ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Psychopath : Creepy The Clown.

    ลำดับตอนที่ #11 : ตอนที่ 11 : The message.

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 150
      19
      19 ก.ย. 62

    ตอนที่ 11 : ข้อความฝากถึง.




    วันสุดท้ายของการถูกทำโทษ



        ทุกอย่างในบ้านดูไร้ชีวิตชีวา กาลเวลาเหมือนหยุดนิ่ง และเชื่องช้ากว่าปกติ เขาจ้องมองตัวเลขโรมันเรียบๆบนนาฬิกาแขวนผนัง เพื่อดูว่ามันยังใช้งานได้ปกติ ไม่ได้เสีย ซึ่งเข็มวินาทียังเดินผ่านอย่างต่อเนื่องไม่มีสะดุด บอกเวลาจวนบ่ายสามโมงอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เธอควรมาถึงบ้านตอนบ่ายสามยี่สิบนาที แบรนดอนละสายตาจากมัน และกลับมาสนใจอุปกรณ์ครัวตรงหน้า จัดเตรียมอาหารมื้อเย็น โรยผงสมุนไพรลงในหม้อตุ๋น ปรุงรสไก่ด้วยความพิถีพิถัน

        เพียงแค่นึกภาพเด็กสาวอันเป็นที่รักพอใจกับรสชาติอาหาร เขาก็อมยิ้มออกมา แทบอดใจรอให้เธอกลับมาจากซ้อมดนตรีไม่ไหว เขาคงไม่มีวันเห็นด้วยกับการตัดสินใจรับงานแสดงของเธอแน่ถ้าหากตัวเองไม่ได้กระทำผิดต่อเธอไว้ แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขาแก้ไขอดีตไม่ได้


        เสียงฝนสาดปะทะบานหน้าต่าง ขัดจังหวะการเฝ้าหม้อไก่ตุ๋นสมุนไพรที่กำลังส่งกลิ่นหอมฉุย แบรนดอนละสายตาจากน่องไก่ใต้ฝาแก้ว เดินฉับๆไปปิดบานหน้าต่างในห้องนั่งเล่น ขึ้นบันไดและปิดหน้าต่างห้องนอน ก่อนหยุดยืน มองออกไปชั้นล่าง เมื่อมีรถสีขาวคันหนึ่งขับชะลอและจอดตรงหน้าบ้าน เขาจำรถคันนี้ได้ดี เป็นรถของคริสติน่า หรือบางทีหล่อนอาจมาส่งโอลิเวีย

        แบรนดอนลงมาเพื่อเปิดประตู ยุติเสียงเคาะ สาวมั่นคริสตี้ยืนตัวเปียกเล็กน้อย ใบหน้ามีแว่นกันแดดปกปิดสายตา เขาชะเง้อหาโอลิเวียในรถสีขาว แต่กลับไม่มีแม้แต่เงา

        “โอลิเวียล่ะ?” เขาถาม

        “บังเอิญจัง ฉันอยากถามคำถามนี้กับนายอยู่พอดี” หล่อนมาคนเดียว และมันไม่ใช่เรื่องดีแน่ แบรนดอนกลับมาสนใจคนตรงหน้า มองหัวจรดเท้า สังเกตว่าในมือหิ้วถุงพลาสติกจากร้านเบเกอร์รี่ที่มีกล่องเค้กทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสอยู่ในถุง

        “ต้องการอะไร” เขาถาม เหยียดมือค้ำกรอบประตู กันไม่ให้หล่อนเข้าในบ้าน

        “ฉันอยากเจอนายนั่นแหละ คือ ฉันอยากขอโทษเรื่องยาเฮงซวยนั่น” คริสตี้กล่าว กัดริมฝีปากล่าง น้ำเสียงสำนึกเล็กน้อย แต่ยังคงไม่อ่อนโยนซึ่งเป็นปกติของหล่อน “นายคงรู้ว่าฉันทำไปเพราะอะไร ฉันไม่รู้จักนาย ไม่รู้จักครอบครัวนาย ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับนายเลยนอกจากชื่อกับนามสกุล ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข่าวลือเรื่อง...หลายๆเรื่อง ซึ่งส่วนมากในทางลบ มันจริงหรือไม่จริง คือฉันเป็นห่วงโอลิเวีย”

         ก่อนดึงแว่นกันแดดออกมา เผยให้เห็นขอบตาเปื้อนมาสคาร่าสีดำละลายเหมือนคนเพิ่งร้องไห้ ก่อนเหน็บขาแว่นกับเสื้อนักเรียน “แต่นายไม่เคยทำให้เธอเสียใจ โอลิเวียพูดแต่เรื่องดีๆ คอยแก้ต่างให้นายตลอด เธอเชื่อมั่นในตัวนายมากนะ และฉันก็หวังว่านายจะไม่ทำให้เธอผิดหวัง แล้วฉันมาคิดดูแล้ว...บางทีฉันควรถอยออกมา”

        “โอเค” เขาตอบ สายตานิ่งสนิทจนไม่รู้ว่าเชื่อที่พูดหรือเปล่า และไม่ได้พูดอะไรต่อ คริสตี้พยายามอีกเพื่อให้ได้เข้าไปข้างใน
        “เอ่อ ฉันส่งข้อความหาโอลิเวียแล้ว แต่เธอไม่อ่าน ฉันเลยจะมาพูดให้รู้เรื่อง นานไหมกว่าเธอจะกลับมา”

        “มาวันอื่นเถอะ ฉันกำลังยุ่ง” เขาเบนสายตาหนี เอียงเท้าข้างหนึ่งกลับเข้าในบ้าน แต่ประตูติดกึกตอนที่เธอยันด้วยมือข้างหนึ่ง

        “ขอร้องล่ะ” เป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายว่าจะได้ยินจากปากหล่อน “ฉันรู้ว่าเธอจะกลับมา และคงดูไม่ดีเท่าไหร่ ถ้าเธอเห็นว่านายปล่อยให้ฉันยืนตากละอองฝนอยู่ข้างนอก...ทีนี้ให้ฉันเข้าไปได้หรือยัง” เขาพ่นลม ถอยหนึ่งก้าว หันหน้าเข้าในบ้าน แล้วปล่อยมือจากกรอบประตู ยอมให้คริสตี้เดินเข้าไป ดึงประตูปิดตามหลัง

