สู่เถ้าธุลี l To ashes l By TIPPO
คุณเคยรู้สึกสูญเสียไหม ? ฉันก็เป็นคนนึงที่สูญเสีย.... ทุกอย่าง โดยเฉพาระ " คนที่รัก " มีหนังสือเล่มนึงกล่าวไว้ว่า " คนเรามักเจ็บปวดกับการจากลา เพราะถูกสร้างความสัมพันธ์"
ผู้เข้าชมรวม
113
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
....
เรื่องนี้เป็นจินตนาการของผู้แต่ง ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลและสถานที่ใด ๆ โปรดใช้วิจรณญาณในการอ่านด้วยนะคะ
....
Story By TIPPO
คุณเคยรู้สึกสูญเสียไหม?
ฉันก็เป็นคนนึงที่สูญเสีย.... ทุกอย่าง
โดยเฉพราะ " คนที่รัก "
มีหนังสือเล่มนึงได้กล่าวไว้ว่า " คนเรามักเจ็บปวดกับการจากลา เพราะถูกสร้างความสัมพันธ์ "
ณ เมืองแห่งหนึ่ง
ชายหนุ่มเครื่องแบบทหารยกกระเป๋าใบโตขึ้นสพายพร้อมอาวุธทำสงคราม แล้วหันไปหาเด็กสาววัย 5 ขวบและน้องชายของเธอ เค้ายิ้มให้ก่อนจะมอบจูบเล็ก ๆ ที่หน้าผากของเด็กสาวและเด็กชายแล้วกล่าวคำอำลา
" คุณจะรีบกลับมาใช่ไหมคะ ? "
" แน่นอนสาวน้อยของฉัน เธอต้องดูแลตัวเองและน้องชายของเธอน่ะ "
" ค่ะ....คุณสัญญาได้ไหม ? "
" ....แน่นอน....ฉันสัญญา "
ถึงแม้เค้าจะไม่ชอบการสัญญาใด ๆ เพราะการไปครั้งนี้อาจทำให้เค้าต้องไม่กลับมาที่นี้อีก เค้าห่วงเด็กทั้งสองมากเลยต้องทำให้พวกเค้ามั่นใจว่าจะไม่เสียเค้าไป คงเป็นการจากลาครั้งสุดท้าย ชายหนุ่มอุ้มเด็กทั้งสองมาสู่อ้อมกอดแล้วมอบจูบอีกครั้ง
" ฉันสัญญาเด็กน้อยของฉัน "
" ค่ะ "
เด็กสาวตอบเสียงใสและตามด้วยเด็กชายที่ส่งเสียงน่ารักออกมา เค้ายิ้มเจือนก่อนจะวางทั้งสองลงและจากไป
5 ปีหลังจากนั้น ก็มีการทำสงครามครั้งใหญ่ระหว่างเมือง ส่งผลกระทบต่าง ๆ ทั้งด้านที่อยู่ อาหาร เลยมีการก่ออาชญากรรมขึ้นนับไม่ถ้วน แต่ทั้งสองเมืองก็พ่ายต่อกันและกันจนทำให้ราชาของทั้งสองเมืองสิ้นชีพแบบไร้ประโยชน์ ต่อมามีการก่อตั้งอาสาสมัครโดยมีคนจากทั้งสองฝ่ายมาร่วมมือกันและทำการช่วยเหลือผู้คน ซ่อมแซม พัฒนาการก่อสร้าง เทคโนโลยีใหม่ ๆ เลยถูกยกย่องเป็นเสมือนคนของพระราชา แต่ก็มีบางส่วนที่ต่อต้านการพัฒนามีหัวคิดแบบก่อนการเกิดสงครามและตั้งตัวเองเป็น 'สกุลคาโปรซูคัส' ซึ่งเป็นชื่อเรียกของ จระเข้หมูป่า สัตว์ยุคโบราณที่มีความดุร้าย ทั้งสองฝั่งมักมีปัญหาในวงในแต่ไม่เคยมีผลกระทบต่อประชาชน หรือผู้คนในพื้นที่ที่เข้าไม่ถึง
“ นี้ของนาย น้องชาย....”
