สู่เถ้าธุลี l To ashes l By TIPPO - สู่เถ้าธุลี l To ashes l By TIPPO นิยาย สู่เถ้าธุลี l To ashes l By TIPPO : Dek-D.com - Writer

    สู่เถ้าธุลี l To ashes l By TIPPO

    โดย TIPKUNGJAPAN

    คุณเคยรู้สึกสูญเสียไหม ? ฉันก็เป็นคนนึงที่สูญเสีย.... ทุกอย่าง โดยเฉพาระ " คนที่รัก " มีหนังสือเล่มนึงกล่าวไว้ว่า " คนเรามักเจ็บปวดกับการจากลา เพราะถูกสร้างความสัมพันธ์"

    ผู้เข้าชมรวม

    85

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    85

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  26 พ.ค. 63 / 19:49 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

    ....

    เรื่องนี้เป็นจินตนาการของผู้แต่ง ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลและสถานที่ใด ๆ โปรดใช้วิจรณญาณในการอ่านด้วยนะคะ

    ....

    Story By TIPPO

     

     

    คุณเคยรู้สึกสูญเสียไหม?

    ฉันก็เป็นคนนึงที่สูญเสีย.... ทุกอย่าง

    โดยเฉพราะ " คนที่รัก "

    มีหนังสือเล่มนึงได้กล่าวไว้ว่า " คนเรามักเจ็บปวดกับการจากลา เพราะถูกสร้างความสัมพันธ์ "

     

     

    ณ เมืองแห่งหนึ่ง

     

    ชายหนุ่มเครื่องแบบทหารยกกระเป๋าใบโตขึ้นสพายพร้อมอาวุธทำสงคราม แล้วหันไปหาเด็กสาววัย 5 ขวบและน้องชายของเธอ เค้ายิ้มให้ก่อนจะมอบจูบเล็ก ๆ ที่หน้าผากของเด็กสาวและเด็กชายแล้วกล่าวคำอำลา

     

    " คุณจะรีบกลับมาใช่ไหมคะ ? "

    " แน่นอนสาวน้อยของฉัน เธอต้องดูแลตัวเองและน้องชายของเธอน่ะ "

    " ค่ะ....คุณสัญญาได้ไหม ? "

    " ....แน่นอน....ฉันสัญญา "

     

    ถึงแม้เค้าจะไม่ชอบการสัญญาใด ๆ เพราะการไปครั้งนี้อาจทำให้เค้าต้องไม่กลับมาที่นี้อีก เค้าห่วงเด็กทั้งสองมากเลยต้องทำให้พวกเค้ามั่นใจว่าจะไม่เสียเค้าไป คงเป็นการจากลาครั้งสุดท้าย ชายหนุ่มอุ้มเด็กทั้งสองมาสู่อ้อมกอดแล้วมอบจูบอีกครั้ง

     

    " ฉันสัญญาเด็กน้อยของฉัน "

    " ค่ะ "

     

    เด็กสาวตอบเสียงใสและตามด้วยเด็กชายที่ส่งเสียงน่ารักออกมา เค้ายิ้มเจือนก่อนจะวางทั้งสองลงและจากไป

     

    5 ปีหลังจากนั้น ก็มีการทำสงครามครั้งใหญ่ระหว่างเมือง ส่งผลกระทบต่าง ๆ ทั้งด้านที่อยู่ อาหาร เลยมีการก่ออาชญากรรมขึ้นนับไม่ถ้วน แต่ทั้งสองเมืองก็พ่ายต่อกันและกันจนทำให้ราชาของทั้งสองเมืองสิ้นชีพแบบไร้ประโยชน์  ต่อมามีการก่อตั้งอาสาสมัครโดยมีคนจากทั้งสองฝ่ายมาร่วมมือกันและทำการช่วยเหลือผู้คน ซ่อมแซม พัฒนาการก่อสร้าง เทคโนโลยีใหม่ ๆ เลยถูกยกย่องเป็นเสมือนคนของพระราชา  แต่ก็มีบางส่วนที่ต่อต้านการพัฒนามีหัวคิดแบบก่อนการเกิดสงครามและตั้งตัวเองเป็น 'สกุลคาโปรซูคัส' ซึ่งเป็นชื่อเรียกของ จระเข้หมูป่า สัตว์ยุคโบราณที่มีความดุร้าย  ทั้งสองฝั่งมักมีปัญหาในวงในแต่ไม่เคยมีผลกระทบต่อประชาชน หรือผู้คนในพื้นที่ที่เข้าไม่ถึง

     

    “ นี้ของนาย น้องชาย....”

