ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ราชาโลกเบื้องหลัง

    ลำดับตอนที่ #1 : Ch.0 บทนำ

    • อัปเดตล่าสุด 20 พ.ย. 67


    ณ ใจกลางเมืองโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์

    เสียงกรีดร้องดังสนั่น เสียงฝีเท้าดังสะเทือน กลุ่มคนกลุ่มใหญ่กำลังวิ่งหนีตายจากแรงระเบิดตามตึกอาคารโดยรอบอย่างสุดชีวิต  บางคนที่วิ่งตามความเร็วกลุ่มไม่ทันก็จะถูกคลื่นมนุษย์ด้านหลังเหยียบทับ ส่วนบางคนที่ยืนนิ่งไม่เข้าใจสถานการณ์ก็จะถูกฝูงหมาป่าขนสีแดงที่ไล่หลังตามมารุมขย่ำคอ

    ฝูงหมาป่าขนสีแดงพวกนี้จู่ ๆ ก็โผล่มาและเริ่มออกอาละวาดทันทีพร้อมกับเกิดการระเบิดขึ้นครั้งแรกขึ้น ประชาชนที่ยืนอยู่แถวนั้นต่างก็โดนเข้าโจมตีจนพากันล้มตายกันหมด

    มิหนำซ้ำ ระนาบข้างของเส้นทางหนีต่างก็เต็มไปด้วยเศษซากของตึกอาคารที่ร่วงตกลงมาอย่างไม่มีความปราณี ทำให้มีชิ้นส่วนอวัยวะของมนุษย์กระจัดกระจายเกลื่อนปนไปกับรอยเลือดที่กระเซ็น

    สถานการณ์ทั้งหมดเข้าขั้นโกลาหลสุดขีดได้แบบนี้เพียงไม่กี่นาทีหลังจากการปรากฏตัวมาของคนสองคน

    [โห๋~ ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าเป็นใคร แต่การที่เจ้าสามารถทำให้ร่างสถิตของข้าต้องควักไพ่ใบสุดท้ายมาใช้ได้แบบนี้เนี่ย มันน่าแปลกใจซะจริง ถึงเจ้าของร่างนี้จะยังเป็นแค่ระดับตัวอ่อน แต่ก็เข้าใกล้การเป็นดักแด้แล้วเชียวน่ะ]

    เสียงพูดอันลุ่มลึกปนความตื่นเต้นดังขึ้นมาจากด้านบนของความโกลาหลทั้งหมด

    จากร่างของชายผู้เปลื่อยเปล่าที่กำลังลอยตัวอยู่บนท้องฟ้าด้วยปีกสีขาวอันใหญ่ยักษ์ราวกับเทวฑูต ที่มือทั้งสองข้างถือดาบยาวมีลวดลายเป็นเอกลักษณ์ความศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาเก่าแก่ สวนทางกับลักษณะหัวของมันที่ไม่ใช่ทั้งของมนุษย์หรือของเทวฑูต แต่กลับเป็นหัวของนกฮูกที่มีดวงตาคล้ายงูถึงสี่ดวง…ซึ่งไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามีเพิ่มมาเพื่ออะไร?

    นอกจากนี้ ทุกครั้งที่ปีกสีขาวด้านหลังกระพือบิน แหนมน้อยระหว่างขาของมันก็จะกวัดแกว่งไปมาชวนอุบาทว์ตาจนอยากจะยืมดาบที่มันถืออยู่มาแทงตาตัวเองให้รู้แล้วรู้รอด

    “ขอบคุณที่ชม แต่ทีหลังไม่ต้อง”

    และแม้ว่าชายผู้เปลื่อยปล่าวจะพูดและพยายามทำตัวให้ดูน่าเกรงขามแค่ไหน แต่คู่สนทนาของมันก็ดูไม่สนใจใยดีเลย เอาแต่พยายามมองเลี่ยงไปทางอื่นด้วยสีหน้าแปลกประหลาด

    [….ข้ามีนามว่าแอนดราส เป็นตัวตนที่ทำพันธสัญญากับร่างนี้อยู่ เจ้าล่ะ มีนามว่าอะไร? ชนชั้นสูงอย่างข้าไม่สามารถสู้กับคู่ต่อสู้ที่ไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามได้หรอกนะ แม้แต่พวกไพร่หรือทาสก็ยังมีนามให้เรียกถึง]

    “ฮาคูน่า มาทาท่า”

    [อืม ไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนเลย เป็นชื่อที่หายากงั้นเหรอ?]

    “ชื่อเดียวกันกับป๊ะป๋าเอ็งนั่นแหละ”

    เมื่อได้รับการตอบกลับเช่นนี้ แอนดราสก็เงียบเสียงไปครู่นึงก่อนจะอุทานออกมาพร้อมเอียงหัว

    [….หะ?]