        เธอเดินแน่วผ่านทางเดินไปในครัว คล่องแคล่วประหนึ่งเป็นบ้านตัวเอง หยิบจานชาม นำเค้กออกจากกล่อง และยกมาวางบนโต๊ะทานข้าว เสร็จแล้วนั่งก้มหน้าก้มตาจดจ่ออยู่กับหน้าจอโทรศัพท์มือถือ รอให้โอลิเวียมาถึง
        “นายอยู่ที่นี่คนเดียวเหรอ?” เธอถาม “พ่อแม่นายไปไหน” แบรนดอนยังคงยืนเฝ้าน่องไก่ตุ๋น ตอบโดยไม่ละตาจากหม้อ
        “แยกกันอยู่” หันมองหล่อนแวบหนึ่ง ให้มั่นใจว่าหล่อนไม่มีโอกาสป่วนหรือก่อเรื่อง หรือหายตัวไปค้นข้าวของส่วนตัว “ต่างประเทศ ทั้งคู่” คริสตี้ล้วงมือในชามเซรามิกสีขาวที่เต็มไปด้วยห่อลูกอมเคี้ยวหนึบ เธอหยิบสองชิ้นและเริ่มแกะ ใส่ปากเคี้ยว
        “ได้ติดต่อกันบ่อยไหม?” เธอยิงคำถามอีก เขายืนหันหลังให้ มือสองข้างเท้าเคาเตอร์ แขนเหยียดตึงและไม่หันมามองเธอ  สัมผัสได้ว่าแบรนดอนไม่ค่อยชอบให้ใครจุ้นเรื่องส่วนตัว “นี่อย่าว่ากันเลยนะ ฉันจำเป็นต้องรู้จักนาย ถ้าโอลิเวียคบกับนายต่อ”
        “ไม่บ่อย” เขาชำเลืองนาฬิกาบนผนัง เพิ่งผ่านไปแค่สิบสามนาที และเริ่มรำคาญหล่อนมากขึ้นทุกวินาที
        “พวกเขากลับมาเยี่ยมบ้างไหม แบบทุกวันคริสต์มาส หรือปีใหม่ ครอบครัวต้องกลับมาหากันบ้างสิจริงไหม?...” เขาวางกระแทกทัพพีไม้บนเคาเตอร์ หันขวับ กลับมาจ้องคริสตี้ด้วยสายตาฉุนเฉียวอย่างเห็นได้ชัด หรือเธอพูดบางอย่างไม่เข้าหู
        “ไม่ พวกเขาไม่กลับมา ไม่เคยกลับมาเลยสักครั้ง เธอหยุดถามได้แล้ว” คริสตี้ยืดหลังขึ้นพิงพนักเก้าอี้ เคี้ยวลูกอมช้าลง แต่ไม่หยุดเซ้าซี้ แม้ลึกๆรู้ว่าแบรนดอนกำลังหมดความอดทน และอาจเดือดปุดๆเหมือนซุปในหม้อ
        “พวกเขาต้องมีเหตุผลที่ไม่กลับมา” หล่อนว่า พลางกดหมายเลข911บนมือถือ เตรียมตัวหากโอลิเวียมาไม่ทัน “พวกเขาเกลียดนายเพราะนายทำผิดอะไรไว้ หรือเป็นเพราะพวกเขามาไม่ได้?”
        “หมายความว่าไง” เขาหรี่ตา ยืนพิงเคาเตอร์ ในขณะที่มือซ้ายขยับเข้าหาลิ้นชักที่มีค้อนทุบเนื้ออย่างช้าๆ และถามกลับ “เธอต้องการจะพูดอะไรกันแน่?”

        “เกิดอะไรขึ้นก-กับ...”

        จู่ๆคริสตี้ก็ตะกุกตะกักแล้วหยุด ราวกับเห็นคำตอบผ่านสายตาเขาตั้งแต่ยังถามไม่จบ แบรนดอนจดจ้องไม่กะพริบตา ไม่มีการเคลื่อนไหว ทั้งห้องมีเพียงเสียงของไอน้ำแผ่วจากหม้อตุ๋นไก่ ความกดดันก่อตัวขึ้นทุกวินาที นิ่งจนเธอหวั่นว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป คริสตี้ตัวแข็งทื่อ หรือว่ามันคือการขู่เตือน ก่อนที่เสียงแหลมใสของกริ่งสัญญาณตั้งเวลาตุ๋นดังขึ้น ทำลายความตึงเครียดทั้งหมด ทำเธอสะดุ้ง
        อาหารสุกได้ที่พอดี แบรนดอนหันกลับไปตักใส่จาน คริสตี้ได้หายใจหายคอในที่สุด เธอนั่งไขว่ห้าง เคี้ยวลูกอมเม็ดที่สองพลางดูโทรศัพท์ เลิกสนใจและวุ่นวายกับเขา มื้อเย็นส่งกลิ่นหอมหวนจนคริสตี้เบนสายตาจากหน้าจอ มองสิ่งที่แบรนดอนเพิ่งจัดวางลงบนโต๊ะ ตามด้วยเสิร์ฟชาร้อนวางตรงหน้าหล่อน คริสตี้เหลือบมอง ไม่มั่นใจว่านั่นเป็นชาของเธอหรือเปล่า

        “ไม่มียาพิษ” ยังคงจ้องอย่างไม่ไว้ใจ ยกแก้วขึ้นมาอย่างลังเล จรดริมฝีปาก มองก้นแก้วพลางคิดว่าจะจิบพอเป็นพิธีหรือไม่แตะสักหยดเลย

        “ขอบคุณ แต่ฉันธาตุแข็งไม่เหมาะดื่มชา” เธอวางแก้วลง แบรนดอนนั่งลงอีกฟากของโต๊ะ ไม่ว่าอะไร ความจริงเขานึกอยากวางยาอยู่เหมือนกัน เพียงแต่เขาไม่มียาพิษ และมันไม่ใช่เวลาที่เหมาะ เขาเพียงแต่นั่งตรงนั้น จ้องมองทุกการเคลื่อนไหวของคริสติน่า ไม่สนว่าอาจทำให้หล่อนอึดอัด จะดีใจด้วยซ้ำไปถ้าหล่อนทนไม่ไหว และรีบไสหัวออกจากบ้าน


        คริสติน่าชะโงกมองหน้าต่าง ตอนได้ยินเสียงสับฝีเท้าวิ่งผ่านสนามหญ้าเฉอะแฉะและขึ้นมาหยุดหน้าประตูบ้าน ไม่อาจเป็นใครได้นอกจากโอลิเวีย ทั้งสองหันกลับมาสบตาพร้อมเพรียง...

        คริสตี้เด้งพรวดออกจากที่นั่งราวกับมีใครเปิดสวิตช์ ปัดจานเค้กบนโต๊ะร่วงลงพื้น

        “เฮ้ย!” เขาโวย ลุกขึ้นท่าทางเงอะงะ “ทำบ้าอะไรของเธอ!?” เธอมองแต่ไม่หยุด กวาดทุกสิ่งที่แตกได้ลงพื้นอย่างเกรี้ยวกราด เกิดเสียงแตกกระจาย เหมือนผีบ้าเข้าสิง หล่อนเสียสติกระทันหันหรืออย่างไร?

        เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงเคาะประตูรีบๆดังขึ้น ทันใดนั้นเขาจึงเข้าใจว่ามันคือการสร้างสถานการณ์ โอลิเวียกำลังจะเข้ามาเห็นและเข้าใจผิด นังบ้านี่ไม่เลิกลาจริงๆ!

        ตึงๆๆๆ

        ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยพบเจอผู้หญิงแบบนี้มาก่อน คนที่ทำทุกอย่างเหมือนคนเสียสติเพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการ คริสติน่าทึ้งผมตัวเองและกระชากให้หลุดรุ่ย ก่อนเหวี่ยงศีรษะทุบกับเคาเตอร์ และเหวี่ยงหน้าผากโขกผนังบ้านอีก เขารีบพุ่งเข้าไปหยุดหล่อน

        “หยุดนะแบรนดอน!” นังบ้าตะโกนหวังให้คนข้างนอกได้ยิน ก่อนวิ่งหนีเข้าไปในครัว ตบหน้าตัวเองอย่างบ้าคลั่ง แบรนดอนทั้งกลัวและเริ่มโมโหแล้วจริงๆ เขาวิ่งไล่ ผลักเธอล้ม ดึงแขนล็อกจากด้านหลัง หยุดไม่ให้หล่อนทำร้ายตัวเอง คริสตี้ดิ้น เตะเท้าในอากาศ แต่แล้วจู่ๆก็นิ่งไป ครู่หนึ่งเขานึกว่าเธอสลบแต่ไม่ใช่เพราะหล่อนแกร่งเกินกว่าจะเป็นอะไรง่ายๆ


        โอลิเวียยืนตัวเปียกโชกอยู่หน้าห้องครัว สีหน้าว่างเปล่า เธอเห็นแล้ว กระแสเย็นเยียบแห่งความกลัวก่อตัวขึ้น ฝันร้ายกลายเป็นจริงแล้ว เห็นได้ชัดว่ากำลังช็อกกับสภาพสะบักสะบอมของคริสตี้ เธอจะเชื่อสิ่งที่เห็น และอีกไม่นานเธอจะหนีจากไป เหมือนที่แม่ทำ แบรนดอนกลืนน้ำลาย ค่อยๆปลดแขนคริสตี้ตัวแสบ โอลิเวียยกมือขึ้นมาปิดปาก