“ อืม ”
นี้ก็ 5 ปีแล้วที่เค้าไป.... เด็กสาวในตอนนั้น ตอนนี้โตขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าสวย สีผิวคล้ำเข้ม และผมหยักศก ดวงตาสีฟ้าเข้มประกายฉายแววมุ่งมั่น ปัจจุบันเด็กสาวต้องหาเลี้ยงให้กับตัวเองและน้องชาย เป็นรับจ้างต่าง ๆ ไม่ว่าดีหรือไม่ดีเค้าจะต้องอยู่ท่ามกลางความไม่สมดุลย์นี้ เค้าถูกสอนจากชายหนุ่มผู้นั้นว่า `สถานการณ์ที่ย่ำแย่ เราก็ก็ต้องอยู่ให้ได้ไม่ว่าหนทางใด เพราะสิ่งดี ๆ อยู่ที่ใจ ใจที่สู้ฝ่าฟันทุกอย่าง สักวันมันจะดีเอง’ เด็กสาวนั่งลงข้าง ๆ น้องชายของตนแล้วยกมือขึ้นลูบแผลถลอกที่แก้มเบา ๆ
“ พี่โอเคใช่ไหม? ”
“ แน่นอนน้องชาย ฉันโอเค....”
ทั้สองเงียบไป อยู่กับความคิดของตัวเอง ตอนนี้เด็กสาวไม่รู้ว่าน้องชายคิดอะไร เพราะตอนนี้เด็กชายไม่แสดงสีหน้าใด ๆ แต่คงต้องเป็นเรื่องของชายหนุ่มผู้นั้นแน่ ๆ ใช่....เธอและเค้ายังรอให้ชายผู้นั้นกลับมา กลับมาหาพวกเค้าที่รออยู่ มีข่าวว่าทหารมากกว่า 10,000 คน ตายในสงครามเมื่อ 5 ปีก่อน เธอได้แต่ปรารถนาให้ไม่มีชายผู้นั้น แต่ก็แอบท้อใจว่าถ้าเกิดคำพูดครั้งสุดท้ายของเค้าคือ 'คำสัญญา' ที่เป็นคำโกหกให้พวกเค้าสบายใจ
“ พี่ไปทำงานนั้นอีกแล้วหรอ? ”
“ ....ใช่ แต่รู้ไหม พี่ไม่ได้-
“ เราสัญญากันแล้วน่ะพี่ ถ้าเกิดพวกนั้นตามมาล่ะ?! ”
ตึก ตึก ตึก !
เสียงประตูดังขึ้นหลังคำพูดของเด็กชาย ตามด้วยเสียงตะโกนของผู้ที่มาเยือน เด็กสาวรีบคว้าเป้ของเธอแล้วกอดน้องชายไว้แน่นก่อนจะปีนออกทางหน้าต่างก่อนที่คนพวกนั้นพังเข้ามา เธอมักไปทำงานเกี่ยวกับการลอบทำร้าย ขโมยหรือสอดแนมคนของรัฐบาล หรืออาสาสมัครที่เข้ามาทำงานหลังสงครามจบลง เลยทำให้เธอและน้องจะหนีจากคนพวกนั้นบ่อย ๆ มันเป็นทางเลือกที่ไม่ค่อยดีแต่ได้เงินเยอะพอที่จะดูแลเธอและน้องของเธอได้ เธอพาน้องออกมาจากเมืองนั้นโดยขึ้นรถม้าออกมานอกสู่เมืองหลวงใหญ่
“ ผมบอกแล้ว....” เด็ชายกล่าว
“ พี่ขอโทษน่ะ ที่เมืองเค้าไม่รับเด็กแบบพี่โดยฉเพราะผู้หญิงแล้ว....”เด็กสาวกอดน้องชายแนบอกแล้วหาผ้าคุ้มที่บ่าเล็ก
ทั้งคู่ไม่พูดอะไรจนมาถึงตลาดเมืองหลวง ทั้งสองก็ลงจากรถม้าแล้วเดินเข้าทางตลาดที่มีการค้าขายมากมาย และบริการต่าง ๆ ที่ส่วนมากมักเป็นคนจากเมืองอื่นมาใช้บริการ แล้วเด็กชายก็มองไปเห็นผู้คนมากมายรายล้อมหญิงสาววัยกลางคนถืออุปกรณ์ดนตรีแล้วขับร้องเพลงแสนไพเราะอยู่ ผู้คนนั้นพากันชอบในเสียงของเธอต่างพากันมอบเงินเล็ก ๆ น้อย ๆให้เธอมากมาย