    สีหน้าของแอนดราสค่อย ๆ เปลี่ยนไป ต่อให้เป็นใบหน้าของนกฮูกก็ดูออกว่ามันกำลังเคืองมากแค่ไหน

    ตัวของแอนดราสก่อนหน้านี้กำลังบินอยู่บนท้องฟ้าในขณะที่ควบคุมหมาป่าขนสีแดงฝูงใหญ่ไล่ฆ่าคนไม่เลือกหน้า อาละวาดสร้างความเสียหายไปทั่วแบบที่ไม่ได้เจาะจงทำอะไรเป็นพิเศษ เหมือนกับการปล่อยให้สัตว์เลี้ยงออกไปวิ่งเล่นนอกบ้านยามว่าง

    แต่ตอนนี้คำสั่งเปลี่ยนไปแล้ว

    [คึกกกก จะ-เจ้า! ชักจะลามปามกันเกินไปแล้วนะไอ้เด็กเวร!! มารยาทไม่มีบ้างรึไงหะ บิดาของข้าเคยเป็นถึงผู้ยิ่งใหญ่ในอีกมิตินึง แต่เจ้ากลับพูดเหมือนท่านเป็นเพื่อนเล่น วันนี้เจ้าจะได้ตายคามือข้าสมใจอยากแน่!]

    “บลา ๆ ๆ พล่ามมากจังนะ ถ้าชื่นชมมันซะขนาดนั้นทำไมถึงไม่กลับไปเลียไข่มันเลยล่ะ?”

    [อะไรนะ…]

    “หรือว่าาาา ป๊ะป๋าเอ็งจะถูกตอนไข่ไปแล้ว...ขอโทษ โอ๋ ๆ นะ”

    คนที่พูดอยู่กับแอนดราสมาตั้งแต่เมื่อกี้นี้คือเด็กผู้ชายชาวเอเชียคนหนึ่งที่ทำท่าทีรนรานพนมมือขอโทษราวกับรู้สึกผิดที่จี้ปมแอนดราสไปจริง ๆ  ซึ่งแน่นอนว่าจะมองจากมุมไหนก็ดูออกว่าเป็นแค่การจงใจปั่นประสาทเล่นเท่านั้น

    [หึ กะ-ก็แค่คำพูดของเด็กเวรคนนึง…]

    และแม้แอนดราสจะมองออกพลางพยายามเก็บทรงพูดนิ่งกลับไปแบบนััน แต่ทั้งร่างของมันก็กำลังสั่น ฟันที่แหลมคมน่ากลัวภายในจะงอยปากขบกันแน่นจนเกิดเสียง

    ตัวของแอนดราสนั้นเพิ่งจะได้พบเจอกับเด็กผู้ชายตรงหน้าเป็นครั้งแรก แถมยังไม่ถึงสิบนาทีเลยด้วยซ้ำ แต่มันกลับโดนอีกฝ่ายพูดจากวนบาทาไม่หยุดราวกับอยากดึงดูดความสนใจจากมันแต่เพียงผู้เดียว และจุดประสงค์ที่ชัดเจนขนาดนี้ ตัวของแอนดราสจะไม่เข้าใจได้อย่างไรกัน

    กลยุทธ์การทำให้ให้คู่ต่อสู้โมโหจนเสียสมาธิ

    แม้มันจะเป็นกลยุทธ์พื้นฐานที่ทุกคนมีความเข้าใจร่วมกันคือ การทำยังไงก็ได้ให้คู่ต่อสู้เสียสมาธิจนเปิดช่องโหว่ในการโจมตีสวนกลับ หรือทำอะไรผิดพลาด แต่ก็มีหลายกรณีที่กลยุทธ์นี้ถูกนำมาใช้ในการดึงดูดความสนใจเมื่อมีสิ่งที่ต้องการปกป้อง และในกรณีตรงหน้าของแอนดราส คนที่คู่ต่อสู้ของมันต้องการปกป้องก็คงเป็นพวกคนธรรมดาที่กำลังวิ่งหนีกันอยู่เป็นแน่

    ซึ่งวิธีรับมือก็ช่างง่ายดาย เพียงแค่เพิกเฉยการยั่วยุพวกนั้นซะ 

    ตัวตนการมีอยู่ของแอนดราสเป็นสิ่งที่อธิบายได้ยาก ถ้าจะจำกัดความให้สั้นเลย มันก็คือ ‘ตัวตนพิเศษของโลก’ สิ่งมีชีวิตในรูปแบบจิตวิญญาณที่มีอายุยืนยาวจนไม่สามารถระบุด้วยความเข้าใจของมนุษย์ได้ ดังนั้นกลยุทธ์เล็กน้อยแบบนี้ก็ไม่อาจทำให้แอนดราสต้องมาใส่ใจได้...มั้งนะ

    [ใช้กลยุทธ์เด็กน้อยไปไหมเนี่ยเจ้า...เฮ้ ช่วยรีบโชว์ของจริงสักทีสิ ว่านอกจากปากแล้วเจ้ายังทำอะไรได้อีก----]

    “----ฮาคูน่า มาทาท่า”

    [ห่าเอ้ย! ทนไม่ไหวแล้วโว้ยยยยย!!]