        “มันไม่ใช่อย่างที่เธอเห็น”
        คริสตี้วิ่งเข้าหาโอลิเวีย จับแขนแน่นและหันมองเขาด้วยสายตาไร้เดียงสา ไม่รู้เพราะอะไร เขาอยากเข้าไปกระชากหล่อนออกมาฟาดกับโต๊ะจริงๆ เธอเสแสร้งเป็นเหยื่อผู้หวาดกลัว ทั้งที่เธอเองนั่นแหละคือสิ่งเลวร้ายกว่าอะไรทั้งปวง

        โอลิเวียยืนแข็งทื่อ ไม่พูดสิ่งใด จนกระทั่งคริสตี้ทำลายความเงียบในห้อง “ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณที่เธอมาทันเวลา” เขาขบกรามแน่น ส่ายหน้าหวั่นๆ ไม่อยากให้เธอหลงเชื่อคำปด กลายเป็นว่าเปิดช่องให้คริสตี้ตอแหลต่อ “ฉันแค่ต้องการขอโทษ ก็เท่านั้น ฉันตั้งใจมาสารภาพเธอเรื่องยา แต่อย่าโทษเขาฝ่ายเดียวเลย มันไม่ใช่ความผิดเขาหรอกที่ยังโกรธฉัน” แบรนดอนอยากหัวเราะให้กับคำตอแหลหลอกลวง แต่ทำไม่ได้


        “หล่อนโกหก” คริสตี้ถลึงตาใส่ตอนที่โอลิเวียไม่ทันเห็น เขาผายมือมาข้างหน้าจริงจัง “หล่อนกำลังแสดง ทำตัวเองเจ็บ ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย!” เขาส่ายหน้าอีก “เชื่อต้องฉัน โอลิเวีย ฉันไม่ได้โกหก”

        คริสตี้ขยำแขนเธอดึงสติ เขาอยากแยกนังตัวดีออกมาเต็มทน ทำท่าจะเดินจ้ำตรงเข้าไปหา

        “หยุดอยู่ตรงนั้น” เธอห้าม “อยู่ตรงนั้นแหละ อย่าเข้ามา” เธอถอย กันคริสตี้ให้ถอยออกไปด้วย แล้วตะแคงหน้ากระซิบบางอย่าง ประมาณให้หล่อนออกไปก่อน แต่นังบ้าแสดงเป็นเพื่อนที่ดี ยืนยันว่าจะไม่ไปไหน ความจริงหล่อนแค่อยากมั่นใจว่าเขากับโอลิเวียจะแตกหักกันจริงๆ

        “โอลิเวีย” เขาเอ่ย “ฟังฉันนะ ฉันไม่ได้ทำ...จริงๆ”

        “โอ้! นี่หาว่าฉันทำตัวเองงั้นสิ” คริสตี้แทรก น้ำเสียงหยันเต็มที่ ชี้หน้าอันเละเทะน่ากลัวของตัวเอง แหงล่ะเธอทำ แบรนดอนมองแวบหนึ่ง ไม่ต่อปากต่อคำ ทำให้โอลิเวียหันไปปรามหล่อนแทน เขายิ้มมุมปากบางๆตอนที่คริสตี้สีหน้าเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ ก่อนโอลิเวียจะหันมาถามซ้ำ ไม่รู้เพราะอะไร

        “นายทำหรือเปล่า”

        “เปล่า” เขาตอบ ซึ่งเป็นความจริง

        “กับชาร์ลี นายทำหรือเปล่า?”

        เขาค้างชั่วครู่ แต่รู้สึกว่านานทีเดียวที่ติดอยู่ในความว่างเปล่า เธอหมายถึงเรื่องอะไร แต่แล้วเขาก็เข้าใจในที่สุด แสงสว่างของคำตอบก็กระจ่างในห้วงความคิด สาเหตุที่เธอมองเขาแปลกๆเมื่อหลายวันก่อน เป็นเพราะเธอรู้เรื่องนี้แล้ว “ตอบมาสิ”

        โอลิเวียควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่นเครือ มือกำมือเพื่อนสาวแน่น ในขณะที่คริสตี้ย่นคิ้ว ไม่รู้เรื่องนี้ สายตาสีดำของเด็กสาวจ้องมองเขาสับสน ไม่พร้อมรับฟังความจริง เธอรู้อยู่แก่ใจว่าเขาอาจทำ แต่ถามออกมาเพราะหวังได้ยินสิ่งที่ไม่ใช่อย่างที่คิด ซึ่งเขาก็ไม่อยากโกหก แต่ก็ไม่อยากเสียเธอไป แบรนดอนผ่อนลมหายใจออกยาว และตัดสินใจ


        “วันนั้น...ฉันโมโหมาก” เธอหลับตาปี๋ทันที รู้ว่าเขากำลังจะพูดอะไรต่อ ก้มหน้าทนฟังแม้ไม่อยากฟังเลย “ฉันขอโทษ ฉันทำไปเพราะฉันควบคุมตัวเองไม่ได้ ฉันโกรธที่มันทำร้ายเธอ ทำเธอเจ็บ แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

        โอลิเวียเหวี่ยงสะบัดหน้าหันมองทางอื่น เขาไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรผิด แต่แล้วเธอกลับมาด้วยดวงตาแข็งกร้าวกว่าปกติเล็กน้อย

        “เหมือนที่ทำกับฉันใช่ไหม นายควบคุมตัวเองไม่ได้ นายถึงได้ลงความโกรธที่ฉัน”

        “ไม่ๆ โอลิเวีย”

        เธอหยุด ล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เพราะมีสายเรียกเข้าขัดจังหวะ เป็นสายจากนายโทมัส คงไม่ใช่เรื่องสำคัญ เธอกดสายทิ้ง เงยมองแบรนดอน แต่ไม่ทันปริปากพูดต่อ โทมัสโทรเข้ามาอีกรอบ เธอจำต้องรับสายเพื่อบอกให้เลิกโทรมา แต่ไม่ทันพูดกับคนในสาย สีหน้าโอลิเวียก็เปลี่ยนฉับ เป็นซีดและว่างเปล่ากว่าครั้งแรกมาก ยังคงฟังคนในสายพูดต่อ
        “แน่ใจหรือ” เธอเอ่ยเสียงแผ่ว ลดโทรศัพท์ลง มองทั้งสอง ไม่ว่าคนในสายบอกอะไร แต่ตอนนี้ดวงตาเธอหวาดหวั่นและจวนร้องไห้ โอลิเวียสั่นหน้าและไม่รีรอ พรวดพลาดออกประตูไป เขาเร่งเดินตามเธอ แต่คริสตี้เข้ามาขวาง ถ่วงเวลาให้เธอวิ่งไปไกล ไม่ลืมเยาะเย้ยน่ารำคาญ ซึ่งมีแต่จะเสียเวลาเปล่า

        "ถามจริง ฆ่าแมวเนี่ยนะ?" ส่ายหน้า เบ้ปากรังเกียจ "นายแม่งโคตรวิปริ-"

        เขาผลักหล่อนให้พ้นทางก่อนเธอจะพูดครบ วิ่งออกจากบ้านจนเกือบเสียหลักตกบันได แต่ทรงตัวกลับมาได้และวิ่งต่อ ความเย็นของเม็ดฝนที่สาดปะทะไม่อาจเทียบได้กับความหนาวเยือกของความว่างเปล่าที่เขาเคยเผชิญ เขาจะเสียเธอไปไม่ได้อีก...


