ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Psychopath : Creepy The Clown.

    ลำดับตอนที่ #12 : ตอนที่ 12 : Kevin Coward.

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 131
      20
      7 ธ.ค. 62

    ตอนที่ 12 : เควิน โควาร์ด


        สายฝนซาลงแล้ว เสียงเปาะแปะกระทบทิ้งห่างบนหลังคารถสีขาว บ่งบอกว่าจวนหยุดเต็มที ไอเย็นชื้นผ่านหน้าต่างเข้ามาอย่างอ่อนโยน แต่เทียบไม่ได้กับความรู้สึกหนาวเหน็บที่กัดกร่อนจิตใจเด็กสาวในตอนนี้

        เธอเข้าใจความรู้สึกนี้ดี ความรู้สึกที่ต้องสูญเสียใครสักคน โดยเฉพาะคนสำคัญที่เรามองข้าม เมื่อถึงคราวที่สิ่งนั้นถูกพรากจาก เราจึงเห็นว่ามันมีค่าแค่ไหน ภาพสิ่งที่เคยมีร่วมกันจะพรั่งพรู ตัวตน ความทรงจำ ความสัมพันธ์ที่สานคนทั้งสองเอาไว้ ซึ่งกว่าจะเข้าใจก็สายเกินไป


    เธอต้องการเวลา


        คริสติน่าเดินได้เพียงครึ่งทางก็ตัดสินใจข้ามถนนกลับมายืนข้างรถตัวเอง เวลาเช่นนี้โอลิเวียอาจต้องการใครสักคน แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่จากเธอ คนที่ขัดขวางความสุขจอมปลอม เมื่อดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านแบรนดอนแล้ว การโผล่ไปให้เธอเห็นหน้ามีแต่จะกวนใจเสียเปล่า

        คริสติน่ายกมือขึ้นป้องบุหรี่ที่คาบอยู่ จุดพลางมองดูสิ่งประหลาดที่จุดเกิดเหตุ

        เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินไปมาในเสื้อกันฝนสีเหลืองตัวหลวมโครก ย่ำผ่านแอ่งน้ำที่เจิ่งนองบนพื้นหญ้า อากาศแปรปรวนไม่เคยสะท้านคนพวกนั้นแต่อย่างใด บางคนยืนกางร่มพูดคุยกันอย่างออกรส ราวกับเพิ่งเดินออกมาจากโรงภาพยนตร์และพูดถึงฉากตื่นเต้น พวกเขาอาจกำลังวางแผนหาร้านอาหารหรูๆหลังเลิกงานด้วยซ้ำ

        ไม่น่าแปลกใจหากพวกเขาสูญเสียความรู้สึกรู้สมแบบที่มนุษย์ทั่วไปพึงมี เหตุผลคือเหตุฆาตกรรมโหดที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งและประสิทธิภาพในการทำงานที่สวนทาง     

        

        คริสติน่ากลับเข้ามานั่งหลังพวงมาลัย ปล่อยตัวพิงพนัก พยายามผ่อนคลาย คีบบุหรี่ออกนอกรถ ข้อมือพาดบนขอบหน้าต่าง ทอดสายตามองเพื่อนสาวบนท้ายรถตำรวจ

        แสงสว่างสีฟ้าจากหน้าจอโทรศัพท์สะท้อนบนใบหน้าโอลิเวีย เผยให้เห็นสีหน้าชาแข็งเป็นหิน หัวคิ้วและดวงตาเครียดเขม็ง สายตามองแน่วทะลุโทรศัพท์มือถือออกไปไกลยังโลกที่ไม่มีใครเห็น แต่แล้วเธอก็คุยโทรศัพท์ อาจเป็นสายจากญาติพี่น้องหรือพ่อแท้ๆ ไม่มีใครรู้ แต่หล่อนปลอดภัยดีเมื่ออยู่กับตำรวจ อย่างน้อยเธอก็คิดอย่างนั้น คริสตี้ถอนมือกลับเข้ามาดูดมวนบุหรี่ลึกอีกหนึ่งฟอด แล้วออกรถสู่ถนนสายหลัก     

        ฟ้ามืดสลัวลง แสงไฟสีเหลืองนวลริมถนนทยอยเปิด ร้านอาหารตามบล็อกถนนข้างทางดูคึกครื้น ส่วนใหญ่เป็นร้านเครื่องดื่มและร้านอาหาร จัดตกแต่งสไตล์วินเทจ มีพวงไฟห้อยระย้าบนกันสาด รูปภาพสีน้ำมันเก่าๆ และรูปถ่ายขาวดำติดเต็มฝาผนังมากเสียจนไม่มีที่พักสายตา หุ่นไม้แกะสลักหมีตัวโตคลุมด้วยธงชาติสามสี ขาว ขอบล่างแดง และหมีตรงกลาง อันเป็นสัญลักษณ์แห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย

        เธอชะลอรถและจอด จังหวะเดียวกันนักดนตรีในร้านเริ่มบรรเลงเพลงสด Lucky ของ Jason Mraz คู่กับ Colbie Caillat อะไรบางอย่างในบรรยากาศทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคย อบอุ่นใจ และอยากอยู่ตรงนี้ต่ออีกสักพัก ภาพความทรงจำฉายชัดเจนราวกับทุกสิ่งเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน แล้วเธอก็ทะยานกลับสู่วันที่ไม่เคยลืม และไม่มีวันลืม…


    เมื่อ 2 ปีก่อน ณ รัฐนอร์ทคาโรไลน่า



    "Do you hear me, I’m talking to you"

    (ได้ยินไหม, ผมพูดกับคุณน่ะ)


    "Across the water across the deep blue ocean"

    (ข้ามน้ำข้ามมหาสมุทร)



    "Under the open sky, oh my, baby I’m trying"

    (ใต้ผืนฟ้าปลอดโปร่ง, อื้อหือ ผมพยายามอยู่นะ)


        เด็กชายเอเชียนั่งฝั่งข้างคนขับผู้ที่มีเรือนหน้าละม้ายคล้ายเธอมากที่สุดหันมาส่งยิ้มหลังร้องจบท่อน เขาเลิกคิ้วส่งคิวให้เธอร้องต่อในท่อนถัดไป คริสติน่าสั่นหน้าช้าๆอย่างเหนื่อยหน่าย หันกลับไปมองถนนทอดยาวข้างหน้า


    "Boy I hear you in my dreams"

    (หนุ่มน้อยฉันได้ยินเธอในความฝัน)



    "I feel your whisper across the sea"


    (ฉันได้ยินเสียงกระซิบผ่านทะเล)



    "I keep you with me in my heart"

    (ฉันเก็บเธอไว้กับตัวฉัน ในหัวใจของฉัน)



    "You make it easier when life gets hard"

    (เธอทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นเมื่อชีวิตยากลำบาก)



        เสียงใสแจ๋วของทั้งคู่ร้องเพลงโต้ลม เช้าวันนั้นเป็นวันที่ทั้งคู่มีความสุขที่สุดในชีวิต ไม่เชิงเป็นการหนีออกจากบ้าน แต่เป็นไม่กี่ครั้งที่คริสติน่าและเควินต่างเห็นพ้องตรงกันว่าควรขับออกไปโดยไม่บอกใคร หรืออาจบอกทีหลังถ้าหากมีคนถาม และพวกเขารู้ดีอยู่แล้วว่าพ่อแม่จะไม่กลับมาอีกหนึ่งอาทิตย์ และจะไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่ายางรถสึกไปกี่เซนติเมตร

        "ขากลับผมขับนะ" เควินพูด เธอยังขับต่อโดยไม่ละสายตาจากถนน "เถอะน่า พี่ขับหรือผมขับก็ไม่ต่างกันหรอก เผลอๆผมขับเก่งกว่าพี่อีก" คริสติน่ากลอกตา เอียงคอชำเลืองแวบหนึ่ง ก่อนหักพวงมาลัยเลี้ยว และจอดเลียบข้างทาง

        "หยุดทำไม แล้วก็ช่วยเลิกทำหน้าเหมือนป้าข้างบ้านได้ไหม จะทำตัวแก่กว่าผมไปถึงไหน ผมอายุห่างกับพี่แค่หนึ่งปีเอง"

        "นี่ ฉันยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ แล้วหยุดเอาเรื่องอายุมาอ้าง" เควินค้างนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนหันมาทำตาโตเมื่อนึกถึงคำพูดเธอดีๆ

        "หมายความว่า พี่อนุญาตให้ผมขับ? พูดจริง?" เธอเม้มปากเป็นรอยยิ้มแน่น ตอนนี้เขาตาโตยิ่งกว่าเดิมและต่อยแขนเธออย่างไร้เหตุผล เขาคิดว่ามันเบา

        "โอ๊ย! เด็กบ้า แขนฉัน"

        "พี่แม่งสุดยอดที่สุด! ผมรู้อยู่แล้ว"

        คริสติน่าลูบแขนตัวเอง อมยิ้มพลางพยักหน้าให้ดูสิ่งที่อยู่ข้างหน้าและพูดต่อ "แต่ตอนนี้เราจะเข้าไปในนั้นกัน หาอะไรสนุกๆทำ"


        เบื้องหน้าเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ มีเกาะกลางทะเลสาบที่อุดมไปด้วยต้นไม้สีเขียวแน่นเอียด ซึ่งเขาไม่เห็นว่าจะมีอะไรให้ทำบนเกาะดิบๆแบบนั้น

        "สนุกๆ" เขาถามย้ำเพื่อแน่ใจ "คงไม่ใช่ตกปลา ผ่าฟืน หรือล่าสัตว์ใช่ไหม?"

        "หลังเกาะนั่นต่างหาก ดูให้ดีๆสิเควิน" เขาหรี่ตามอง จึงเห็นวัตถุสีขาวโค้งหลังหมู่ไม้สูง และเห็นกระเช้า "เห็นรึยัง?"

        "นั่นมัน...ชิงช้าสวรรค์ เดี๋ยวนะ มีสวนสนุกด้วยเหรอ ทำไมผมไม่ยักจะรู้ แล้วเรามาจอดตรงนี้ทำไม?" เธอทิ่มนิ้วโป้งไปที่ริมน้ำ ซึ่งมีเรือสีส้มเกยตื้นอยู่

        "เพราะเราจะเข้าไปแบบไม่ต้องใช้ตั๋ว"

        "ค่าตั๋วสองใบไม่ได้แพงเกินสำหรับเราสักหน่อย?"

        "โธ่ ฉันนึกว่าเราชอบเรื่องตื่นเต้นเสี่ยงคุกเสียอีก ถ้าชอบแบบน่าเบื่อๆ เดิมๆ ก็ได้ งั้นแกไปเข้าประตูหน้า ส่วนฉันไปเองคนเดียวละกัน" คริสติน่าโยนกุญแจรถให้ แล้วลงจากรถ เควินรับทันและรีบตามลงไปขวาง

        "จะทิ้งกันแบบนี้ไม่ได้นะ คริสติน่า" เธอเลิกคิ้วเป็นคำถาม "เพราะผมไม่ปล่อยให้พี่ไปสนุกคนเดียวหรอก ผมจะไปกับพี่"

        สองพี่น้องพายเรือข้ามผ่านทะเลสาบสงบนิ่ง จ้วงไม้พายลงน้ำเย็นเฉียบ กระทั่งวงล้อชิงช้าสวรรค์ดูใหญ่และสูงตระหง่าน เสียงร้องอย่างสนุกสนานดังแว่วเป็นระยะๆ ทั้งคู่แอบเรือไว้ข้างซากรถบัมพ์ชำรุดสีม่วงๆเขียวๆที่ถลอกปอกเปิก

        "ตรงนั้นมีกล้อง" คริสติน่าเงยเห็นพอดี แต่โชคดีที่มันหันไปทางประตู เธอหยิบกิ่งไม้ก้านหนึ่งบนพื้น เดินชิดกำแพง และใช้มันเขี่ยกล้องวงจรปิดให้หันไปทางอื่น

        แต่มันแข็งเกินไปจนทำให้กิ่งไม้หักครึ่ง เควินช่วยรวบอุ้มเธอยกขึ้น ทำให้เธอสูงพอเอื้อมถึงกล้อง จากนั้นทั้งคู่ผลักเข้าทางประตูเหล็ก เขาไม่รู้ว่าคริสติน่ามีกุญแจได้อย่างไร และเธอก็เอาแต่บอกว่าไว้จะอธิบายทีหลัง ซึ่งนั่นทำให้เขาตงิดใจ


        "ตอนนี้เราลักลอบเข้ามาในพื้นที่ส่วนบุคคลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว" เควินพูด "ทาดา!"