    เสียงแหกปากตะโกนใส่อารมณ์ของแอนดราสทำให้ตึกอาคารทั้งเมืองสั่นสะเทือน เศษซากต่าง ๆ ที่ทนรับภาระไม่ไหวโค่นตกลงมาใส่ฝูงชนที่วิ่งหนีไปกันมากขึ้น จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่มีท่าทีจะหยุด 

    แอนดราสไม่ได้รู้จักชื่อ ‘ฮาคูน่า มาทาท่า’ ที่อีกฝ่ายพูดมาสักนิด เพียงแต่มันรู้สึกหงุดหงิดแบบที่อธิบายไม่ได้ว่าทำไม รู้เพียงแค่ว่าชื่อนั้นที่พูดจะต้องเป็นชื่อที่ไม่ดีมากแน่ อีกฝ่ายถึงพูดออกมาในบริบทกำลังดูถูกแบบนั้น แถมก่อนหน้านี้ยังถูกเอามาใช้ล้อเลียนคนที่แอนดราสเคารพรักมากที่สุดด้วย

    และเมื่อความอดทนหมดลง เกียรติและศักดิ์ศรีอะไรนั่นก็ไร้ค่า แอนดราสรีบสั่งให้หมาป่าขนสีแดงที่อาละวาดทั้งหมดหันมาโจมตีเด็กผู้ชายที่กล้าต่อล้อต่อเถียงมันเป็นเป้าหมายเดียว

    หมาป่าขนสีแดงทั้งหมดทิ้งสิ่งที่ทำอยู่และวิ่งเข้าไปหาเด็กผู้ชายอย่างดุดัน ร่างของพวกมันตัวใหญ่ขึ้น กรงเล็บและคมเคี้ยวเองก็แหลมคมขึ้นจนน่ากลัวด้วยเช่นกัน

    พร้อมกันนั้น แอนดราสก็ตั้งท่าขณะลอยตัวพลางมีออร่าบางอย่างไหลออกมาจากตัวดาบครอบคลุมร่างของแอนดราส มันตั้งใจจะบินพุ่งเข้าไปโจมตีด้วยดาบคู่ที่มันถืออยู่

    ตั้งแต่เริ่มปะทะ ขนตัวตามผิวหนังของแอนดราสนั้นค่อย ๆ มีการเปลี่ยนเป็นขนนกทีละนิดมาตลอด เล็กน้อยจนยากจะสังเกตเห็น นี่คือกระบวนการหลอมรวมจิตวิญญาณโบราณกับร่างสถิตที่เชื่องช้าแต่มั่นคง ทว่าช่วงเวลาที่มันเอาจริงแบบไม่สนอะไรนี้ กระบวนการส่วนใหญ่ถูกลัด ขนตัวแทบทั้งร่างของแอนดราสได้เปลี่ยนเป็นขนนกทันที ปีกด้านหลังเองก็เริ่มมีการเปลี่ยนจากสีขาวสว่างกลายเป็นสีแดงเลือดที่นอกจากเท่แล้วก็แข็งแรงพอจะใช้แทนใบมีดได้เลย

    ส่วนตำแหน่งที่เปลือยเปล่าไม่น่ามองก็ได้ถูกขนนกพวกนั้นปิดมิดชิดไปหมดแล้วด้วย

    “อา…”

    และขณะที่เด็กผู้ชายมั่นใจว่าตัวเองนั้นตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียวแล้ว เขาก็ถอนหายใจดูโล่งอกขึ้นมาซะอย่างงั้น

    [เป็นอะไรไป เจ้ายอมรับความตายแล้วรึไง]

    “ยังไม่หยุดพล่ามอีกเหรอ? แถมครั้งนี้ยังปักธงตายเองซะด้วย”

    เด็กผู้ชายยังคงพยายามมพูดจากวนประสาทแอนดราสขณะหันมองรอบตัว ให้ความสนใจกับหมาป่าขนสีแดงตัวใหญ่เท่ารถเมล์ที่มีจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยตัวกำลังพุ่งเข้ามาใกล้ ถ้ามีคนอื่นมาอยู่ในจุดเดียวกันคงหวาดกลัวจนเข่าทรุดไปแล้ว เพราะนี่ไม่ต่างจากการยืนนิ่ง ๆ ให้รถเมล์ร้อยคันขับเข้ามาชนเลย แถมอาจไม่จบที่แค่โดนชนด้วย

    “<มิติรุ่งอรุณ>”

    เพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่หมาป่าทุกตัวจะเข้ามาถึงตัวเด็กผู้ชายนั้น แสงสีทองก็ปรากฏขึ้นตรงตำแหน่งใต้ฝ่าเท้าของเขา แต่ก็คงไม่มีใครสังเกตเห็นเพราะมีพวกหมาป่าคอยบดบังการมองเห็นทั้งหมดให้

    และเมื่อแสงสีทองจางลง เด็กผู้ชายก็ได้หายตัวไปจากตำแหน่งนั้น...ไม่สิ เขาได้ล่วงลงไปในแสงสีทองนั้นต่างหาก

    ราวกับว่าจู่ ๆ ก็มีรูบนพื้นที่สามารถเปิด-ปิดเองได้โผล่มา

    [หะ...???]