    “ อืม ”

     

    นี้ก็ 5 ปีแล้วที่เค้าไป.... เด็กสาวในตอนนั้น ตอนนี้โตขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าสวย สีผิวคล้ำเข้ม และผมหยักศก ดวงตาสีฟ้าเข้มประกายฉายแววมุ่งมั่น  ปัจจุบันเด็กสาวต้องหาเลี้ยงให้กับตัวเองและน้องชาย เป็นรับจ้างต่าง ๆ ไม่ว่าดีหรือไม่ดีเค้าจะต้องอยู่ท่ามกลางความไม่สมดุลย์นี้ เค้าถูกสอนจากชายหนุ่มผู้นั้นว่า `สถานการณ์ที่ย่ำแย่ เราก็ก็ต้องอยู่ให้ได้ไม่ว่าหนทางใด เพราะสิ่งดี ๆ อยู่ที่ใจ ใจที่สู้ฝ่าฟันทุกอย่าง สักวันมันจะดีเอง’  เด็กสาวนั่งลงข้าง ๆ น้องชายของตนแล้วยกมือขึ้นลูบแผลถลอกที่แก้มเบา ๆ

     

    “ พี่โอเคใช่ไหม? ”

    “ แน่นอนน้องชาย ฉันโอเค....”

     

    ทั้สองเงียบไป อยู่กับความคิดของตัวเอง ตอนนี้เด็กสาวไม่รู้ว่าน้องชายคิดอะไร เพราะตอนนี้เด็กชายไม่แสดงสีหน้าใด ๆ แต่คงต้องเป็นเรื่องของชายหนุ่มผู้นั้นแน่ ๆ ใช่....เธอและเค้ายังรอให้ชายผู้นั้นกลับมา กลับมาหาพวกเค้าที่รออยู่ มีข่าวว่าทหารมากกว่า 10,000 คน ตายในสงครามเมื่อ 5 ปีก่อน เธอได้แต่ปรารถนาให้ไม่มีชายผู้นั้น แต่ก็แอบท้อใจว่าถ้าเกิดคำพูดครั้งสุดท้ายของเค้าคือ 'คำสัญญา' ที่เป็นคำโกหกให้พวกเค้าสบายใจ

     

    “ พี่ไปทำงานนั้นอีกแล้วหรอ? ”

    “ ....ใช่ แต่รู้ไหม พี่ไม่ได้- 

    “ เราสัญญากันแล้วน่ะพี่ ถ้าเกิดพวกนั้นตามมาล่ะ?! ”

    ตึก ตึก ตึก !

    เสียงประตูดังขึ้นหลังคำพูดของเด็กชาย ตามด้วยเสียงตะโกนของผู้ที่มาเยือน เด็กสาวรีบคว้าเป้ของเธอแล้วกอดน้องชายไว้แน่นก่อนจะปีนออกทางหน้าต่างก่อนที่คนพวกนั้นพังเข้ามา เธอมักไปทำงานเกี่ยวกับการลอบทำร้าย ขโมยหรือสอดแนมคนของรัฐบาล หรืออาสาสมัครที่เข้ามาทำงานหลังสงครามจบลง เลยทำให้เธอและน้องจะหนีจากคนพวกนั้นบ่อย ๆ มันเป็นทางเลือกที่ไม่ค่อยดีแต่ได้เงินเยอะพอที่จะดูแลเธอและน้องของเธอได้ เธอพาน้องออกมาจากเมืองนั้นโดยขึ้นรถม้าออกมานอกสู่เมืองหลวงใหญ่

    “ ผมบอกแล้ว....” เด็ชายกล่าว

    “ พี่ขอโทษน่ะ ที่เมืองเค้าไม่รับเด็กแบบพี่โดยฉเพราะผู้หญิงแล้ว....”เด็กสาวกอดน้องชายแนบอกแล้วหาผ้าคุ้มที่บ่าเล็ก 

    ทั้งคู่ไม่พูดอะไรจนมาถึงตลาดเมืองหลวง ทั้งสองก็ลงจากรถม้าแล้วเดินเข้าทางตลาดที่มีการค้าขายมากมาย และบริการต่าง ๆ ที่ส่วนมากมักเป็นคนจากเมืองอื่นมาใช้บริการ แล้วเด็กชายก็มองไปเห็นผู้คนมากมายรายล้อมหญิงสาววัยกลางคนถืออุปกรณ์ดนตรีแล้วขับร้องเพลงแสนไพเราะอยู่ ผู้คนนั้นพากันชอบในเสียงของเธอต่างพากันมอบเงินเล็ก ๆ น้อย ๆให้เธอมากมาย

