17 กรกฏาคม 2549 รู้ตัวเมื่อสายไปแล้ว - 17 กรกฏาคม 2549 รู้ตัวเมื่อสายไปแล้ว นิยาย 17 กรกฏาคม 2549 รู้ตัวเมื่อสายไปแล้ว : Dek-D.com - Writer

    17 กรกฏาคม 2549 รู้ตัวเมื่อสายไปแล้ว

    'ผมจำทางกลับบ้านของตัวเองไม่ได้!?' เขาถามตนเอง สีหน้าดูเหมือนกับคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อจริงๆ

    ผู้เข้าชมรวม

    152

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    152

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  11 ต.ค. 49 / 21:50 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      เรื่องสั้น

       

      "17 กรกฏาคม 2549 รู้ตัวเมื่อสายไปแล้ว"

       

       

      เวลา 07:34 ของวันจันทร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 สถานที่ หน้าร้านสะดวกซื้อ ถนน สุขุมวิท ตำบล ท่าประดู่ อำเภอ เมือง จังหวัด ระยอง

       

       

      "เฮอะ! อารมณ์เสียแต่เช้าเลยกู เซ็งว้อย... ตื่นสายหน่อยแค่เนี้ย.. ทำเป็นโวยวายไปได้" ชายผมเกรียนในชุดนักรียนสีขาว กางเกงขาสั้นกับรองเท้าผ้าใบสีน้ำตาล เดินสะพายเป้พร้อมด้วยสีหน้าที่เบื่อหน่ายและไม่สบอารมณ์

       

      เขาเดินมาใกล้สะพานลอย มองไปยังบันไดที่ปกติเขาต้องใช้ข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง แต่วันนี้เขากลับเปลี่ยนใจไม่ใช้มัน

       

      "ชิ... ไม่มีอารมณ์มาเดินเอ้อระเหยขึ้นสะพานลอยว่ะ เดินข้ามทางถนนก็ได้วะ นิดๆหน่อยๆ ไม่เห็นเป็นไร" เขารำพึงกับตนเอง แล้วก้าวเท้าไปข้างหน้าลงจากฟุตบาทหวังจะข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง

       

      เพียงก้าวไปถึงครึ่งค่อนเลนถนน ทันใดนั้น เขาสังเกตเห็นรถเก๋งเก่าๆคันหนึ่ง ขับมาด้วยความเร็วเกินมาตรฐานกฏจราจร หักเลี้ยวตีวงแคบมาจากสี่แยกที่ห่างจากตัวเขาเพียง 200 เมตร

       

      "เฮ้ย!!!" เขาอุทานออกมาด้วยความตกใจสุดขีด

       

       

      ...................................

       

       

      สิทธิพงศ์เกือบต้องลงไปนอนกองกับพื้นถนน เลือดโชกไปทั้งตัว เพราะรถเก๋งคันนั้นเสียแล้ว

       

      "ขับรถให้มันดีๆหน่อยสิวะ!! แฮ่ก.. แฮ่ก... เกือบตายแล้ว แฮ่ก.. แฮ่ก... แฮ่ก.." ด้วยความอารมณ์ไม่ดี เขาจึงด่าไปพลางหอบไปในขณะที่เจ้าของรถกำลังเปิดประตูก้าวเท้าลงมาด้วยสีหน้าหวาดวิตก

       

      เขาเหลือบดูนาฬิกาที่ข้อมือ "เฮ้ย.. สายแล้วๆ ไปสายเดี๋ยวโดนหักคะแนนอีกกันพอดี ยิ่งไม่อยากออกกำลังกายรอบสนามอยู่ด้วย"

       

      เขาเดินข้ามถนนต่อไป ทิ้งให้นักตีนผีเจ้าของรถเก๋งบุโรทั่งและกลุ่มคนชาวไทยมุงจำนวนหนึ่งไว้ข้างหลัง เขารีบแย่งขึ้นรถประจำทางทันทีหลังจากถึงฝั่งถนนแล้ว

       

       

      ................................