    แอนดราสได้แต่อุทานด้วยความงุนงง มีคำถามมากมายผุดเข้ามาในหัว

    ฝูงหมาป่าที่พุ่งเข้าไปสุดแรง แต่ดันไม่มีเป้าหมายที่ควรมีอยู่ตรงนั้นต่างก็ตื่นตระหนกพากันล้มกระแทกบาดเจ็บกันแบบทั่วหน้า มีจำนวนไม่น้อยที่บาดเจ็บถึงขั้นสาหัสเนื่องจากขนาดร่างอันใหญ่โตของพวกเดียวกันที่พุ่งมาจากทิศตรงข้ามชนปะทะเข้าให้

    ส่วนพวกหมาป่าที่ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากและตั้งตัวได้ก็รีบวิ่งถอยไปหาแอนดราสทันที รอรับคำสั่งขณะตั้งท่าเตรียมรับมือกับการโจมตีถัดไป

    [นั่นมัน...เวทมนตร์อะไรกัน? ทำไมข้าไม่รู้สึกถึงมานาเลยล่ะ?! …ไม่สิ ตั้งแต่แรก ข้าสัมผัสมานาจากเจ้าเด็กนั่นได้ด้วยรึเปล่านะ? ...อืมมม สัมผัสได้ แต่ทั้ง ๆ ที่มองอยู่ พูดคุยด้วยอยู่ ตัวตนกลับเบาบาง ทำไมถึงไม่ได้เอะใจตั้งแต่ทีแรก หรือว่าที่ข้าสัมผัสได้มันคือมานาที่ติดตามตัวเสื้อผ้าเหรอ? ...บางทีอาจเป็นเพราะตอนนี้ร่างสถิตของข้ายังเป็นแค่ตัวอ่อนอยู่รึเปล่าเนี่ย??]

    ความโกรธเคืองทั้งหมดหายไปและถูกเติมเต็มใหม่ด้วยความสงสัย

    เมื่อกี้นี้ ถึงแม้แอนดราสจะไม่สามารถมองเห็นตัวเด็กผู้ชายที่เป็นคู่ต่อสู้ของมันผ่านดวงตาปกติได้เพราะมีหมาป่าบัง แต่มันก็ยังมีความสามารถในการมองเห็นผ่านสายตาของพวกหมาป่าแทนอยู่ และภาพที่มันได้เห็นก็คือเด็กผู้ชายคนนั้นท่องคำร่ายอะไรสักอย่างที่เหมือนกับการใช้เวทมนตร์ เพียงแต่เวทมนตร์นั้นต้องร่ายด้วยภาษาพิเศษเท่านั้น

    ตามกฎของโลกแล้ว กรณีที่ท่องคำร่ายด้วยภาษายุคปัจจุบัน มานาจะไม่ตอบสนองและไม่เกิดการทำงานของเวทมนตร์ขึ้น

    แต่เด็กผู้ชายคนนั้นกลับใช้ภาษาของประเทศโซนตะวันออกเฉียงเหนือของยุคปัจจุบันในการใช้บางอย่างคล้ายเวทมนตร์อย่างแน่นอน ซึ่งแอนดราสพอรู้จักภาษานั้นในเชิงความรู้

    [แต่...เป็นไปได้ไง???]

    และในขณะที่แอนดราสกำลังกวาดตามองหาร่างของเด็กผู้ชายอย่างร้อนรนพลางครุ่นคิดหนัก ความเป็นไปได้หลายอย่างผุดเข้ามาในหัว สัมผัสอันตรายของมันก็ถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงพร้อมกับแสงสีทองที่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นตรงตำแหน่งเหนือหัวของแอนดราส

    “มีตาตั้ง 4 ดวง แต่ไร้ประโยชน์จังนะ”

    [......?!]

    เด็กผู้ชายที่หายไปเมื่อครู่นี้ได้ล่วงลงมาจากแสงสีทองพร้อมกับดาบที่ใหญ่ซะยิ่งกว่าร่างของแอนดราสหลายเท่าตัว

    ดาบยักษ์นั้นถูกยื่นออกมาด้านหน้าของเด็กผู้ชายในขณะที่เขากำลังล่วงหล่น ด้วยน้ำหนักที่มหาศาลบวกกับแรงโน้มถ่วงที่ทำให้ไม่ต้องออกแรงในการฟันเลยสักนิด เพียงปล่อยให้มันล่วงลงไปในแนวที่ต้องการก็จะสามารถผ่าได้ทุกสิ่งดังใจปรารถนา

    เงาของดาบปกคลุมทั้งตัวของแอนดราสจากด้านบน

    แอนดราสรีบเงยหน้าขึ้นสุดชีวิตพร้อมกับร่ายเวทมนตร์ที่คำร่ายสั้นสุดและปลดปล่อยออกไปขณะคมดาบของเด็กผู้ชายผ่าแอนดราสไปถึงกลางศีรษะแล้ว

    เมื่อเด็กผู้ชายรับรู้ถึงการโจมตีสวนกลับแบบฉับพลันของแอนดราสก็ถึงกลับเหงื่อแตก รีบใช้ดาบยักษ์เป็นจุดศูนย์กลางในการเบี่ยงตัวหลบเวทย์ [บอลพลังงาน] กลางอากาศไปได้อย่างฉิวเฉียด