        "เปลี่ยนใจกลับตอนนี้ยังทันนะน้องชาย สัญญาว่าจะไม่ลืมเอาขนมไปฝาก" เธอหยุดกับที่ เหล่มองประตูเหล็กที่เพิ่งผ่านเข้ามา เขาเชิดหน้าเดินต่ออย่างไม่ลังเล

        "ไม่มีทาง ถ้าผมถูกจับได้ พี่ก็ต้องถูกจับเหมือนกัน ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว ก็แค่...แปลกใจว่าพี่ชอบทำอะไรแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือเป็นเพราะผมไม่ค่อยรู้เรื่องของพี่กันนะ"

        "ฉันเป็นของฉันแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แกไม่สนใจเอง"

        "พี่นั่นแหละที่เอาแต่ทำตัวลึกลับ หมกอยู่ในห้อง ใส่หูฟังตลอด ที่โรงเรียนก็ชอบเดินหนี ใครจะไปรู้เรื่องของพี่ได้"

        "ข้ออ้าง ทีฉันยังรู้เรื่องแกเลย"

        "มันไม่เหมือนกันนี่ ตอนนั้นพี่ขี้โกง ลองให้ผมแอบใช้แล็ปท็อปพี่บ้างสิ ผมจะได้รู้ทุกเรื่อง"

        "ก็ลองดู"

        "หูย! น่ากลัว...ซะที่ไหน อย่าเผลอละกันคริสตี้"

        เธอกลอกตาอีกครั้ง ก่อนที่ทั้งคู่ออกไปสนุกกับเครื่องเล่นฟรี กินป็อปคอร์น กรีดร้องสุดเสียงอย่างที่ไม่เคยทำ สำรวจทุกสิ่งอย่างและกอบโกยของรางวัลชิ้นโตจากเกมยิงปืน พวกเขายิงแม่นจนเจ้าของร้านต้องประหลาดใจ

        ความแม่นของสองพี่น้องทำให้นึกถึงครั้งที่ถูกพ่อแม่จับได้ว่าแอบไปยิงปืนด้วยกัน พ่อแม่ไม่ชอบให้พวกเขาทำตัวซุกซน ห้าว เกเร หรือหมกมุ่นกับสิ่งที่ไม่ใช่ตำราเรียน เพราะที่หนึ่งของระดับชั้นคือสิ่งที่พวกท่านคาดหวัง บางทีพวกท่านอาจมีปมอะไรสักอย่างที่ไม่เคยเล่า

        ต่อมาจึงถูกทำโทษด้วยการตัดอินเทอร์เน็ตถึงสองวัน ซึ่งโหดร้ายในความรู้สึกของเควินมาก ทำให้เธอการต้องทนกับเรื่องเล่าเดิมๆซ้ำๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของน้องชาย แต่เสียงบ่นจ้อยๆนั่นทรมาณยิ่งกว่า

        สองพี่น้องอยู่ในสวนสนุกโบโรออฟจอยแห่งนี้ยันหัวค่ำ แสงสีตระการตาช่างน่าหลงใหล พวกเขาผลัดกันเก็บถาพถ่ายในมุมต่างๆ บ้านผีสิง กระจกลวงตา กลไฟ ตัวตลกขี่รถบัมพ์ ส่วนมากเควินเป็นคนถ่าย คอยเหนี่ยวคอคริสติน่าเข้ามาเซลฟี่ และมักจะทำหน้าประหลาดๆล้อเลียนเธอ ไม่บ่อยนักที่เธอจะเล่นกล้องด้วยกัน ซึ่งก็คือครั้งนี้

        "เราน่าจะทำแบบนี้กันบ่อยๆ" เควินพูด สองมืออุ้มตุ๊กตาเป็ดสีขาวสองตัว "เวลาผมเห็นพี่มีชีวิตชีวา มันเหมือนกับ…"

        "เหมือนกับ...อะไร" เธอถาม งับเกลียวไอศกรีมสีขาวที่โค้งงอนหายวับเข้าปาก แล้วเอาไปจ่อปากเควิน เขาเบือนหน้าหนี

        "ครอบครัว" เขาตอบ "เหมือนครอบครัวจริงๆ และผมรู้พี่กำลังจะบอกว่า 'ก็เราคือครอบครัวจริงๆน่ะสิ' ใช่ไหม ก็ถูกของพี่ ถึงผมจะไม่ชินเท่าไหร่ แต่ผมชอบที่เราเป็นแบบนี้ เป็นตัวของตัวเอง" เธอนิ่ง อึ้งไปครู่หนึ่ง เสียงกรี๊ดอย่างมีความสุขของเด็กๆดังแทรกช่องว่างนั้นอย่างเหมาะเจาะ "ไม่เคยคิดว่าจะพูดคำนี้ แต่...ขอบคุณที่พาผมมาที่นี่ คริสติน่า"

        "ดราม่าชะมัด" เธอเอาไอศกรีมป้ายปาก ครีมสีขาวเปื้อนเลิกไปถึงแก้ม เขาผงะ ค่อยๆยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างมีเลศนัย

        "พี่คริสติน่า…" เควินจ้องและแย่งไอศกรีมเธอ ก่อนเล่นกันต่อจนเกือบลืมเวลา


        หลังจากขับรถกลับบ้าน ทั้งคู่ต่างพักผ่อนในห้องของตัวเอง เขานั่งเลือกรูปที่เพิ่งถ่ายในวันนี้ลงโซเชียล คัดรูปสวยๆ มุมดีๆ งดเว้นรูปที่เป็นเซลฟี่ระหว่างคริสติน่ากับเขา มันสำคัญเกินกว่าจะให้คนทั่วไปได้เห็น อาจฟังดูเห็นแก่ตัว แต่เขาไม่อยากแบ่งปันรอยยิ้มหรือมุมหลุดโลกของเธอกับใคร เขาคิดว่า มันอาจลดความพิเศษลงไปถ้าทุกคนหรือใครๆได้เห็นมัน

        และตอนนี้เขาก็เริ่มไม่มั่นใจแล้วว่า ความพิเศษที่เขาพยายามซุกไว้ อาจถูกแบ่งไปตั้งนานแล้ว เควินหลบอยู่หลังประตูห้องนอนคริสติน่า แอบมองเธอนอนคุยโทรศัพท์กับเพื่อน และกำลังยิ้มเฉิดฉายอย่างมีความสุข เป็นรอยยิ้มแบบเดียวกันที่เขาเห็นที่สวนสนุกเปี๊ยบ ซึ่งเขาค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ได้คุยกับเพื่อนผู้หญิงแน่นอน

        เควินเคาะประตูเบาๆ เธอขยับตัวบนที่นอน เงยขึ้นมองเขา และบอกบางอย่างกับคนในสายอีกสองสามคำก่อนวางหู

        "ว่าไงเควิน"

        "ผมขัดจังหวะหรือเปล่า?"

        "แล้ว...คิดว่าไง"

        "ไม่หรอกเนอะ" เขาตอบอย่างมั่นใจพร้อมยักไหล่ "อากาศหนาวๆ ผมเลยแวะมาถามว่าจะเอาโกโก้ร้อนไหม? มีผงมิ้นต์เหลืออยู่ด้วย"

        เธอก้มหน้าพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์มือถือต่อ เดาว่าเป็นคนเดียวกันกับที่โทรคุยตะกี้ เขายืนกอดอกเคาะนิ้วกับแขน รอคำตอบจากพี่สาวอย่างใจเย็น แล้วในที่สุดเธอก็ตอบ แต่ไม่เงยหน้าเพราะยังง้วนกับคนในโทรศัพท์

        "ถ้ามีมาร์ชเมโล่ก็ใส่มาด้วย"

        "ดี งั้นพี่ไปซื้อผงโกโก้ให้หน่อย เพราะเราไม่เหลืออะไรในตู้นอกจากผงมิ้นต์ก้นกระป๋อง" คริสติน่าหยุดกึก เหลือบมอง ส่งสายตาแข็งกร้าว แล้วทำปากขมุบขมิบเป็นคำพูด 'ไปเองสิน้องเลว'

        เควินคุ้นชินกับปฏิกิริยาของเธอดี เขาแยกยิ้มกว้าง แล้วทำปากจู๋เป็นคำว่า 'ผมก็รักพี่เหมือนกัน' ก่อนรีบหลบหมอนอิงที่ถูกปามาอย่างหวุดหวิด


    ณ โรงเรียนมัธยม เมืองกรีนส์โบโร รัฐนอร์ทคาโรไลน่า

        หนุ่มผมทองตาฟ้า ฟลินน์ เด็กใหม่ที่น่าจับตามองคนหนึ่ง เขามักสวมหูฟังแบบครอบหูสีแดงเป็นประจำจนทุกคนจำเขาได้เพราะสิ่งนี้ ฟลินน์นั่งลำพังอยู่ในห้องสมุด ปิดโลกภายนอกทั้งใบไว้ด้วยเสียงเพลงที่ไม่ได้เปิด สักพักคริสติน่าจึงเปิดประตูโผล่มาและนั่งลงฝั่งตรงข้ามของโต๊ะสีขาวสะอาด

        "เธอมาช้า ทดเวลาให้ฉันด้วยล่ะ" เขาพูดเบาๆแต่ดังพอให้ได้ยิน แล้วถอดหูฟังพักไว้ที่คอ คริสติน่ายังคงนั่งก้มหน้าก้มตาเปิดหน้าหนังสือไวๆ เขาพูดอีก "แล้วเธอชอบไหม?"

        คริสติน่าหยุดเปิดหนังสือ เงยหน้า และกระซิบถามกลับ

        "ชอบ? ชอบอะไร ถ้าหมายถึงติวหนังสือให้นายทุกเย็นล่ะก็ ไม่ แต่ฉันไม่ชอบโดนสะกดรอยตามมากกว่า" เธอยักไหล่แล้วเหยียดยิ้มเล็กจิ๋ว

        "โทษที ก็ฉันยังไม่อยากถูกส่งกลับฮอลแลนด์ แต่เมื่อไหร่ที่ฉันได้คะแนนสอบดีขึ้น รับรองว่าฟลินน์คนนี้จะไม่ยุ่งกับเธออีก สัญญาด้วยเกียรติของลูกเสือ" เขาชูสองนิ้วไขว้แทนที่จะเป็นสามนิ้ว "ไม่ใช่เหรอ?" ฟลินน์เปลี่ยนกลับ เธอเปิดหาหน้าหนังสือหน้าล่าสุดที่ติวให้เขาไม่เจอ และไม่หยุดปัดสักที

        "ตกลงเธอชอบไหม?" เธอเงยขึ้นอีก "สวนสนุกโบโรออฟจอย"

        "ก็ดี ขอบใจสำหรับทางลับฟลินน์"

        "ก็ดีเองเหรอ?" ฟลินน์ใช้นิ้วชี้จิ้มฟิล์มรูปถ่ายเล็กๆบนหน้าโต๊ะ แล้วเลื่อนข้ามโต๊ะมาหาเธอ คริสติน่าเลิกคิ้ว ค้างในท่าเปิดหน้าหนังสือ

        "คืออะไร?"

        เขายกเอานิ้วออกไป เผยให้เห็นรูปถ่ายเธอตอนเผลอที่สวนสนุกโบโรออฟจอย กำลังยิ้มกว้างอยู่บนม้าหมุนสีขาว ตอนนั้นเควินเล่นมุกเห่ยๆอยู่บนม้าหมุนข้างหน้าแล้วเธอก็หัวเราะเป็นบ้าเพราะเขาพูดจาไม่รู้เรื่องแถมยังขำมุกตัวเองอีกด้วย

        "แต่เท่าที่เห็นมันมากกว่าคำว่า 'ก็ดี' เยอะเลยนะ"

        "งั้นนายก็ไม่ควรถาม ฉันว่า...เรามาเริ่มติวเลยดีไหม นายช่วยบอกหน้าล่าสุดทีฟลินน์ ฉันว่าวันนี้ฉันคงหาไม่เจอแน่"

        "ทำไมเธอไม่รับบัตรฟรีจากฉัน มันง่ายกว่าการแอบเข้าไปตั้งเยอะ ไม่เสี่ยงถูกจับได้"

        "มันง่ายเกินไป เควินคงไม่ชอบ" มุมปากข้างหนึ่งของเธอขยับขึ้นเล็กน้อย ก่อนเหน็บปอยผมเข้ากับหู

        "เธอยิ้มสวยนะ" เขาพูดขึ้น คริสติน่าเผยอยิ้มกว้างขึ้น เหลือบมองแวบหนึ่ง ยอมรับว่าความคิดกระตุก ก่อนรีบสลัดความรู้สึกแปลกๆออกไป และทำเป็นยิ้มบางๆกึ่งหัวเราะ

        "ไร้สาระ ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันอาจคิดว่านายกำลังจีบฉัน" เธอพยายามไม่ใส่ใจ ทำเป็นดูหนังสือ จดจ่อกับการติวต่อ "เอาล่ะ ตั้งใจหน่อยฟลินน์ สรุปเราอยู่หน้าอะไร"

        "หมายความว่าตอนนี้เธอไม่คิดเหรอ" แต่ดูเหมือนฟลินน์ไม่ให้ความร่วมมือ

        "ฉันไม่รู้ว่านายพยายามจะสื่ออะไร แต่ฉันติวให้นายไม่ได้ถ้านายไม่บอกเลขหน้า" เธอละสายตาจากหนังสือ จ้องเขาด้วยสายตาอันมุ่งมั่น "ตกลงว่าไง?"

