ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ราชาโลกเบื้องหลัง

    ลำดับตอนที่ #2 : Ch.1 สองมงกุฎในหนึ่งนิทาน(1)

    • อัปเดตล่าสุด 20 พ.ย. 67


    ยามบ่ายที่สดใส ณ สวนสาธารณะแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่

    โดยปกติแล้ว สวนสาธารณะแห่งนี้มักจะมีกลุ่มผู้สูงอายุจำนวนหนึ่งรวมตัวกันมาวิ่งออกกำลังกายที่นี่เป็นประจำ ซึ่งภาพของพวกเขาที่กำลังวิ่งกันอย่างขยันขันแข็งนั้นเป็นอะไรที่คุ้นตาของทุกคนดี  เพียงแต่ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาได้เกิดบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้กิจวัตรประจำวันของพวกเขาเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไป

    ในทุก ๆ วันหยุดสุดสัปดาห์ จะมีสิ่งหนึ่งทำให้กลุ่มผู้สูงอายุเหล่านี้แห่ไปรวมตัวกันที่โซนโต๊ะหินอ่อน ซึ่งจะเป็นพื้นที่มุมหนึ่งในสวนสาธารณะสำหรับให้คนมานั่งกินอาหารหรือพักผ่อนร่างกาย

    *ครืดดดด...ครืดดดดด*

    และตอนนี้ ณ เวลานี้ กลุ่มผู้สูงอายุที่เพิ่งพูดถึงก็กำลังยืนล้อมรอบโต๊ะหินอ่อนธรรมดาตัวหนึ่งพลางจ้องมองไปที่ตารางใจกลางโต๊ะอย่างขะมักเขม้นครุ่นคิดหนัก แววตาต่างก็เต็มไปด้วยความลังเลและความกังวล สวนทางกับความคิดในหัวที่บอกให้ต้องยืนหยัดทนดูต่อจนถึงวินาทีสุดท้าย

    เสียงลากฝาขวดน้ำไปมาสลับกันตามช่องตารางบวกกับสีหน้าเคร่งครึมของเด็กสองคนที่นั่งอยู่ท่ามกลางวงล้อมยิ่งทำให้บรรยากาศบริเวณโต๊ะหินอ่อนตัวนี้ตึงเครียดเป็นพิเศษ

    “กิน“

    “กินต่อ”

    เมื่อหนึ่งในเด็กที่นั่งอยู่พูดขึ้น เด็กอีกคนก็พูดต่อทันทีขณะลากฝาขวดน้ำ

    “กินต่อเหมือนกัน”

    “กินต่ออีก”

    “กะ-กิน...”

    “ฮ่า! ติดกับละเมฆ ทริป-เปิ้ล-กิน!!”

    “อ๊ะ?!”

    เด็กที่พูดขึ้นคนแรกแสดงท่าทีตกใจเมื่อรู้ว่าตัวเองโดนสับขาหลอกเข้าให้แล้ว อีกฝ่ายอ่านเกมล่วงหน้าไปไกลกว่าที่เขาคิดและหลอกให้เดินไปติดกับ

    (ชิบหายแล้วไงทีนี้...)

    เขาได้แต่อุทานในใจ โทษเพียงตัวเองที่เมื่อกี้ยังคิดไม่ไกลพอจะกดดันคู่แข่งตรงหน้าได้

    “เอาไง~ นายจะยอมแพ้เลยไหมเมฆ?”

    “......”

    และสิ่งที่พวกเขาทั้งหมดโดยรอบกำลังดูและลุ้นกับมันอยู่ตอนนี้ก็ไม่ใช่อะไรอื่นเลยนอกจาก ‘หมากฮอส’ เกมกระดานที่มีผู้เล่น 2 คน ผลัดกันเดินตัวหมากบนกระดาน 8x8 ช่อง โดยมีเป้าหมายในการกินตัวหมากของอีกฝ่ายจนกว่าจะหมด

    นับว่าเป็นเกมกระดานที่คนส่วนใหญ่น่าจะรู้จักและเข้าถึงได้ง่ายกันเพราะมีการเล่นให้เห็นทั่วไปในแต่ละชุมชน

    ซึ่งเกมในครั้งนี้ก็กำลังถูกเล่นโดยเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงที่ทั้งคู่ต่างก็โชว์ฝีมือการเล่นได้โดดเด่นสะดุดตา แต่ทว่า ความสนใจของคนส่วนใหญ่ในตอนนี้กลับถูกดึงดูดไปทางฝ่ายเด็กผู้หญิงที่เกมกำลังได้เปรียบและเมื่อกี้เพิ่งกินตัวหมากสามตัวต่อเนื่องไป

    โดยทุกครั้งที่มีการกินตัวหมากเกิดขึ้นก็จะมีเสียงเฮเบา ๆ ดังมาจากผู้ชมโดยรอบกระตุ้นให้เกมดูจริงจังขึ้นไปอีก

    “น่าจะ...ยังพอไหวอยู่”

    “ไม่ชัดเจนเลยน้า~ ยอม ๆ ไปดีกว่าไหม เห็นสภาพแล้วสงสารจากใจเลย”

    “ชนะก่อนค่อยพล่ามมากครับ”

    “....ก็เอาสิ”

    เมื่อทั้งคู่แวะพูดคุยกันเล็กน้อยจบ ทางฝ่ายเด็กผู้หญิงก็ตัดสินใจเปลี่ยนรูปแบบการเดินตัวหมากมาเป็นฝ่ายรุกจากที่ผ่านมาเล่นรูปแบบตั้งรับแล้วรอสวนกลับ เสมือนกับการบอกเด็กผู้ชายตรงหน้าว่ามีอะไรก็รีบโชว์ออกมาให้หมดไม่งั้นเกมจะจบซะก่อน

    เป็นความมั่นใจที่เข้าใจได้จากสถานการณ์เกมตอนนี้ที่เธอกำลังได้เปรียบอย่างมาก

    โดยหลังจากมีการเดินหมากหลอกล่อกันไปมาอีกไม่กี่ครั้ง เกมก็ดันพลิกเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายเด็กผู้ชายที่กลายเป็นคนไล่ต้อนเธอแทน และผลลัพธ์แบบนี้ก็ทำให้ทางเด็กผู้หญิงหน้าเสียไปไม่น้อย

    “หึ ๆ เอาจนได้นะเมฆ เอาจนได้ ถึงนายจะเสียเปรียบขนาดนั้นก็ยังพลิกสถานการณ์มาเป็นแบบนี้ได้ ยอมรับเลยว่านายเก่งมาก แต่ขอบอกไว้เลยนะว่าเกมยังไม่จบหรอก เพราะของจริงมันต่อจากนี้ต่างหาก!”