       

       

      ในที่สุด เด็กชายสิทธิพงศ์ถึงโรงเรียนด้วยคะแนนสวัสดิภาพและเหตุการณ์เฉียดตายเล็กๆน้อยๆที่ผ่านมาอย่างหวุดหวิด

       

      เขาเดินเข้าห้องเรียนชั่วโมงแรก นั่งที่ประจำของเขาอยู่คนเดียว ไม่มีคนอื่นอยู่รอบข้างสักคนเพราะเขาเป็นคนรักสันโดษ เงียบๆ ไม่ค่อยพูด เย็นชา และชอบอยู่คนเดียวมากกว่าการรวมกลุ่ม

       

      ในวันๆหนึ่ง เขาพูดน้อยมาก อาจจะน้อยกว่าคนปกติทั่วไป สาเหตุส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเขามีเพื่อนน้อย พูดคุยตีสนิทไม่เก่ง ไม่แปลกที่จะรวมไปถึงลักษณะการทำงาน เขาชอบทำงานเดี่ยวมากกว่างานกลุ่ม

       

      บางครั้งเขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แสนทรมานของอารมณ์เหงา แต่เขารักที่จะเหงาต่อไป มีความสุขทุกครั้งเสียด้วยซ้ำที่ตั้งแต่เกิดมามีอารมณ์อย่างนี้ ความเหงาเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ทำให้เขารู้จักการรอคอยอย่างใจเย็นและความอดทน เขารู้ถึงข้อนี้ดี

       

       

      ............................

       

       

      อีกครึ่งชั่วโมงเที่ยงตรง เวลาสำหรับอาหารกลางวันมาถึง สิทธิพงศ์เดินไปที่โรงอาหารตามปกติ สีหน้าบูดๆเบี้ยวๆที่มีมาแต่เช้า วันนี้เขารู้สึกไม่หิวข้าว เขาจึงไม่คิดที่จะซื้ออาหารกลางวันมาทาน

       

      เขาเดินเอ้อระเหยลอยชายสอดส่ายสายตาหาผู้หญิงคนหนึ่งในโรงอาหาร ซึ่งเป็นแฟนของเขาเอง

       

      ไม่นานนัก เขาก็พบคนที่เขากำลังหา เธอกำลังเดินมาหาเขาอย่างใจเย็น น่าแปลก.. เวลาเธอเจอเขา เธอมักเป็นผู้ทักทายก่อนเสมอ แต่ครั้งนี้เหมือนจะไม่เสมอไป

       

      "หวัดดี เป็นไงบ้าง? กินข้าวยัง?" เขาเริ่มทักก่อน

       

      "อ้าว.. ไหงเดินไปเฉยๆ ไม่ทักทายกันเลยล่ะ?" เขารู้สึกผิดสังเกตกับกิริยาแฟนตัวเอง เธอเดินผ่านตัวเขาไปได้อย่างหน้าตาเฉย ราวกับไม่สนใจเขาอีกต่อไปหรือโกรธอะไรสักอย่างต่อความผิดที่ได้ก่อไว้

       

      "เฮ้...!! จะเดินไปไหนน่ะ? แรลลี่ รอด้วยซี่" เขาเดินตามเธอ สีหน้าดูเป็นกังวล และไม่เข้าใจในกิริยาของเธอที่แสดงต่อหน้า

       

      "โกรธเรื่องอะไรอีกล่ะ? บอกหน่อยสิ นะๆๆ เราขอโทษ" เขาพูดขอร้องและขอโทษขอโพยแต่เธอยังคงทำเป็นไม่สนใจ เดินผ่านไปอย่างไม่ไยดี จนระยะห่างระหว่างเขาและเธอเริ่มมากขึ้น

       

      "เฮ้อ............ วันนี้เป็นวันที่สาหัสจริงๆแฮะ อะไรก็ไม่รู้ ปัญหาน่าปวดหัวกวนใจรุมเร้าอยู่ได้" เขาบ่น น้ำเสียงท้อแท้รำคาญใจ

       

      เขานั่งลงที่โต๊ะอาหารแล้วพิจารณาความผิดของตนเอง "โกรธเรื่องอะไรว้า..?  อืมม์... ท่าทางเป็นเรื่องใหญ่อีกแล้วสินี่ ไปทำอะไรไม่ดีมาเปล่าว้า? เอ... แย่จัง.. คิดไม่ออก ว้าเว้ย! ทำไมวันนี้กูซวยอย่างนี้ว้า..!?"