        ดูเหมือนว่าแบรนดอนตามไปไม่ทัน เธอยืนห่อไหล่ กอดตัวเองอยู่อีกฟากของถนน ผมสีดำเปียกลีบ และมองตรงมาทางเขา เขาหยุดชะงักเมื่อดวงตาสีดำของเธอประสานมา หากไม่ได้คิดไปเอง มันเป็นสายตาคู่เดียวกับเด็กสาวที่อยู่บนรถโดยสารในวันนั้น ไม่มีความรังเกียจเดียดฉัน ตรงกันข้ามเธอดูโหยหา แต่ครั้งนี้เศร้ากว่า และปวดร้าว เขาคาดว่าตัวเองก็ดูไม่ต่างกันนัก แต่หากเธอไม่ได้เกลียดทำไมจึงต้องจากเขาไปเล่า

        "โอลิเวีย!" เขาตะโกนสู้เสียงฟ้าฝน ซึ่งยังคงกระหน่ำซัดลงมาอย่างเกลียดชัง แต่แล้วรถประจำทางเข้าจอดเทียบป้าย บังเธอมิด เมื่อรถแล่นออกไป เธอก็ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว

        แบรนดอนวิ่งบนฟุตบาทท่ามกลางฝนพรำกลับไปเอารถที่บ้านเพื่อตามเธอ แม้ขาทั้งสองเหมือนไร้เรี่ยวแรง ทั้งเนื้อตัวเปียกปอนแต่เขาไม่อาจยอมตอนนี้ เสียงเครื่องยนต์ติดแต่ไม่ใช่รถของตัวเอง แบรนดอนเอามือป้องลำแสงตอนที่แสงไฟหน้ารถยนต์สีขาวส่องแสบตา พร้อมกับที่คริสตี้เหยียบคันเร่ง รถคันสีขาวพุ่งออกมาอย่างเร็ว แล้วเบี่ยงหลบหวุดหวิด แต่เฉียดพอให้เขาล้มก้นจ้ำเบ้าใส่แอ่งน้ำที่เจิ่งบนสนามหญ้า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหล่อนจงใจทำแบบนั้น


        ขณะเดียวกัน โอลิเวียไม่ได้กลับบ้านคริสติน่า แต่เป็นบ้านจริงๆของเธอ กลับมาเพื่อดูสิ่งเลวร้ายไม่คาดฝันที่โทมัสกล่าว ดูเหมือนว่าโทมัสพูดเรื่องจริง รถประจำทางเคลื่อนที่ผ่านบล็อกบ้านเธอ ซึ่งเต็มไปด้วยแสงกะพริบสีน้ำเงินแดงของรถตำรวจ ก่อนจอดสนิทที่ป้าย อีกครั้งที่เธอพรวดพลาดลงจากรถและวิ่งไม่ลืมหูลืมตา มันต้องไม่จริง ต้องไม่ใช่เธอ
        กว่าตำรวจที่เฝ้าหน้าบ้านจะทันสังเกต โอลิเวียก็มุดเทปกั้นจุดเกิดเหตุสีเหลืองเข้าไปแล้ว วิ่งทะเล่อทะล่า ไม่สนเสียงตะโกนเรียกจากตำรวจข้างนอก เจ้าหน้าที่เก็บหลักฐานที่อยู่ภายในบ้านต่างทำหน้าเหลอหลาตอนที่เห็นเด็กสาวโผล่เข้ามา “ใครปล่อยเด็กเข้ามากัน” เสียงผู้ชายตะโกนอย่างตำหนิ “อย่าให้เธอเห็น!”
        โอลิเวียไม่ชะลอ เบียดคนพวกนั้น เข้าไปเกือบถึงจุดที่เกิดเรื่อง จุดที่พวกเจ้าหน้าที่สวมถุงมือยางเข้าออกและยืนออทำหน้ากระอักกระอ่วนกึ่งเคร่งเครียด ตอนที่เธอเจียนถึงบานประตูห้องนอน ใครคนหนึ่งที่ยืนหน้าห้อง รีบเอาตัวเข้ามาขวางบังประตูทันที ไม่ให้เด็กสาวเห็นสิ่งน่าสยองที่อยู่ในห้องนอนแม่ แต่แล้วใครอีกคนฉุดดึงไหล่อย่างแรง ลากเธอออกมา แต่นั่นไม่เร็วพอให้เธอไม่เห็นมัน โอลิเวียล้มลงคุกเข่า โน้มศีรษะตะแคงแนบหน้ากับพื้นพรมสีครีม มองลอดหว่างขาชายคนนั้นเข้าในห้อง แม้เพียงพริบตาก่อนถูกลากให้พ้นประตู มันก็มากพอให้เข้าใจว่าตัวเองเห็นอะไร...

        ศีรษะมนุษย์


        สิ่งที่ถูกจัดวางอยู่บนเตียงอย่างประณีต โดดเด่น ทงโท่ ประหนึ่งงานศิลปะ

        “แม่?” เธอคิดว่าเธอเห็นศีรษะของแม่ มันถูกตัด ถูกบั่นคอ และตั้งบนเตียงที่ถูกห่อหุ้มด้วยพลาสติก ผิวขาวซีดออกเขียว จนเห็นเส้นเลือดเป็นร่างแหจางๆ ดวงตาทั้งสองยังเบิกโพลงอย่างคนมีชีวิต เธอดูมีชีวิต แต่แล้วเกิดความคิดโง่ๆ มันอาจเป็นของปลอม มันอาจไม่ใช่ศพเธอจริงๆก็ได้ ก่อนรู้ตัวว่าความคิดนั้นโง่เง่าแค่ไหน มันเกิดขึ้นแล้ว ของจริง เธอตายแล้ว มันเป็นเรื่องจริง เด็กสาวเริ่มสั่นด้วยโทสะ และเกือบๆจะกระซิกร้องไห้

        มันเกิดขึ้นได้ยังไง ใครเป็นคนทำ ไม่ว่าใครก็ตามที่ทำแบบนี้ เธอจะลากคอมันมาชดใช้ มันต้องชดใช้ในสิ่งที่ก่อ เธอหายใจละร่ำละลักสั้นๆ ก่อนแผดร้องเสียงหลง
        “แม่!!!” ตะกุยตะกายแขนเจ้าหน้าที่ เผลอจิกเล็บจนพวกเขาได้แผล “ปล่อยฉัน!” ส่งเสียงกรีดร้องไม่เป็นภาษา ดิ้นรน มือทุบตีร่างสูงใหญ่ที่ตอนนี้กอดรัดแน่นขึ้น จนเธอไม่สามารถขยับเขยื้อนส่วนใดทำร้ายเขาได้อีก

        เธอเลิกคลั่ง หยุดใช้เสียงอย่างสิ้นเปลือง เมื่อตระหนักว่าทำไปก็ไร้ประโยชน์ ตั้งสติ หายใจเข้าออก เธอกระซิบถามอย่างอดทน พยายามไม่แสดงความโกรธบัดซบออกมาทางน้ำเสียงตรงกันข้ามเธอเค้นน้ำเสียงอ้อนวอนร่ำๆจะร้องไห้อย่างที่เด็กสาวควรจะเป็นในตอนนี้

        “ใครเป็นคนทำคะ?” มองปืนที่เหน็บบนเข็มขัด ตำรวจยังพบว่าไหล่เธอยังแข็งเกร็ง เขารู้ทัน และไม่ยอมผ่อนปรน

        “เราจะรู้เร็วๆนี้ เธอแค่ต้องให้ความร่วมมือ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ เราจะหาตัวคนร้ายมาลงโทษ ไม่ต้องห่วง และถ้าเธอมีเบาะแส มันจะช่วยเราได้มาก...”