        "ฉันอยากจีบเธอ"

        คริสติน่าชะงัก ดวงตาสีฟ้าสว่างคู่นั้นมองอยู่และไม่ยอมกะพริบ เธอกึ่งยิ้มกึ่งกระแอมออกมา หลบตามองหนังสือ แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไรที่เขาพูด

        "ฉันพยายามจะสื่อว่า ฉันจะจีบเธอ"

        "โอ้พระเจ้า นายเมาแน่ๆ" เธอซุบซิบกับตัวเอง "โอเค้...ฉันคิดว่าฉันเจอหน้าล่าสุดของเราแล้ว..." เธอวาดนิ้วบนบรรทัดที่เท่าไหร่สักอย่างอย่างเอาเป็นเอาตาย ซึ่งเธออ่านอะไรไม่ออกด้วยซ้ำ และไม่รู้ว่าตัวเองกำลังมองหาอะไร แต่รู้ว่าตั้งใจมาก จนเขาดึงหนังสือออกไป


        "ฉันจีบเธออยู่คริสติน่า และฉันไม่ได้เมา" เธอไม่มีทางเลือกนอกจากยอมสบตา และนั่นทำเธอแทบบ้า ข้างในปั่นป่วนว้าวุ่นจนไม่รู้จะกลบเกลื่อนด้วยวิธีไหน

        "ตลกมาก คืนหนังสือมาเร็วเข้า ฉันทดเวลาให้นายไม่ได้แล้วนะ"

        "ไม่ต้องทด ไม่ต้องติว ถ้าเธอไม่ยอมมองฉันตรงๆ"

        "เหลวไหล ฉันมองนายอยู่ฟลินน์" เธอกลอกตา

        "ใช่แล้ว และเธอก็หน้าแดง" คริสติน่าเริ่มสงสัยว่าที่เขาพูดมันจริงหรือเปล่า

        "อย่ามาหลอกฉัน" เธอว่า ฟลินน์ยิ้มจางๆให้กับเธอที่แสดงอาการเขินโดยไม่ตั้งใจ รอยยิ้มเด็กหนุ่มเผยให้เห็นลักยิ้มสองจุดที่ยากจะละสายตา คริสติน่ารีบเอามือตะปบแก้มตัวเอง "ฉันว่าฉันมีไข้ กลับก่อนนะ"

        "จริงเหรอ ไหนดูซิ" เขาใช้หลังมือแห้งและเย็นเอื้อมข้ามโต๊ะมานาบหน้าผาก ก่อนเปลี่ยนมาหยุดที่แก้ม มันอาจเป็นแค่สองวินาที ไม่ใช่สิ...สามวินาที หรือสี่วินาที เธอเริ่มรู้สึกว่าเขาค้างไว้นานเกินความจำเป็น จนกระทั่งเขาก็ยิ้มออกมาและหยิกแก้มเธอเบาๆ "เธอสบายดี"

        

        "ฉันคิดว่านี่มันไปกันใหญ่แล้ว ฉันกลับดีกว่า" เธอปัดออก เอื้อมหยิบหนังสือบนโต๊ะคืน แต่เขาเลื่อนหนี "ฟลินน์!"

        "ชู่วววว!" คนอื่นๆในห้องสมุดหันมาตำหนิ

        "โอเค เอาไปเลย" คริสติน่ากระซิบแล้วลุกจากเก้าอี้ ฟลินน์ลุกตาม หยิบหนังสือของเธอตามไปด้วย

        "คริสติน่า" เสียงเขาเดินฉับๆตามมา "รอก่อน เธอเป็นอะไร เดินหนีฉันทำไม"

        "นายสิเป็นอะไร ทำอะไรแบบนั้น บ้าชะมัด" เขาเข้ามาดักหน้า

        "โกรธเหรอ?"

        "เปล่า! ทำไมฉันต้องโกรธ" เธอยักไหล่ กอดอกแน่น สั่นหน้ายึกยัก

        "เห็นๆอยู่ว่าโกรธจนหน้าแดง แล้วยังเดินหนีฉันอีก ทำไม คิดว่าฉันล้อเล่นเหรอ? เธอไม่ชอบที่ฉันชอบเธอหรือไง?"

        "ฉันไม่ได้โกรธ" เธอยืนยันเสียงแข็ง

        "ถ้าอย่างนั้น ฉันชอบเธอข้างเดียวก็ได้ ส่วนเธอไม่ต้องกังวลเลย ก็แค่ทำทุกอย่างเหมือนเดิม" คริสติน่าอยากกรีดร้องออกมา แต่ทำได้แค่ยืนนิ่ง

        "ฉันบอกว่าไม่ได้โกรธ หูหนวกหรือไง หรือสมองทึบเกินเข้าใจว่าฉันไม่ได้โกรธ!" เธอคำรามอย่างเกรี้ยวกราด

        "อ๋อเหรอ!?" เขาตอบกลับ "ไม่โกรธแล้วนี่เป็นอะไร? หิวข้าวเหรอ?"

        "ฉันเขิน! เลิกถามสักทีไอ้บ้าสมองทึบ คิดเองไม่เป็นหรือไงวะ" แต่ครั้งนี้เขาไม่โต้ตอบ ตรงกันข้ามเขากลับปล่อยให้บทสนทนาเงียบ ยืนอมยิ้มยวนชวนโมโหอย่างใจเย็นรอว่าเมื่อไหร่เธอจะตระหนักว่าตัวเองพูดอะไรออกมา

        พอคริสติน่ารู้ตัวก็ผลักเขาออก ก่อนรีบเผ่น กึ่งเดินกึ่งวิ่งฉับๆไปให้พ้นๆหน้าฟลินน์ "พระเจ้า นี่มันหายนะบัดซบ" เธอพึมพำพลางก้มหน้าก้มตาเดิน พ่นลมฟืดฟาด บีบกำมือที่สั่นเพราะอะดรีนาลีนพุ่งพล่านรุนแรงแบบที่ไม่เคยเป็น

        

        เธอนั่งคิด นอนคิด เกลือกกลิ้งไปมาคิดว่าเขาต้องล้อเล่น และเธอก็คิดเข้าข้างตัวเอง ไม่มีทางที่หนุ่มหน้าตาดีอย่างฟลินน์จะชอบคนเอเชียอย่างเธอ เป็นไปได้ด้วยหรือ ฟลินน์ควรเลือกซิลเวีย สาวผิวขาวคิ้วเข้มที่ส่งสายตาอันคมกริบให้ทุกเช้ากลางวันเย็น หล่อนฮ็อต โดดเด่นขนาดนั้น ทำไมถึงได้สนใจเธอที่มีดีแค่เรียนเก่ง แต่ถ้าเขาแสดงออกอย่างเปิดเผย มันจะหมายความเป็นอย่างอื่นไปได้อย่างไร

        "พี่คริส พี่ลืมซื้อผง…โกโก้" เควินชะงักตอนเปิดประตูห้องนอนและพบว่าพี่สาวนั่งตัวขดเป็นก้อนกลมบนเตียง ตูดโด่ง หน้าซุกหมอนและกลิ้งไปมา อีกทั้งยังส่งเสียงกรี๊ดอู้อี้อยู่ใต้หมอนเหมือนคนเสียสติ อาการคล้ายคนเขินจนอยู่ไม่ถูก เขาคิดว่าเขาเข้ามาผิดจังหวะอีกแล้ว

        เควินค่อยๆถอยย่องออกไป ปล่อยเธอไว้แบบนั้น และปิดประตูให้เรียบร้อย ประหนึ่งไม่ได้เห็นอะไรที่ดูแปลกประหลาดผิดเพี้ยนเลยสักนิด เขาเอามือปาดลูกตาตัวเอง "ไปซื้อเองก็ได้วะ"

        หลังจากกลับจากร้านสะดวกซื้อพร้อมผงโกโก้สองกระปุกซึ่งลดราคา เขารู้สึกโล่งใจที่อย่างน้อยตอนนี้เธอก็ไม่ได้ค้างอยู่ในท่านั้น แต่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับโทรศัพท์มือถือ เธอง้วนกับมันจนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเควินเข้ามาและแอบอ่านข้อความอยู่ข้างหลังโซฟา


        "ให้ตายสิ!" เควินสถบค้ำหัวคริสตี้ "พี่ตอบตกลง พี่ชอบฟลินน์?"

        "ให้ตายสิเควิน!!" เธอกระโดดหนีไปอยู่อีกฟากของโซฟา "แกแอบดูโทรศัพท์ฉัน..." เขายักไหล่แบมือสองข้าง

        "ไม่ได้แอบด้วยซ้ำ" เขาว่า "จะเดตกับไอ้นี่จริงดิ? ที่สวนสนุกของเราเนี่ยนะ??"

        "ไม่ใช่สวนสนุกของเราเควิน ของฟลินน์"

        "ของฟลินน์? นั่นสวนสนุกของฟลินน์เหรอ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ใครเป็นคนบอกพี่?"

        "ใครๆก็พูดกัน เขาเองก็บอกฉัน วันนั้นฉันถึงได้มีกุญแจไง"

        "แล้วแน่ใจได้ยังไงว่าเขาไม่ได้หลอก พี่รู้จักเขาดีแล้วหรือ แต่ผมว่าเด็กใหม่นี่ไม่น่าไว้ใจนะ"

        "อย่าประสาทน่าเควิน"

        "ผมไม่อยากให้พี่เสียใจน่ะ พี่ก็ทำใจไว้บ้างเถอะ เราเห็นสายตาคนที่นี่แล้วนี่ พวกเขาเหยียดเรา ไม่มีใครชอบคนผิวสองสี หรือใครก็ตามที่ไม่เหมือนพวกนั้น มีแต่พวกโบราณคร่ำครึ จำไม่ได้เหรอว่าผมโดนอะไร ชัลลี่หักหน้าผมกลางโรงอาหาร เธอบอกว่าเธอไม่เดตเอเชีย ไม่มีคำว่าคนนำหน้าด้วยซ้ำ"

        "พวกเขาไม่ได้เหมือนกันหมดทุกคน"


        ทันใดนั้นบทสนทนาก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเคาะประตู เธอกับเควินรีบเดินไปจ่อและเปิดด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพราะรู้ๆกันอยู่ว่าพ่อแม่พวกเขายังไม่กลับมาวันนี้

        "ฟลินน์?" คริสตี้ยิ้มประหลาดใจ "มาทำอะไรค่ำป่านนี้"

        หนุ่มผมทองหยิบหนังสือออกมาจากกระเป๋าเป้ ยิ้มน่ารักแบบเดิม "คือ เอาหนังสือมาคืน" แล้วเควินก็ฉวยตัดหน้าพี่สาวไปอย่างรวดเร็ว

        "คืนเสร็จแล้ว งั้นเจอกันพรุ่งนี้เลยนะฟลินน์ บาย"

        "เอ่อ คริสติน่า" เควินปิดประตู แต่ไม่ทันเพราะฟลินน์ใช้มือยันเอาไว้ ก่อนพูดต่อ "ฉันมีหนังสองสามเรื่องติดมาด้วย เธออาจอยากดู แต่ถ้าไม่ชอบก็ไม่เป็นไร"