    “พล่ามโคตรยาว แถมบทพูดโคตรตัวร้าย”

    “ก็ตามน้ำหน่อยเหอะ มันน่าอายอยู่นะแบบนี้”

    “แล้วเธอจะทำเพื่อ??”

    คราวนี้เด็กผู้ชายมองคู่แข่งตรงหน้าที่สมองน่าจะเพี้ยนไปแล้วพลางยักไหล่จากนั้นจึงกลับมาเดินเกมต่อด้วยท่าทีมีความมั่นใจ เป็นกรณีเดียวกันกับเด็กผู้หญิงที่ความมั่นใจมาจากสถานการณ์เกมที่ตัวเองกำลังได้เปรียบ...แต่ก็เพราะแบบนั้นเลยประมาทโดยไม่ทันรู้ตัว

    และแล้ว เกมครั้งนี้ก็จบลงด้วยชัยชนะของทางฝ่ายเด็กผู้หญิงที่พลิกเกมกลับมาชนะได้อีกทีในแบบที่เหลือตัวหมากตัวสุดท้ายอย่างปาฏิหาริย์ โดยหลังจากหมากตัวสุดท้ายของทางฝ่ายเด็กผู้ชายโดนกิน ผู้ชมทั้งหมดก็พร้อมใจกันปรบมือร่วมแสดงความยินดีให้กับชัยชนะของเธอ สถานการณ์มันดูยิ่งใหญ่ซะจนไม่น่าเชื่อแล้วว่าการเล่นหมากฮอสครั้งนี้เป็นแค่การเล่นปกติตามที่สาธารณะเท่านั้น ไม่ใช่การแข่งขันแต่อย่างใด

    ซึ่งหลังจากเกมจบลง ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ในตอนแรกก็พากันเดินแยกออกไปรวมตัวที่โต๊ะหินอ่อนตัวข้าง ๆ เพื่อรับเงิน ขณะที่มีบางคนหัวเราะขำขันตัวเองที่เพิ่งเสียเงินไปจากกิจกรรมเสี่ยงโชคในโต๊ะข้าง ๆ ที่ว่านั่น

    “อ้า ในที่สุดก็จบสักที ปวดหลังโผดดดด”

    “เรานั่งกันมากี่นาทีแล้วเนี่ย...?”

    “อืม~ ประมาณชั่วโมงครึ่งมั้ง ก็เล่นตั้งสามตานี่เนอะ”

    เด็กผู้หญิงพูดตอบคำถามพลางเหยียดแขนยืดตัวขึ้นเล็กน้อยเผยหุ่นที่ผอมเพรียวได้รูปก่อนจะลุกขึ้นและยื่นมือข้างนึงไปทางเด็กผู้ชาย

    ถึงหลายคนจะรู้จัก แต่ก็ใช่ว่าจะมีความเข้าใจ การจับมือเพื่อแสดงน้ำใจนักกีฬาเป็นการแสดงออกถึงความเคารพซึ่งกันและกันระหว่างคู่แข่ง แม้จะเป็นการแข่งขัน แต่การกระทำนี้ก็สะท้อนถึงมิตรภาพและความเป็นมืออาชีพ ไม่ว่าผลการแข่งขันจะออกมาเป็นยังไง ทั้งสองฝ่ายก็จะยอมรับและเคารพในความสามารถของกันและกัน นั่นแหละคือการแสดงน้ำใจนักกีฬา ส่วนการจับมือก็เป็นแค่วิธีหนึ่งในการแสดงออก

    “......”

    แต่ในกรณีที่เป็นการเล่นกันระหว่างเพื่อนสนิท การขอจับมือเพื่อแสดงน้ำใจนักกีฬาก็นับว่าเป็นการกระทำที่น่าอายมากพอจะถูกเพื่อนหยิบไปพูดล้อพูดแซวยาวยันลูกบวชได้เลย

    “ช่วยจับสักทีเหอะ ฉันเริ่มอายแล้ว”

    “แล้วจะขยันทำให้ตัวเองอายเพื่อ??”

    “รู้สึกเร้าใจดีมั้ง ไม่สิ อย่าถามเรื่องละเอียดอ่อนแบบนั้นได้ไหม มันตอบลำบากนะ”

    เด็กผู้ชายยังคงนั่งนิ่ง มองการกระทำนั้นครู่หนึ่งสลับกับมองหน้าเธอด้วยความสงสัย สายตากำลังสื่อบอกเด็กผู้หญิงคนนี้ว่า ‘สมองมีปัญหารึเปล่า?’ อย่างชัดเจน แต่ไม่นานเขาก็ยอมยื่นมือไปจับอยู่ดี อย่างน้อยก็เพื่อถนอมน้ำใจ 

    โดยในตอนนั้นเองที่จู่ ๆ เด็กผู้หญิงก็ฉวยโอกาสทีเผลอดึงมือของเด็กผู้ชายเข้าหาตัวก่อนยื่นหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าของเขามากระดับที่สามารถรับรู้ถึงลมหายใจของกันและกันได้

    การกระทำของเธอทำให้เด็กผู้ชายตกใจไม่น้อย

    “....มะ-มีอะไร?”

    “ฉันชนะสองในสามแล้วนะ”

    เธอพูดพลางชูสองนิ้วแนบใบหน้าคล้ายท่าโพสต์เวลาถ่ายรูป

    “อะ-อา...แล้วไง?”