     

    “ พี่..พี่ เราไปดูกันเถอะ ”เด็กชายกล่าวพรางชี้นิ้วบอก

    “ อืม ได้สิ ”เด็กสาวมองตามที่น้องตนบอกแล้วจูงมือเด็กชายฝ่าวงเข้าไปชม ฟังใกล้ ๆ 

     

    เสียงอันไพเราะถูกบรรเลงออกมาดังก้อง ทำให้เด็กสาวอยากร้องตาม เป็นบทเพลงเกี่ยวกับหลังจบการทำสงครามที่ถูกแต่งขึ้นหลังจากสงคราม 3 ปี เธอยิ้มพร้อมฮัมตามเบา ๆ เธอเป็นคนนึงที่ร้องเพลงได้เพราะมากคนนึง เห็นแบบนี้น้องของเค้าก็ไม่รอช้าผลักเธอเข้าไปในวงที่กำลังบรรเลงอยู่ หญิงสาวที่บรรเลงอยู่ยิ้มแล้วดึงเด็กสาวมาเบา ๆ และกระซิบบอก

    ‘ ร้องมันเลยเด็กน้อย ’

    “ ....คือ....เอ่อ ”

     

    เด็กหนุ่มส่งสัญญาณบอกแล้วยิ้มแป้น เธอมองไปรอบ ๆ เห็นผู้คนยิ้มและปรบมือให้เป็นจังหวะ เด็กสาวหันไปมองหญิงสาวอีกครั้งแต่เธอกลับยิ้มให้ เธอหน้าแดงจากการเขินอาย เธอหันกลับมาแล้วสูดหายใจเข้าลึกแล้วบรรเลงออกมา ทำให้ผู้คนเเถวนั้นส่งเสียงหือฮากันยกใหญ่ เด็กชายยิ้มแล้วหัวเราะคิกคัก ช่างเป็นเสียงที่ไพเราะ จนกระทั่งจบบทเพลงนั้นเธอก็รีบกลับมาหาน้องชายตน

     

    “ พี่สุดยอดไปเลย! ”

    “ ขอบใจน้องชาย ”เธอยิ้มแล้วยกกระเป๋าเป้ขึ้นสพาย

     

    หญิงสาวคนเดิมที่ร่วมบรรเลงเพลงเมื่อสักครู่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเค้าทั้งสอง เธอยิ้มแล้วยืนถุงเล็ก ๆ ให้เด็กสาว 

     

    “ นี้ส่วนแบ่งน่ะ ขอบใจที่มาร่วมร้องด้วย แขกเยอะกว่าทุกวัน ”

    “ คะ ค่ะ ยินดีค่ะ ”เด็กสาวรับถุงนั้นมาแล้วโค้งตัวน้อย ๆ หญิงสาวยิ้มแล้วบอกว่า

    “ เธอรู้ไหมฉันแอบเสียใจนิดหน่อยน่ะ ”

     

    พวกเค้าเงียบไม่พูดอะไร เธอคนนั้นยิ้มก่อนจะกล่าวว่า ‘คนเรามักเจ็บปวดกับการจากลา เพราะถูกสร้างความสัมพันธ์’ ถึงแม้จะเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ก็ตาม หญิงสาวจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก เด็กสาวครุ่นคิดในใจถึงคำพูดของหญิงคนนั้น

     

    “ เราไปกันเถอะ ”

    “ อืม....พี่คิดว่าเค้าหมายถึงอะไร ”

    “ ....ความสัมพันธ์....หรอ?”เด็กสาวกล่าวลอย ๆ

     

    นั้นสิหมายความว่าอะไรกัน ทั้งสองคนเดินมาเรื่อย ๆจนพบค่ำ พวกเค้าก็เดินมาถึงตลาดมืดที่มีผู้คนไร้บ้าน และนักเดินทางจะมาแลกเปลี่ยนสิ่งของของพวกเค้า ทั้สองเดินมาหยุดที่ตึกร้างใกล้ ๆ ก่อนจะเข้าไปแล้วทำการอาศัยชั่วคราว

    .

    .

    .

    .

    .