“ พี่..พี่ เราไปดูกันเถอะ ”เด็กชายกล่าวพรางชี้นิ้วบอก
“ อืม ได้สิ ”เด็กสาวมองตามที่น้องตนบอกแล้วจูงมือเด็กชายฝ่าวงเข้าไปชม ฟังใกล้ ๆ
เสียงอันไพเราะถูกบรรเลงออกมาดังก้อง ทำให้เด็กสาวอยากร้องตาม เป็นบทเพลงเกี่ยวกับหลังจบการทำสงครามที่ถูกแต่งขึ้นหลังจากสงคราม 3 ปี เธอยิ้มพร้อมฮัมตามเบา ๆ เธอเป็นคนนึงที่ร้องเพลงได้เพราะมากคนนึง เห็นแบบนี้น้องของเค้าก็ไม่รอช้าผลักเธอเข้าไปในวงที่กำลังบรรเลงอยู่ หญิงสาวที่บรรเลงอยู่ยิ้มแล้วดึงเด็กสาวมาเบา ๆ และกระซิบบอก
‘ ร้องมันเลยเด็กน้อย ’
“ ....คือ....เอ่อ ”
เด็กหนุ่มส่งสัญญาณบอกแล้วยิ้มแป้น เธอมองไปรอบ ๆ เห็นผู้คนยิ้มและปรบมือให้เป็นจังหวะ เด็กสาวหันไปมองหญิงสาวอีกครั้งแต่เธอกลับยิ้มให้ เธอหน้าแดงจากการเขินอาย เธอหันกลับมาแล้วสูดหายใจเข้าลึกแล้วบรรเลงออกมา ทำให้ผู้คนเเถวนั้นส่งเสียงหือฮากันยกใหญ่ เด็กชายยิ้มแล้วหัวเราะคิกคัก ช่างเป็นเสียงที่ไพเราะ จนกระทั่งจบบทเพลงนั้นเธอก็รีบกลับมาหาน้องชายตน
“ พี่สุดยอดไปเลย! ”
“ ขอบใจน้องชาย ”เธอยิ้มแล้วยกกระเป๋าเป้ขึ้นสพาย
หญิงสาวคนเดิมที่ร่วมบรรเลงเพลงเมื่อสักครู่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเค้าทั้งสอง เธอยิ้มแล้วยืนถุงเล็ก ๆ ให้เด็กสาว
“ นี้ส่วนแบ่งน่ะ ขอบใจที่มาร่วมร้องด้วย แขกเยอะกว่าทุกวัน ”
“ คะ ค่ะ ยินดีค่ะ ”เด็กสาวรับถุงนั้นมาแล้วโค้งตัวน้อย ๆ หญิงสาวยิ้มแล้วบอกว่า
“ เธอรู้ไหมฉันแอบเสียใจนิดหน่อยน่ะ ”
พวกเค้าเงียบไม่พูดอะไร เธอคนนั้นยิ้มก่อนจะกล่าวว่า ‘คนเรามักเจ็บปวดกับการจากลา เพราะถูกสร้างความสัมพันธ์’ ถึงแม้จะเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ก็ตาม หญิงสาวจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก เด็กสาวครุ่นคิดในใจถึงคำพูดของหญิงคนนั้น
“ เราไปกันเถอะ ”
“ อืม....พี่คิดว่าเค้าหมายถึงอะไร ”
“ ....ความสัมพันธ์....หรอ?”เด็กสาวกล่าวลอย ๆ
นั้นสิหมายความว่าอะไรกัน ทั้งสองคนเดินมาเรื่อย ๆจนพบค่ำ พวกเค้าก็เดินมาถึงตลาดมืดที่มีผู้คนไร้บ้าน และนักเดินทางจะมาแลกเปลี่ยนสิ่งของของพวกเค้า ทั้สองเดินมาหยุดที่ตึกร้างใกล้ ๆ ก่อนจะเข้าไปแล้วทำการอาศัยชั่วคราว
.
.
.
.
.