       

       

      ................................

       

       

      เวลา 11:51 น.

       

      หลังจากที่นั่งนึกเรื่องที่ทำผิดต่อแฟนตนเองไม่ออก นั่งอยู่ตรงนั้นต่อไปก็เสียเวลาเปล่า เขาจึงมานั่งทำการบ้านที่โต๊ะไม้หินข้างๆอาคารภาษาไทย

       

      "ต๊าย...! ดอนจ๋า... นั่งปั่นการบ้านอยู่เหรอจ๊ะ?" เขาได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเรียกชื่อมาจากทางด้านหลัง เขาหันไปตามต้นเสียง เป็น ไอ้เอ กะเทยควายที่อยู่ห้อง 5/5 นั่นเอง

       

      "เออ... มึงทำเสร็จยังวะ? ที่ให้นำคำ 5 คำมาแต่งเป็นเรื่องสั้น 1 เรื่องเนี่ย"

       

      "เสร็จไปตั้งแต่ชาติที่แล้วๆย่ะ ให้มาร์กช่วยแต่งให้ป่ะ? นี่ๆ ได้ข่าวว่าดอนไปประกวดแข่งดนตรีที่บ้านเพได้ที่ 2 นี่  เก่งจังเลย...พี่ดอนขา.." ชายตัวดำรูปร่างใหญ่โตพูดเสียงหวาน

       

      "ใช่ กูมันเก่งตั้งแต่ชาติที่แล้วๆล่ะว้อย ฮ่า ฮ่า ฮ่า แต่... ช่วยเราหน่อยนะ นะๆ หมดปัญญาแล้วตั้งแต่เห็นงานชิ้นนี้ครั้งแรก"

       

      "ได้สิยะ.. แหม... เพื่อพี่ดอนแล้ว เอยอมทำทุกอย่างอยู่แล้ว แต่... ขอหนึ่งจุ๊บนะจ๊ะ" เอพูดพลางทำท่ากระบิดกระบวนอายๆ

       

      "เฮ้ย!! ไม่เอา! งั้นกูทำเองดีกว่า" เขาตะคอก

       

       

      ............................

       

       

      เวลา 12:15 น.

       

      กว่าจะทำงานเสร็จอย่างแทบตายเพราะต้องบังคับให้เอคอยบอกแนวการดำเนินเรื่องของเรื่องสั้น เขาเดินเข้าห้องเรียนชั่วโมงแรกของช่วงบ่าย ในห้องมีเพื่อนๆที่ลองนับดีๆแล้วมีอยู่ 5 คน 4 คนกำลังเล่นไพ่กันอยู่ อีกคนหนึ่งนอนหลับเป็นตายอยู่หลังห้อง

       

      'เล่นไพ่อีกแล้วไอ้พวกบ้านี่ น่าเบื่อจริงๆ' เขาคิดในใจ

       

      ปึ๊ด หนึ่งในวงไพ่ทำปากพึมพัมได้ความว่า "เป็นสามดอกจิกทีเถอะๆ สามดอกจิกๆๆ หึหึ" พร้อมๆกับความลุ้นแทบหัวใจวาย ผลที่ได้เป็นเสียงดีใจแทบบ้า

       

      "เย้!!! เป็นสามดอกจิกว้อย! ฮ่า ฮ่า เรียงเป็น 2 3 4 ดอกจิกเรียงกัน ชนะขาด...! ฮ่า ฮ่า ฮ่า จ่ายมาเลย จ่ายมาๆๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า"

       

      "ผัวะ! ไอ้บ้า..! เสียมากกว่าได้อย่างมึง จะส่งเสียงมากไปแล้วนะโว้ย.. เดี๋ยวพ่อมึงก็มาหรอก" แป้น หนึ่งในสมาชิกวงไพ่ตบกบาลฉาดใหญ่ให้ ปึ๊ด พร้อมกับบ่นอีกหนึ่งยก