    เช้ามืด

     

    เด็กสาวก็ปลุกน้องชายของตนแล้วเก็บข้าวของของพวกเค้าเตรียมออกเดินทางต่อ ตอนนี้เธอไม่มีจุดหมายอะไร แค่อยากหาที่ที่พออยู่ได้แล้วหางานดี ๆ ทำ เพราะถ้ายังเป็นต้องหลบหนีทหารรัฐบาลอยู่คงต้องแย่กับเธอและน้องตนแน่ ๆ ถึงชายผู้นั้นจะสอนแบบนั้นแต่ถ้ามันส่งผลต่อคนรอบข้างคงแย่ เธอพาน้องของเธอออกมาแต่พบว่า ภายนอกมีทหารเต็มไปหมดเธอเลยเลือกที่จะปกปิดเพราะดูเหมือนว่าจะมีป้ายประกาศจับเธออยู่ ทหารยื่นใบประกาศจับให้ประชาชน ผู้คนใกล้ ๆ แล้วกล่าวเสียงดังบอกถึงเป้าหมายของพวกนั้น เธอคุมผ้าให้น้องชายแล้วเธอก็เอาเสื้อคุมและเดินออกจากตึกไม่ให้ทหารสังเกตุ เธอจูงมือน้องมาจะพาไปที่รถไฟ แต่แล้วก็มีเสียงชายคนนึงดังขึ้น

     

    “ ขอโทษนะครับ คุณพอจะเคยเห็นเด็กหญิงคนนี้รึเปล่า? ได้ยินมาว่าเธอมาที่เมืองนี้ ”

    “ ค่ะ ถ้ามีฉันจะแจ้งให้ทราบ ”

    “ขอบคุณครับ ”ทหารกล่าวก่อนจะเดินจากไป เธอกำกระดาษแน่นแล้วพาน้องไปที่ตลาดเมื่อวานนี้ เธอเข้าไปในร้านขายขนมปัง แล้วหยิบมาวางไว้ที่โต๊ะ

     

    “ เห้ย! เยอะขนาดนี้กะให้ข้าไม่ขายคนอื่นเลยหรอฮะ?! ”

    “ ฉันเป็นนักเดินทาง แล้วต้องการแป้งเพื่อไม่ให้เสียแรง ฉันมีเงินพอจ่ายอยู่ ”

    “ ยังไงก็เถอะ ฉันไม่ได้ขายเธอคนเดียวน่ะ! ”

     

    ก็แค่พวกดูคนจากภายนอกเด็กสาวคิดในใจ สภาพเธอและน้องชายก็ไม่ค่อยดีเท่าไร สุดท้ายเธอได้แค่ขนมปัง 2 ชิ้น เธอแบ่งให้น้องก่อนจะรีบทานเข้าไป

     

    “ พี่โอเคนะ? ”

    “ อืม....นายกินเลย ”เด็กสาวยื่นอีกส่วนให้เพิ่ม เด็กชายรับไปทาน

     

    และก็ไปเจอกับทหารคนนึงถามถึงผู้หลบหนีในใบประกาศจับ คุณลุงคนนั้นคิดสักพักก็ถึงกับตาโตแล้วบอกกล่าวทหารนายนั้นแล้วหันมาเห็นก็ชี้นิ้วมาทางเด็กหญิง ไม่รอช้าเด็กสาวพาน้องชายวิ่งไปตามทางไปสถานีรถไฟ ทหารนั้นตะโกนบอกทหารคนอื่นแล้ววิ่งตามมา

     

    “ ไหวไหม?”เด็กชายส่ายหัว แล้วเธอก็อุ้มเด็กชายขึ้นแล้ววิ่งไปทางรถไฟที่กำลังออกตัว เธอกระชับกอดน้องแน่นแล้วโดดขึ้นทางขึ้นต่อขบวน 

     

    ทหารทุกนายหยุดชะงักแล้วมองตามเด็กผู้หญิงและเด็กชายในอ้อมกอด ทหารทุกนายมองหน้ากันก่อนจะถามไถ่ถึงขบวนนั้นจะไปที่ไหน

     

    “ ขบวนนั้นไปทางตะวันออกค่ะ ทางไปทำเนียบรัฐบาลค่ะ ”

    “ ขอบคุณมาก ! ส่งข่าวไปทางทำเนียบรัฐบาล เด็กนั้นไปทางนั้น !”