    *ฉึบ!*

    ดาบได้ผ่าลงกลางร่างของแอนดราสเข้าจัง ๆ คมดาบสัมผัสที่หัว ผ่านที่ตัว ลงไปถึงกลางระหว่างขา แน่นอนว่าแหนมน้อยของแอนดราสก็ไม่รอด

    ตอนนี้สามารถเรียกแอนดราสที่มีหัวเป็นนกฮูกว่ามันเป็นนกสองหัวได้แล้ว

    (เกือบบบบชิบหายแล้วไง โจมตีสวนกลับไวเป็นบ้า)

    เมื่อดาบผ่าทะลุตัวของแอนดราสไปแล้ว เด็กผู้ชายก็ได้ล่วงหายลงไปในแสงสีทองที่ปรากฏขึ้นอีกครั้งเป็นแนวนอนใต้เขากลางอากาศ และในเวลาไล่เลี่ยกันก็มีแสงสีทองปรากฏขึ้นอีกที่บนพื้นถนนเป็นแนวตั้งคล้ายประตูแสง โดยเด็กผู้ชายก็ออกมาจากตรงนั้นพร้อมดาบยักษ์ในสภาพเหมือนถูกโยนออกมาเพราะความต่างของทิศทางแรงโน้มถ่วง

    ร่างเปลือยเปล่าของแอนดราสขาดเป็นสองส่วนพร้อมกับล่วงดิ่งลงพื้น เสียงของสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายทดทานระดับอาวุธปืนยิงไม่เข้าได้กระทบสู่พื้นเกิดเสียงดังสนั่นจนฝูงชนที่วิ่งหนีตายไปก่อนหน้ายังต้องหันกลับมามอง

    ----นั่นมันบ้าอะไรน่ะ!? แต่ฉันรอดแล้วใช่ไหม…?

    ----ดะ-ได้ยังไง? พวกหมาป่าหยุดตามมาแล้ว??

    ----เด็กคนนั้นเป็นคนทำงั้นเหรอ ไม่สิ?! ไอ้ดาบยักษ์ที่อยู่ในมือนั้นมันอะไรกัน!!?

    ----เอาไงต่อดี จะไม่มีอะไรระเบิดอีกใช่ไหมเนี่ย

    ----มะ-เมื่อกี้ ฉันผลัก...ลูกตัวเองไปตายเหรอ...

    ----หยุดวิ่งกันทำไม! พวกหมาป่ามันอาจจะตามมาอีกก็ได้นะทุกคน!!

    ----ชิบหายหมดแล้ว ร้านตัดผมที่ฉันอุตสาห์ทุบกระปุกหมูมาลงทุนเปิด...

    ----รอดแล้วโว้ยยยยยยยย!!

    คำพูดและคำถามมากมายเกิดขึ้นท่ามกลางฝูงชน ในนั้นมีทั้งคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ดังนั้นภาษาที่ใช้จึงมีปะปนกันจนชวนสับสน

    แต่ยังไม่ทันที่ความวุ่นวายจะจางหาย กลุ่มชายสวมสูทดำได้เดินมาปิดล้อมรอบตัวเด็กผู้ชายเอาไว้ และขณะเดียวกันก็มีอีกกลุ่มนึงไปปิดล้อมพวกหมาป่าขนสีแดงที่กำลังเฝ้าศพของแอนดราสด้วย โดยบนหน้าอกของชายสูทดำทุกคนล้วนติดเข็มกลัดที่มีรูปปีกสีดำซึ่งเป็นสัญญาลักษณ์องค์กรที่สังกัดไว้

    และผู้หญิงที่เดินนำหน้ากลุ่มสุดก็รีบตรงปลีกเข้ามาหาตัวเด็กผู้ชายที่ยืนดูสถานการณ์โดยรอบอยู่ทันที

    “ทำไมนายไม่ทำตามแผนล่ะเมฆ! คิดบ้าอะไรอยู่กันหะ!! ดูสิ เหตุการณ์มันวุ่นวายไปหมดแล้ว ฉันบอกให้นายเข้าไปพูดคุยก่อนไม่ใช่รึไง…!?”

    เธอขึ้นเสียงตวาดต่อว่าเด็กผู้ชายตรงหน้าอย่างจริงจัง แต่ก็ไม่ได้เป็นเพราะอารมณ์โกรธ จากสีหน้าของเธอก็คงบอกได้ว่าเพราะเป็นห่วงเด็กผู้ชายคนนี้ซะมากกว่า

    ซึ่งทางเด็กผู้ชายก็เหมือนจะพอเข้าใจเจตนาของเธอ จึงก้มหน้ารับแต่โดยดีพร้อมให้เหตุผลของตัวเองไปด้วย

    “ทาเนไม่ยอมให้เข้าพบครับ ผมก็เลยไม่มีทางเลือกนอกจากต้องบุกเข้าไปหาตรง ๆ ”

    ทาเนคือชายผู้เป็นร่างสถิตของแอนดราส หนึ่งในบรรดา<+ร่างทรง+>ที่อยู่ระดับตัวอ่อน ซึ่งเทียบเท่าได้กับจอมเวทย์ระดับสี่ เขาเป็นคนที่เพิ่งจะได้สู้กับเด็กผู้ชายไปก่อนหน้านี้แล้วมีท่าทีจะแพ้เลยเรียกให้แอนดราสออกมาสู้แทน