    “ก็แค่จะเตือนว่าอย่าลืมเรื่องสัญญาเชียว ที่ว่าใครแพ้ต้องรับจ็อบเสริมเป็นหมอนวดส่วนตัวให้คนชนะหนึ่งวันน่ะ เพราะงั้นพอถึงบ้านเมื่อไหร่ก็ฝากนวดขาให้คุณนายสุดสวยคนนี้หน่อยนะหมออ้อย~”

    “เป็นชื่อสมมุติที่จงใจใส่ความหมายแฝงจังนะ”

    อื้ม ก็จงใจนั่นแหละ แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ฉันขอถามเลยละกันนะเมฆ”

    “อะไร?”

    “ขน[][][][]นายขึ้นยัง ของฉัน----”

    “----ไม่อยากรู้ครับ”

    เด็กผู้ชายรีบพูดตัดบทก่อนที่เรื่องจะบานปลายไปมากกว่านี้ ยิ่งคุยกับคนตรงหน้าเขายิ่งรู้สึกเหมือนเซลล์สมองเริ่มลดลงอย่างบอกไม่ถูก

    แน่นอนว่าปฏิกิริยาของเด็กผู้ชายไม่ได้เหนือความคาดหมายของเด็กหญิงมากนัก เธอคลี่ยิ้มหัวเราะคิกคักก่อนจะเริ่มสังเกตเห็นคนรอบตัว และเมื่อนึกได้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหนเธอก็รีบปล่อยมือของเด็กผู้ชายออกอย่างรวดเร็วและนั่งก้มหน้าลง พยายามกระแอมไอทำทรงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    (จะรู้ตัวช้าไปไหนเนี่ยแม่คุณ คิดว่าตัวเองเป็นนางเอกแนวเลิฟคอมเรอะ)

     เด็กผู้ชายตบมุกในใจพลางใช้มือถูหน้าผากแบบไร้เหตุผล

    โดยเด็กผู้ชายคนนี้มีชื่อว่า เมฆ ค่ำคะนอง เมฆคือชื่อจริง ส่วนค่ำคะนองคือนามสกุล ปีนี้เขามีอายุ 15 ปี และปัจจุบันเขากำลังเรียนอยู่ระดับชั้นม.3 ใน ‘โรงเรียนเอกชนปอมเล่ห์’ ที่อยู่ใกล้ ๆ ที่นี่

    ซึ่งสิ่งที่โดดเด่นนอกเหนือจากฝีมือการเล่นหมากฮอสของเขาก็คือสภาพรูปลักษณ์ภายนอกที่เหมือนศพเดินได้ เนื่องจากเขามีใบหน้าซีดเซียว ขอบตาดำคล่ำ ผิวพรรณแห้งกัง แถมร่างกายยังผอมบางจนเหมือนคนขาดสารอาหารต่างจากเด็กทั่วไปอีก

    ถ้าเทียบกับคนปกติแล้ว สภาพของเขาก็คงเหมือนคนตายจริง ๆ แต่ถ้าเทียบสภาพร่างกายของเขาระหว่างอดีตกับปัจจุบันว่าตอนไหนดีกว่า คำตอบคงเป็นปัจจุบันที่ร่างกายของเขาดูแข็งแรงมีน้ำมีนวลมากกว่า โดยถึงแม้ว่าการใช้ชีวิตประจำของเขาจะถูกจ้องมองจากคนรอบข้างเป็นพิเศษในฐานะผู้มีความผิดปกติทางร่างกายก็ตาม

    และยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่อธิบายได้ยากเกี่ยวกับเมฆ นั่นก็คือการที่เมฆมีความอยากอาหารสูงมาก

    (หิวจังแฮะ เมื่อตอนเที่ยงก็ว่ากินเผื่อมาเยอะแล้วนะ แค่ข้าวซอยไก่สามถ้วยกับไอติมชานมยังไม่พอเหรอเนี่ย?)

     ถึงจะเห็นว่าร่างกายของเมฆผอมบางจนเหมือนคนขาดสารอาหารแบบนี้ แต่ในความจริงแล้วเขาเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทกินจุกระเพาะหลุมดำ ไม่ว่าจะกินไปเยอะเท่าไหร่เขาก็ยังคงรู้สึกหิว ดังนั้นจึงเป็นปกติที่เมฆเลือกกินอาหารเยอะกว่าคนทั่วไปหลายเท่าในแต่ละมื้อ และถึงอย่างงั้น เขาก็ยังสามารถกินต่อได้เรื่อย ๆ ราวกับว่าอาหารทั้งหมดที่ยัดเข้าปากจะหายไปในร่างกายนั้น

    “นี่เมฆ ใกล้จะบ่ายสามแล้ว พวกเรากลับกันเลยไหม?”

    “หะ...อา ก็ดี แต่ขากลับขอแวะซื้อของกินก่อนนะ”

    “โอเค ฉันก็กะว่าจะหาอะไรกินอยู่เหมือนกัน วันนี้อารมณ์ดี เดี๋ยวฉันเลี้ยงเครปนายกับฟ้าแล้วกัน”

    “แบบนั้นก็ดี”

    “ดีเพราะเป็นของฟรีอะดิ”

    หลังจากตกลงกันเรียบร้อยแล้ว พวกเขาทั้งคู่ก็พากันเดินออกมาจากโซนโต๊ะหินอ่อนอย่างเรียบง่าย ไม่มีการสนทนากับคนดูรอบตัวที่ยังเหลือ ถึงแม้จะมีผู้สูงอายุบางคนจากกลุ่มเมื่อกี้นี้มองไล่หลังพวกเขาทั้งคู่ตามมาด้วยความเอ็นดูก็ตาม

    ส่วนเรื่องเด็กผู้ชายที่ชื่อเมฆเป็นคนประเภทกินจุ เรื่องนี้เด็กผู้หญิงรู้ดีอยู่แล้ว สำหรับเธอมองว่าเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำที่มีเพื่อนคอยหาเรื่องพาเธอกินนู้นกินนี่ได้ตลอด อย่างน้อยเธอก็คิดว่าตัวเองชอบการกินเหมือนกัน