       

      "เฮ้ย! นี่แป้น เดี๋ยวพ่อมึงมาแล้วนะ ต้องรีบเก็บซะนะไพ่ของมึงอ่ะ ก่อนที่จะซวยโดนหักคะแนนไปซะทุกคนที่อยู่ในห้อง" เขาพูด แต่แป้นทำเหมือนไม่ได้ยิน ไม่รู้ว่าแป้นฟังสิ่งที่เขาเตือนหรือเปล่า เหมือนเขาพูดอยู่ฝ่ายเดียว แต่ไม่แปลกอะไร ปกติแล้วในวันหนึ่งเขาก็ไม่ได้พูดคุยกับใครมากนัก

       

       

      .............................

       

       

      เวลา 16:40 น.

       

      หลังจากเรียนวิชาสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย เขาไปที่ห้องพักครูวิชาภาษาไทย

       

      เขาเดินเข้าห้องพักครูพร้อมกับพูดว่า "ขออนุญาตครับ" ในห้องมีคุณครูวีรวรรณที่เคยสอนภาษาไทยตอนเขาอยู่ตอน ม.4 มาก่อน แกนั่งดูโทรทัศน์อยู่คนเดียว

       

      "เชื้อไวรัสอินแนนทิโอเมอร์หรือ ITM16 ระบาดอย่างหนักในประเทศอินโดนีเซีย จำนวนผู้เสียชีวิตขณะนี้เพียงเวลา 1 เดือน เพิ่มขึ้นจาก 150 ราย เป็น 1,000 รายแล้ว เป็นโรคระบาดที่ร้ายแรงในรอบ 200 ปี รองจากโรคไข้ทรพิษ นอกจากประเทศอินโดนีเซียแล้วยังไม่ได้รับการรายงานการเสียชีวิตด้วยโรคนี้ในประเทศอื่นเลย"

       

      หน้าจอโทรทัศน์กลับเป็นใบหน้าของผู้ประกาศข่าวตามเดิม "ต่อไป โปรดติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของฟุตบอลโลกกับคุณวันดีและละครแดจังกึมเป็นรายการต่อไปครับ"

       

      เขาวางงานแต่งเรื่องสั้นที่เพิ่งทำเสร็จเมื่อเย็นนี้ไว้ที่โต๊ะคุณครูแล้วเดินออกจากห้อง

       

       

      ............................

       

       

      "หือ...?" คุณครูวีรวรรณเอะใจ เธอมองไปที่ประตูของห้องพักครู

       

      "เมื่อกี๊เหมือนมีใครเปิดประตูออกไปแฮะ  .....แปลกจริง" เธอรำพึงกับตนเองสีหน้าดูงงงวย

       

      "อือ... คิดไปเองมั้ง"

       

       

      ..................................

       

       

      เวลา 20:15 น.

       

      เวลานี้เป็นเวลาปกติที่ผมต้องกลับบ้านไปแล้ว แต่ไม่รู้เพราะอะไร เขาเองก็ไม่เข้าใจ ไม่น่าเป็นไปได้

       

      'ผมจำทางกลับบ้านของตัวเองไม่ได้!? ทำไมถึงนึกไม่ออก? บ้านของตัวเองแท้ๆ ทำไมลืมได้ง่ายดายอย่างนี้!? สมองเสื่อมหรือไง?' เขานั่งนึกถึงทางกลับบ้านของตนอยู่เสียนาน นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก เขาตั้งคำถามกับมากมายในหัวสมองพร้อมคิดอย่างเป็นเป็นเหตุผลและความสมเหตุสมผล แต่เขาไม่สามารถตอบคำถามเหล่านั้นได้สักคำถามเดียว

       

      ในที่สุดคำถามสุดท้ายมาถึง 'เกิดอะไรขึ้นกับตัวผม!?'

       

       

      ...........................

