเธอเปี๊ยบ กระทั่งน้ำเสียงก็ยังเฉยชาลากยาวเหมือนกัน ซึ่งส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะพวกเธอพึ่งตื่นเลยยังไม่ทันได้ตั้งตัว
และในที่สุด แก้วกับเมฆก็รู้ตัวได้สักทีว่าฟ้าแอบไปทักทายเด็กใหม่ในตอนที่พวกเขาไม่รู้ตัวแล้ว ซึ่งใจจริงของเมฆเองก็อยากใช้จังหวะนี้เนียนตามเข้าไปตรวจสอบท่าทีของเด็กใหม่ด้วย ทว่าทางเดินที่จะเข้าไปกลับไม่เอื้ออำนวยให้ลอดผ่านไปได้ง่าย ๆ เหมือนอย่างที่ฟ้าทำ ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่ชะเง้อหัวมองดูอยู่ที่เบาะแถวหน้าสุดเคียงข้างแก้ว
(หวังว่าพวกนั้นจะเป็นคนปกตินะ...)
เมฆยังคงภาวนาในใจแม้จะรู้ว่าคำภาวนาของตัวเองไม่เคยเป็นจริงสักอย่าง มิหนำซ้ำผลลัพธ์ยังอาจเกิดขึ้นตรงกันข้ามกับที่คาดหวังไว้ด้วยเพราะ [ร่างไร้พร] แต่ถ้าจะให้เขาไม่คาดหวังในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้มากที่สุดอย่างโชคชะตา เขาก็คงไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้อีก...ทั้งในชีวิตนี้ รวมถึงในชีวิตที่แล้วด้วย
“ถึงปอมเลห์แล้วเหรอ ไวจัง?”
“ใช่ค่ะ ปอมเลห์ห่างจากหมู่บ้านไม่กี่กิโลเอง แต่ต้องรอลุงโจ้กลับรถหาที่จอดก่อนนะคะถึงจะลงได้”
“อ๋อ ขอบใจที่บอกนะ แล้วก็ขอบใจที่ช่วยปลุกนะ ว่าแต่น้องเป็นใครเหรอ?”
หนึ่งในสองเด็กใหม่เผยยิ้มและถามฟ้าพลางจ้องมองตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับกำลังประเมินอะไรบางอย่าง ซึ่งนั่นก็ทำให้ฟ้ารู้สึกไม่สบายใจทันที แต่เด็กใหม่ก็เหมือนจะรู้ตัวว่ากำลังทำเรื่องเสียมารยาทอยู่จึงรีบพูดขอโทษดักไว้
“เผลอทำให้อึดอัดใช่ไหม ขอโทษที่มองแบบนี้นะ พอดีพี่สายตาไม่ดี แถมยังจำหน้าคนไม่เก่งเป็นทุนเดิมด้วย เลยต้องพยายามจำรายละเอียดส่วนอื่นแทนน่ะ ขอโทษด้วยนะ”
“มะ-ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องแค่นี้เข้าใจกันได้ หนูชื่อฟ้านะคะ เรียนอยู่ปอมเลห์เหมือนกัน แต่อยู่ชั้นป.3 แล้วพี่ล่ะ?”
ฟ้าพยายามรักษาความใจเย็นเอาไว้ แม้ในใจจะยังรู้สึกตงิด ๆ นิดหน่อยก็ตาม โดยเด็กใหม่ที่ฟ้ากำลังคุยด้วยอยู่ตอนนี้คือเด็กผู้หญิงสวมแว่นตากรอบหนาและไว้ผมยาวสีม่วงสลวยคล้ายสีลูกพลัม หลังเลนส์แว่นก็มีดวงตาสีม่วงลาเวนเดอร์น่าหลงไหล
“พี่ชื่อไนน์นะ อยู่ซอยสิบหก พอดีพึ่งย้ายเข้ามาใหม่เร็ว ๆ นี้เอง แล้วพี่ก็พี่สาวของคนข้าง ๆ นี้ที่ชื่อนิวด้วย”
“อ๋อ พี่ไนน์เป็นพี่สาว ส่วนพี่นิวก็เป็นน้อง---- ”
“----ไม่ใช่ พี่ต่างหากที่เป็นพี่สาว ยัยไนน์โกหกฟ้าอยู่นะ”
และในขณะนั้นเอง เด็กใหม่อีกคนที่ก้มหน้าก้มตาแต่งหน้าจัดผมระหว่างไนน์กับฟ้าคุยกันก็พลันพูดแทรกขึ้น พร้อมทั้งชี้หน้าของไนน์อย่างแค้นเคืองใจ
“อย่าไปเชื่อล่ะฟ้า ยัยไนน์ชอบโกหกแบบนี้ไปทั่วแหละ พี่เรียนอยู่ม.2 ส่วนยัยไนน์เรียนอยู่ม.1 แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วไหม”
เด็กใหม่อีกคนมีหน้าตาคล้ายกับไนน์เพราะเป็นพี่น้องกัน แต่จะมีแค่ทรงผมที่เกล้าผมเปียไว้แล้วปล่อยร่วงนิดหน่อยเป็นแฟชั่นกับสีดวงตาที่ต่างกัน เพราะเธอใส่คอนแทคเลนส์สีเทาอมม่วงที่เข้ากับการฝีมือแต่งหน้าของเธอพอดี
“ไม่ปฏิเสธ”
“เธอนี่มันหน้าด้านชะมัด เกลียดจริง ๆ เลย...”
“ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ฉันชอบเธอนะ แล้วก็ชอบฟ้าที่ตั้งใจฟังด้วย”
“ค่ะ? ขอบคุณค่ะ??”
ไนน์เลือกใช้คำพูดที่สดใสร่าเริง แต่กลับกับขัดแย้งกับน้ำเสียงและสีหน้าที่เรียบเชียบจนเหมือนลืมใส่อารมณ์ลงไป ทำให้ทุกอย่างดูแปลกไปหมด
ในใจของฟ้ามีภาพพี่ชายของเธอโผล่มาอีกรอบ แต่เมื่อกำลังจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกไปก็ดันถูกขัดด้วยเสียงเปิดประตูรถและความวุ่นวายของเด็กนักเรียนนอกรถ สุดท้ายฟ้าก็ตัดสินใจทิ้งสิ่งที่จะพูดเมื่อกี้แล้วกลับไปหาแก้วกับเมฆเพื่อหยิบกระเป๋านักเรียน
และเมื่อลงรถมาแล้ว ฟ้าก็รีบวิ่งกลับไปหานิวกับไนน์อีกรอบ
“หนูเกือบลืมถามไปเลย พวกพี่รู้ทางไปห้องเรียนตัวเองกันไหมคะ?”
“โอ๊ะ เป็นคำถามที่ดีมากฟ้า อยากจะบอกเหมือนกันว่าพวกพี่ไม่รู้ทางในปอมเลห์เลย”
“เคยมากันตอนสมัครเรียนอยู่ แต่ตอนนั้นมีคุณครูมาช่วยนำทางให้เลยไม่เจอปัญหากันน่ะ”
“เป็นงั้นเองเหรอคะ งั้นเดี๋ยวหนูให้คนรู้จักมาช่วยพาไปนะคะ ถึงจริง ๆ จะอยากไปช่วยด้วยตัวเองแหละค่ะ แต่อาคารเรียนของฝั่งประถมกับมัธยมมันแยกกันคนละทางเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกฟ้า แค่นี้ก็ถือว่าฟ้าช่วยพวกพี่มามากเกินพอแล้วล่ะ”
“งั้นหนูไปก่อนนะคะ!”
นิวกับไนน์พากันโบกมือลาฟ้าที่วิ่งแจ้นไปแล้วด้วยความรู้สึกเอ็นดูและความรู้สึกขอบคุณจากใจ ทั้งคู่เองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าการมาโรงเรียนใหม่ครั้งแรกจะได้เจอกับเด็กที่ดีแบบนี้ ระดับความประทับใจแรกถึงขั้นที่ทั้งคู่อยากตามไปเรียนห้องเดียวกันกับฟ้าเลย
ซึ่งก่อนที่ฟ้าจะวิ่งกลับไปหานิวกับไนน์เมื่อกี้นี้ เธอได้พูดทิ้งท้ายฝากพี่ชายให้ไปทำหน้าที่แทนเธอด้วยแบบกระทันหัน ไม่มีเวลาให้เตรียมตัวเตรียมใจเลยด้วยซ้ำ จากสีหน้าก็รู้ได้ทันทีว่าเมฆยังไม่เข้าใจ
“อะ-เอ้า...แล้วไหงวนมาทางฉันได้เนี่ย??”
“เอาน่า เดี๋ยวฉันช่วงเอง”
แก้ววางมือลงบนไหล่ของเมฆและยกนิ้วโป้งให้ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นการกระชากแขนเสื้อลากตัวไปหาเด็กใหม่ที่ยืนโบกมือลาฟ้าอยู่แทน
“สวัสดีรุ่นน้อง ยินดีต้อนรับสู่ปอมเลห์นะ”
“ใช่คนที่----“
นิวกับไนน์หันหน้าไปด้านหลังพร้อมกันตามเสียงเรียกก่อนจะต้องหยุดชะงัก ดวงตาของทั้งคู่เบิกกว้างและเผลออ้าปากค้างด้วยความตกใจผสมปนกับความประหลาดใจ และที่ยิ่งกว่านั้น เมื่อทั้งคู่ ‘มองเห็น’ สิ่งที่อีกฝ่ายลากมา สีหน้าท่าทางของนิวก็เปลี่ยนจากความตกใจกลายเป็นความหวาดกลัวโดยฉับพลัน เช่นเดียวกับไนน์ที่ยืนนิ่งแข็งค้างเป็นหินไปแล้ว
“ยะ-อย่าเข้ามานะ…!!”
“หะ???”
ความคิดเห็น