     

    ห่างจากสถานีรถไฟมาทั้งสองก็ได้นั่งข้างนอก เพราะไม่ได้ซื้อตั๋วรถไฟ สถานการณ์มันบีบบังคับเธอก็ไม่ได้อยากสร้างความเดือดร้อนให้ใคร แต่เธอกลับคิดน้อยไปที่ไปทำงานแบบนั้นทั้งที่เราก็มีความสามารถพอ แต่ก็ใช่ว่ายุคหลังสงครามจะดี ทุกอย่างมันยังไม่เรียบร้อย

     

    “ พี่....เราจะไม่ตายใช่ไหม? ”เด็กชายกล่าวขึ้นมา ทำให้เธอตกใจกับความคิดเด็กอายุที่น้อยกว่า

    “ ทำไมถึงคิดยังงั้นล่ะน้องพี่ ”

    “ เพราะว่าเค้าก็โดนคนแบบนี้ฆ่าเหมือนกันไง! ”เด็กชายร้องไห้ออกมาแบบห้ามไม่อยู่ แต่เด็กสาวกลับคิดว่าทำไมถึงรู้เรื่องนั้น เธอไม่เคยบอกเด็กชายเพราะไม่อยากให้คิดมากไป แต่ทำไม?

    “ ผะ ผม อึก รู้มาตลอดเลยน่ะ! ฮือ ๆ ทำไมพี่ถึงไม่ยอมบอกล่ะ?! ”

    “ ....เพราะว่าพี่ไม่อยากให้น้องต้องรู้สึกเสียใจ พี่ชอบเวลาเรายิ้มน่ะ พี่รักเรา ”

    “ ถ้ารัก แล้วพี่ยอมบอกละก็ อึก ผมน่ะ อึก ผมจะค่อยปลอบพี่น่ะ อยู่ข้าง ๆ พี่ ”

     

    เด็กสาวเงียบไป เด็กชายปล่อยนำ้ตาไหลออกมาไม่หยุดพร้อมทุบตีพี่สาวด้วยมือเล็ก ๆ ของเค้า เด็กสาวครุ่นคิดในเมื่อเค้ารู้แล้วพร้อมบอกความรู้สึกทุกอย่าง มันคือ ‘ความสัมพันธ์’ ความรัก ความห่วงใย ความรู้สึกที่มาจากใจให้แก่คนที่เรารัก และรักเรา เด็กหญิงดึงเด็กชายมากอดแล้วพรมจูบที่หน้าผากของเด็กชาย แล้วร้องไห้ออกมาเป็นน้ำตา น้ำตาแห่งความจริงใจ เธอกล่าวขอบคุณน้องชายของเธอและบอกรักกับน้องชายของเธอ หลังจากนั้นทั้งสองก็พูดคุยแลกเปลี่ยน บอกความรู้สึกกันและกันจนถึงจุดหมายปลายทาง เธอพาน้องชายลงจากรถไฟแล้วรีบพากันเดินเข้าในตัวเมือง แต่ยังคงปกปิดตัวตนอยู่เธอพาน้องมาที่ที่ร้านอาหาร แล้วสั่งอาหารเรียบ ๆ มาทานกัน

     

    “ เรารีบไปกันเถอะ ”

    “ อืม....แต่ว่า..เราจะไปอยู่ไหนล่ะ? ”

    “ ลองเดินดูก่อน ”เด็กสาวกล่าวยิ้ม ๆ ก่อนจ่ายเงินค่าอาหารแล้วออกจากร้านไปเดินดูสถานที่ที่จะใช้พักในคืนนี้ 

     

    สุดท้ายพวกเค้าก็เดินมาถึงอาคารไม้เก่า ๆ เหมือนไม่มีคนอยู่มานานแต่ไม่ได้สกปรก เธอพาน้องเข้าไปข้างใน แล้วเธอก็ก่อไฟสร้างความอบอุ่นและเดินไปนั่งข้าง ๆ น้องชายพร้อมผ้าห่มผินใหญ่ที่เธอเอามาจากชั้นล่าง เธอเเละน้องมองดูดาวผ่านหน้าต่างบานใหญ่

     

    “ ความสัมพันธ์คือความรักที่มีให้แก่คนที่เรารัก และรักเรา” เด็กชายกล่าวขึ้น เด็กสาวมองไปที่หน้าที่ขาวเนียนและดวงตาสีฟ้าประกาย

    “ มันเลยยากที่จะห่างกัน หรือจากกันไป....”เด็กสาวกล่าว

    “ นี้....จริง ๆ แล้วน้องมีชื่อน่ะ”เด็กชายหันมาพร้อมใบหน้าตื่นเต้นแล้วเค็นถามพี่สาวตน