เช้ามืด
เด็กสาวก็ปลุกน้องชายของตนแล้วเก็บข้าวของของพวกเค้าเตรียมออกเดินทางต่อ ตอนนี้เธอไม่มีจุดหมายอะไร แค่อยากหาที่ที่พออยู่ได้แล้วหางานดี ๆ ทำ เพราะถ้ายังเป็นต้องหลบหนีทหารรัฐบาลอยู่คงต้องแย่กับเธอและน้องตนแน่ ๆ ถึงชายผู้นั้นจะสอนแบบนั้นแต่ถ้ามันส่งผลต่อคนรอบข้างคงแย่ เธอพาน้องของเธอออกมาแต่พบว่า ภายนอกมีทหารเต็มไปหมดเธอเลยเลือกที่จะปกปิดเพราะดูเหมือนว่าจะมีป้ายประกาศจับเธออยู่ ทหารยื่นใบประกาศจับให้ประชาชน ผู้คนใกล้ ๆ แล้วกล่าวเสียงดังบอกถึงเป้าหมายของพวกนั้น เธอคุมผ้าให้น้องชายแล้วเธอก็เอาเสื้อคุมและเดินออกจากตึกไม่ให้ทหารสังเกตุ เธอจูงมือน้องมาจะพาไปที่รถไฟ แต่แล้วก็มีเสียงชายคนนึงดังขึ้น
“ ขอโทษนะครับ คุณพอจะเคยเห็นเด็กหญิงคนนี้รึเปล่า? ได้ยินมาว่าเธอมาที่เมืองนี้ ”
“ ค่ะ ถ้ามีฉันจะแจ้งให้ทราบ ”
“ขอบคุณครับ ”ทหารกล่าวก่อนจะเดินจากไป เธอกำกระดาษแน่นแล้วพาน้องไปที่ตลาดเมื่อวานนี้ เธอเข้าไปในร้านขายขนมปัง แล้วหยิบมาวางไว้ที่โต๊ะ
“ เห้ย! เยอะขนาดนี้กะให้ข้าไม่ขายคนอื่นเลยหรอฮะ?! ”
“ ฉันเป็นนักเดินทาง แล้วต้องการแป้งเพื่อไม่ให้เสียแรง ฉันมีเงินพอจ่ายอยู่ ”
“ ยังไงก็เถอะ ฉันไม่ได้ขายเธอคนเดียวน่ะ! ”
ก็แค่พวกดูคนจากภายนอกเด็กสาวคิดในใจ สภาพเธอและน้องชายก็ไม่ค่อยดีเท่าไร สุดท้ายเธอได้แค่ขนมปัง 2 ชิ้น เธอแบ่งให้น้องก่อนจะรีบทานเข้าไป
“ พี่โอเคนะ? ”
“ อืม....นายกินเลย ”เด็กสาวยื่นอีกส่วนให้เพิ่ม เด็กชายรับไปทาน
และก็ไปเจอกับทหารคนนึงถามถึงผู้หลบหนีในใบประกาศจับ คุณลุงคนนั้นคิดสักพักก็ถึงกับตาโตแล้วบอกกล่าวทหารนายนั้นแล้วหันมาเห็นก็ชี้นิ้วมาทางเด็กหญิง ไม่รอช้าเด็กสาวพาน้องชายวิ่งไปตามทางไปสถานีรถไฟ ทหารนั้นตะโกนบอกทหารคนอื่นแล้ววิ่งตามมา
“ ไหวไหม?”เด็กชายส่ายหัว แล้วเธอก็อุ้มเด็กชายขึ้นแล้ววิ่งไปทางรถไฟที่กำลังออกตัว เธอกระชับกอดน้องแน่นแล้วโดดขึ้นทางขึ้นต่อขบวน
ทหารทุกนายหยุดชะงักแล้วมองตามเด็กผู้หญิงและเด็กชายในอ้อมกอด ทหารทุกนายมองหน้ากันก่อนจะถามไถ่ถึงขบวนนั้นจะไปที่ไหน
“ ขบวนนั้นไปทางตะวันออกค่ะ ทางไปทำเนียบรัฐบาลค่ะ ”
“ ขอบคุณมาก ! ส่งข่าวไปทางทำเนียบรัฐบาล เด็กนั้นไปทางนั้น !”