    “ห๋าาาา? ถ้ามันผิดแผนนายก็ควรมาบอกฉันนี่ เพราะคนที่ต้องวางแผนและให้ความช่วยเหลือนายมันก็คือฉัน แต่นายดันทำตามอำเภอใจตัวเองเนี่ยนะ เฮ้อ…จากสภาพของเขา ตอนนี้นายก็รู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมทาเนไม่ให้เข้าพบ”

    “ครับ เขากำลังอาบน้ำอยู่…”

    พอได้รับคำตอบ หญิงสาวก็แหงนหน้าขึ้นพร้อมกับเอามือถูหน้าผาก เธอถอนหายใจเหยียดยาวราวกับเหนื่อยล้า

    หญิงสาวคนนี้คือคนที่มีหน้าที่คอยสนับสนุนให้เด็กผู้ชายตรงหน้าทำภารกิจให้สำเร็จและภารกิจนี้ก็เป็นภารกิจแรกที่พวกเขาทั้งคู่ได้ทำงานร่วมกัน ซึ่งผลลัพธ์ก็ตรงตามที่ผู้ว่าจ้างต้องการคือการกำจัดทาเน

    แต่เธอคิดว่ามันน่าจะมีวิธีที่ดีกว่านี้อยู่ แม้จะไม่ใช่วิธีที่สันติหรือโลกสวย แต่ก็เป็นวิธีที่ไม่ต้องมีใครตายหรือส่งผลกระทบต่อคนธรรมดา และก็เป็นวิธีที่เด็กผู้ชายตรงหน้าของเธอจะไม่ต้องสูญเสียบางสิ่งไป

    “……”

    “……?”

    ทั้งสองคนมองหน้ากันสักพักก่อนที่หญิงสาวจะพูดขึ้น

    “เมฆ นายไม่เหม็นตัวเองบ้างรึไงเนี่ย ทั้งหน้าก็มีแต่เลือด ตอนนี้ตัวนายเหม็นคาวสุด ๆ กลิ่นเหมือนพวกปลาในตลาดสดเปี๊ยบ นี่ เอาผ้าไปเช็ดหน้าก่อน”

    “ขอโทษที่ทำให้เรื่องยุ่งยากนะครับ…”

    หญิงสาวยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้พลางใช้มืออีกข้างทำท่าบีบจมูก ซึ่งเด็กผู้ชายก็รับไว้อย่างว่าง่าย

    “เอาเถ๊อะ ไว้เดี๋ยวที่เหลือฉันจะจัดการต่อเอง นายรีบกลับไปอาบน้ำรอที่โรงแรมเลย พรุ่งนี้พวกเราจะกลับบ้านกันแล้ว”

    “ครับพี่ทราย...”

    เด็กผู้ชายเอ่ยปากรับคำก่อนจะพึมพำอะไรบางอย่าง จากนั้นแสงสีทองก็มาปรากฏตรงหน้าของเด็กผู้ชาย เขากำผ้าเช็ดหน้าไว้ในมือเดินหายเข้าไปในแสงสีทองก่อนที่แสงมันจะค่อย ๆ จางลงไปจนไม่เหลืออะไร ส่วนดาบยักษ์ที่เด็กผู้ชายใช้ก่อนหน้านี้ก็หายไปในแสงสีทองที่โผล่มาอีกตำแหน่งในเวลาเดียวกัน

    หญิงสาวและเหล่าชายสวมสูทดำที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ไม่มีใครดูแปลกใจกับการหายตัวไปในแสงสีทองของเด็กผู้ชายเหมือนกับแอนดราส พวกเขาแสดงท่าทีราวกับมองว่ามันเป็นเรื่องปกติ

    “เฮ้อ~ ทำไมคุณยายถึงต้องยึดติดกับธรรมเนียมบ้า ๆ แบบนั้นด้วยนะ…”

    หญิงสาวบ่นออกมาอีกครั้งพลางใช้มือถูหน้าผาก

    (เด็กแบบเมฆไม่ควรต้องมาทำงานแบบนี้ด้วยซ้ำ แถมค่าแรงก็แค่หนังสือไม่กี่เล่มอีก…เกินไปไหมเนี่ยคุณยาย ใช้แรงงานเด็กแถมยังโกงค่าแรง...อ้าาา รู้สึกผิดจังแหะ แต่จะให้ไปหยุดคุณยายก็คงไม่ไหว เดี๋ยวซื้ออะไรกลับไปฝากหน่อยละกัน)

    เมื่อสรุปความคิดได้แล้ว หญิงสาวก็เลิกใช้มือถูหน้าผากและหันมองสถานการณ์รอบตัว พิจารณาว่าควรดำเนินการอย่างไรต่อ

    ตระกูลไคม์กับตระกูลเกรโมรี่ สองตระกูลใหญ่แห่งประเทศไทย แม้ชื่อของตระกูลทั้งสองจะแปลกแหวกแนวจากวัฒนธรรมดั่งเดิมไปมาก แต่ก็มีเหตุผลมารองรับมันอยู่ ซึ่งจะยังไม่บอกในบทนำหรอก