    “ อารัญ ชื่อของนาย”เด็กสาวกล่าวก่อนพรมจูบที่หน้าผาก เด็กชายขมวดคิ้วสงสัย ช่างเป็นภาพที่น่ารัก น่าเอ็นดู เด็กสาวหัวเราะเเล้วกล่าวถึงความหมาย อารัญ หมายถึง คำสัญญา

     

    เด็กชายยิ้มก่อนจะกล่าวถึงชื่อตัวเองซ้ำไปซ้ำมา จนเด็กชายเงียบไปด้วยความกังวลเลยถามถึงเหตุผลที่อารัญเงียบไป อารัญหันมาแล้วถึงพี่สาวตน

     

    “ แล้วพี่มีชื่อไหม? ”

     

    อ่า นั้นสิชื่อคือสิ่งเเรกของการเริ่มความสัมพันธ์ เด็กสาวยิ้มแล้วบอกอารัญว่า ‘สักวันน้องต้องรู้แน่’ ก่อนจะแกล้งหลับไป

    .

    .

    .

    .

    .

     

    หลายวันผ่านไป ทั้งสองก็ยังอยู่ที่อาคารไม้หลังเดิมในทุกวันเด็กสาวก็จะออกไปข้างนอกเพื่อทำงานรับจ้างเช่น แบกของ เสิร์ฟอาหาร อะไรแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้มีใครรับเธอไปทั่ว เพราะรัฐบาลประกาศให้มีการเฝ้าระวังเด็กสาวที่ถูกเรียกว่า 'ริปเปอร์' ซึ่งนั้นคือเธอ เหตุผลที่ได้ชื่อนี้มาตัวเธอเองยังไม่รู้เหมือนกัน และห่างจากการทำงานให้สกุลคาโปรซูคัสมาสักพักแล้ว แต่แน่นอนว่ารัฐบาลยังคงตามตัวอยู่ ทุกคนในเมืองนี้จะระวังการรับงานคนเป็นพิเศษ เพราะไม่อยากมีส่วนร่วมรู้กันด้วย  ช่วงหลังมารายได้ของเธอก้ไม่ได้เยอะเหมือนเมื่อก่อนและน้องชายของเธอ อารัญป่วยจึงอยากรีบเก็บเงินไปรักษาให้อารัญ  

     

    " ทหารคุมเยอะกว่าทุกวันแหะ "เด็กสาวกล่าวกับตัวเอง

     

    ตุบ !

     

    เธอชนเข้ากลับใครบ้างคนทำให้เด็กสาวเซล้มลงจนผ้าคุมหัวของเธอหลุดออก

     

    " โทษทีเธอเป็น- "หญิงสาวในชุดลำลองสีขาว สวมแว่นถามถึงอีกฝ่ายกลับชะงักไป

     

    เด็กสาวเมื่อรู้ตัวก็รีบคุมผ้ากลับเหมือนเดิมก่อนลุกขึ้นจากพื้นแล้วกล่าวขอโทษ แล้วเดินจากไป  หญิงสาวสวมแว่นชะงักค้างก่อนได้สติเธอก็ครุ่นคิดถึงเด็กสาวเมื่อครู่ คำนวนหน้าตาแล้วเหมือนเด็กที่รัฐบาลตามหา เธอจึงเรียกทหารใกล้ ๆ มาไถ่ถาม

     

    " เด็กเมื่อกี้คือใคร ?"

    " เค้าเป็นเด็กไซต์งานครับ คุณ 'โซฟี' "นายทหารตอบหญิงสาวตรงหน้าอย่าตรงไปตรงมา เธอยิ้มก่อนจะเดินเข้าไปกระซิบใกล้ ๆ นายทหารนั้น

    ' ขอบใจจ้ะ '

     

    เธอเดินออกมาแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น นายทหารถึงกลับหน้าแดงจนเป็นมะเขือเทศ เธอเป็นคนที่เดาได้ยากเพราะใบหน้าที่ไร้อารมณ์ปนเจ้าเล่ห์ของเธอ