        โอลิเวียคำราม ดิ้นขลุกๆในอ้อมแขนตำรวจผมบลอนด์เฮือกสุดท้าย ก่อนยอมจำนนต่อความจริงที่ว่าเธอทำอะไรไม่ได้เลย ขาอ่อนทรุดโรยแรง ทิ้งตัวให้เขาต้องพยุงเดินกะปลกกะเปลี้ยไปสงบสติอารมณ์ท้ายรถ

        มีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ตามด้วยคำถามอุ่นเครื่อง ดูไม่เหมือนสอบปากคำ แต่อย่างไรก็ตามเธอไม่สามารถตอบอะไรตอนนี้ได้ เธอซังกะตาย เย็นชืด จมปลักกับข้อเท็จจริงที่ว่า แม่ตายแล้ว ตายสนิท แบบที่ไม่มีทางฟื้นคืนได้

        มันทิ้งไว้แต่ส่วนของศีรษะ เพื่อป่าวประกาศให้รู้ว่าคนที่ตายคือใคร และยังเอาร่างเธอไป ทำไม? ทำไมต้องทำกับแม่ถึงขนาดนี้ ทำไมต้องเป็นเธอ เธอไม่เคยบาดหมางกับใครเลยด้วยซ้ำ

        ความคิดในหัวตีกันวุ่น หาเหตุผลว่าเกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง เท่าที่เห็นศพไม่มีเลือดแม้แต่หยดเดียว ยกเว้นบริเวณลายเซ็นของฆาตกรที่แต้มบนปลายจมูก และปาดป้ายบนปากเป็นรอยยิ้มฉีกกว้างของตัวตลก


        มัน

        นั่นตอกย้ำว่าทั้งหมดเป็นความผิดของเธอ เธอคนเดียว ทั้งหมดเป็นเพราะเธอเป็นไอ้โง่เห็นแก่ตัว ที่ไม่บอกความจริงกับตำรวจแต่แรก โคตรโง่ โง่ได้โล่ เพียงเพราะกลัวความสัมพันธ์ลับระหว่างเจนสันจะถูกเปิดเผย แม่ถึงต้องตาย

        และทุกอย่างคงไม่เป็นแบบนี้ ถ้าเธอไม่ปล่อยเธอไว้ลำพัง และเรื่องนี้คงไม่มีวันเกิดขึ้น ถ้าเธอไม่ย้ายออกไปอยู่ที่อื่นเพราะอยากเรียนชมรมดนตรี
        เธอที่นั่งขดอยู่บนท้ายรถก้มหน้าซบเข่า ตัวห่อด้วยผ้าขนหนูสีขาวที่ตำรวจหญิงคนหนึ่งนำมาเพิ่มความอบอุ่น โยกตัวไปมา พลางกระซิบกระซาบโทษตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท่ามกลางเสียงฝนซา คล้ายว่ามีเสียงวุ่นวายไกลๆเหมือนมีใครพยายามต่อรองตำรวจเพื่อฝ่าเข้ามา ก่อนตำรวจผมสีบลอนด์เดินมาพร้อมเด็กหนุ่ม

        “ผมเป็นเพื่อนเธอ” เสียงเด็กหนุ่มพูด โอลิเวียเงยขึ้นจากเข่า ปรากฎเป็นมาร์คัส มือหนึ่งถือร่มสีม่วงเข้ม เจ้าหน้าที่ยืนค้ำรอคำยืนยันจากเธอ โอลิเวียแหงนมองเพื่อนชายที่ทำสีหน้าละห้อยอย่างคาดหวังว่าจะไม่โดนเตะออกไป ก่อนยื่นมือออกมาจากห่อผ้าขนหนู ให้เขาจับไว้ อนุญาตให้มาร์คัสมาอยู่เฝ้า เจ้าหน้าที่จึงขอตัวกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง


        เธอไม่รู้ว่ามาร์คัสรู้เรื่องนี้ได้ยังไง ทำไมถึงมาถึงเร็วนัก แต่มันก็ดีกว่าต้องอยู่ลำพังในสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้ไม่ใช่หรือ เขานั่งลงเคียงข้าง มือยังกำมั่น มันอุ่นมาก เธอจ้องมองพื้นยางมะตอยเปียก ยังสะอื้นเบาๆ ทั้งสองเงียบกริบ ไม่พูดอะไร และเขาก็ไม่ได้คาดคั้นให้เธอพูด เพียงแต่ต้องการอยู่เป็นเพื่อน สร้างความรู้สึกอุ่นใจ รอให้เธอคลายอาการสั่นเทา และกลับมาหายใจเป็นปกติอีกครั้ง

        “ฉันเสียใจ โทมัสโทรบอกฉันเรื่องนี้ ฉันเลยรีบมา” ความจริงเขาไม่เพียงรีบมา แต่หนีงานเด็กปั๊มที่เพิ่มเริ่มทำได้ไม่ถึงอาทิตย์ ฉายแววว่าอาจโดนตะเพิดไล่ออกมาหรือไม่ก็ตัดเงินที่ได้เพียงน้อยนิด “แฮร์รี่สติแตกพอกัน ฉันไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้เลย อาละวาดหนักจนโดนรวบใส่กุญแจมือเสียเอง” เขาพูด หันมองเธอ ซึ่งจดจ่อกับพื้นแฉะๆ หัวคิ้วชนกัน มาร์คัสพูดต่อ

        “มันต้องรู้สึกแย่มากแน่ การสูญเสียคนรักไป” เธอยังนิ่งเฉย เขาพูดต่อไป “ฉันไม่เคยเข้าใจความรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อน ฉันเคยอยากมีพ่อแม่นะ แต่พอเห็นเธอมาเป็นแบบนี้ ไม่รู้สิ บางทีการเป็นเด็กกำพร้าก็คงไม่แย่เท่าไหร่” เธอหันมองด้วยสายตากึ่งประหลาดใจกึ่งเห็นใจ แต่เขาไม่ต้องการความสงสาร “ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันไม่รู้สึกอะไรแล้ว ไม่สักนิด”


        “ฉันเสียใจ ฉันไม่เคยรู้” มาร์คัสแบมือ ทำหน้าเอียงๆเหมือนไม่มีอะไรต้องห่วง “ว่าแต่ฉันไม่เห็นโทมัส เขาไม่อยู่ที่นี่หรือ?”

        “โทมัส” เขาทวน “ไม่เห็น บางทีเขาอา-” มาร์คัสหยุดครึ่งๆกลางๆ ยกจอโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู แจ้งเตือนว่ามีข้อความส่งโดยนายโทมัส มอร์ริสัน “เอ่อ เขาส่งอะไรมาล่ะ เป็นรูปภ-ภาพ...โอ้ พระเจ้า”

        “รูปอะไร?” เขาดึงโทรศัพท์หนีตอนเธอชะโงกหน้ามา “เอามาให้ฉันดูมาร์คัส”

        “อย่าดีกว่า” เขาเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง และอธิบายให้ฟังแทน “มันไม่น่าดู แต่คิดว่าเป็น- ไอ้หมอนั่นแฮกค์ข้อมูลตำรวจได้หรือไงวะ?”

        “ให้ตายสิมาร์คัส เป็นอะไร?”

        “เป็นข้อความจากฆาตกร....” และที่สำคัญ เป็นข้อความถึงเขาโดยตรง ไม่ว่าเป็นใคร มันกำลังอวดผลงาน และท้าทายว่าต่อให้อยู่ใกล้แค่ปลายจมูก เขาก็ไม่มีทางหามันเจอก่อน ซึ่งในขณะเดียวกันโอลิเวียคิดเช่นเดียวกับมาร์คัส



    ต้องการแรงกระตุ้นเพื่อตามหาฉัน?
    ...ย่อมได้…


        ข้อความทั้งหมดถูกเรียบเรียงด้วยเส้นผมเปื้อนเลือดของเหยื่อ บรรจงวางบนพลาสติกใสสำหรับห่ออาหารซึ่งตอนนี้ถูกใช้หุ้มฟูกที่นอน ไม่ว่าฆาตกรโหดเหี้ยมต่ำช้าผู้นี้เป็นใคร ดูเหมือนมันพุ่งเป้ามาที่เธอ สื่อสารกับเธอ ต้องการให้เธอตามหา ไม่รีรอเธอควักโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาโทมัส เสียงสัญญาณดังสองครั้ง เขารับ

        “เฮ้ โอลิเวีย เสียใจด้วยกับเรื่องที่เกิดขึ้น...”