    ธรรมเนียมเก่าแก่ระหว่างตระกูลไคม์กับตระกูลเกรโมรี่ การแลกเปลี่ยนบุตรหลานภายในตระกูลของกันและกัน โดยเมื่อบุตรหลานเพศชายคนแรกของตระกูลถือกำเนิด คน ๆ นั้นจะต้องถูกส่งไปให้อีกตระกูลนึงเลี้ยงดู ซึ่งระยะเวลาการเลี้ยงดูก็แล้วแต่จะตกลงกันในแต่ละรอบ เพราะใช่ว่าทั้งสองตระกูลจะให้กำเนิดบุตรหลานในเวลาใกล้เคียงกัน

    แน่นอนว่าธรรมเนียมแบบนี้มันแปลก แต่มันคือการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลใหญ่ของประเทศเอาไว้

    การส่งบุตรหลานเพศชายคนแรกที่สำคัญที่สุดไปนั้นก็เพื่อเป็นหลักประกัน แสดงเจตจำนงว่าตัวเองไม่อยากเปิดสงครามหรือสร้างความขัดแย้ง ต้องการสร้างแค่พันธมิตรและสันติ

    ซึ่งเมื่อทั้งสองตระกูลต่างสลับคนของกันและกันแล้วก็ต้องเลี้ยงดูให้ดี ไม่ว่ายังไงคนที่ส่งมาก็นับว่าเป็นหน้าตาของอีกตระกูลนึงที่มีระดับเท่ากัน

    แน่นอนว่าคนที่ถูกส่งไปก็สามารถกลับตระกูลของตัวเองได้หากผ่านไปจนครบระยะเวลาที่กำหนดแล้ว แต่ก็มีหลายครั้งเหมือนกันที่มีคนเลือกจะไม่กลับตระกูลของตัวเองเพราะมีปัญหาจากความเคยชินหลาย ๆ อย่าง รวมถึงหน้าที่การงานด้วย

    โดยทั้งหมดนี้ก็คือความเข้าใจเบื้องหน้าของทุกคน แต่เบื้องหลังธรรมเนียมเก่าแก่แบบนี้ก็มีผลประโยชน์บางอย่างอยู่ นั่นก็คือข้อมูล การเคลื่อนไหวที่ตรวจสอบได้ยากจากภายนอกสามารถให้คนที่ส่งไปตรวจสอบจากภายในแทนได้ และมันก็คือหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ธรรมเนียมนี้ยังคงมีอยู่

    “ท่านรองฯครับ พวกเราทำการเก็บกู้ซาก<+ร่างทรงแอนดราส+>เสร็จแล้วครับ”

    “พวกหมาป่าเองก็ถูกจัดการเรียบร้อยแล้วครับ ไม่เหลือทิ้งไว้แม้แต่เลือดหยดเดียวเลยครับ”

    “อืม ทำดีมาก งั้นทุกคนฟังฉัน หน่วย 3 ไปควบคุมความสงบของฝูงชนซะ ส่วนหน่วย 1 ก็ไปติดต่อกับฝั่งผู้ว่าจ้าง รายงานไปว่าแอนดราสถูกจัดการแล้ว เดี๋ยวฉันเข้าไปคุยด้วยอีกที และก็หน่วย 8 ไปจัดเตรียมการกลับไทยให้เรียบร้อย พรุ่งนี้พวกเราจะกลับบ้านกันแล้ว เพราะงั้นรีบทำทุกอย่างให้จบภายในวันนี้!”

    “ “ครับท่านรองฯ!!” ” 

    ชายสวมสูทดำทุกคนขานรับคำสั่งอย่างเชื่อฟัง จากนั้นจึงรีบแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองทันที เป็นความกระตือรือร้นที่น่าชื่นชม สมควรได้โบนัสสิ้นเดือน

    ในเช้าวันถัดมา

    หลังจากเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมตั้งแต่ตีห้าและนั่งเครื่องบินส่วนตัวของตระกูลจากนิวซีแลนด์มาลงที่ไทย หญิงสาวก็สั่งให้ชายสวมสูทดำส่วนใหญ่แยกย้ายไปทำหน้าที่ส่วนอื่น ๆ โดยเหลือไว้ไม่กี่คนให้มาคอยดูแลความปลอดภัยของเธอกับเด็กผู้ชาย

    พอออกจากสนามบินปุ๊บก็มีคนอีกกลุ่มขับรถมารอรับช่วงต่อดูแลพวกเธออีกที

    และหลังจากรถออกตัวมาสักพัก พวกเธอก็เข้าสู่อาณาเขตของบ้านที่พวกเธอพูดถึงกัน ถนนรอบข้างเริ่มมีรถสัญจรไปมาน้อยลง เหลือแค่รถไม่กี่คันที่มีตราสัญลักษณ์ปีกสีดำที่ยังคงขับผ่านพวกเธอไปมาปกติ

    รถของพวกเธอขับมาหยุดที่หน่วยรักษาความปลอดภัยตั้งแต่หน้าประตูรั้ว และเมื่อยืนยันตัวตนเสร็จ รถของพวกเธอก็ขับผ่านสวนดอกไม้ที่กินพื้นที่กว้างกว่าสนามฟุตบอลระนาบข้างถนน และผ่านคนงานที่รับผิดชอบงานแต่ละส่วนของตัวเองอยู่

    และแล้วรถของพวกเธอก็มาหยุดจอดที่จุดหมายสักที คฤหาสน์ตระกูลไคม์

    “รออยู่เลยนะทราย สนุกไหมที่นิวซีแลนด์?”