    ตัดมาที่เด็กสาวที่กลับมาถึงบ้านก็ครุ่นคิดถึงหญิงผู้นั้นว่าได้สังเกตใบหน้าของเธอรึเปล่า ตอนนี้เราเชื่อใจใครไม่ได้เด็ดขาด เด็กสาวคิดในใจเธอหยิบผ้าที่ชุบน้ำมาเช็ดไปตามตัวของอารัญ อารัญที่รู้สึกตัวก็ส่งเสียงครวญครางออกมาเบา ๆ เธอรีบหันไปถามอาการของคนน้อง เด็กชายยิ้มและบอกอาการต่าง ๆ ที่เป็น ไม่ว่าน้องจะเป็นยังไงก็จะยิ้มเสมอให้เรานั้นสบายใจ แต่ถ้เกิดว่าร้ายแรงขึ้นมาล่ะเราจะทำยังไง เด็กสาวบีบมือน้องชายแน่นหลังจากนั้นเธอก็หาอะไรให้อารัญทานก่อนอารัญจะพ่อยหลับไป เธอได้แต่คิดว่าพรุ่งนี้จะไปทำงานดีหรือไม่ สุดท้ายวันต่อมาเธอก็เลือกที่จะออกมาทำงาน ระหว่างงานเธอมักคิดถึงอารัญบ่อยจนไม่เป็นการเป็นงาน จนเลิกงานเธอก็รีบกลับไปที่อาคารไม้

     

    " อารัญนี้พี่เอง "

    " ....พี่..ผมรอตั้งนานแนะ...."อารัญหายใจหอบแรงจนคนพี่เป็นห่วง เธอบีบมือน้องเธอแน่นอารัญยิ้มให้เธอ เป็นรอยยิ้มที่ดูเศร้ามาก

    " ....พี่..ถ้าเกิดว่าผม-

    " ไม่ได้นะ !! อารัญนายแข็งใจไว้นะ "เด็กสาวกล่าวบอกน้องชายตน อารัญหัวเราะคิกคักหลังจากนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้พูอะไร

    " นี้พี่....ผมนะทนไม่ไว้แล้วล่ะ....ผมเหนื่อยแล้ว "เธอเงียบ

    " คนเรามักเจ็บปวดกับการจากลา เพราะถูกสร้างความสัมพันธ์....พี่ผมอยากสร้างความสัมพันธ์ให้ไปไกลกว่านี้...."เด็กสาวเงียบรอฟังคำพูดของอารัญ เธอไม่อยากเสียใครไปอีกแล้วอย่างน้อยก็ขอให้ได้ยินคำอำลา

    " ผม..รักพี่น่ะ ผมอยากจำความสัมพันธ์ของผมและพี่น่ะ พี่...อยากบอก..อะไรไหม? "

    "....พี่ก็รักเราอารัญ แล้วก็เรื่องชื่อน่ะ-"เด็กสาวชะงักเมื่อน้องชายของเธอเริ่มหุบยิ้มและหายใจช้าลง เธอบีบมือของน้องแน่นแล้วกล่าวคำห้าม อยู่กับฉันต่ออีกนิดน่ะ แค่นิดเดียว ขอร้องอารัญ พี่อยู่นี้ พี่จะไม่ทิ้งเราไป  เด็กสาวตะโกนบอกน้องชายและกอดเค้าแนบอกและปล่อยน้ำสีใสไหลออกมาไม่หยุด

    " ชื่อของ..ชื่อของพี่น่ะ ชื่อ.... "

     

    สายไปแล้ว...เค้าไปแล้ว ไร้การเต้นของหัวใจ...

    .

    .

    .

    .

    .

     

    1 อาทิตย์หลังจากวันนั้นเธอก็ไม่ทำอะไร นอนอยู่ข้าง ๆ น้องชายตนที่กลายเป็นศพเน่าส่งกลิ่นจนน่าอาเจียน เธอสิ้นหวังแล้วไม่รู้จะอยู่ไปทำไมแล้วคำพูดของชายผู้นั้น....ดอนเค้าเคยบอกว่า 'เราจะต้องอยู่เพื่อคนที่รัก และเราจะตายเพื่อให้คนที่รักอยู่' นั้นสิ เธอลุกขึ้นแล้วอุ้มร่างไร้วิณญาณไปไว้ที่หน้าหน้าต่าง แล้วเก็บข้าวของแต่ระหว่านั้นเอง ก็มีเสียงผู้คนมากมายข้างนอกเธอลุกขึ้นไปแอบดูผ่านหน้าต่างก็พบผู้คนถืออาวุธกันมาพร้อมคกเพลิงหลายอัน เด็กสาวถอยออกจากหน้าต่าง มือบางกุมใบหน้าไว้  นี้พวกเค้ารู้แล้วว่าอยู่นี้เธอตั้งสติแล้วรีบเก็บข้าวของจำเป็นก่อนคิดหาทางหนี ด้านหลังเป็นป่า รอบซ้าย-ขวาเป็นต้นไม้สูง เธอเลือกวิ่งไปชั้น 2 ในขณะที่ผู้คนข้างนอกพังประตูเข้ามาเธอเปิดหน้าออกเพื่อที่จะแอบออกไปทางป่าด้านหลัง เด็กสาวเอื้อมมือไปจับกิ่งไม้ใหญ่แล้วยันตัวออก แต่กิ่งไม้ไม่เเข็งแรงเลยหักล้วงลงข้างล่าง คนบางส่วนได้ยินเลยตะโกนบอกว่าเธอจะหนีออกทางด้านหลัง