       

       

      3 วันต่อมา

       

      เพราะจำทางกลับบ้านไม่ได้ 3 วันที่ผ่านมาเขาจึงเอาแต่เที่ยวล่องลอยไปมา พบคนนั้นคนนี้บ้าง บางคนไม่ได้พบหน้ากันมาเสียนาน บางคนพบกันอยู่แล้วทุกวัน บางคนเขาไม่รู้จักแต่กลับทักทายกันอย่างสนิทสนม

       

      และน่าแปลกที่สุด คือ เกินครึ่งเป็นคนที่ตายไปแล้ว เหลือแต่วิญญาณล่องลอยไปมา เขาคิดว่าน่าจะเป็นเพราะเขามีสัมผัสพิเศษ สามารถมองเห็นวิญญาณหรือผีได้ เป็นเรื่องที่ไม่สามารถเป็นไปได้เท่าไรนักที่เขาเพิ่งจะมีสัมผัสที่ 6 อย่างแรงกล้าตอนนี้ แต่เขาเชื่อแล้วว่า มันเป็นไปแล้ว

       

      เขาเดินทางกลับบ้าน เพราะในที่สุด เขานึกทางกลับบ้านออกจนได้ แต่ขณะนี้เองเขายังไม่รู้ว่าเพราะเหตุอะไร ทำไมเขาถึงไม่รู้จักทางกลับบ้านของตนเอง

       

      เมื่อกลับมาถึงบ้าน เขาร้องเรียกแม่พร้อมกับกล่าวคำขอโทษทันที เขารู้สึกผิดที่ไม่กลับบ้านเป็นเวลา 3 วันเพราะเอาแต่เที่ยว แต่สาเหตุที่แท้จริง คือ เขาหาทางกลับบ้านไม่ได้ ซึ่งฟังดูแล้วมันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย เขาจึงจำใจยอมรับผิดแต่โดยดี

       

       

      ..................................

       

       

      ตาฉันบวมเป่งราวกับผ่านการร้องไห้เศร้าโศกมานานวันนานคืน หน้าตาดูไม่สดชื่นดังเดิม ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งสิ้น แม้กระทั่งการนอน ฉันก็ยังนอนไม่หลับ เฝ้าคิดถึงคนๆหนึ่งที่ฉันเคยคอยดูแลมาก่อน

       

      วันนี้ฉันรู้สึกแปลกๆ ฉันได้ยินเสียงก๊อกๆแก๊กๆจากหลายๆที่ของตัวบ้านราวกับที่ตรงนั้นมีคนอยู่ ฉันลองเดินไปดูแล้วพินิจให้ดี ที่จริงแล้ว ที่ตรงนั้นไม่มีใครอยู่เลยสักคน แต่ฉันแน่ใจว่า ฉันได้ยินจริงๆ เสียงที่เหมือนกับว่ามีคนอยู่หรือหยิบของอะไรสักอย่างตรงนั้น

       

      ฉันเคยได้ยินโบราณเคยว่าไว้อย่างนั้น ฉันไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไรนัก แต่ตอนนี้ฉันเชื่อแล้ว ว่ามันเป็นเรื่องจริง

       

       

      ..................................

       

       

      หลายนาทีผ่านไป แม่เขายืนอยู่ต่อหน้าเขา ตาบวมอย่างกับร้องไห้เสียใจอย่างมากต่ออะไรสักอย่างเป็นเวลานาน  น้ำตาใสๆคลอเบ้าและยังคงไหลไม่หยุด

       

      "ดอน... ดอน...ๆ ดอนอยู่ไหน?  ดอนลูกแม่ ตอบแม่ซิลูก" แม่หาลูกไม่เจอ จึงหมุนตัวไปรอบๆ ยื่นมือสู่กลางอากาศควานหาสิ่งที่ไม่น่าจะหาพบ ร้องเรียกลูกราวกับพร่ำเพ้อออกมา ทั้งๆที่เขาก็ยืนอยู่ต่อหน้าแม่ตั้งนานแล้วแท้ๆ แต่ดูท่าทางแม่จะไม่เห็นเขา

       