    “ค่ะคุณยาย”

    “พี่คะ~”

    “จ้า~ มีอะไรเหรอแก้ว?”

    “คิดถึงไงคะ!”

    ณ หน้าคฤหาสน์

    มีเด็กผู้หญิงสองคนออกมาต้อนรับการกลับมาถึงของหญิงสาว พวกเธอทั้งคู่นั้นคู่ควรแก่การเรียกว่า ‘น่ารัก’ ผิวพรรณที่ดูเนียนนุ่มและการแต่งกายที่ดูดีได้รับการเอาใจใส่ดูแล แววตาที่ใสซื่อของคนด้านขวาสวนทางกับแววตาที่นิ่งสงบของคนด้านซ้าย พวกเธอทั้งสองคือครอบครัวของหญิงสาว

    คนนึงเป็นน้องสาวของเธอ ส่วนอีกคนเป็นคุณยายของเธอนะเออ

    “อ๋อใช่ ข้าก็รอเจ้าอยู่เหมือนกันนะเมฆ”

    “หนูด้วย ๆ ”

    เด็กผู้หญิงที่อยู่ด้านซ้ายหันไปยิ้มด้วยแววตานุ่มนวลให้เด็กผู้ชาย ก่อนที่เด็กผู้หญิงด้านขวาจะเสนอตัวมาร่วมวงด้วยอย่างร่าเริง แต่แม้ทั้งคู่จะแสดงความเป็นมิตรซะขนาดนั้น ท่าทีของเด็กผู้ชายกลับดูเหมือนจะไม่อยากอยู่ตรงนี้เลย

    “ไม่ต้องมารอฉัน...หลบไป ฉันจะกลับขึ้นห้องแล้ว ง่วง”

    “งานแรกครั้งนี้ เจ้าเองก็พยายามมากนะ ให้ข้าช่วยกอดสักหน่อยไหม?”

    “ไม่ล่ะ เกรงใ----”

    เด็กผู้ชายยังพูดไม่ทันจบก็พลันถูกเด็กผู้หญิงด้านซ้ายกระชากตัวเข้าไปในอ้อมกอด แรงแขนของเธอเยอะอย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับเขาถูกโอบรัดโดยสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ ทำเอาเด็กผู้ชายไม่สามารถดิ้นหลุดได้ แม้แต่การหายใจก็ยังลำบาก

    “ฮะ-เฮ้ย!? ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ ปล่อยนะเฟ้ย!”

    “คนทำงานก็ควรได้รับค่าตอบแทนสิ ไม่มีคนงานของข้าคนไหนหรอกนะที่ไม่ได้ค่าตอบแทน”

    “เอามาแค่หนังสือพอแล้ว!”

    “ไม่พอหรอก”

    “ฉันบอกว่าพอก็พอสิเฟ้ย! จะเถียงผู้รับเพื่อ?!”

    เด็กผู้ชายยังคงไม่ได้รับการปลดปล่อย แม้เด็กผู้หญิงคนนี้จะหยุดพูดตื้อแล้วก็ตาม

    “ปะ-ปล่อยสักทีสิ มันแข็ง…!”

    เมื่อได้ยินคำพูดของเด็กผู้ชาย เด็กผู้หญิงทั้งคู่ก็ตัวแข็งค้างเป็นหิน แม้คำพูดของเขาจะบอกแค่คนเดียว แต่มันกลับส่งผลกระทบไปถึงอีกคนด้วยซะงั้น

    “เจ้า...กำลังจะบอกว่าข้า หน้า อก เล็ก ใช่ ไหม?”

    “เอ่อ!”

    หลังสิ้นสุดเสียงยืนยัน

    ดวงตาที่แสดงความนุ่มนวลก่อนหน้านี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเกรี้ยว เธอออกแรงรัดหัวของเด็กผู้ชายมากกว่าเดิม มากจนเด็กผู้ชายต้องดิ้นรนร้องโอดโอยขอให้ปล่อยชีวิตน้อย ๆ ไปอย่างน่าสมเพช

    “ยายล็อกตัวให้แล้ว ต่อยหน้ามันเลยหลานรัก! ฝากต่อยเผื่อยายด้วย!!”

    “รับทราบค่ะคุณยาย!”

    “ยะ-อย่านะเฟ้ย?! ยัยพวกผีบ้า!!?”

    ภาพเด็กผู้หญิงสุดน่ารักสองคนที่ออกมาต้อนรับก่อนหน้านี้หายไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงยักษ์มารสองตนที่ร่วมมือกันทารุณเด็กผู้ชายปากเสียคนนี้อย่างสนุกสนานเท่านั้น

    ซึ่งหญิงสาวที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ก็ได้แต่หัวเราะร่วมกับเหตุการณ์ตรงหน้า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×