    โดยเด็กผู้หญิงที่เดินอยู่ข้างเมฆตอนนี้เธอมีชื่อว่า แก้ว ไคม์ แก้วคือชื่อจริง ส่วนไคม์คือนามสกุล ปีนี้เธอเองก็มีอายุ 15 ปีไม่ต่างจากเมฆ ซึ่งเธอกำลังเรียนอยู่ในโรงเรียนเอกชนปอมเล่ห์เหมือนกัน ส่วนระดับชั้นปีที่เรียนก็ต้องเป็นชั้นปีเดียวกันกับเมฆอยู่แล้วเพราะอายุเท่ากัน

    นอกจากนี้ ตั้งแต่ได้รู้จักกันครั้งแรกตอนหกขวบ แก้วก็เรียนอยู่ห้องเดียวกันกับเมฆมาตลอด แม้ว่าทางโรงเรียนจะใช้ระบบสุ่มผสมห้องทุกครั้งที่ขึ้นชั้นปีถัดไปก็ตาม…เป็นตำแหน่งเพื่อนสมัยเด็กโดยแท้?

    และยังมีอีกเรื่องที่แก้วเหมือนกับเมฆ นั่นก็คือสภาพรูปลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่นดึงดูดสายตา แต่ในกรณีของเธอจะเป็นเชิงที่ตรงข้ามกับเมฆทุกอย่าง เนื่องจากเธอมีโครงหน้าเรียวสวย สันจมูกคมโด่ง และมีริมฝีปากสีแดงอ่อนธรรมชาติที่พอได้รวมเข้ากับดวงตาสีประกายมรกตยิ่งทำให้เธอเป็นที่สนใจได้ง่ายขึ้น แถมการที่เธอมีรูปร่างกับผิวพรรณคนละระดับชั้นกับเด็กในช่วงวัยเดียวกันยิ่งทำให้มีสายตาจ้องมองเธอมาเยอะไม่ต่างจากที่เมฆโดนสักเท่าไรเลย

     เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นจุดดึงดูดสายตากันทั้งคู่

    และด้วย ‘ความบังเอิญ’ ทั้งหมดที่ผ่านมาเลยทำให้ทั้งสองคนสามารถเข้าใจหัวอกของกันและกันได้ในหลาย ๆ เรื่อง

    “จะว่าไป วันนี้ใช่วันเกิดนายกับฟ้าปะ?”

    “อืม ก็----”

    “---รอเดี๋ยวสิคะพี่!”

    และในระหว่างที่แก้วกับเมฆกำลังเดินคุยเล่นกันจนใกล้จะถึงทางออกจากสวนสาธารณะ เป็นตอนนั้นเองที่จู่ ๆ ก็มีเสียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนไล่หลังมา โดยจากเหงื่อที่ออกและท่าทางหายใจหอบ เดาได้ว่าเธอคงจะวิ่งตามพวกเขามาไกลพอสมควร

    เด็กผู้หญิงคนนั้นวิ่งเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ เพราะแก้วกับเมฆหยุดยืนรอเธออยู่กับที่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาไม่กี่วินาทีนั้นเองที่ทั้งสองคนสบตากันและเริ่มทำการสื่อกระแสจิตภายในชั่วอึดใจ

    (เอาไง)

    (เอาไงอะไร?)

    (ก็เรื่องฟ้าเนี่ย จะให้บอกว่าลืมเรียกกลับด้วยทั้ง ๆ ที่นั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ เหรอ?)

    (บอกแบบนั้นก็โดนงอนใส่ดิ เธอโง่รึเปล่า)

    (นายนั่นแหละโง่ คนที่ด่าคนอื่นว่าโง่จะเป็นคนโง่ซะเอง ไม่เคยได้ยินรึไง)

    (แต่เธอเพิ่งด่าว่าฉันโง่นะ)

    (งั้นนายไม่โง่ก็ได้ แต่ความคิดนายโง่แทน)

    (เอ้า?)

    บทสนทนาออกนอกประเด็นไปไกลเกินกว่าจะควบคุม

    และการสื่อกระแสจิตก็สิ้นสุดลงเมื่อเด็กผู้หญิงคนนั้นมาถึง โดยผลลัพธ์จากการกระทำเมื่อครู่นี้คือบทสนทนาที่ไร้ประโยชน์หรือแก่นสารใด ๆ ที่ช่วยแก้ปัญหาได้ มีเพียงความครุ่นเคืองที่เกิดขึ้นภายในใจระหว่างทั้งสองคนเท่านั้น

    “จะกลับกันแล้วทำไมถึงไม่เรียกหนูเลยล่ะคะพี่...อย่าบอกนะว่าลืม?”

    โดยเมื่อเด็กผู้หญิงที่พักหายใจเสร็จแล้วเปิดประเด็นถามขึ้น แก้วกับเมฆก็พากันโบกไม้โบกมือแสดงท่าทีรนรานยกใหญ่ ต่อให้จะมองจากมุมไหนก็รู้ได้ทันทีว่าคำตอบของคำถามคือ ‘ใช่’ ซึ่งเมื่อเข้าใจแล้วว่ายังไงก็ปิดเรื่องนี้ไม่อยู่ ทั้งคู่ก็เลิกแสดงท่าทีรนรานเกินจริงนั่น

    “ขอโทษนะฟ้า ตรงแถวนั้นคนค่อนข้างเยอะ แถมยังวุ่นวายด้วย พวกพี่เลยมองไม่เห็นฟ้ากันน่ะ ถ้าเห็นก็เรียกไปแล้วจริง ๆ นะ”

    “และในเมื่อมองไม่เห็นก็นึกไม่ออก ประมาณนั้นแหละครับผม”

    “นึกไม่ออกที่แปลว่าลืมสินะคะ?”