      "แม่... แม่  ดอน...อยู่นี่ไง..แม่  แม่ๆๆ แม่...ไม่เห็น...เหรอ?  ดอน..อยู่นี่ไง ทำ..ไมแม่...มองไม่เห็น..ล่ะ?  ดอน...ก็อยู่...ตรงนี้...แล้ว..ไงล่ะ..แม่" เขาร้องเรียกแม่ โผเข้ากอด น้ำตาไหลเป็นทาง

       

      เมื่อมีเสียงเอะอะ ผู้เป็นพ่อเดินเข้ามาด้วยอาการเศร้าสร้อยหมดอาลัยตายอยาก ขาที่ราวกับพร้อมจะล้มได้ตลอดเวลาย่อตัวลง มืออันสั่นเทายื่นมาโอบหน้าแม่ไว้ที่อก เสียงสั่นๆเปล่งจากลำคอปลอบแม่ "ดอน... ดอนไป..แล้วล่ะ  ........แม่... ดอน..ไม่  ......อยู่...แล้ว  ดอน....ไม่อยู่   .....แล้ว......" เขาได้ยินพ่อพึมพัมอะไรไม่รู้ ฟังไม่รู้เรื่อง

       

      "เกิดอะไรขึ้นกับตัวผม!?" เขาตะโกนถามตัวเองอีกครั้ง มือกุมหัวอย่างคนวิกลจริต แทบจะบ้าเต็มที

       

       

      ............................

       

       

      5 วันแล้ว ท่ามกลางความสับสนของเด็กชาย สุทธิพงศ์ ที่ไม่เข้าใจ เกิดอะไรขึ้นกับตนเอง

       

      เช้านี้ เขาเห็นแม่ออกจากบ้าน เขาจึงตามแม่ไป เพราะอะไรดลใจไม่อาจทราบ เพียงแค่เขารู้ตัวว่า อาจทำให้เขารู้อะไรบางอย่าง

       

      ปลายทางที่แม่เดินทางไปถึงเป็นวัดแห่งหนึ่ง ที่นั่นเพื่อนๆที่คุ้นเคยกันดีได้มาพร้อมหน้าพร้อมตาราวกับนัดหมายกันเอาไว้ อีกทั้งญาติวงศ์ตระกูลของเขาและคนรู้จักของผู้ที่เกี่ยวข้องงานคราวนี้ทั้งหลายได้อยู่ในงานด้วย

       

      ไม่นานนัก สิ่งที่ทุกคนเหมือนกำลังรอคอยให้มา ก็ได้มา โลงที่เหมือนโลงศพ ได้ถูกชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งขนย้ายไปวางไว้ข้างในศาลา

       

      ณ วินาทีนั้น เขาสังเกตเห็นรูปตัวเองที่ขณะนี้มันตั้งอยู่หน้าโลงไม้

       

      มีคำว่า ชาตะ 5 สิงหาคม 2535 และมรณะ 17 กรกฏาคม 2549 อยู่ข้างใต้รูป

       

      เขาเริ่มเข้าใจในสิ่งที่เคยเกิดขึ้น

       

       

      ..................

       

       

      เมื่อเช้า ขณะที่เขากำลังข้ามถนน มีรถเก่งเก่าๆคันหนึ่งขับมาด้วยความเร็ว หักเลี้ยวตีวงแคบมาจากสี่แยกเข้าสู่ถนนสุขุมวิท

       

      "เฮ้ย!!!" เขาอุทานออกมาด้วยความตกใจสุดขีด

       

      "โครม...!!!!!" ร่างของเด็กชายกระเด็นไปไกลเกิน 100 เมตร

       

      "ขับรถให้มันดีๆหน่อยสิวะ!! แฮ่ก.. แฮ่ก... เกือบตายแล้ว แฮ่ก.. แฮ่ก... แฮ่ก.."

       

      หลังจากต่อว่าเจ้าของรถ เขาเดินข้ามถนนต่อไป ทิ้งให้นักตีนผีเจ้าของรถเก๋งบุโรทั่งและกลุ่มคนชาวไทยมุงจำนวนหนึ่งไว้ข้างหลัง

       

       

      ......................