     

    " เผาเลยก็ได้ไม่เห็นต้องจับตัวมาเลย "

    " นั้นสิ มันเป็นพวกที่ทหารตามอยู่เลยเดือดร้อนมาถึงพวกเรานิ เผาเลย! "

     

    ไม่รอช้าผู้คนก็เอาคกเพลิงโยนไปรอบ ๆ อาคารไม้ แน่นอนว่าต้องใหม้มาถึงชั้น 2 ในไม่ช้า เด็กสาวถอยมาตั้งหลักแล้วครุ่นคิดหาทางออก มีทางเดียวคือ โดดไปที่ป่า แต่ว่าป่าห่างจากตัวอาคารเมตรครึ่งและตอนนี้ไม่มีกิ่งไม้ที่ยาวถึงแล้ว เธอจึงเลือกที่จะโดดเธอวิ่งไปทางหน้าต่างบานเดิมเตรียมพุ่งตัว แต่ไม่รู้ทำไมไม้มาแตกเวลานี้ืำให้เด็กสาววิ่งอยู่หลุดล้วงลงไปอยู่ชั้น 1

     

    " บ้าเอ้ย ! "

     

    เธออุทานดังลั่นพรางลุกขึ้นแต่ก็รู้สึกเจ็บแปร่บขึ้นหัวใจ ปรากฏว่าข้อเท้าขวาหัก หัวเข่าซ้ายบิดผิดรูป  ต้องมาตายที่นี้จริง ๆ หรอ? แค่นั้นไม่พอผูัคนภายนอกโยนถังน้ำมันเข้ามาบริเวณที่เธออยู่ มีน้ำมันบางส่วนเลอะตัวเธอแน่นอนว่าน้ำมัน กับไฟเจอกันก็ต้องรามเข้าหากัน  เด็กสาวเริ่มหายใจติดขัด สำลักควันไฟโดยรอบ ไฟเริ่มรามมาหาเธอเธอขยับกายหนีและเริ่มหมดแรงจนสลบไป

    .

    .

    .

    .

    .

     

    ซากไม้ไหม้ถล่มลงมากองรอบ ๆ ทหารทุกนายทำก่รค้นหาผู้บาดเจ็บ หรือเสียชีวต

     

    " เจอศพเด็กคนนึงครับ อายุประมาณ 4 ขวบ "

    " พาไปก่อน...." โซฟีออกคำสั่ง ก่อนจะลุยเข้าไปในซากไม้ใหม้  ระหว่างนั้นเธอก็เหลือบไปเห็นแขนสีคล้ำออกซีด ๆ เปื้อนเถ้าถ่านเป็นรอยไหม้บางส่วน หญิงสาวเห็นก็ออกคำสั่งให้ทหารมาพาร่างนั้นออกมาก็เป็นดั่งที่ขาดไว้ เด็กสาวผิวคล้ำ ผมหยักศก นัยตาสีฟ้าประกายมุ่งมั่นขณะนี้ปิดสนิท ไร้การเต้นของหัวใจ ตามตัวเปื้อนเถ้าถ่านมีรอยใหม้ เสื้อผ้าใหม้ขาดเป็นรู  โซฟีรับร่างเธอมานอนหนุนตักแล้วเช็คร่างกายก่อนมีทหารนายนึงมารายงาน

    " เหมือนว่าเธอจะมาจากเมืองทางตะวันตกนะครับ "ทหารนายนั้นยื่นกระดาษที่อยู่ในกระเป๋าเป้  โซฟีรับไปอ่านก่อนยิ้ม

    " เธอชื่อ 'เอลล่า' งั้นหรอ? ฮึ "

     

    --------------------

    The end 

    --------------------

     

     

    เรื่องนี้เป็นเรื่องสั่นที่ลองแต่งค่ะ ติชมได้ เรื่องนี้มาจากส่วนเล็ก ๆ ของชีวิตเราเอง ขอบคุณที่เข้ามารับชม อ่านกันนะคะ  มีคำถามก็สามารถถามได้ในเม้นน่ะคะ

    คิแฮร่

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×