        เควินทำท่าจะฉวยกล่องแผ่นซีดีไปอีก แต่ฟลินน์รู้ทัน หดกลับและยื่นใหม่อีกครั้ง จงใจให้คริสติน่าดู เธอรับแต่แล้วถูกฉกไปอีก เควินพิจารณาหน้าปกหนังแต่ละเรื่องพลางยักไหล่ ทำหน้าเบี้ยว ก่อนส่งกลับคืนทั้งหมด

        "เธอดูหมดแล้ว อีกอย่างสมัยนี้ไม่มีใครดูของแบบนี้หรอก เขาดูเน็ตฟลิกกันหมด" เควินพูดตามด้วยพึมพำ "โบราณคร่ำครึ" คริสตี้กระแอม

        "เหลวไหลเควิน ของพวกนี้คลาสสิก แกนี่ไม่รู้อะไร อยากเข้ามาก่อนไหมฟลินน์?" เธอผลักประตูให้เปิดกว้างขึ้น "มีหลายเรื่องในเน็ตฟลิกที่ฉันยังไม่ได้ดูนะ มาสิ"

        "เฮ้! ก่อนชวน 'คนอื่น' เข้าบ้านถามความเห็นผมหรือยัง" เควินเถียงฉอดๆ

        "ไม่จำเป็น เพราะฉันเป็นพี่แก"

        เควินกอดอก ทำหน้ามุ่ยไม่พอใจ บ่นงึมงำแต่ดังพอให้คริสตี้ได้ยิน "รู้แบบนี่น่าจะเอาสายรกรัดคอไว้แต่ทีแรก"

        "ฉันหวังว่านายจะสะดวกอยู่สักชั่วโมงสองชั่วโมง"

        "มันดึก-" เควินพยายามพูดแทรกแต่เธอเอามือตะปบปากไว้ทัน แถมยังปิดซะแน่น ฟลินน์พยักหน้า ยิ้ม ก่อนเดินตามเธอเข้าไปในบ้าน


        เควินนั่งหน้าบูดปลายเตียง มองทั้งสองคนที่กำลังดูหนังในแล็ปท็อปผ่านประตูห้องนอนที่เปิดกว้าง เควินเฝ้าเพื่อไม่ให้ฟลินน์ทำอะไรเสื่อมเสียกับคริสติน่า เธอคอยมองเควินเป็นระยะ เขาคิดว่าเธอคงรู้สึกอึดอัดที่ถูกจ้องตลอดเวลา แต่เขาไม่แคร์ เพราะเขาต้องการกดดันให้ฟลินน์กลับไป ยิ่งเร็วยิ่งดี

        แต่ตอนนี้เขาเริ่มสงสัยว่าคนที่น่าจับตามองอาจไม่ใช่ฟลินน์ เมื่อคนที่กระแซะเข้าไปเบียดใกล้ๆกลับเป็นพี่สาวตัวเอง แถมยังส่งสายตามามองราวกับท้าทาย เควินเริ่มไม่ชอบสถานการณ์นี้เสียแล้ว รู้สึกหงุดหงิด อึดอัด ร้อนรนราวกับมีไฟเผา แต่แล้วไอ้หนุ่มก็เอื้อมแขนอ้อมด้านหลังโซฟา ทันใดนั้นสมองเขาถึงกับร้องกรี๊ดลั่นเหมือนเสียงกาน้ำเดือด...

        "เห้ยๆๆๆ!" เควินลุกพรวด เดินฉับๆออกจากห้อง กระแอมแล้วพูดกับฟลินน์ "มือ!" เขาเอามือหดกลับ สายตาไม่พอใจเล็กน้อย แต่เควินไม่หยุดแค่นั้น ทำเป็นเดินเลียบๆเคียงๆหลังโซฟา แล้วจงใจเตะปลั๊กแล็ปท็อปจนดับ

        "เควิน!" คริสตี้หันมาตวาด "หยุดทำตัวเป็นเด็กน่า!" แล้วเควินก็เผอิญเห็นมันแอบหันไปยิ้มเยาะ ยิ่งมั่นใจว่าหมอนั่นต้องเป็นไอ้เลวแน่ๆ

        "ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย" เขาก้มลงเสียบกลับ และทุกอย่างกลับเข้าที่เข้าทางเร็วมาก ราวกับเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้นเลย รวมถึงความพยายามของไอ้ฟลินน์เด็กใหม่ ที่จ้องจะแตะเนื้อต้องตัวคริสติน่า

        "ขอดูด้วยคนสิ" เควินไม่รอใครอนุญาต ฉีกยิ้มอวดฟันและปีนข้ามจากด้านหลังโซฟา นั่งเบียดแทรกตรงกลาง และเขาพอใจมากที่ได้ขัดขวางทั้งสองสำเร็จ กระทั่งส่งฟลินน์กลับออกไป


        "พี่คริส เครื่องทำความร้อนในห้องผมเสีย ขอนอนห้องพี่ได้ไหม?" เขาหอบหมอนเต็มสองมือและพันตัวด้วยผ้าห่มเหมือนแท่งบาริโต้

        "ช่วยไม่ได้ แกอยากงี่เง่าใส่ฉัน ใส่เพื่อนฉันเอง"

        "ไม่เห็นเกี่ยวกันตรงไหน ขอล่ะ มันหนาวมากจริงๆนะ ผมข่มตาหลับไม่ลงหรอก" สีหน้าคริสตี้นิ่งสนิท เอาแต่จ้องเหมือนจะดูดกลืนวิญญาณถ้าเขาไม่รีบไสหัวไปให้พ้นหน้า เธอโกรธเขาจริงๆ และเควินคิดว่าตัวเองได้คำตอบที่ถามไปก่อนหน้าแล้ว "พี่แม่งใจดำว่ะ"

        เธอนอนส่งข้อความหาฟลินน์เกือบสองชั่วโมง ส่วนมากบ่นเรื่องน้องชาย และถามเกี่ยวกับเควินตอนอยู่ในห้องเรียน ถึงได้รู้ว่าฟลินน์ไม่สนิทกับเควินเท่าไหร่นัก แต่เขาตอบกลางๆว่าเควินเป็นคนตลกและเรียนเก่งเหมือนกับเธอ

        หลังคุยเสร็จคริสติน่าลุกออกมาจากห้องเพราะอยากเห็นว่าน้องชายหลับหรือแข็งตายไปแล้ว แต่พอเปิดประตูออก ปรากฏว่าเควินขดเป็นกุ้งอยู่ในผ้าห่ม นอนขวางหน้าประตูห้องนอน

        "เควิน?" เธอโน้มตัวลงดูใกล้ๆ และเป่าผมสีดำขยับเบาๆ เขาไม่กระดิกกระเดี้ย หลับสนิท "ไหนบอกว่าหนาวจนข่มตาหลับไม่ลง"

        เธอขนหมอนและผ้าห่มลงกองข้างๆ ยกเครื่องทำความร้อน และหาที่เสียบปลั๊กใกล้ๆ ก่อนปูผ้าห่มล้มตัวลงนอนข้างๆ "ฝันดีตัวแสบ" แล้วทั้งสองก็นอนหลับบนพื้นพรมคนละฝั่งของกรอบประตู


        วันนัดเดตมาถึง พร้อมกับน้องชายที่ดูแตกตื่น วิ่งขึ้นบันไดสี่ขั้นสั้นๆหน้าบ้านตึงตัง ตะโกนเรียกหาคริสติน่า

        เธอเดินออกมาจากห้องนอน ด้วยชุดเสื้อโค้ตสีดำปิดถึงคอ มีกระดุมเม็ดใหญ่สองสามเม็ด โพกด้วยผ้าพันคอสีน้ำเงิน กางเกงขาลีบและรองเท้าบู้ทหนังแบบผู้หญิง

        "คิดว่าชุดนี้เป็นไง" เธอถาม เขายังคงอึ้งก่อนกะพริบตาปริบๆแล้วนึกได้ว่าจะพูดอะไรต่อ

        "พี่ไปไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด"

        "รอเดี๋ยว ฉันมีอีกตัว…" เธอถอดเสื้อโค้ต และเขาถึงกับต้องเบิกตากว้าง เพราะถ้าเธอไม่ถอดเขาคงไม่รู้ข้างในเป็นเสื้อแขนกุดสีดำ ถึงแม้จะเผยให้เห็นสัดส่วนโค้งเว้าและผิวพรรณจนน่ากังวล แต่มันสวยเมื่ออยู่บนตัวเธอ

        "ใส่เสื้อคอเต่าสิ" เขาเผลอพูด "อันที่จริงมันไม่ใช่เรื่องชุดคริสติน่า เพราะคืนนี้จะไม่มีเดตอะไรทั้งสิ้น คนพวกนั้นคิดจะแกล้งพี่"

        "แกแค่ไม่ชอบฟลินน์" เธอสวมโค้ตตัวเดิมกลับ หยิบหากุญแจรถบนที่แขวน แต่มันไม่ได้อยู่ตรงนั้น "เควิน ส่งกุญแจรถมา"

        "ผมได้ยินที่ฟลินน์กับซิลเวียวางแผน ผมไม่อยากบอกให้พี่เสียใจ แต่พวกเขาคบหากันอยู่ และเขาจะไม่ไปสวนสนุก เพราะเขาจัดปาร์ตี้ที่บ้านซิลเวียวันนี้" เควินพยายามพูดสุดความสามารถ "เชื่อผม อย่าไป"

        "ฉันรู้เรื่องปาร์ตี้ แต่ฟลินน์จะตามฉันมาทีหลัง ขอกุญแจ" คริสตี้แบมือ

        "มันไม่มาหรอก" เธอมองนิ่งรอกุญแจ เควินล้วงกระเป๋ากางเกง จำยอมส่งกุญแจรถให้คริสติน่า มองตามหลังเธอ "ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น" เขาเอ่ยขณะที่เธอเดินไปที่รถ "ผมรักพี่เสมอ"

        "แกรักฉัน แกต้องปล่อยให้ฉันเลือกชีวิตของตัวเอง" เธอกล่าว ก่อนขึ้นรถขับออกไป


        ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ สิ่งที่เควินพูดดูเหมือนจะชัดเจนขึ้นเท่านั้น ผู้คนเริ่มทยอยกลับกันแล้ว ทิ้งสวนสนุกให้เปล่าเปลี่ยว เครื่องเล่นปิดตัวที่ละชิ้น ร้านค้าส่วนใหญ่ติดป้ายสินค้าหมด มีผู้คนเดินกันอยู่เพียงประปราย

        คริสติน่าอดทนนั่งรอท่ามกลางอากาศหนาว จนในที่สุดก็ตัดสินใจส่งข้อความหาฟลินน์ ซึ่งเขาก็ยืนยันคำเดิมว่าจะมา แต่ช้าหน่อย อาจหลังสวนสนุกปิด อ้างว่าจะดีกว่าถ้าได้อยู่ด้วยกันสองคน และย้ำว่าที่นี่เป็นสวนสนุกของเขา แถมยังบอกให้เธอรออยู่ใกล้ๆทางลับ

        ไม่มีสัญญาณว่าเขาจะมาเร็วๆนี้ และเธอเปิดประตูลับไม่ได้เสียด้วย เพราะครั้งนี้เธอใช้ตั๋วฟรีเข้ามาทางปกติ หมายความว่าถ้าเขาไม่มาตามนัด หรือแกล้งเธอจริงๆอย่างที่เควินพูด เธออาจต้องติดอยู่ที่นี่ยันเช้า


            เสียงกิ่งไม้หักดังมาจากอีกฝั่งของกำแพง เธอลุกพรวดอย่างตื่นเต้น ยิ้มออก และลืมสิ่งที่กังวลก่อนหน้าไปเสียหมดจด

        "ฟลินน์?" เธอเรียกและเคาะประตูเหล็กบานเย็นเฉียบ เสียงเคาะดังลั่นแม้ออกแรงเพียงเบาๆ

        เสียงกุญแจโลหะกระทบกันพร้อมเสียงพยายามไขอย่างรีบๆ ก่อนที่ประตูจะเปิดออก เธอใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือส่องที่บานประตู เสียงดังเสียดสีของประตูโลหะฝืดๆลั่นอีก เธอสาดแสงไฟไปที่ใบหน้าคนที่เปิดเข้ามา

        "เวรตะไล…" นั่นไม่ใช่ฟลินน์

        "เวรตะไล? ทำไมถึงยังอยู่ในนี้" ปรากฎว่าเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยผู้ชายตัวเบอเริ่ม ผิวสี ร่างตันๆที่เผอิญเดินผ่านมาตรวจความเรียบร้อย และเขาก็เจอความไม่เรียบร้อยเข้าแล้ว ชายร่างใหญ่ส่องไฟขาวสว่างแสนแสบตากลับมา "ทำแบบนี้มีความผิดเท่ากับลักลอบเข้ามาเชียวนะ"

        เธอตัดสินใจวิ่ง และคิดจะล่อเขาออกไปจากประตูเพื่อวกกลับมาและหนีออกไป แต่ทุกอย่างก็พังทลายตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่ม ในเมื่อเขาจับเธอไว้ได้แทบในทันที "และแย่หน่อยสำหรับคุณ เพราะผมคงต้องแจ้งผู้ปกครอง"


        "ฟลินน์ แม็กคาเลน!" เธอโพล่ง "ลูกเจ้าของที่นี่ เรานัดกันหลังสวนสนุกปิด คุณรู้จักใช่ไหม?"