ห่างจากสถานีรถไฟมาทั้งสองก็ได้นั่งข้างนอก เพราะไม่ได้ซื้อตั๋วรถไฟ สถานการณ์มันบีบบังคับเธอก็ไม่ได้อยากสร้างความเดือดร้อนให้ใคร แต่เธอกลับคิดน้อยไปที่ไปทำงานแบบนั้นทั้งที่เราก็มีความสามารถพอ แต่ก็ใช่ว่ายุคหลังสงครามจะดี ทุกอย่างมันยังไม่เรียบร้อย
“ พี่....เราจะไม่ตายใช่ไหม? ”เด็กชายกล่าวขึ้นมา ทำให้เธอตกใจกับความคิดเด็กอายุที่น้อยกว่า
“ ทำไมถึงคิดยังงั้นล่ะน้องพี่ ”
“ เพราะว่าเค้าก็โดนคนแบบนี้ฆ่าเหมือนกันไง! ”เด็กชายร้องไห้ออกมาแบบห้ามไม่อยู่ แต่เด็กสาวกลับคิดว่าทำไมถึงรู้เรื่องนั้น เธอไม่เคยบอกเด็กชายเพราะไม่อยากให้คิดมากไป แต่ทำไม?
“ ผะ ผม อึก รู้มาตลอดเลยน่ะ! ฮือ ๆ ทำไมพี่ถึงไม่ยอมบอกล่ะ?! ”
“ ....เพราะว่าพี่ไม่อยากให้น้องต้องรู้สึกเสียใจ พี่ชอบเวลาเรายิ้มน่ะ พี่รักเรา ”
“ ถ้ารัก แล้วพี่ยอมบอกละก็ อึก ผมน่ะ อึก ผมจะค่อยปลอบพี่น่ะ อยู่ข้าง ๆ พี่ ”
เด็กสาวเงียบไป เด็กชายปล่อยนำ้ตาไหลออกมาไม่หยุดพร้อมทุบตีพี่สาวด้วยมือเล็ก ๆ ของเค้า เด็กสาวครุ่นคิดในเมื่อเค้ารู้แล้วพร้อมบอกความรู้สึกทุกอย่าง มันคือ ‘ความสัมพันธ์’ ความรัก ความห่วงใย ความรู้สึกที่มาจากใจให้แก่คนที่เรารัก และรักเรา เด็กหญิงดึงเด็กชายมากอดแล้วพรมจูบที่หน้าผากของเด็กชาย แล้วร้องไห้ออกมาเป็นน้ำตา น้ำตาแห่งความจริงใจ เธอกล่าวขอบคุณน้องชายของเธอและบอกรักกับน้องชายของเธอ หลังจากนั้นทั้งสองก็พูดคุยแลกเปลี่ยน บอกความรู้สึกกันและกันจนถึงจุดหมายปลายทาง เธอพาน้องชายลงจากรถไฟแล้วรีบพากันเดินเข้าในตัวเมือง แต่ยังคงปกปิดตัวตนอยู่เธอพาน้องมาที่ที่ร้านอาหาร แล้วสั่งอาหารเรียบ ๆ มาทานกัน
“ เรารีบไปกันเถอะ ”
“ อืม....แต่ว่า..เราจะไปอยู่ไหนล่ะ? ”
“ ลองเดินดูก่อน ”เด็กสาวกล่าวยิ้ม ๆ ก่อนจ่ายเงินค่าอาหารแล้วออกจากร้านไปเดินดูสถานที่ที่จะใช้พักในคืนนี้
สุดท้ายพวกเค้าก็เดินมาถึงอาคารไม้เก่า ๆ เหมือนไม่มีคนอยู่มานานแต่ไม่ได้สกปรก เธอพาน้องเข้าไปข้างใน แล้วเธอก็ก่อไฟสร้างความอบอุ่นและเดินไปนั่งข้าง ๆ น้องชายพร้อมผ้าห่มผินใหญ่ที่เธอเอามาจากชั้นล่าง เธอเเละน้องมองดูดาวผ่านหน้าต่างบานใหญ่
“ ความสัมพันธ์คือความรักที่มีให้แก่คนที่เรารัก และรักเรา” เด็กชายกล่าวขึ้น เด็กสาวมองไปที่หน้าที่ขาวเนียนและดวงตาสีฟ้าประกาย
“ มันเลยยากที่จะห่างกัน หรือจากกันไป....”เด็กสาวกล่าว
“ นี้....จริง ๆ แล้วน้องมีชื่อน่ะ”เด็กชายหันมาพร้อมใบหน้าตื่นเต้นแล้วเค็นถามพี่สาวตน
“ อารัญ ชื่อของนาย”เด็กสาวกล่าวก่อนพรมจูบที่หน้าผาก เด็กชายขมวดคิ้วสงสัย ช่างเป็นภาพที่น่ารัก น่าเอ็นดู เด็กสาวหัวเราะเเล้วกล่าวถึงความหมาย อารัญ หมายถึง คำสัญญา
เด็กชายยิ้มก่อนจะกล่าวถึงชื่อตัวเองซ้ำไปซ้ำมา จนเด็กชายเงียบไปด้วยความกังวลเลยถามถึงเหตุผลที่อารัญเงียบไป อารัญหันมาแล้วถึงพี่สาวตน
“ แล้วพี่มีชื่อไหม? ”
อ่า นั้นสิชื่อคือสิ่งเเรกของการเริ่มความสัมพันธ์ เด็กสาวยิ้มแล้วบอกอารัญว่า ‘สักวันน้องต้องรู้แน่’ ก่อนจะแกล้งหลับไป
.