        “ฉันมีเรื่องสำคัญอยากคุยกับนาย” เธอตัดเข้าประเด็น เปิดลำโพงให้มาร์คัสนั่งอยู่ข้างๆได้ยิน “ปิดประตูทีมาร์คัส” เขาดึงประตูท้ายปิด และตั้งใจฟังสิ่งที่เธอจะพูดต่อไปนี้ เขาคิดว่ามันต้องสำคัญมาก “ฆาตกรซันเซต” เธอเว้นวรรค ราวกับเป็นเรื่องยากที่จะพูด “เขายังไม่ตาย เขาทำ นี่เป็นฝีมือเขา”

        “ทำไมมั่นใจนัก ตำรวจยังไม่มีหลักฐานบ่งบอกแน่ชัดว่าเป็นใคร แค่สันนิษฐานว่าอาจเป็นเขา หรืออาจเป็นคนอื่นก็ได้ ลายเซ็นมันปลอมขึ้นมาได้ทั้งนั้น”

        “ฉันรู้ว่าเขายังอยู่ ฉันรู้เพราะว่า ฉ-ฉัน-” มาร์คัสแย่งโทรศัพท์ไปจากมือ กดสายทิ้ง ด้วยความรุ่มร้อนใจทำให้เขาลืมตัว “ทำอะไรน่ะมาร์คัส”

        “บอกฉันมาก่อนว่าเธอจะพูดอะไร” เขายัดเก็บในกระเป๋าเสื้อแล้วกอดอกตัวเอง


        “ฉันขอคืน” แบมือขอโทรศัพท์ เขาส่ายหน้าสั้นๆ “มาร์คัส ฉันขอคืน”

        “บอกมาสิ”

        “ปัดโธ่! มาร์คัสคืนฉันเดี๋ยวนี้” ประตูหลังรถเปิดออก ทั้งสองหันมองพร้อมกัน ตำรวจคนเดิมที่พาเธอออกมาจากบ้านมองด้วยสายตาตำหนิ แข็งกร้าวพอที่จะทุบศิลาจารึกแตก และจ้องมาร์คัส

        “มีอะไรหรือเปล่า”

        “มีค่ะ ฉันอยากได้โทรศัพท์มือถือของฉันคืน” ตวัดมองค้อนมาร์คัส เขายังนั่งขัดสมาธิตัวเกร็ง กอดอก คิ้วยู่อย่างกังวล “และอยากให้เขากลับไป”

        เมื่อตำรวจเอ่ยปากออกคำสั่ง มาร์คัสจึงจำยอมล้วงโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าเสื้ออย่างไม่เต็มใจ และคืนให้แก่เธอ ก่อนถูกเชิญให้ออกไปห่างๆอย่างสุภาพ แน่นอนว่าโอลิเวียจะต้องโทรหาหมอนั่นแล้วบอกความจริง

        ส่วนมาร์คัสกลับไปเป็นเด็กปั๊มต่อ เดินพลางครุ่นคิด เธอเข้าใจผิดว่ามันเป็นฝีมือเขา ซึ่งเขาไม่ได้ทำ จะทำยังไงให้เธอคิดว่าเป็นคนอื่น อาจมีทางเดียวคือหาคนร้ายตัวจริงมายอมรับผิด


        มาร์คัสเดินงุ่นง่านถือร่มออกไป มืออีกข้างล้วงกระเป๋ากางเกง ปากขมุบขมิบ “ไอ้ขี้เสือกบ้าเอ๊ย ทำไมต้องทำให้เรื่องยากขึ้นด้วยวะ แม่ง!” พึมพำด่าลอยๆ ก่อนเห็นรถเก๋งสีน้ำเงินของแบรนดอนจอดสนิท ดับเครื่องอยู่ริมทางเท้าฝั่งตรงข้าม มาร์คัสหรี่ตาเพ่งเล็ง เช็ดละอองน้ำบนหน้าปัดแว่น

        แบรนดอนอยู่ในรถ มองผ่านหน้าต่างกระจกที่ลดอยู่ครึ่งบาน สายตาเย็นชาสีหมอกจับปลาบมาที่เขา ซึ่งกำลังหัวเสียอย่างเปิดเผย เดินกลับไปที่ป้ายรถพร้อมร่มสีม่วงเข้ม มาร์คัสเห็น แต่ไม่มีอารมณ์หยุดทักทาย

        “เฮ้!” เจ้าพิลึกตะโกนเรียก มาร์คัสแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ชูคอมองหารถประจำทางบนถนนโล่ง อย่าว่าแต่รถประจำทางเลย รถสักคันยังแทบไม่มีวิ่ง เขายกข้อมือขึ้นมาดูเวลาอย่างจริงจัง แม้ไม่มีนาฬิกาอยู่เลยสักเส้น เพราะคิดว่าการทำเป็นไม่สนใจจะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นแต่ก็เปล่า…


        แบรนดอนลงมาจากรถ “เฮ้! ฉันพูดกับนาย มาร์คัส” ปิดประตูรถ เหลือเชื่อว่าหมอนั่นรู้ชื่อเขา มาร์คัสเล่นบทต่อไป ในขณะที่หางตาเห็นเขาเดินใกล้เข้ามาทุกที มาร์คัสกะพริบตา หันมาตีหน้ามึน ก่อนเลิกคิ้วประหลาดใจ ราวกับเป็นเรื่องบังเอิญ

        “อ้าว! แบรนดอน? หาโอลิเวียอยู่หรือ เธออยู่บนรถคันนั้นน่ะ” เขาชี้ แต่ดูเหมือนแบรนดอนไม่ได้สนใจที่เขาพูด แต่กำลังรอให้เขาหยุดพูดมากกว่า

        “พวกตำรวจมาทำอะไรที่นี่” แบรนดอนถามน้ำเสียงสุขุม “ใครเป็นอะไร?”

        “ไม่ได้มาเฉยๆหรอก แม่โอลิเวียน่ะ...หล่อนถูกฆ่าตาย”

        “ฆาตกรรม” เขาทวนอย่างตะลึง “เกิดขึ้นนานหรือยัง”

        “ได้ยินตำรวจพูดกันว่าเพิ่งตายเมื่อชั่วโมงก่อน แต่นั่นก็นานพอสมควรอยู่นะ” ปั้นยิ้มกว้าง แล้วกลับไปชะโงกมองหารถประจำทาง

        เขาไม่เห็นว่ามันมีความหมายอะไร นอกจากผู้ร้ายได้ใช้เวลาอันเหลือเฟือนี้เผ่นแนบ กำจัดหลักฐาน อาบน้ำขัดตัวพลางฮัมเพลงอย่างสำราญใจ


        “แต่เดี๋ยว ชั่วโมงที่แล้ว?” แบรนดอนถามอีก มาร์คัสหันกลับมา ละสายตาจากถนน คิ้วยังเลิกค้าง

        “อือฮึ ชั่วโมงที่แล้ว ทำไมเหรอ? มันสำคัญยังไง?”