        "ฟลินน์ แม็กคาเลน? ต้องรู้จักอยู่แล้ว"

        "งั้นคุณต้องปล่อยฉัน" เธอพูดหนักแน่น "เพราะคุณคงไม่อยากถูกทำโทษ ตัดเงินเดือนหรืออะไรก็ตาม" ฟังดูคล้ายคำขู่เมื่อพูดออกมา แต่คำตอบที่ได้ทำให้เธอถึงกับพูดไม่ออก

        "แน่นอนว่าผมไม่อยาก แต่เผอิญว่าฟลินน์ แม็คคาเลนไม่ใช่ลูกเจ้าของที่นี่ ผมไม่รู้ว่าพวกคุณเล่นอะไรกันแต่กฎต้องเป็นกฎ เข้าใจไหม"

        เธอยอมเดินกับชายคนนี้ซึ่งมารู้ทีหลังว่าเขาชื่อ เทรเวอร์ ระหว่างพาเธอออกทางประตูหลักของสวนสนุกโบโรเขาชวนคุยสัพเพเหระ ถามไถ่เรื่องทั่วๆไป ทำให้เธอรู้ว่าเขาไม่โหดร้ายอย่างที่เห็น เทรเวอร์เป็นยักษ์ใหญ่ใจดี และรู้อีกว่าแท้จริงแล้ว ฟลินน์ ไม่ใช่ลูกเจ้าของสวนสนุกแต่เป็นลูก บ็อบ แม็กคาเลน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกคน ทุกอย่างคือเรื่องหลอกลวงทั้งเพ

        "เสียใจด้วย แต่ผมส่งคุณได้เท่านี้" หนุ่มเสียงใหญ่เอ่ย เธอจอดรถทิ้งไว้ค่อนข้างไกลจากที่จอดที่สวนสนุกจัดไว้ให้อยู่โข แต่โชคดีแค่ไหนที่เขาไม่เอาเรื่อง การเดินคนเดียวตอนกลางคืนจึงไม่หนักหนาสำหรับเธอนัก

        "ไม่เป็นไรค่ะ คุณใจดีมากที่ไม่บอกพ่อแม่ฉัน ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษที่พูดไม่ดีกับคุณ เกือบทำคุณเดือดร้อนอีกด้วย" เธอหัวเราะแห้งๆ


        "อย่าเล่นอะไรแผลงๆอีกเป็นพอ แค่นี้ก็ช่วยผมได้มาก" หนุ่มใหญ่ยิ้ม แต่แล้วหุบยิ้มคล้ายนึกบางอย่างขึ้น "เพื่อนคุณบอกแบบนั้นจริงๆเหรอ? ฟลินน์น่ะ"

        "ค่ะ เขาว่าอย่างนั้น แต่ฉันผิดเอง ฉันน่าจะเชื่อที่น้องเตือน" คริสตี้ถอนหายใจเฮือก "เขาเตือนหลายรอบมากแต่ฉันกลับไม่สงสัยเลย น่าโมโหนะคะ"

        "ที่นี่ยังมีพวกหัวล้าสมัยอยู่เยอะ ผมแนะนำให้คุณทำใจซะถ้าไม่คิดจะย้ายไปไหน"

        เทรเวอร์ถอยออกห่างเล็กน้อย ก่อนมองคล้ายกำลังพิจารณา หน้าตา ทรงผม ชุดที่เธอสวมใส่รวมถึงรองเท้า "คุณดูดีทีเดียว" คริสติน่าเลิกคิ้วสูงอย่างประหลาดใจ เขาพูดต่อ

        "คุณควรได้รับอะไรที่ดีกว่านี้ ถ้าพวกเขาไม่เห็น ที่นี่ก็คงไม่ใช่ที่ของคุณ ถ้าคุณไม่ถือผมขอแนะนำในฐานะ...คนผ่านมาพบจะได้ไหม" เธออมยิ้มและผายมือ

        "แน่นอน ได้ค่ะ"

        "คุณ ผม เราทุกคนต่างมีกันแค่ชีวิตเดียว คุณอายุ 17 ได้ครั้งเดียว เราเสียเวลามากมายไปกับคนที่ไม่เห็นคุณค่าไปเพื่ออะไร ลองกลับไปคิดดู"

        เธอเงียบ ไม่มีใครเคยพูดกับเธอแบบนี้ โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้า ถ้าไม่นับคนครอบครัวเขาอาจเป็นคนเดียวที่จริงใจที่สุดในเมืองนี้แล้วก็ได้

        "ไม่คิดว่าจะมีคนแบบคุณหลงเหลืออยู่ที่นี่ แล้วฉันจะไปคิดดูค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะคุณเทรเวอร์ ฉันไม่รบกวนเวลาทำงานคุณดีกว่า หวังว่าเราจะได้เจอกันอีก" และนั้นเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นเขา


        ท่ามกลางอากาศหนาว ลมปะทะใบหน้า ความเงียบและความมืดที่เธอเดินผ่านลำพัง ไม่กัดกินจิตใจได้เท่าความคิดที่วนเวียนซ้ำไปมา ราวกับมีดเล่มเดิมที่แทงย้ำๆ ทุกครั้งมันปักลึกขึ้น และเจ็บเหมือนเจียนขาดใจ

        เธอไม่อยากยอมรับความจริง แต่มันถึงเวลาแล้ว ที่เธอต้องปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระ ทุกอย่างคือการหลอกลวง ที่ผ่านมาไม่มีอะไรจริงเลย เขาไม่เคยรู้สึกกับเธอเลยสักครั้ง ทีแรกเธอคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาอาจเพียงแค่ต้องการปกปิดฐานะที่แท้จริง แต่แล้วเธอก็มั่นใจว่ามันไม่ใช่

        สาวๆสองคนนั่งไขว่ห้างบนกระโปรงรถของเธอ  เมื่อมองผ่านความมืดในระยะใกล้พอจึงพบว่าเป็นซิลเวียกับเพื่อน เพื่อนหล่อนชูโทรศัพท์ขึ้นระดับสายตา กำลังถ่ายวิดีโอ

        "แหมๆ วันนี้มีใครแต่งตัวเก้อนะ" พวกมันหัวเราะเยาะด้วยน้ำเสียงแหลมอันน่าสะอิดสะเอียน ต่อมาเพื่อนซิลเวียเป็นคนพูด

        "ฟลินน์ ฟลินน์ ฟลินน์รูปหล่อ คิดหรือว่าคนอย่างฟลินน์จะชายตามองเธอ เดตกับเธอ" มันมอง ชี้เรียวนิ้วที่คริสติน่า "ดูแต่งตัวเข้าสิ คิดว่าสวยเหรอ สะเออะชะมัด" แล้วก็หัวเราะอีก แต่นั่นไม่สะท้านเธอนัก

        "อย่าพูดงั้นสิคาร่า เดี๋ยวหล่อนเสียใจแย่" ซิลเวียพูดบ้าง "ฉันว่าเธอสวย สำหรับพวกเอเชียด้วยกันน่ะนะ" พวกมันแปะมือกันแสดงความสำเร็จที่ได้ทำให้ใครคนหนึ่งรู้สึกจุก


        คริสติน่าไม่พูดจา เดินตรงไปที่สองสาวอย่างแน่วแน่ คนที่ถือโทรศัพท์มือถือค่อยๆหุบยิ้มและลดมือลง ส่วนเธอลงมือทำสิ่งที่ยัยตัวดีทั้งสองไม่เคยคาดคิด

        เธอตบคนทั้งคู่ ฉวยโทรศัพท์ ไม่สนเสียงโวยวายเล็กๆน่ารำคาญพวกนั่น และพบว่าพวกมันไม่ได้แค่ถ่ายวิดีโอ แต่กำลังไลฟ์สด คริสตี้หันไปถลึงตาใส่ ง้างโทรศัพท์มือถือเตรียมตบหน้าตอนที่หนึ่งในสองทำท่าเข้ามาจะทำร้าย แน่นอนว่าพวกมันหยุดทันที อาจเพราะเกรงว่าโทรศัพท์จะทนความแข็งกร้านของใบหน้าไม่ไหวจนพังยับถ้าถูกตบ

        "ก่อนจะทำเก่งเธอควรเช็กข่าวเรื่องน้องชายแกหน่อยนะ นังเต้าหู้"

        เธอไม่รู้ว่าพวกมันพูดถึงเรื่องอะไร แต่เธอไม่มีอารมณ์ถาม คริสตี้กดหยุดไลฟ์ ก่อนปาโทรศัพท์มือถือทิ้งข้างทางอย่างไร้ราคาราวกับเศษขยะ ซึ่งในความคิดเธอมันก็คือขยะ เพราะเจ้าของมันเป็นขยะ

        พวกนั่นลุกพรวดจากฝากระโปรง ย้ายก้นโสงมออกไป พร้อมสบถอย่างเสียสติ อีกทั้งยังหันมาด่า แต่นั่นไม่สะท้านเธออยู่ดี ตอนนี้เธอสนแค่ทางสะดวกแล้ว คริสติน่ากลับขึ้นรถ และพบว่าพวกบ้านั่นยืนทังก้ากางแขนถ่างขาแห้งๆกลางถนน เธอบีบแตรค้างยาวๆถ้าพอทำให้พวกมันหูหนวกได้ก็ยิ่งดี ลดกระจกลง...

        "ลองขวางสิ ฉันจะเหยียบให้ไส้แตก!"

        ด้วยอารมณ์เดือดดาล คริสตี้ไม่รอให้มันอ้าปากด่าต่อ เหยียบคันเร่งและขับฝ่าคนบ้าสองคน มุ่งไปที่งานปาร์ตี้ แต่ผ่านไปไม่นานเธอรู้สึกว่ารถเคลื่อนที่ฝืดแปลกๆ จึงฝืนขับไปเกือบครึ่งทาง ก่อนตัดสินใจลงมาตรวจดูและพบว่ายางล้อข้างขวาถูกปล่อยลม ตอนนี้มันแบนแต๊ดแต๋ ไม่แปลกใจเลยว่าเป็นฝีมือใคร

        เธอกลับเข้าไปนั่ง มือเกาะกุมพวงมาลัยแน่น ก่อนกระแทกสันมือเปรี้ยง ตะโกนลั่นรถ เธอโทษตัวเองที่ไม่คิดเอะใจ ถ้าฟังน้องชายเตือนบ้างคงไม่ถูกพวกเวรตุ๋นจนเปื่อย ทันใดนั้นเธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้ ยัยสองแสบพูดบางอย่างเกี่ยวกับน้องชาย แต่เธอดันออกรถมาเสียก่อน ความคิดหนึ่งกระตุกวูบขึ้นมา

        เควินทำอะไรอยู่? อยู่ไหน? ป่านนี้ก่อเรื่องอะไรไว้อีก? คริสติน่ารีบเปิดโทรศัพท์เช็กข่าวโซเชียล โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวที่งานปาร์ตี้บ้านซิลเวีย เธอไม่ต้องเลื่อนหานานก็เจออยู่หลายคลิป เรียกว่าเกลื่อนว่อนจนมั่นใจว่าจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาสุดกระฉ่อนของวันรุ่งขึ้นอย่างแน่นอน แต่ละคลิปมีลักษณะคล้ายๆกัน ถูกเขียนกำกับไว้ต่างๆนานาเชิงเหน็บแนม ขำขัน เหยียดเชื้อชาติต่อท้ายด้วยอีโมจินับสิบไร้ความหมาย เธอหายใจเข้าลึก แล้วกลั้นใจกดดู...