    “ไม่ใช่นะ แค่มองไม่เห็นต่างหาก”

    “จะแบบไหนก็ฟังแล้วเจ็บปวดใจทั้งนั้นแหละค่ะพี่แก้ว”

    แก้วพยายามหาเหตุผลมาอธิบาย(อ้าง) ในขณะที่เมฆเองก็พยายามช่วยอธิบาย(อ้าง)เสริมต่อ แต่ไม่ว่าทั้งคู่จะพูดอะไร เด็กผู้หญิงตรงหน้านี้ก็ไม่ปกปิดสีหน้าที่บ่งบอกความผิดหวังเลย ดวงตาสีน้ำทะเลยังคงจ้องไปที่ใบหน้าของทั้งสองคนด้วยอารมณ์ที่สงบเกินอายุมาก

    “....เฮ้อ~ ก็นั่งอยู่โต๊ะถัดไปแท้ ๆ ยังลืมกันได้ลงคออีกนะคะ นี่ตั้งใจแกล้งหนูเปล่าเนี่ย”

    “พี่กับเมฆไม่ได้ตั้งใจแบบนั้นนะ”

    “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไร หนูแค่พูดไปเรื่อยเอง ไม่ต้องใส่ใจขนาดนั้นหรอก...กลับกันเถอะค่ะ”

    เมื่อพูดเสร็จ เธอก็เดินนำออกจากสวนสาธารณะไปก่อน ทิ้งแก้วกับเมฆที่ได้ข้อสรุปในใจแบบเดียวกันคือ ‘โดนงอนซะแล้ว’ อยู่หน้าทางออกสวนสาธารณะ และหลังจากมองตากัน แก้วกับเมฆก็ตัดใจเรื่องของกินแล้วรีบเดินตามไปทันที

    โดยเด็กผู้หญิงที่เดินไปพลางทำหน้างอนไปคนนี้เธอมีชื่อว่า ฟ้า ค่ำคะนอง ฟ้าคือชื่อจริง ส่วนค่ำคะนองคือนามสกุล ปีนี้เธอมีอายุ 9 ขวบและปัจจุบันกำลังเรียนอยู่ระดับชั้นป.3 ในโรงเรียนเอกชนปอมเลห์

    หากดูจากนามสกุลและช่วงวัยก็คงเดาได้ไม่ยากว่าเธอคือน้องสาวของเมฆ ค่ำคะนอง เด็กผู้ชายที่ร่างกายคล้ายคนตาย แต่ด้วยสภาพรูปลักษณ์ของเธอที่ยังคงเหมือนเด็กปกติ ไม่ได้มีความผิดแปลกอะไรจนเด่นสะดุดตาเหมือนของพี่ชาย คนทั่วไปจึงแทบจะดูไม่ออกเลยว่าพวกเขาทั้งคู่เป็นพี่น้องกัน ทั้งสีผมของฟ้าที่เป็นสีดำอมน้ำเงินคล้ายกับสีท้องฟ้ายามค่ำคืน แต่ของเมฆดันเป็นสีดำจางที่จางจนจะกลายเป็นสีขี้เถ้าแล้ว หรือจะเป็นเรื่องดวงตาที่ของฟ้านั้นเป็นสีน้ำทะเลในฤดูร้อนสุดสดใส แต่ของเมฆดันเป็นสีดำสนิทไร้แววของชีวิตและความสุข

    ซึ่งถ้าจะเปรียบเทียบแนวนี้ก็ออกจะโหดร้ายไปหน่อยสำหรับเมฆ เพราะถ้าว่ากันตามจริงแล้ว ฟ้าเองก็นับว่าเป็นคนที่หน้าตาดีระดับหนึ่งในเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน สามารถเป็นที่ชื่นชอบของหนุ่มน้อยทั้งหลายในชั้นเรียนได้สบาย

     

    “คืนดีกันเถอะนะฟ้า~ รอบหน้าพี่จะไม่ลืมแล้วแน่นอน แถมจะทำให้เมฆไม่ลืมด้วย สัญญาเลย น้า~?”

    “ก็ได้ค่ะ”

    “ตอบมาส่ง ๆ แบบนี้ยังงอนชัวร์ อย่าเพิ่งเชื่อล่ะแก้ว”

    “ต่อให้ไม่บอกฉันก็รู้ค่ะ แสดงออกชัดซะขนาดนี้ ถ้าดูไม่ออกก็ตาบอดแล้ว”

    ผ่านมาราว ๆ ครึ่งชั่วโมงแล้วหลังออกจากสวนสาธารณะ โดยแก้วกับเมฆก็พยายามพูดง้อฟ้ามาตลอดทาง มีทั้งการใช้ขนมหวานมาล่อ หรือจะใช้มายากลที่ฟ้าชอบให้เล่นมาหลอก แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีการไหนก็ไม่ได้ช่วยให้เธอหายงอนเลย แถมยังอาจทำให้เธอรำคาญแทนอีกต่างหาก

    “แต่ขนาดมายากลกับขนมที่ปกติได้ผล วันนี้ยังไม่ได้ผลเลยเนี่ย...เลเวลความงอนอัพงั้นเหรอ??”

    “เพลา ๆ เรื่องเล่นเกมบ้างนะแก้ว สมงสมองไปหมดแล้ว”

    “พูดมากน่า”

    สุดท้าย แก้วกับเมฆก็ยอมแพ้เรื่องง้อฟ้าแล้วหันมาแซวกันเอง การง้อเด็ก 9 ขวบมันเป็นงานที่ยากเกินไปสำหรับทั้งสองคนในวันนี้

    ฟ้ายังเป็นแค่เด็ก เวลามีอะไรไม่ได้เป็นดั่งใจขึ้นมา การที่เธอจะรู้สึกโกรธหรืองอนนั้นนับว่าเป็นเรื่องปกติที่เข้าใจได้จากช่วงวัย และก็เพราะว่าเธอเป็นเด็ก วิธีการที่ใช้ง้อฟ้าปกติเลยเรียบง่ายไม่มีความซับซ้อนอะไร แค่พวกเขาใช้ขนมล่อกับพูดจาหว่านล้อมนิดหน่อย ไม่นานฟ้าก็จะหายงอนไปเองตามอารมณ์ ซึ่งนั่นคือกรณีปกติที่เกิดขึ้น

    “นี่...ไม่ง้อหนูกันแล้วเหรอ? ง่ำ~”