        จนกระทั่งมาร์คัสได้ยินตัวเองพูด และหยุดค้างที่คำพูดหนึ่ง สำคัญยังไง เขาเริ่มคิดให้ละเอียด จึงพบว่าเป็นคำถามที่ฉลาด ทำไมต้องเป็นเวลานั้น? เวลาที่ใช้ลงมือควรมีความหมายอะไรบ้าง แต่แบรนดอนกลับคิดไปคนละทาง

        “ถ้าเรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้น นายรู้ได้ไงว่าแม่โอลิเวียตาย รู้จากไหน?” หมอนี้แคลงใจในตัวเขา แต่มาร์คัสไม่ได้ไม่สะทกสะท้าน ยืนยันความบริสุทธิ์ และตอบอย่างมั่นใจ

        “ได้จากแหล่งข่าวเดียวกับโอลิเวีย ตำรวจแฮร์รี่พบศพคนแรก โทมัสเป็นคนโทรบอกฉัน บางทีคงได้ยินจากพ่อ พ่อลูกกันตัดไม่ขาดหรอก...จริงไหม?” แวบหนึ่งเขาเห็นอะไรบางอย่าง คล้ายความคิดต่อต้านในดวงตาแบรนดอน แต่ไม่ได้พูดออกมา และเขาไม่ได้ตอบ “นายควรไปหาโอลิเวีย และถามเธอเอง เธอรู้ทุกอย่าง...เกือบทุกอย่าง”


        มาร์คัสชำเลืองมองรอยล้อรถคันสีน้ำเงิน ยกโทรศัพท์ขึ้นมาเทียบดูซึ่งๆหน้า น่าผิดหวังที่มันไม่ตรงกับรูปที่ถ่ายไว้ เหลือบมองรองเท้าบู๊ทหนังสีน้ำตาลของแบรนดอน ขนาดใกล้เคียง แต่เท้าเขาดูใหญ่กว่าและไม่ใช่คัชชู ว่าแต่ใครใส่คัชชูตลอดเวลากันเล่า

        “อะไร” แบรนดอนหันมองตาม และขยับฝ่าเท้าตะแคงยึกยัก “นายมองหาอะไร”

        “เปล่า ไม่มีอะไร ก็แค่...ช่างเถอะ” ยักไหล่ เก็บโทรศัพท์ เอามือซุกในกระเป๋ากางเกง “เอ๊ะ นั่นใช่รถคริสติน่าหรือเปล่า?”

        มาร์คัสเบี่ยงความสนใจ เขามองตาม เป็นจังหวะที่รถประจำทางผ่านมาพอดิบพอดี “โอ ฉันต้องไปล่ะ” มาร์คัสทำท่าเงอะงะ รีบปลีกตัวขึ้นรถไป แต่ใช่ว่าเขาได้โกหกเรื่องรถคริสตี้หรอกนะ


        แน่นอนว่าเวลามีส่วนสำคัญ ทุกอย่างมีความสำคัญ ทุกอย่างสามารถเป็นเบาะแส อย่างน้อยเขารู้มาว่าเหยื่อเสียชีวิตเมื่อชั่วโมงที่แล้ว หรือบ่ายสองโมงหน่อยๆ ซึ่งตรงกับเวลาเลิกเรียน แปลว่าต้องเป็นเวลาที่ฆาตกรสามารถลงมือได้ ไม่ใช่เวลางาน ไม่ใช่เวลาเรียน ถ้าใช่ก็ต้องลางาน คนถูกพักการเรียนก็มีสิทธิ์เป็นผู้ต้องสงสัย หากวิเคราะห์จากเรื่องเวลา มันอาจกว้างเกินไป…

        เขาจึงทบทวนจากรูปแบบการฆ่า ตัดหัวประจาน มีข้อความเรียงด้วยเส้นผม และลายเซ็นของตัวตลก มันเป็นการจงใจให้คนมาพบ มีวัตถุประสงค์เพื่อกระจายข้อความ แต่กับใคร? ฆาตกรรู้ว่าจะมีคนมาพบ ซึ่งคนแรกที่พบคือตำรวจแฮร์รี่ พ่อโทมัส ดังนั้นถ้ามันตั้งใจให้แฮร์รี่พบคนแรก ฆาตกรจำเป็นต้องรู้ตารางเวลาทำงาน อาจเป็นคู่อริในกรมตำรวจด้วยกัน ซึ่งมาร์คัสแน่ใจว่ารายชื่อผู้ไม่หวังดีคงยาวเป็นหางว่าว


        เสียงกริ่งขัดจังหวะ เตือนว่าป้ายต่อไปจะถึงที่หมาย มาร์คัสลุกขึ้น ลงออกจากประตูอัตโนมัติของรถประจำทาง กึ่งวิ่งกึ่งเดินกลับมาที่ปั๊ม พิงร่มไว้ข้างตู้จ่ายน้ำมัน ก่อนสูดหายใจเอาควันท่อรถอันคุ้นเคย ซึ่งตอนนี้ชื้นแฉะและผสมกลิ่นฝน เคล้ากลิ่นน้ำมันจางๆ เขาคล้องบัตรพนังงานห้อยคอพร้อมทำงาน ก่อนกวาดตามองรอบๆ มองหาสัญญาณอันตราย

        โชคดีของเขาที่ไม่มีใครไล่ออก หรือเดินมาตบกบาลต้อนรับด้วยความคิดถึง อาจเพราะหายไปไม่ถึงชั่วโมงคงไม่มีใครทันสังเกต แต่เขาคิดผิด หันไปกระตุกยิ้มบางเฉียบให้เพื่อนร่วมงานต่างวัยที่น่ารักซึ่งกำลังส่ายหน้าอย่างตำหนิราวกับเขาเพิ่งไปฆ่าใครตาย แน่ล่ะ เขาทำเพียงแต่ไม่ใช่วันนี้

        เพราะวันนี้เป็นการสวมรอย ใครบางคนอยากเดินตามรอยเขา เหมือนที่เดินตามรอยเท้าในตึกร้าง มันพยายามเลียนแบบ พิสูจน์ว่าตัวเองสมน้ำสมเนื้อกับเขาที่สุด


        ถ้ามาร์คัสไม่ได้เข้าข้างตัวเอง เนื้อหาในข้อความรวมถึงลายเซ็นบนศพ บ่งบอกชัดเจนว่า มันต้องการสื่อสารกับเขา ไม่ใช่แฮร์รี่ มันใช้วิธีตัดหัว เหมือนที่รู้ว่าเขากำจัดเหยื่อด้วยการตัดศีรษะแยกจากตัว มันใช้เส้นผมสื่อสาร เพราะรู้ว่ามาร์คัสเก็บเส้นผมเป็นที่ระลึก มันใช้พลาสติกกันข้าวของเปื้อนเลือด เพราะมันรู้ว่าเขาก็ใช้ ที่สำคัญรู้ว่าเขากำลังหาตัวมันอยู่...

        แต่ถ้าตำรวจไม่เปิดเผยข้อมูล ไม่มีทางที่ข้อความกระจายส่งมาถึงเขาได้ไม่ใช่หรือ ความตั้งใจของมันจะไม่สัมฤทธิ์ผล ตามหลักแล้วเขาจะไม่มีวันรู้เห็นภาพสยดสยองทั้งหมด ดังนั้นข้อความจากฆาตกรส่งมาถึงเขาได้อย่างไร เขารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?