        ในส่วนของเควิน เวลาล่วงเลยกำหนดนัดเดตของพี่เกือบหนึ่งชั่วโมง และเธอยังไม่ตอบหรือแม้แต่อ่านข้อความที่เขาส่ง เขาจึงบุกถึงถิ่นพวกตัวแสบในงานปาร์ตี้ ไม่ใช่ความคิดที่ดีนักเมื่อรู้ว่าที่ที่เขากำลังย่างกรายไม่มีพวกของตัวเองอยู่เลย แต่เขาต้องรู้ให้ได้ว่าฟลินน์ยังอยู่ที่ปาร์ตี้จริงๆ หรือบางทีอาจทำให้คริสติน่าตาสว่างและเลิกฝันลมๆแล้งๆสักที

        มีพวกมันสามคนยืนเฝ้าหน้าบ้าน หนึ่งในนั้นผมยาวประบ่ายืนสูบบุหรี่ข้างขวาของประตู อีกคนผมดำหยิกนั่งฝั่งซ้ายบนเก้าอี้ผ้าใบถือแก้วน้ำผลไม้พลาสติกสีเขียวทรงกระบอก เป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอกที่ทำให้หลงเชื่อว่ามันปราศจากแอลกอฮอล์ แต่ใครที่ดื่มเข้าไปเกินสามสี่แก้ว เขาคนนั้นอาจมีอาการเมาเบาๆ เช่น เดินเป๋ อ้วกแตก หรืออาจสลบยาวยันหัวค่ำของอีกวัน

        ดังนั้นเขาจึงไม่คิดแตะอาหารหรือเครื่องดื่มใดๆในงาน เควินเดินตรงไปหยุดหน้าประตูที่เปิดกว้างต้อนรับ แต่ฝ่ามือคนเมาที่นั่งอยู่ยื่นเข้ามาขวาง

        "แกไม่ได้รับเชิญ ไสหัวไป" เสียงแหบอย่างคนสติไม่ดีพูดแข็งกร้าวคล้ายหาเรื่อง

        "ฟลินน์อยู่ที่นี่ไหม"

        "ไม่ใช่เรื่องของแก ออกไปได้แล้ว" เขายังยืนอยู่ที่เดิม "เห้ย! เมื่อไหร่จะไสหัวไปวะ เกะกะลูกตา" ไอ้ขี้เมาหัวกระเซิงหันไปยิ้มและหัวเราะเยาะกับเพื่อน เควินกลอกตา ควักเงินในกระเป๋าหนังสีน้ำตาลออกมาสามใบ คนที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ชำเลืองด้วยสีหน้านิ่ง

        "ไอ้เด็กบ้านรวยจะยัดเงินพวกเราว่ะ" ขี้เมาว่า ส่งเสียงหัวเราะหวีดหวิวในคอเหมือนคนใกล้ตาย มองเงินในมือก่อนฉกไป มันมองหน้าอีก เลิกคิ้วข้างหนึ่ง คราวนี้หยิบกระเป๋าตังเขาไปทั้งใบ ควักเงินทั้งหมดออกมานับ กรีดเรียงเป็นพัดแล้วรวบพับเป็นปึกใส่กระเป๋าเสื้อหน้าอกตัวเองแล้วตบๆ ตามด้วยหยิบธนบัตรสามใบแรกยัดใส่กระเป๋าสตางค์และส่งคืน ไม่รู้ว่าควรซาบซึ้งไหม แต่เขาก็รับและเก็บ "เข้าไปได้"


        มันกระแอมก่อนที่เควินจะทันได้ผ่านประตู "เดี๋ยว" หมอนั่นทำหน้าเคร่งขรึม ยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นมาซด แล้วเลิกคิ้วพูด "ในงานไม่มีตะเกียบ" มันยิ้มเห็นฟันเหลือง ก่อนที่พวกมันจะขำก๊ากตามหลัง ยิงมุกเหยียดเชื้อชาติที่หาความตลกไม่ได้

        เควินเดินต่อโดยไม่สนใจ เขารู้ว่าครอบครัวเขามีเชื้อเอเชีย แต่ไม่ได้หมายความว่าเบ้าหน้าแบบนี้ถูกพิมพ์มาจากประเทศจีนทุกคน ถ้าคนพวกนั้นใช้ก้อนเนื้อขดๆอันน้อยนิดที่เรียกว่าสมองที่แบกไปมาอยู่ทุกวันให้เกิดประโยชน์ บางทีอาจพบว่าโลกอันน่าอัศจรรย์นี้ยังมีอีกหลายประเทศไม่ใช่แค่สหรัฐอเมริกาหรือแคนาดา และคนที่เกิดในอเมริกาไม่จำเป็นต้องผิวขาว ใครๆก็เข้ามาที่นี่ได้ และไม่ใช่ว่าคนเชื้อชาติอื่นเข้ามาเหยียบแผ่นดินหรือสูดอากาศที่นี่แล้วจะกลายเป็นหมันเสียหน่อย

        แล้วฟลินน์ก็นั่งอยู่ตรงนั้น บนโซฟากำมะหยี่กับกลุ่มเพื่อนของซิลเวีย มีลูกโป่งอัดแก๊สหลากสีลอยติดเพดานอยู่ทุกที่ บ้างก็ผูกตามขาโต๊ะ มันค่อนข้างยากลำบากที่จะแทรกตัวผ่านคนทั้งโรงเรียนไปหาไอ้หน้าหล่อท้ายห้อง ทั้งที่บ้านซิลเวียออกใหญ่โต แต่พอจัดงานมันกลับดูแคบลงในพริบตาราวกับเดินเบียดอยู่ในผนังถ้ำ

        เสียงเจื้อยแจ้วของคนแข่งกันพูด บ้างก็ตะโกนเอ็ดตะโร ร้องเพลงเสียงเพี้ยนอย่างคนเมา อีกทั้งเพลงยังดังอึกกระทึก เขายอมรับมันน่าเต้นอยู่ ถ้าที่นี่ไม่ใช่บ้านซิลเวียซึ่งเต็มไปด้วยคนบ้า เขาคงไม่เกรงใจ

        ในที่สุดเควินก็บุกป่าฝ่าดงมาถึงโซฟาโดยที่นาฬิกาข้อมือและโทรศัพท์มือถือยังอยู่ ฟลินน์ที่กำลังพูดอยู่กับเพื่อนสาวเงยขึ้นมอง ตอนที่เควินหยิบแก้วแอลกอฮอล์ออกจากมือแล้วยื่นให้ใครสักคนที่เดินผ่าน "ทำไมยังอยู่ที่นี่"

        เขาถาม ฟลินน์ลุกขึ้นยืน เสยผมสีบลอนด์ไปด้านข้าง แล้วผายมือทั้งสอง

        "แล้วทำไมนายถึงอยู่ที่นี่" มันถามกลับ หรี่ตา เว้นวรรคเพื่อคิด "หมายถึงประเทศนี้น่ะ" แล้วยิ้มเยาะ พวกผู้หญิงข้างๆซุบซิบและอมยิ้มตาม

        "เพราะฉันเป็นคนอเมริกัน" ทันทีที่ตอบพวกมันอ้าปากหวอ แล้วขำลั่นแบบไม่เกรงใจ

       "อู้หู! ได้ยินไหม มันบอกว่ามันเป็นคนอเมริกันเหมือนพวกเรา" พวกมันหัวเราะกันยกใหญ่ "ฉันเสียใจที่นายมองไม่เห็นตัวเองในกระจก อาจเป็นเพราะดวงตาบางเฉียบของนายที่มันไม่เหมือนพวกเรา แต่รู้อะไรไหม เรามองเห็นนาย"


        เควินเกือบเดือดเพราะคำพูดโง่เง่าของพวกมัน รู้สึกหงุดหงิดที่ได้แต่ยืนทื่อ มองพวกนั่นเหยียดหยาม ก่อนนึกหาคำโต้ตอบ ขณะเดียวกันเขาสังเกตเห็นใครบางคนที่หางตากำลังถ่ายคลิปวิดีโอ

        "แต่ฉันไม่มั่นใจว่าพวกนายมีสมองหรือเปล่าน่ะสิ" เควินพูด "ถึงได้หัวโบราณล้าสมัย ไม่ยอมอัพเดตกันราวกับติดอยู่ในกะลา อ๋อสงสัยเมมคงเต็ม ง่ายๆนะ สิ่งที่นายต้องทำก็แค่ลบเรื่องไร้สาระออกไปบ้าง"

        ไอ้หัวทองขบกรามกรอด แววตาลุกเป็นไฟ เขาใส่ต่อ "น่าแปลกนะที่พวกนายทุกคนดูถูกฉัน ดูถูกพี่สาวฉัน แต่ไม่มีใครทำคะแนนได้ดีเท่าเลย แล้วชอบอ้างว่าเพราะเป็นคนเอเชียเลยเรียนเก่ง แต่รู้อะไรไหม มันเป็นข้ออ้างสำหรับพวกขี้แพ้สันหลังยาว แต่นายก็ยังกล้าขอให้เธอติวสอบให้อีกนี่ โอโห…" เควินส่ายศีรษะ "นอกจากหน้าด้านหน้าทนแล้ว ยอมรับมาเถอะฟลินน์ว่าตัวเองโง่"

        ฟลินน์ดึงแก้วจากมือผู้หญิงข้างๆ สาดเครื่องดื่มใสหน้า ทำเควินเปียกไปถึงคอ กลิ่นแอลกอฮอล์ผสมเชอร์รี่หึ่งและรสชาติแหวะๆเข้าปาก แต่เขายังสามารถยิ้มในหน้าจางๆอย่างท้าทายได้

        "เครื่องดื่มราคาถูก ฉันไม่ดื่มของพวกนี้หรอก" เปลวไฟลุกโชนเบื้องหลังดวงตาสีฟ้ายังไม่มอดลง และเขารู้สึกเป็นผู้ชนะ เควินหันหลังกลับ ออกจากมุมสุมหัวของพวกกะโหลกกะลาซึ่งกำลังหน้าชาที่ถูกตบด้วยข้อเท็จจริง

        "ดี! กลับไปซุกอกพี่สาวแสนซนของแก แล้วบอกฉันด้วยนะว่านุ่มเหมือนที่ฉันเคยจับหรือเปล่า พอดีตอนนั้นฉันอยากลองของแปลก แต่สรุปว่าฉันชอบแบบเดิมมากกว่า ยกคืนให้เลย"

        เควินหยุดชะงัก ไอร้อนผ่าวค่อยๆแผ่ไปทั่วทั้งคอและใบหู มันได้โอกาสพูดต่อ "เหตุผลเดียวที่แกหวงเธอนักหนา ไม่ใช่เพราะเธอเป็นพี่สาวแกหรอก มันมีอะไรสกปรกกว่านั้น เพราะแกอยากอึ้บ-" เควินเขวี้ยงหมัด จู่โจมแบบไม่ทันได้พูดจบ ฟลินน์ล้มขมำกลิ้งกับพื้น ทั้งสองฟัดกันชุลมุน คนอื่นๆยืนมุงล้อมเป็นวงกลม เว้นพื้นที่ตรงกลางราวกับเวทีการแสดงสด มีเสียงเฮ เสียงเชียร์ดังเป็นช่วงๆ ส่วนมากเป็นช่วงที่เขาโดนยำ

        เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจักรวาลถึงเข้าข้างพวกมันนัก หรือพระเจ้ากำลังสอนอะไรเขากันแน่ เขาถึงได้แพ้เสมอ พวกมันพยายามทำให้ตัวเองดูสูงส่งกว่า ดูดีกว่าด้วยวิธีสกปรก จนสุดท้ายเควินต้องยอมรับความจริงอย่างพะอืดพะอมว่าถึงสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง แต่ถ้า ที่นี่ไม่ใช่ถิ่นของเขา และฟังไม่เข้าหู พวกมันจะหาวิธีกลบเกลื่อนได้อยู่ดี


        ไม่มีรถประจำทางผ่านเส้นทางนี้เลย คริสติน่าตัดสินใจทิ้งรถและวิ่ง ภาพสุดท้ายที่เธอเห็นคือเควินดิ้นขณะที่ถูกหามแทรกผู้คนออกไป แต่ไม่รู้ว่าไปไหน มีหลายสายที่ไม่ได้รับทั้งจากเควินและเพื่อนที่ได้เห็นคลิป อาจเป็นตอนที่เธอขับรถแล้วไม่ทันรับ