    และเพราะจู่ ๆ ทั้งสองคนก็เลิกง้อเธอกัน ฟ้าที่อดแปลกใจไม่ได้จึงหันไปถามพลางงับเครปไซส์พิเศษในมือที่ซื้อจากเงินของเมฆล้วน ๆ

    “พวกพี่ยอมแพ้กันแล้วล่ะฟ้า อับจนหนทางไปต่อกับชีวิต ไม่รู้แล้วว่าต้องทำยังไงฟ้าถึงจะหายงอนสักที ง่ำ~”

    ส่วนแก้วเองก็ตอบความจริงไปพลางงับเครปไซส์ปกติในมือที่ซื้อจากเงินของเมฆล้วน ๆ เหมือนกัน แน่นอนว่าในมือของเมฆเองก็มีเครปไซส์พิเศษที่ซื้อจากเงินตัวเอง แต่ที่ผลลัพธ์เป็นแบบนี้ก็เพราะแก้วที่คุยโวโม้ไว้เยอะว่าจะเป็นคนเลี้ยงเครปดันลืมกระเป๋าตังค์ทิ้งไว้ที่บ้าน ทำให้สุดท้ายก็ไม่พ้นเมฆที่ต้องออกโรงจ่ายเองตอนแวะเดินตลาดอยู่ดี

    “พูดเวอร์ไปแล้วค่ะ...เฮ้อ~ เอาตามตรงนะคะ คือครั้งนี้หนูไม่ได้งอน ที่วิธีง้อของพวกพี่ไม่ได้ผลสักอย่างก็เพราะหนูไม่ได้รู้สึกอะไรตั้งแต่แรกแล้ว”

    “หึ ไม่เชื่อ โม้”

    “หนูไม่ได้งอนจริง ๆ นะคะ จะว่ายังไงดี แบบว่าหนูชอบเวลาที่พวกพี่หาข้ออ้างอย่างงู้นอย่างงี้มาง้อหนูกันน่ะค่ะ ง่ำ~ มันดูตลกยังไงไม่รู้”

    ฟ้ายิ้มหัวเราะแก้มตุ่ยพลางยื่นเครปฝากไว้ที่เมฆแล้วเดินนำกลุ่มไปเปิดรั่วประตูบ้านที่เพิ่งเดินมาถึงกัน

    “อย่างครั้งก่อนพวกพี่ก็ถึงขั้นยอมเต้นเอาหัวหมุนพื้นติ้ว ๆ ให้หนูดูด้วย โคตรตลก ฮะฮ่า ๆ ”

    “หึ ไม่เชื่อ โ----”

    และก่อนที่เมฆจะได้พูดจบ เขาก็ถูกนิ้วที่เรียวยาวของแก้วยัดอุดปากไว้ไม่ให้พูดต่อ ทำได้แค่เหลียวตามองไปทางเธอด้วยความตื่นตระหนกตกใจ ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกแบบเดียวกันถ้าโดนเล่นงานแบบนี้ทีเผลอ

    โดยสีหน้าของแก้วที่เห็นนั้น ไม่มีท่าทางลังเลหรืออาการรังเกียจเลย เธอยังคงนิ่งสงบและมองเขาด้วยสายตาอบอุ่นราวกับมองสัตว์เลี้ยงที่อยู่ด้วยกันมานานอย่างเข้าใจ

    (มองแบบนั้นหมายความว่าไงครับเนี่ย...?!)

    ถึงปกติเมฆจะชอบทำเป็นสื่อกระแสจิตกับแก้วเล่นบ่อย ๆ แต่ในวินาทีนี้เขาก็เริ่มตั้งข้อสงสัยกับตัวเองแล้วว่าที่ผ่านมาจะใช่ความหมายที่เธออยากสื่อจริงหรือเปล่า เพราะเขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมเธอต้องทำแบบนี้ น้ำลายในปากที่ไหลก็กำลังฉโลมเคลือบมือเธออย่างไม่เกรงใจความเนียนนุ่มนั้นเลย

    “เล่นอะไรกันอยู่เหรอคะ??”

    ฟ้าที่เพิ่งเปิดรั่วประตูบ้านเสร็จแล้วหันมาเห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็ได้แต่ต้องถามขึ้นด้วยความสงสัย แม้แต่เธอเองก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น

    “เปล่าหรอก ๆ แค่โรคปากหมาของเมฆเขากำเริบขึ้นมาเฉย ๆ ”

    “อ๋อ งั้นก็เข้าบ้านกันเถอะค่ะ”

    (อย่ายอมรับกันง่ายแบบนั้นสิน้อง!?)

    ฟ้าเดินกลับมาหยิบเครปที่ฝากไว้คืนแล้วรีบถอยทันที เธอเช็คสภาพเครปว่าเปื้อนน้ำลายตรงไหนหรือเปล่าก่อนจะโล่งใจ โชคดีที่เมฆกางแขนถือเครปออกห่างตัวระหว่างโดนนิ้วอุดปาก

    และหลังจากเห็นว่าฟ้าเอาเครปคืนไปแล้ว แก้วก็ค่อยดึงนิ้วออกจากปากเมฆช้า ๆ ราวกับอยากแกล้งเพิ่มอีกสักนิด

    “ฝากถือให้หน่อยแปปนึง จะเช็ดมือ”

    “แค้ก...แค่ก ๆ ทะ-ทำขนาดนี้แล้วยังกล้าขอให้ช่วยอีกนะ..! แค่ก ๆ ”

    แก้วเมินคำพูดแซะของเมฆแล้วยื่นเครปไปให้เขาถืออย่างนิ่งเฉย ไม่ได้มีท่าทางของคนสำนึกผิดเลยแม้แต่น้อย ซึ่งทั้ง ๆ ที่เป็นแบบนั้นแต่เมฆก็ยังอุตสาห์รับไว้อยู่ดี เหมือนกับตอนจับมือแสดงน้ำใจนักกีฬาก่อนนี้...ถึงจะไม่อยาก แต่ไม่ว่ายังไงก็มีความรู้สึกเชิงลบกับเธอไม่ลง

    หลังจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว แก้วก็ได้เอาเครปคืนมาและเอื้อมมืออีกข้างนึงไปจับกับมือของเมฆที่เพิ่งจะถือเครปให้เธอ นิ้วทั้งห้าถูกจับสอดประสานกันแน่น และก่อนจะได้รู้ตัวเขาก็ถูกแก้วจูง(กระชาก)เข้าไปในบ้านแล้ว

    โดยบ้านที่กำลังจะเข้าไปกันหลังนี้คือบ้านของครอบครัวค่ำคะนอง หรือก็คือบ้านของเมฆกับฟ้า ซึ่งจะเป็นบ้านเดี่ยวสีขาวสองชั้นรูปทรงโมเดิร์น ตั้งอยู่ภายในโครงการบ้านจัดสรร ‘สวนชาธาราทอง’ หรืออีกชื่อที่คนส่วนใหญ่เรียกกันคือ ‘หมู่บ้านชาทอง’ ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งสวนสาธารณะ สนามเด็กเล่น สระว่ายน้ำ และห้องสมุดส่วนกลาง ส่วนเรื่องการรักษาความปลอดภัยก็หายห่วงได้เพราะเพื่อนบ้านคือกล้องวงจรปิดที่ดีที่สุดตลอดไป

    “จะว่าไป ก่อนหน้านี้เราคุยกันเรื่องวันเกิดนายกับฟ้าใช่ไหมเมฆ?”

    “อืม ก็----”

    “ “----แฮปปี้เบิร์ดเดยยยย์~!!” ”

    หลังฟ้าเปิดประตูให้เข้าบ้านมาพร้อมกัน เมฆก็ได้รับการเซอร์ไพรส์แบบที่ไม่คาดฝัน

    ขณะนี้คือเวลา 15.40น. เป็นเวลาที่คนทำงานบริษัทรูปแบบรัฐวิสาหกิจไม่มีทางเลิกงานเวลานี้แน่ ยิ่งเป็นตำแหน่งวิศวกรประจำท่าอากาศยานกับเจ้าหน้าที่บริหารของท่าอากาศยานไม่มีทางมายืนเสนอหน้าอยู่ที่นี่แน่

    แต่ทว่า คู่สามีภรรยาที่มีตำแหน่งการงานที่ว่านั่นกลับมายืนยิ้มอยู่ตรงนี้โดยไม่มีใครบอกเมฆล่วงหน้าก่อนเลย

    “สุขสันต์วันเกิดนะลูก”

    “สุขสันต์วันเกิด ๆ “

    คู่สามีภรรยาไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบเดินเข้ามาใกล้เมฆกับฟ้าและเอามงกุฎกระดาษที่น่าจะเป็นของทำเองมาวางลงบนหัวพวกเขา เมฆสามารถรับรู้ได้ถึงความใส่ใจจากขนาดของมงกุฎกระดาษที่ทำมาพอดีกับหัวตัวเอง ไม่เล็กเกินไป ไม่ใหญ่เกินไป แถมยังใส่สบายหัวเพราะเลือกใช้กระดาษชั้นดีที่เมฆรู้จักด้วย

    “โห~ พ่อกับแม่ทำเซอร์ไพรส์วันเกิดกันเหรอคะเนี่ย ครั้งแรกเลยที่มีแบบนี้”

    “แน่นอนสิ สำหรับพวกพ่อนี่เป็นก็ครั้งแรกเหมือนกันที่ลองทำ ทีแรกก็กะว่าจะฉลองตามปกติเหมือนปีก่อน แต่แม่เขาอยากให้ลองทำแบบเซอร์ไพรส์ดูบ้างน่ะ เผื่ออะไร ๆ จะดีขึ้น...นี่พ่อกับแม่ถึงขั้นขอลางานกลับบ้านก่อนเวลามาเตรียมตัวรอเลยนะ”

    “แล้วก็ต้องขอบคุณหนูแก้วด้วยนั่นแหละที่ช่วยแม่จัดการอะไรหลาย ๆ อย่าง มงกุฎพวกนี้เองก็ได้หนูแก้วมาช่วยสอนให้”

    “เรื่องเล็กน้อยค่ะ”

    แก้วยิ้มรับคำขอบคุณของผู้หญิงตรงหน้าพลางกุมมือข้างที่จับอยู่กับเมฆแน่นขึ้นอย่างเปิดเผย เพราะเป็นคนรู้จักกันจึงไม่มีอะไรต้องอายเหมือนตอนอยู่สวนสาธารณะ

    “แล้วมงกุฎดูเป็นไงบ้างฟ้า น่ารักไหม ๆ ”

    “อืม น่ารักมากเลยค่ะ แต่ของหนูใส่กากเพชรเยอะไปหน่อยนะคะพ่อ โดยรวมหนูให้ผ่านครึ่งนึงก็ได้เพราะทำมาพอดีหัวหนูเป๊ะเลย”

    “รู้ได้ไงเนี่ยว่าอันนั้นพ่อเป็นคนทำ น่ากลัวอ่ะ”

    “นี่คือบัญชาจากสวรรค์ หนูขอสั่งห้ามไม่ให้พ่อกินเค้กวันเกิดที่เตรียมมาวันนี้ โทษฐานดูหมิ่นหนู”

    “เอาจริงดิ นั่นใช้เงินพ่อซื้อมานะ จะห้ามพ่อกินได้ยังไง ไม่ยอม ขอยื่นอุทธรณ์ต่อสวรรค์ด่วน ๆ ”

    “ไม่สนค่ะ”

    ฟ้ายิ้มร่าพลางตอบกลับผู้ชายตรงหน้าอย่างทีเล่นทีจริงตามประสา

    โดยต่อให้ไม่ต้องบอกก็คงเดากันได้อยู่แล้วว่าสามีภรรยาคู่นี้คือพ่อแม่ของเมฆกับฟ้า เป็นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดออกมาแท้ ๆ สามารถดูได้จากรูปลักษณ์ภายนอกหลายส่วนที่มีความใกล้เคียงกัน ตั้งแต่สีผมของฝ่ายพ่อที่เป็นสีดำและของฝ่ายแม่ที่เป็นสีน้ำเงิน ซึ่งพอนำมาผสมกันก็จะได้สีดำอมน้ำเงินที่เป็นสีผมของฟ้า ส่วนของเมฆก็จะมีแค่สีผมกับสีดวงตาที่ใกล้เคียงแค่กับฝ่ายพ่อ แทบไม่มีร่องรอยของฝ่ายแม่อยู่บนร่างกายเลย มีเพียงแค่เลือดที่ไหลเวียนในร่างกายที่สามารถอ้างได้ว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน

    “แล้วพ่อกลับมายังไงเหรอคะ หนูไม่เห็นรถเหน้าบ้านเลย?”