.
.
.
.
หลายวันผ่านไป ทั้งสองก็ยังอยู่ที่อาคารไม้หลังเดิมในทุกวันเด็กสาวก็จะออกไปข้างนอกเพื่อทำงานรับจ้างเช่น แบกของ เสิร์ฟอาหาร อะไรแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้มีใครรับเธอไปทั่ว เพราะรัฐบาลประกาศให้มีการเฝ้าระวังเด็กสาวที่ถูกเรียกว่า 'ริปเปอร์' ซึ่งนั้นคือเธอ เหตุผลที่ได้ชื่อนี้มาตัวเธอเองยังไม่รู้เหมือนกัน และห่างจากการทำงานให้สกุลคาโปรซูคัสมาสักพักแล้ว แต่แน่นอนว่ารัฐบาลยังคงตามตัวอยู่ ทุกคนในเมืองนี้จะระวังการรับงานคนเป็นพิเศษ เพราะไม่อยากมีส่วนร่วมรู้กันด้วย ช่วงหลังมารายได้ของเธอก้ไม่ได้เยอะเหมือนเมื่อก่อนและน้องชายของเธอ อารัญป่วยจึงอยากรีบเก็บเงินไปรักษาให้อารัญ
" ทหารคุมเยอะกว่าทุกวันแหะ "เด็กสาวกล่าวกับตัวเอง
ตุบ !
เธอชนเข้ากลับใครบ้างคนทำให้เด็กสาวเซล้มลงจนผ้าคุมหัวของเธอหลุดออก
" โทษทีเธอเป็น- "หญิงสาวในชุดลำลองสีขาว สวมแว่นถามถึงอีกฝ่ายกลับชะงักไป
เด็กสาวเมื่อรู้ตัวก็รีบคุมผ้ากลับเหมือนเดิมก่อนลุกขึ้นจากพื้นแล้วกล่าวขอโทษ แล้วเดินจากไป หญิงสาวสวมแว่นชะงักค้างก่อนได้สติเธอก็ครุ่นคิดถึงเด็กสาวเมื่อครู่ คำนวนหน้าตาแล้วเหมือนเด็กที่รัฐบาลตามหา เธอจึงเรียกทหารใกล้ ๆ มาไถ่ถาม
" เด็กเมื่อกี้คือใคร ?"
" เค้าเป็นเด็กไซต์งานครับ คุณ 'โซฟี' "นายทหารตอบหญิงสาวตรงหน้าอย่าตรงไปตรงมา เธอยิ้มก่อนจะเดินเข้าไปกระซิบใกล้ ๆ นายทหารนั้น
' ขอบใจจ้ะ '
เธอเดินออกมาแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น นายทหารถึงกลับหน้าแดงจนเป็นมะเขือเทศ เธอเป็นคนที่เดาได้ยากเพราะใบหน้าที่ไร้อารมณ์ปนเจ้าเล่ห์ของเธอ
ตัดมาที่เด็กสาวที่กลับมาถึงบ้านก็ครุ่นคิดถึงหญิงผู้นั้นว่าได้สังเกตใบหน้าของเธอรึเปล่า ตอนนี้เราเชื่อใจใครไม่ได้เด็ดขาด เด็กสาวคิดในใจเธอหยิบผ้าที่ชุบน้ำมาเช็ดไปตามตัวของอารัญ อารัญที่รู้สึกตัวก็ส่งเสียงครวญครางออกมาเบา ๆ เธอรีบหันไปถามอาการของคนน้อง เด็กชายยิ้มและบอกอาการต่าง ๆ ที่เป็น ไม่ว่าน้องจะเป็นยังไงก็จะยิ้มเสมอให้เรานั้นสบายใจ แต่ถ้เกิดว่าร้ายแรงขึ้นมาล่ะเราจะทำยังไง เด็กสาวบีบมือน้องชายแน่นหลังจากนั้นเธอก็หาอะไรให้อารัญทานก่อนอารัญจะพ่อยหลับไป เธอได้แต่คิดว่าพรุ่งนี้จะไปทำงานดีหรือไม่ สุดท้ายวันต่อมาเธอก็เลือกที่จะออกมาทำงาน ระหว่างงานเธอมักคิดถึงอารัญบ่อยจนไม่เป็นการเป็นงาน จนเลิกงานเธอก็รีบกลับไปที่อาคารไม้