        คริสตี้โทรกลับแต่เขาไม่รับสาย เธอจึงโทรเรียกแกร็บคาร์(Grab car)และกว่าจะถึงปาร์ตี้ก็แทบประสาทเสีย สิ่งที่ผุดเข้ามาในหัวมีแค่สองความคิดเท่านั้นคือ จัดการไอ้พวกเวรทุกตัว และเควินเป็นอย่างไรบ้าง

        แกร็บคาร์ชะลอความเร็ว และจอดมองบ้านผู้โชคร้ายหลังหนึ่งซึ่งกำลังถูกไฟคลอกไปเกือบทั้งหลัง มีแสงวูบวาบและควันจำนวนมากโพยพุ่ง เสียงไม้ลั่นและเพลิงปะทุฟังน่ากลัว และยังมีเสียงแผดแหลมจากไซเรนรถดับเพลิงและรถพยาบาลดังระงม

        แต่เธอไม่สนว่าบ้านเป็นของใคร ตราบใดที่เควินอาจถูกพวกเพื่อนกลั่นแกล้งอยู่

        "ไปต่อเถอะค่ะ ฉันรีบ" เธอว่าแต่คนขับยู่คิ้วชนกันแล้วหันมาพูดว่า

       "ก็ถึงแล้วนี่ครับ" เขาเหล่มองจีพีเอสบนหน้าจอเล็กๆ ทีแรกเธอเข้าใจว่าแกร็บมาส่งผิดที่ จนต้องถามเขาอีกครั้ง แต่จีพีเอสไม่ได้มั่ว จนกระทั่งเธอเริ่มสังเกตเห็นพวกเพื่อนซิเวียและฟลินน์ พวกเขายืนอยู่รอบนอกของบ้าน บ้างก็นั่งหมดสภาพบนพื้นถนน

        ทั้งร่างรู้สึกเบาหวิว ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังอ้าปากค้าง เธอจ้องมองเปลวเพลิงลุกโชติช่วงอยู่ตรงหน้า เธออยากให้ตัวเองตาฝาด หรือให้สิ่งที่เห็นเป็นเรื่องเข้าใจผิด แต่ไม่ช้าคริสติน่าก็ตระหนักว่าสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นแล้ว มันเป็นบ้านซิลเวียจริงๆ


        เธอพยายามข่มใจนิ่งไม่ให้สติแตก เดินถามหาเควิน โควาร์ดกับพวกเจ้าหน้าที่ แต่ไม่มีใครเห็น กระทั่งเธอเห็นฟลินน์ตัวแสบนั่งกอดเข่าบนทางเท้า

        "แก!" เธอตรงแน่วเข้าไป จังหวะที่มันเงยหน้าเธอคว้าปกเสื้อกระชาก "เควินอยู่ไหน ไอ้เวร"

        "ฉันเสียใจ" ฟลินน์ตอบ ใบหน้าเปรอะเขม่าควัน เธอกระชากแรงขึ้นอีก

        "อยู่ไหน!!" เธอตะคอก "ตอบสิวะ เควินอยู่ไหน!?"

        "ข้างใน…" เธอไม่เชื่อหู

        "ในไหน ข้างในไหนตอบให้มันเร็วๆหน่อย!"

        สายเรียกเข้าขัดจังหวะเธอกับฟลินน์พอดี คริสตี้หยิบโทรศัพท์ที่สั่นครืดอยู่ในกระเป๋าสะพาย ปล่อยคอเสื้อเขาเพื่อรับสาย ปรากฏว่าเป็นสายจากเควิน เธอถอนหายใจเฮือกโต

        "เควิน? แกอยู่ไหนเป็นอะไรหรือเปล่า? ทำไมไม่รับสาย รู้ไหมฉันแทบบ้า นึกว่าแกเป็นอะไรตายไปแล้ว"

        "ตอนนี้ยังหรอก แต่อนาคตก็ไม่แน่" เควินพูดด้วยเสียงแห้งผากและอิดโรย แต่อุส่าห์หัวเราะเอื่อยๆ

        "หมายความว่าไง แกอยู่ไหน?"

        "เอ่อ ยังอยู่ในบ้าน...ผมติดแหง็กอยู่ในห้องเล็กๆ ห้องที่มีไม้ถูพื้นกับราวตากผ้า พวกมันเอาอะไรขวางประตูไว้เลยออกไม่ได้"

        "ฉิบหาย"

        "แต่ผมไม่เป็นไร ยังมีอากาศเหลืออยู่เพียบ" เธอลดมือถือลงไม่ฟังที่เควินพูด และปรี่เข้าหาเจ้าหน้าที่

        "ยังมีคนติดอยู่ในบ้าน!" เขาพยักหน้าราวกับรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว เธอวิ่งหน้าตั้งหานักผจญเพลิงและตะโกนลั่น ขอความช่วยเหลือ ด้วยสาเหตุบางอย่างไม่มีใครบุกเข้าไปในบ้าน พวกใจดำเอาแต่ฉีดน้ำใส่เข้าหน้าต่าง ต่อกรกับกองเพลิงขนาดมหึมาที่รู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางชนะในชั่วโมงเดียว


        "น้องฉันติดอยู่ในห้องเก็บของ ช่วยเขาออกมาทีได้โปรด คุณต้องช่วยเขา เร็วเข้าสิ! ทำไมพวกคุณถึงไม่เข้าไป เขายังมีชีวิตอยู่นะ!"

        เธอตัวสั่นงนงก น้ำตาเอ่อ ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพูดเสียงกระเส่า มองเพลิงแดงฉานลุกลามทั่วบ้านแบบไม่มีท่าทีมอด เสียงปะทุแต่ละครั้งบีบหัวใจเธอ "ห-ห้องนั้นอยู่ตรงไหน? บอกพี่เร็ว"

        "พี่จะทำอะไร? ไม่เอาน่าอย่าร้อง ผมไม่เป็นอะไรหรอก จริงๆนะ" เควินพูดปลอบใจ "ห้องนี้มันชื้น ผมทำให้มันชื้นเองแหละ พี่ไม่อยากฟังหรอกว่าผมทำได้ไง"

        "เลี้ยวซ้าย หรือเลี้ยวขวา บอกฉันว่าแกอยู่ตรงไหน" ยิ่งเธอเห็นความพินาศที่เพิ่มขึ้นยิ่งทำเธอขวัญเสีย คริสตี้กัดฟัน สูดหายใจช้าๆ พยายามเบิกตากว้างและกลั้นน้ำตา "ขอร้องเควินช่วยฉันสักครั้งนะ เร็วเข้า มันจะไม่ทันแล้ว"

        "มันสายไปแล้วคริสติน่า อย่าพยายามเลย ตรงนี้ผมโอเค มันก็แค่...ร้อนนิดหน่อย แล้วก็หายใจลำบาก แต่เดี๋ยวพวกเขาก็ช่วยผมออกไปได้ และสัญญาว่าจะกวนพี่ทั้งเดือนเลยถ้าได้ออกไป" น้ำตารั้นหยดออกมาจนได้ เธอหลับตาแน่น กัดกราม กุมหน้าด้วยมือข้างซ้าย เควินไม่ได้ยินเธอพูดอะไรต่อ นอกจากเสียงผ่อนลมหายใจกระเส่า และสูดน้ำมูก "แต่ระหว่างนี้ผมอยากคุยกับพี่ไปเรื่อยๆ...."

        "แต่ฉันอยากให้แกเงียบ หุบปากเควิน แกกำลังฆ่าตัวตาย ยิ่งแกพูดอากาศจะยิ่งหมด"


        จู่ๆเกิดเสียงอึกกระทึกน่าพรั่นพรึง ตามด้วยบางส่วนของบ้านทางขวาถล่มพังครืนลงมา พร้อมเปลวไฟกระหน่ำรุนแรงกว่าเก่า มันพุ่งขึ้นเหนือหลังคา

        "เควิน!" เธอร้องลั่นด้วยความตกใจ "เควิน?"

        "ผมยังอยู่"

        "ให้ตายสิ!" เธอผลักเจ้าที่คนหนึ่งที่อยู่ใกล้สุด "พวกคุณเป็นบ้ารึไง คุณจะปล่อยให้น้องฉันตายหรือไง เป็นอะไรกันไปหมดวะ ทำไมไม่เข้าไปช่วย นี่คุณกำลังฆ่าเด็กคนหนึ่งนะ"

        เธอจ้องหน้าทีละคน แต่ละคนแทบไม่สนใจเธอเลยด้วยซ้ำ "พวกคุณยังเป็นคนกันอยู่ไหม!? ความรู้สึกน่ะมีหรือเปล่า คนดีๆกำลังจะตายอยู่ในนั้น แล้วพวกคุณเอาแต่ยืนใจเย็น พวกคุณคิดว่าตัวเองมีค่ามากเลยงั้นสิ แต่ฉันไม่เห็นอะไรในตัวพวกคุณเลย คนที่ควรอยู่ในนั้นควรเป็นคุณ ไม่ใช่เขา ไม่ใช่เขาได้ยินไหม!?!"

        "พี่คริสติน่าหยุด" เขาพูดผ่านโทรศัพท์ "ได้โปรดพอเถอะ"

        "ฉันต้องช่วยแกออกมา จะให้หยุดได้ยังไง พวกนั้นมันไม่ใช่คน" เธอหันไปจ้องนักดับเพลิงเขม็ง ก่อนยื้อแย่งสายดับเพลิง แต่ถูกใครอีกคนดึงลากกลับออกมา เธอกรีดร้อง "ปล่อย! พวกแกจะฆ่าน้องฉัน พวกเลว!"

        "พี่คริสหยุดตะคอกสักที! หยุดตะโกน หยุดพยายาม หยุดสักทีจะได้ไหม" เขาพูดผ่านโทรศัพท์

        เธอหยุด ทิ้งตัวบนถนนอย่างหมดอาลัยตายอยากไม่ต่างจากคนอื่นๆ เธอทั้งโกรธทั้งหมดหวังปะปนจนแยกไม่ออก เปลวเพลิงอันดุร้ายกลายเป็นเส้นแตกแขลงโง่ๆเมื่อมองผ่านม่านน้ำตา สายตาเธอยังจับจ้องบ้านที่มีแต่ไฟทุกหนแห่ง กัดกินทุกสิ่งอย่างตะกละตะกาม

        "เควิน…" ความเงียบก่อตัวขึ้น ทำให้เธอได้ยินเสียงสะอื้นจากอีกฝั่ง เขากำลังร้องไห้ ก่อนที่เขาจะพูดเสียงแผ่วเบาที่คั้นออกมาอย่างยากลำบาก

        "พี่ทำผมใจสลาย"

        คริสติน่ากลั้นหายใจ ซุกหน้ากับเข่า ตัวเกร็ง ทำได้แค่กรีดร้องอยู่ข้างในลึกๆ ทำอะไรไม่ได้เลย ไม่ได้สักอย่าง นอกจากปล่อยให้เขาอยู่ในนั้น รอความตายอย่างช้าๆ เพียงลำพัง


        "ฉันไม่ตะโกนแล้ว แกหยุดร้องไห้เถอะเควิน" เธอเงยหน้ามองฟ้ายามค่ำคืน ปล่อยให้น้ำตาไหลพรากอาบแก้ม บนฟ้าไม่มีดวงจันทร์ มีแต่ดวงดาวกระจัดกระจาย ทอแสงระยิบเต็มผืนฟ้า

        พวกมันอยู่ตรงนั้นเสมอมา เฝ้ามองเรายามสุขยามทุกข์ตั้งแต่เด็กจนโต พวกมันช่างเย็นชาเหลือเกิน ไร้ความรู้สึกรู้สม ไม่เคยเห็นใจใคร เย็นเยือกเกินไป เธอหายใจออกยาว "แกควรได้เห็นท้องฟ้าคืนนี้นะเควิน"

        "บอกให้ผมฟังได้ไหม...'"

        "พวกมันเหมือนคืนที่เราไปแคมป์หน้าหนาว จำสามเหลี่ยมฤดูหนาวได้ไหม มันชัดมาก"

        "แล้วกลุ่มดาวนายพรานล่ะ" เควินชอบมันเป็นพิเศษเพราะเป็นกลุ่มดาวแรกที่เขามองออก "เล่าให้ฟังหน่อย"

        "คืนนี้เนบิวลาโอไรออนใต้เข็มขัดสามดวงเห็นได้ด้วยตาเปล่า ส่วนหัวไหล่นายพรานส่องสว่างเป็นสีส้มแดง ชื่อบีเทลจุส ขานายพรานส่องแสงสีน้ำเงินสุกสกาว ชื่อไรเจล"

        "พี่เปิดกล้องทีสิ" เขาไอแค่ก เธอทำตามที่เขาขอ ทั้งสองยิ้มให้กันยกใหญ่ และเกือบลืมถ่ายท้องฟ้าให้เขาดู แต่ในกล้องแทบมองไม่เห็นดาวสักดวง "ไม่เอาละ ผมอยากเห็นหน้าพี่มากกว่า แล้วพี่ว่าดวงไหนจะระเบิดก่อนกัน?"