       

       

      เขาใช้ชีวิตตามปกติโดยทั้งๆที่ไม่มีชีวิตให้ใช้อีกแล้ว ไม่เอะใจสักนิดเดียวว่าตนเองได้ตายไปด้วยรถเก่าๆคันนั้น

       

      เพียงเพราะความมักง่าย เพียงเพราะอารมณ์ไม่ดี เพียงเพราะความชั่ววูบ เพียงเพราะกลัวจะโดนหักคะแนน เพียงเพราะความเร่งรีบ และเพียงเพราะเพื่อเวลาเล็กๆน้อยๆ

       

      สิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ อาจเป็นที่ไม่น่าสนใจ ไม่น่าใส่ใจ แต่มันสามารถตัดสินชีวิตทั้งชีวิตได้

       

      จะดีกว่าไหม? ถ้ายอมสละเวลาเล็กๆน้อยๆส่วนนั้น มารักษาความปลอดภัยเพื่อการยืดชีวิตของตนต่อไป จะได้ไม่เสียเวลาที่มีชีวิตอยู่มาตลอดซึ่งมากกว่าเวลาเพียงไม่กี่นาทีและวินาทีที่เราอุตส่าห์รีบเร่งทำเพื่อมัน

       

      ต่อมา งานศพของเขาในตอนเย็นได้เริ่มขึ้น บรรยากาศเศร้าเคล้าน้ำตามีให้รู้สึกถึงไปทั่วทั้งงาน ตอกย้ำให้เขาคิดว่า ได้ตายไปแล้ว เขานั่งร้องไห้คนเดียวในมุมหนึ่งใกล้ๆงานของวัด พินิจพิจารณาและเศร้าเสียใจกับสิ่งที่ตนผิดพลาดพลั้งทำลงไป

       

      แต่สุดท้าย คนที่เสียใจมากที่สุด ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคนที่อยู่ข้างหลังเรา

       

      คนที่รอคอยผลสำเร็จแห่งความหวังของเรา คนที่รอคอยดูแลตั้งแต่เล็กจนโต คนที่มีความห่วงใยอย่างเปิดเผยต่อเราตลอดเวลา และเป็นคนที่หยิบหมากฝรั่งที่เคี้ยวแล้วของเราด้วยมือเปล่าโดยไม่แสดงความรังเกียจ

       

      พวกเขา คือ พ่อแม่..... ก่อนทำอันใดพวกเขาเฝ้านึกถึงพวกคุณตลอดเวลา  แล้วคุณล่ะ.. ก่อนกระทำใดๆ คุณเคยนึกถึงพวกเขาไหม...?

       

      จบครับ...

       

      เริ่มแต่งเมื่อ วันพุธที่ 27 กันยายน 2549 จนถึง วันเสาร์ที่ 30 กันยายน 2549

       

      นามปากกา น้ำตาจากฟากฟ้า

      สำหรับผู้อ่านที่ยังไม่เข้าใจ

      เอกะเทยควาย 5/5 เป็นไข้นอนซมไป 2 วัน เต็มๆ เมื่อรู้ว่าเอตายแล้วและตายก่อนที่จะได้คุยกันกับตัวเองด้วย เอเห็นดอนผู้ที่ตายไปแล้วได้เพราะว่า เอเป็นคนมีสัมผัสที่ 6 อย่างแท้จริง พักนี้เอป่วยบ่อยน้อยลงหน่อย เพราะค่อนข้างจะชินกับสิ่งพิเศษที่ตนมี

      ตั้งแต่โบร่ำโบราณมาแล้ว เชื่อกันว่า เวลาคนตาย มักจะไม่รู้ตัว หาทางกลับบ้านไม่ได้เป็นเวลาอย่างน้อย 3 วัน

      พอ 3 วัน ถึงจะจำทางกลับบ้านได้ พอถึงบ้าน จะเกิดมีเสียงที่เกิดขึ้นตามปกติที่คนๆนั้นดำรงชีวิตอยู่ในชีวิตประจำวัน ทั้งๆที่คนๆนั้นได้ตายไปแล้ว เช่น เหมือนคนวางของ หยิบของ หรือเสียงเดินไปที่ต่างๆ

      งานศพจะจัดในวันคี่หลังจากผู้ตายได้ตายไป

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×