" อารัญนี้พี่เอง "
" ....พี่..ผมรอตั้งนานแนะ...."อารัญหายใจหอบแรงจนคนพี่เป็นห่วง เธอบีบมือน้องเธอแน่นอารัญยิ้มให้เธอ เป็นรอยยิ้มที่ดูเศร้ามาก
" ....พี่..ถ้าเกิดว่าผม-
" ไม่ได้นะ !! อารัญนายแข็งใจไว้นะ "เด็กสาวกล่าวบอกน้องชายตน อารัญหัวเราะคิกคักหลังจากนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้พูอะไร
" นี้พี่....ผมนะทนไม่ไว้แล้วล่ะ....ผมเหนื่อยแล้ว "เธอเงียบ
" คนเรามักเจ็บปวดกับการจากลา เพราะถูกสร้างความสัมพันธ์....พี่ผมอยากสร้างความสัมพันธ์ให้ไปไกลกว่านี้...."เด็กสาวเงียบรอฟังคำพูดของอารัญ เธอไม่อยากเสียใครไปอีกแล้วอย่างน้อยก็ขอให้ได้ยินคำอำลา
" ผม..รักพี่น่ะ ผมอยากจำความสัมพันธ์ของผมและพี่น่ะ พี่...อยากบอก..อะไรไหม? "
"....พี่ก็รักเราอารัญ แล้วก็เรื่องชื่อน่ะ-"เด็กสาวชะงักเมื่อน้องชายของเธอเริ่มหุบยิ้มและหายใจช้าลง เธอบีบมือของน้องแน่นแล้วกล่าวคำห้าม อยู่กับฉันต่ออีกนิดน่ะ แค่นิดเดียว ขอร้องอารัญ พี่อยู่นี้ พี่จะไม่ทิ้งเราไป เด็กสาวตะโกนบอกน้องชายและกอดเค้าแนบอกและปล่อยน้ำสีใสไหลออกมาไม่หยุด
" ชื่อของ..ชื่อของพี่น่ะ ชื่อ.... "
สายไปแล้ว...เค้าไปแล้ว ไร้การเต้นของหัวใจ...
.
.
.
.
.
1 อาทิตย์หลังจากวันนั้นเธอก็ไม่ทำอะไร นอนอยู่ข้าง ๆ น้องชายตนที่กลายเป็นศพเน่าส่งกลิ่นจนน่าอาเจียน เธอสิ้นหวังแล้วไม่รู้จะอยู่ไปทำไมแล้วคำพูดของชายผู้นั้น....ดอนเค้าเคยบอกว่า 'เราจะต้องอยู่เพื่อคนที่รัก และเราจะตายเพื่อให้คนที่รักอยู่' นั้นสิ เธอลุกขึ้นแล้วอุ้มร่างไร้วิณญาณไปไว้ที่หน้าหน้าต่าง แล้วเก็บข้าวของแต่ระหว่านั้นเอง ก็มีเสียงผู้คนมากมายข้างนอกเธอลุกขึ้นไปแอบดูผ่านหน้าต่างก็พบผู้คนถืออาวุธกันมาพร้อมคกเพลิงหลายอัน เด็กสาวถอยออกจากหน้าต่าง มือบางกุมใบหน้าไว้ นี้พวกเค้ารู้แล้วว่าอยู่นี้เธอตั้งสติแล้วรีบเก็บข้าวของจำเป็นก่อนคิดหาทางหนี ด้านหลังเป็นป่า รอบซ้าย-ขวาเป็นต้นไม้สูง เธอเลือกวิ่งไปชั้น 2 ในขณะที่ผู้คนข้างนอกพังประตูเข้ามาเธอเปิดหน้าออกเพื่อที่จะแอบออกไปทางป่าด้านหลัง เด็กสาวเอื้อมมือไปจับกิ่งไม้ใหญ่แล้วยันตัวออก แต่กิ่งไม้ไม่เเข็งแรงเลยหักล้วงลงข้างล่าง คนบางส่วนได้ยินเลยตะโกนบอกว่าเธอจะหนีออกทางด้านหลัง