        "ต้องบีเทลจุสอยู่แล้ว"

        "แต่ไรเจลใหญ่กว่านะ" เขาแย้ง เธอจับสังเกตว่าเขาหยุดสะอื้นแล้ว "ไรเจลอาจระเบิดก่อนก็ได้"

        "แต่สีแดงของดาวฤกษ์บ่งบอกว่าอายุมากกว่านะ"

        "ฮ่า ผมแกล้งลืมหรอก อันที่จริงผมจำได้ทุกอย่าง"

        "ขี้โม้ชะมัด ไหนพูดมาสิจำอะไรได้บ้าง" เธอแกล้งถาม เขากระแอมไอ สำลักควันแต่ยังพูดต่อได้

        "ผมรู้ว่าพวกมันอาจระเบิดไปแล้ว แล้วเราก็กำลังมองอดีตอยู่" จู่ๆเควินก็เหม่อคิดบางอย่าง ถอนหายใจ "ขนาดดาวยังดับได้ นับประสาอะไรกับมนุษย์ตัวเล็กๆอย่างผม"


        "หยุดเลย ฉันไม่อยากคุยปรัชญาตอนนี้"

        เขาเงียบอีกครู่สั้นๆ หายใจถี่ และรู้สึกว่าเหงื่อซึมบนหลังต้นคอ สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิภายในห้องเก็บของที่ร้อนขึ้น อากาศเหลือน้องลงเรื่อยๆ

        "ผมกลัว" เขาพยายามพูด "กลัวไม่ได้เห็นโลกนี้อีก"

        "เควิน" บรรยากาศกลับมาหดหู่ดังเดิมอย่างรวดเร็ว

        "ผมกลัวไม่ได้เจอพี่ ไหนจะไม่ได้ดูหนัง ไม่ได้ฟังอัลบัมใหม่ของบิลลี่ ผมยังไม่ได้ทำอะไรที่อยากทำอีกตั้งหลายอย่างกับพี่ ผมกลัวจะไม่มีวันนั้นอีก"

        "พี่ก็กลัว" เธอปาดน้ำตาแล้วยิ้ม "แกไม่ได้กลัวลำพังหรอกเควิน ฉันก็กลัว ทุกคนกลัวความตาย มันเป็นจุดที่ทุกคนต้องเจอ และต้องผ่านมันไปให้ได้"

        "พี่เชื่อเรื่องโลกหลังความตายไหม?"

        "ไม่รู้สิ เชื่อมั้ง?" เธอหัวเราะเปลี้ยๆ "ถามทำไม?"

        "เพราะถ้ามีจริง ผมจะกลายเป็นผีอยู่กับพี่จนกว่าพี่จะแก่หงำเหงือก ผมจะรอวันที่พี่แช่ฟันปลอมในแก้วน้ำ แล้วกลับไปใส่แพมเพิร์ต ตอนนั้นพี่อาจเผลออึใส่แพมเพิร์ตแล้วนั่งทับก็ได้"

        "น่าเกลียดที่สุดเควิน" เขาสำลักควันอีก และก้มลงไปไอนานกว่าเดิม ก่อนกลับขึ้นมาหยีตามองจอ

        "แสบตาแสบคอไปหมด เพราะพวกไร้สมองพวกนั้นจริงๆ ก่อนหน้าตอนที่ไฟยังไม่ไหม้ ผมได้ยินเสียงพวกนั้นร้องเพลงวันเกิด เซอร์ไพรส์ใครสักคน แต่พอร้องจบท่อนเท่านั้นแหละ ก็ตูม! ระเบิดตูมตาม กรี๊ดกันยกใหญ่ ให้ผมเดานะ เป็นเพราะลูกโป่งแก๊ส แล้วถ้าพวกนั้นจุดเทียนบนเค้กพร้อมกับฉีดสเปรย์ปาร์ตี้ด้วยน่ะนะ เจ้าของวันเกิดน่าจะเกรียม"

        "ฉันก็ว่าอย่างนั้น" เควินปิดจมูกตัวเอง

        "แต่อีกไม่นานคงถึงตาผม" เขาหมอบฟุบลงนอนราบกับพื้น "วิดีโอถึงพ่อแม่กับพี่อยู่ในเครื่อง ผมว่า..ผมเวียนหัว และ…" เขาหายใจช้าลงแต่ดูลำบาก คิ้วขมวดย่น "ผมอยากนอน แค่หายใจ...ก็เหนื่อยจะแย่"


        เสียงเจ้าหน้าที่ตะโกนอะไรสักอย่าง มีความวุ่นวายเกิดขึ้น เธอสังเกตว่าคนในชุดสีส้มคนหนึ่งบุกเข้าในบ้านและไฟมอดลงจากเดิมมาก

        "เควิน อดทนอีกหน่อย พวกเขากำลังเข้าไปช่วย พวกเขากำลังเข้าไป แข็งใจหน่อย อย่าเพิ่งหลับ"

        "แค่พักสายตาเฉยๆหรอกน่า" เขาหลับตา น้ำตาปริ่มและแฉะขนตา "อย่างน้อย...ถ้าไม่มีออกซิเจน ไฟอาจไม่เข้ามาในนี้ก็ได้ คิดในแง่ดี" เขาขมวดคิ้วจนหน้ายับยู่ พยายามหายใจ ก่อนเรียกชื่อเธออีก "พี่คริสติน่า"

        "ว่าไง"

        "รักพี่นะ"

        "ฉันรู้ๆ ฉันก็รักแก" เควินยิ้มเล็กๆ แต่ไม่ตอบ "เควิน?" เธอเรียก เขายังคงแน่นิ่ง เอาแต่นอนหลับตาเงียบไปเสียดื้อๆ "เควินตื่นก่อน เควิน..."

        เจ้าหน้าที่หายเข้าไปกว่าสิบนาที หน้าต่างห้องฝั่งซ้ายมีบางอย่างพังร่วงลงมาจากเพดานอีก บ้านทั้งหลังแทบเหลือแต่โครงกรอบและบอบบาง ส่วนซิลเวียนั่งหน้าซีด ช็อกที่เสียบ้านทั้งหลังในคืนเดียว แต่คริสติน่ากลับรู้สึกยุติธรรม และรู้ดีว่ามันสมควรแล้ว

        ความหวังมาเยือนอีกครั้ง เมื่อเหล่าเจ้าหน้าที่ปรากฏตัวที่หน้าบ้านพร้อมหามร่างเด็กชายออกมา เธอเข้าไปประกบติดขึ้นรถพยาบาล เฝ้ามองเขาที่หมดสติ บนจมูกน้อยๆของเขามีหน้ากากออกซิเจนครอบไว้ ผมสีดำติดเขม่าเทาฝืด เธอลูบเส้นผมเล็กละเอียดอย่างเบามือ

        ขณะเดียวกันไซเรนร้องลั่น รถขับด้วยความเร็วขนาดที่เกิดความคิดว่าอาจได้ตายจริงๆ มือข้างหนึ่งเกาะที่นั่งไม่ให้ลื่นไปทับคนข้างๆ อีกมือหนึ่งบีบมือเควินแน่น คอยกระซิบเรียกให้เขาอยู่กับเธอ ส่วนเขาไม่เกรงกลัวสิ่งใดทั้งสิ้น ยังคงหลับตา หายใจแผ่วอย่างต่อเนื่อง อยู่ในความสงบเงียบที่ไม่ใช่ตัวเอง

        น่าแปลกที่ตอนนี้เธอดันคิดถึงเสียงพร่ำเพ้อที่สุดแสนน่ารำคาญ จนอยากให้เขาตื่นขึ้นมาโวยวายเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย และเธอคงจะดีใจไม่น้อย แต่ความจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น

        จนกระทั่งทุกวันนี้ เขายังคงมีชีวิตอยู่ เพียงแต่ว่า เขาไม่เคยตื่นขึ้นมาอีกเลย...


    "Boy I hear you in my dreams"

    (หนุ่มน้อยฉันได้ยินเธอในความฝัน)



    "I feel your whisper across the sea"

    (ฉันได้ยินเสียงกระซิบผ่านทะเล)



    "I keep you with me in my heart"

    (ฉันเก็บเธอไว้กับตัวฉัน ในหัวใจของฉัน)



    "You make it easier when life gets hard"

    (เธอทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นเมื่อชีวิตยากลำบาก)



        "แกผิดสัญญา แกไม่ตื่นขึ้นมากวนฉันทั้งเดือนเหมือนที่บอก แกไม่แม้แต่ตื่นมาพูดกับฉัน นี่แกเกลียดฉันขนาดนี้เลยหรือเควิน เลิกนอนอมยิ้มงี่เง่าแล้วตื่นสักทีจะได้ไหม...ฉันขอโทษ ฉันผิดไปแล้ว"

        เธอกอดเขา เควินเป็นคนเดียวที่เธอสามารถร้องไห้ออกมาจากหัวใจจริง เธอบินไปเยี่ยมเขาทุกเดือน บางครั้งทุกสองอาทิตย์ คอยเล่าเรื่องสับเพเหระ ร้องเพลง อ่านหนังสือ เปิดหนังให้ดู ใช่ ดูทั้งหลับๆนั่นแหละ เธอรู้ดีว่าน้อยคนที่รอดจากโรคเจ้าชายนิทราเกินหนึ่งปี ซึ่งเป็นอาการแทรกซ้อนของโรคสมองขาดออกซิเจน แต่ตอนนี้เขาก็อยู่เกินหนึ่งปีแล้ว...


    ณ ปัจจุบัน


        คริสติน่าเลี้ยวรถเข้าจอดในบ้าน เสียงอึกกระทึกจากประตูโรงจอดเลื่อนลงปิดดังตามหลัง แสงไฟหน้ารถฉายบนกำแพงเป็นวงกลมสองดวง ก่อนดับลงพร้อมกับความเงียบที่เข้าแทนที่

        ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติ เธอขึ้นห้องนอน ถอดเสื้อผ้า เข้าไปอาบน้ำ ล้างมาสคาร่าดำๆออกจนเกลี้ยง และออกมาห่อผ้าเช็ดตัวพร้อมตกตะลึงกับสิ่งที่อยู่เบื้องหลังเธอ สะท้อนบนกระจก มีตัวอักษรสีแดงเขียนบนบานประตูห้องน้ำสีขาวแต่กลับด้าน

        คริสติน่าหันกลับไปอ่าน

        

    'ฉันสามารถฆ่าเธอไปแล้วสองครั้ง ครั้งแรกบนรถ ครั้งที่สองในห้องน้ำ แต่โอลิเวียคงไม่ชอบ…


    ปล.ลองดีครั้งต่อไป เธออาจได้ร้องไห้สมใจ แบบไม่ต้องเสแสร้ง เธออาจจะไม่ชอบมันเท่าไหร่ แต่ฉันชอบ


    ปล.2 เธอเริ่มก่อนเอง'



        คริสติน่าเอาลืมลูบรอยลิปสติกบนประตู พลอยทำให้เลอะติดฝ่ามือและถูเป็นทางยาว เธอตบประตูตึงตัง พยายามถูออกอย่างบ้าคลั่ง หอบด้วยความโกรธและกลัว ก่อนแบมือออก จึงเห็นเป็นปื้นสีแดงบนมือเหมือนเลือดเต็มไปหมด หนำซ้ำยังติดเข้าในซอกเล็บ แต่แล้วเธอกำมือเอาไว้แน่น

        "ฉันไม่กลัวแกหรอก แบรนดอน"



    จบตอนที่ 12 : เควิน โควาร์ด


    //ไรต์ยังไม่ตาย....//

    ขอบคุณที่ยังติดตาม ฮืออ...สงสารคนรอจับใจ ครั้งหน้าเรื่องหน้าจะพยายามเขียนให้จบก่อนแล้วค่อยทยอยลง...อย่าโกรธไรต์นะ//คอมเมนต์ได้นะเหงา555สังเกตได้ว่าไรต์ชอบบ่นตอนท้ายแทบทุกตอนของทุกเรื่องด้วย//


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×