    “หึ ๆ พ่อเอาไปจอดซ่อนที่แล้วอื่นน่ะสิ ถ้าจอดหน้าบ้านโท่ง ๆ ก็ความลับแตกกันพอดี เป็นไง อันนี้ความคิดของพ่อเองเลยนะ ฉลาดไหม”

    “อ๋อ ค่ะ”

    “นี่เต็มใจแล้วเหรอ??”

    “ฉลาดมาก ๆ เก่งมาก ๆ ”

    “แน่นอนอยู่แล้ว!”

    คุณพ่อยืดอกแสดงสีหน้าภูมิใจกับคำชมที่ตัวเองอยากได้ยินนั่น ท่าทางเหมือนหมาที่เชื่อฟังและทำตามคำสั่งเพราะอยากโดนชมอย่างบอกไม่ถูก

    “เอาล่ะ ๆ ที่รัก พักเรื่องคุยเล่นกันแล้วให้ลูกไปเป่าเค้กที่โต๊ะกินข้าวเลยดีกว่า”

    “โอ๊ะ จริงด้วย นี่ลูกรู้เปล่า เค้กวันเกิดปีนี้พ่อซื้อเป็นเค้กไอติมมาด้วยนะ ถึงราคาจะแพงกว่าเดิมนิดหน่อยก็เถอะ แต่อร่อยแน่!”

    “มั่นใจจังนะ งั้นถ้าเกิดไม่อร่อยขึ้นมาหนูขอปรับเงินพ่อสองพันนะคะ”

    “คนกันเองเปล่า คดีแค่นี้พ่อให้ห้าร้อยเข้ากระเป๋าส่วนตัวไปเลย”

    “จะยอมทำเป็นไม่เห็นให้ค่ะ”

    คุณพ่อควักแบงค์ห้าร้อยออกมาสองแบงค์แล้วจับยัดในมือของเมฆกับฟ้า สิ่งนี้คงเป็นหนึ่งในของขวัญวันเกิดที่ตั้งใจจะให้ทั้งคู่อยู่แล้ว

    ซึ่งในความจริงแล้ววันนี้คือวันเกิดของเมฆ ไม่ใช่วันเกิดของฟ้า ทั้งคู่ไม่ได้บังเอิญเกิดวันเดียวกัน ตามปฏิทินแล้วเมฆนั้นเกิดวันที่ 7 ตุลาคม ส่วนฟ้าเกิดวันที่ 10 ตุลาคม จะห่างกันราว ๆ สามวัน แต่เพราะไม่ต้องการให้ยุ่งยากวุ่นวาย ทางคุณพ่อกับคุณแม่ก็เลยตัดสินใจจัดงานวันเกิดของฟ้าเป็นวันเดียวกันกับเมฆไปเลย ฉลองเต็มที่พร้อมกันในวันเดียว

    “แล้วหนูแก้วกินอะไรมาหรือยังจ๊ะ ปีนี้ก็มากินฉลองด้วยกันอีกสิ”

    “ถ้าคุณป้าต้อนรับ หนูก็อยากร่วมงานด้วยอยู่แล้วค่ะ”

    “ต้อนรับอยู่แล้ว~ มีหนูแก้วมาร่วมงานด้วย ลูกป้าก็คงมีความสุข...”

    โดยถึงแม้ว่าทุกคนในที่นี้จะกำลังคุยเล่นกันอย่างสนุกสนานเฮฮา แต่ในขณะเดียวกันทุกคนก็กำลังแอบลอบสังเกตปฏิกิริยาการแสดงออกของเมฆเป็นพัก ๆ อยู่ พยายามเหลือบดูว่าเขาจะตอบสนองยังไงกับการเซอร์ไพรส์ในวันนี้

    “......”

    แต่ถึงจะบอกว่าทุกคนกำลังคุยกัน ทว่ากลับมีเพียงแค่เมฆคนเดียวที่ยังยืนนิ่งไม่ได้พูดคุยกับใครอะไรสักอย่าง เอาแต่ยืนดูทุกคนด้วยสีหน้านิ่งเฉยราวกับกำลังมองในสิ่งที่ไม่มีใครมองเห็นแบบเดียวกัน

    “ช่วยปล่อยมือฉันหน่อยได้ไหม...”

    และเมื่อจู่ ๆ เมฆที่เงียบมาตลอดดันพูดขึ้นจึงทำให้ทุกคนตั้งใจเงียบเพื่อรอฟังเป็นพิเศษ

    “ไม่”

    “อย่ามาตลก ฉันแค่จะไปเข้าห้องน้ำ”

    “ไม่มีทาง”

    เมฆพยายามพูดขอความร่วมมือเพื่อให้แก้วปล่อยมือ แต่แก้วกลับปฏิเสธอย่างหนักแน่นจนผิดสังเกต กระทั้งคุณพ่อกับคุณแม่ที่ยืนฟังอยู่ก็ยังแสดงสีหน้าแปลกประหลาด มีทั้งความเห็นใจและเอาใจช่วยแก้ว

    ซึ่งคนที่รู้สึกตัวช้าสุดก็คือฟ้าที่เพิ่งกินเครปหมดมือ

    “ปล่อยมือ”

    “....นายจะหนีอีกแล้วเหรอ”

    และคำถามของเธอก็ทำให้ดวงตาไร้แววของเมฆเบิกกว้าง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×