" เผาเลยก็ได้ไม่เห็นต้องจับตัวมาเลย "
" นั้นสิ มันเป็นพวกที่ทหารตามอยู่เลยเดือดร้อนมาถึงพวกเรานิ เผาเลย! "
ไม่รอช้าผู้คนก็เอาคกเพลิงโยนไปรอบ ๆ อาคารไม้ แน่นอนว่าต้องใหม้มาถึงชั้น 2 ในไม่ช้า เด็กสาวถอยมาตั้งหลักแล้วครุ่นคิดหาทางออก มีทางเดียวคือ โดดไปที่ป่า แต่ว่าป่าห่างจากตัวอาคารเมตรครึ่งและตอนนี้ไม่มีกิ่งไม้ที่ยาวถึงแล้ว เธอจึงเลือกที่จะโดดเธอวิ่งไปทางหน้าต่างบานเดิมเตรียมพุ่งตัว แต่ไม่รู้ทำไมไม้มาแตกเวลานี้ืำให้เด็กสาววิ่งอยู่หลุดล้วงลงไปอยู่ชั้น 1
" บ้าเอ้ย ! "
เธออุทานดังลั่นพรางลุกขึ้นแต่ก็รู้สึกเจ็บแปร่บขึ้นหัวใจ ปรากฏว่าข้อเท้าขวาหัก หัวเข่าซ้ายบิดผิดรูป ต้องมาตายที่นี้จริง ๆ หรอ? แค่นั้นไม่พอผูัคนภายนอกโยนถังน้ำมันเข้ามาบริเวณที่เธออยู่ มีน้ำมันบางส่วนเลอะตัวเธอแน่นอนว่าน้ำมัน กับไฟเจอกันก็ต้องรามเข้าหากัน เด็กสาวเริ่มหายใจติดขัด สำลักควันไฟโดยรอบ ไฟเริ่มรามมาหาเธอเธอขยับกายหนีและเริ่มหมดแรงจนสลบไป
.
.
.
.
.
ซากไม้ไหม้ถล่มลงมากองรอบ ๆ ทหารทุกนายทำก่รค้นหาผู้บาดเจ็บ หรือเสียชีวต
" เจอศพเด็กคนนึงครับ อายุประมาณ 4 ขวบ "
" พาไปก่อน...." โซฟีออกคำสั่ง ก่อนจะลุยเข้าไปในซากไม้ใหม้ ระหว่างนั้นเธอก็เหลือบไปเห็นแขนสีคล้ำออกซีด ๆ เปื้อนเถ้าถ่านเป็นรอยไหม้บางส่วน หญิงสาวเห็นก็ออกคำสั่งให้ทหารมาพาร่างนั้นออกมาก็เป็นดั่งที่ขาดไว้ เด็กสาวผิวคล้ำ ผมหยักศก นัยตาสีฟ้าประกายมุ่งมั่นขณะนี้ปิดสนิท ไร้การเต้นของหัวใจ ตามตัวเปื้อนเถ้าถ่านมีรอยใหม้ เสื้อผ้าใหม้ขาดเป็นรู โซฟีรับร่างเธอมานอนหนุนตักแล้วเช็คร่างกายก่อนมีทหารนายนึงมารายงาน
" เหมือนว่าเธอจะมาจากเมืองทางตะวันตกนะครับ "ทหารนายนั้นยื่นกระดาษที่อยู่ในกระเป๋าเป้ โซฟีรับไปอ่านก่อนยิ้ม
" เธอชื่อ 'เอลล่า' งั้นหรอ? ฮึ "
--------------------
The end
--------------------
เรื่องนี้เป็นเรื่องสั่นที่ลองแต่งค่ะ ติชมได้ เรื่องนี้มาจากส่วนเล็ก ๆ ของชีวิตเราเอง ขอบคุณที่เข้ามารับชม อ่านกันนะคะ มีคำถามก็สามารถถามได้ในเม้นน่ะคะ
คิแฮร่
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ TIPKUNGJAPAN ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ TIPKUNGJAPAN
ความคิดเห็น