        ไม่มีทาง! มันไม่มีทางเป็นไปได้ มันไม่มีทางลงมือฆ่าใครได้ หมอนั่นเป็นแค่แฮกค์เกอร์ ที่เกลียดพ่อตัวเองอย่างกับ...ไส้เดือน แถมรักการทาเจล แต่งผมทรงเดิมทุกวี่วัน แต่งตัวเนี๊ยบตลอดเวลา เสื้อเชิร์ต สูทโรงเรียน รองเท้าคัช-

        “ฉิบ…” มาร์คัสกระตุกที่ความคิดนี้ รองเท้าคัชชู หรือมันจะเป็นไปได้วะ

        

        เขาถูกฉุดจากภวังค์อย่างกระทันหันด้วยเสียงหึ่งๆ ของเครื่องยนต์เก่าๆ มีรถคันหนึ่งขับเข้ามา ชะลอและจอดตรงช่อง เขายังไม่เงยมองหรือทันสังเกต แต่เสียงเครื่องยนต์สะกิดยิกๆอยู่ตรงขอบสมอง คุ้นหูแต่นึกไม่ออก

        เจ้าของรถสีแดงลดกระจกลง ก่อนดับเครื่อง เกิดเป็นคลื่นความเงียบแสนสบายหู เขาเตรียมให้บริการเติมน้ำมันด้วยรอยยิ้ม เหมือนที่ทำกับลูกค้าทั่วๆไป แต่แล้วต้องหุบยิ้มพลัน เมื่อคนในรถเปิดประตู ก้าวขาออกมา

        รองเท้าคัชชูขนาดตรงกับในรูป ซึ่งตอนนี้ถูกขัดจนมันวาว รอยยิ้มสมบูรณ์แบบจอมปลอมดันโหนกแก้มยกขึ้นเป็นปั้น เกิดเป็นใบหน้าระรื่น ผมสีดำแสกข้าง


    โทมัส มอร์ริสัน


        เสียงเครื่องยนต์แก่ๆนั่นจะไม่คุ้นหูได้อย่างไร ในเมื่อเป็นเสียงสำลักควันแบบเดียวกับที่ได้ยินในคืนที่เขาถูกสะกดรอยตาม มาร์คัสประมวลผลข้อมูลในระบบจัดเก็บชีวภาพที่เรียกว่าสมองเป็นรอบสุดท้าย

    หนึ่ง โทมัสเคยสนใจคดีนี้
    สอง เวลาที่ลงมือเป็นเวลาหลังเลิกเรียน
    สาม รู้ตารางเวลาทำงานแฮร์รี่
    สี่ เกลียดพ่อแล้วเลือกลงมือกับคนรัก
    ห้า ใส่คัชชูเป็นกิจวัตร
    หก เป็นคนคาบข่าวฆาตกรรม
    เจ็ด เสียงเครื่องรถตรงกับคืนเกิดเหตุ

        ก่อนนึกเพิ่มอีกข้อ แปด เป็นคนสุดท้ายที่มาหาเชอร์รีน เป็นไปได้ว่าโทมัสอาจกลับมาด้วยเหตุผลบางประการ แล้วมาเห็นพอดี เลยสะกดรอยตาม ทุกอย่างเหมาะเจาะอย่างเหลือเชื่อ…
        แม่งเอ๊ย! มันคือเขา ฆาตกรเลียนแบบจอมแส่ที่น่ารำคาญ


        “ไหงเลิกชงกาแฟซะล่ะ” โทมัสลูกตำรวจเอ่ยประหลาดใจ ดึงเขาออกมาจากใบหน้าพิศวง

         มาร์คัสยังค้างเล็กน้อย ก่อนสลัดความตกตะลึงชั่วครู่ออก รีบตอบกลับและไม่ลืมใส่อารมณ์ขันเล็กๆน้อยๆ พร้อมขำแห้งๆ

        “คงเพราะกลิ่นกาแฟหอมน้อยกว่าน้ำมันมั้ง”

        “หึ งั้นช่วยทำให้รถคุณย่าของฉันกลับมาวิ่งปร๋อหน่อยสิ” ตบหลังคารถเบาๆเป็นกันเอง ศอกข้างหนึ่งพาดขอบประตูรถ ยิ้มมุมปาก

        “แน่นอน” มาร์คัสจัดการเติมน้ำมัน ทำตัวตามปกติ ชำเลืองล้อรถ เป็นรอยล้อที่ตรงกันเปี๊ยบ มาร์คัสจดเพิ่มในรายการข้อ เก้า ในสมอง แล้วเหลือบขึ้นมองเจ้าของรถ เกิดความสงสัยว่าโทมัสจะทำหน้าอย่างไรเมื่อถูกถาม จะแนบเนียนตีบทแตกไหม มาร์คัสแกล้งถาม


        “พาคุณย่าไปไหนมา ไม่ชวนกันบ้าง?” เขาหายไปช่วงเกิดเหตุ แต่ตอนนี้กลับมาแล้ว คำถามคือ หายไปไหน? ถ้าไม่ใช่ไปกำจัดศพส่วนที่เหลือของแม่โอลิเวีย มันได้ผล คำถามนั่นกวนใจโทมัส เมื่อดูจากสายตาว่างเปล่า ตามด้วยลอกแลกแม้เพียงแวบหนึ่ง โทมัสกลับมาตั้งตัวเร็วพอสมควรสำหรับมือใหม่

        “ช้อปปิ้ง เติมของเข้าบ้าน เอาไว้ครั้งหน้าจะชวน” โทมัสว่า ทิ่มนิ้วโป้งไปที่ท้ายรถ และมาร์คัสก็เห็นว่ามีถุงช้อปปิ้งที่เบาะหลังจริง เตรียมตัวมาดีกว่าที่คิด “ว่าแต่ ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม? ที่บ้านโอลิเวียน่ะ”

        ถ้านั่นหมายถึงตำรวจเต็มบ้าน และคนตายไม่ได้ฟื้นมาแฉความจริง ทุกอย่างก็คงเรียบร้อยดี

        “อือฮึ” มาร์คัสยิ้ม ผงกศีรษะ หันไปเก็บหัวจ่ายน้ำมันเข้าที่ “เรียบร้อย คุณยายกลับมาวิ่งปร๋อเหมือนสาวแรกรุ่น”

        มาร์คัสประสานมือ ดันเข้าๆออกๆอย่างลังเลว่าจะถามอีกเรื่องดีไหม โทมัสเปิดประตู ตั้งท่าจะยัดตัวเองกลับเข้ารถ “นายเกลียดหรือชอบโอลิเวียกันแน่?”


        โทมัสหยุด กลับออกมาจากรถ ตัวเขาเองคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะถามออกมา แต่การตายของแม่ทำให้โอลิเวียเสียใจมาก จึงอดสงสัยไม่ได้ว่าโทมัสจงใจเลือกเหยื่อเพราะเหตุนี้ด้วยหรือเปล่า ถ้ามันใช่มันจะไม่ยุติธรรมกับเธอเลย

        ป่านนี้โทมัสอาจรู้แล้วว่าเธอเป็นคนช่วยให้ที่หลบซ่อนแก่เขาในคืนฮัลโลวีน เธอเชื่อว่าโทมัสสามารถช่วยตามหาคนร้ายได้ ซึ่งก็คือ มาร์คัส ที่บริสุทธิ์ผุดผ่องในคดีนี้

        “ว่าไงนะ” เขามั่นใจว่าถามดังพอ และไอ้เบื้อกนี่ไม่ได้อยู่ในวัยหูตึง โทมัสพ่นลม กลอกตา และยกมุมปากขึ้นเกือบดูเหมือนรอยยิ้มหยัน “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาย แต่ฉันบอกให้ก็ได้ ว่าฉันไม่เคยพิศวาทพวกขี้แพ้ อ่อนแอ แล้วก็...ง่ายเลยแม้แต่ครั้งเดียว พวกนั้นรกหูรกตาด้วยซ้ำไป”

        มาร์คัสไม่สรุปว่าโทมัสเกลียดเธอ แต่คำสุดท้ายที่เขาพูดนั้นทำให้มาร์คัสอยากกระชากหัวจ่ายน้ำมันออกมากรอกปากโทมัสแล้วจุดไฟเผาให้วอด มาร์คัสเอียงคอ แยกยิ้มเห็นฟันเกือบเป็นมิตร แล้วอวยพรพลางขยับแว่นให้เข้าที่

        “โอ ขอให้เดินทางปลอดภัย”


    จบตอนที่ 11 : ข้อความฝากถึง.



    โทมัส มอร์ริสัน : *แง้นนนนนๆ*





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×