‘ถึง ใครก็ตามที่ได้รับจดหมายฉบับนี้
หวังว่าเราคงจะเป็นเพื่อนกันได้ หากเธอยินดีที่จะเป็นเพื่อนกันก็เขียนไว้หน้าต่อไปเลยนะ แล้วเราจะได้คุยกัน
จาก เพื่อนใหม่ของเธอ’
ทันทีที่ฉันจรดปลายปากกาลูกลื่นลงบนกระดาษหน้าแรกของสมุดเสร็จ ก็จัดแจงปิดสมุดลง แล้วสอดปากกาเอาไว้ข้างใน ฉันออกเดินจากบ้านแล้วใส่สมุดเล่มนี้ลงในกล่องรับจดหมายสีแดงที่มีสนิมเขลอะ หน้าบ้านร้าง ถึงแม้จะมีความหวังเพียงน้อยนิดแต่ฉันก็หวังว่าจะมีคนพบมัน หลังจากที่ฉันถูกรังเกียจจากเพื่อนที่โรงเรียน จึงได้ตัดสินใจหาเพื่อนด้วยวิธีนี้ เพื่อว่าเพื่อนใหม่คนนั้นจะช่วยปลอบใจฉันได้บ้าง แม้สักนิดก็ยังดี
ผมก้าวเท้าออกจากบ้านด้วยความรู้สึกเศร้า แม่ไม่เข้าใจผมเลยสักนิด ผมไม่ได้ต้องการจะไปเรียนต่างประเทศ แต่ผมต้องการอยู่ที่นี่ ที่บ้านของผม ในที่ที่เพื่อนของผมอยู่ ผมออกเดินไปอย่างไร้จุดหมาย ผ่านบ้านร้างหลังหนึ่ง แล้วสายตาของพบก็สะดุด กับสมุดเล่มเล็กที่อยู่ในกล่องจดหมายสีแดงนั่น เท้าของผมออกเดินตรงไปหามันทันที ผมอ่านข้อความในสมุด แล้วยิ้มออกมา ก่อนที่ผมจะตัดสินใจพลิกหน้าถัดไป แล้วลงมือเขียนข้อความ
‘ถึง เพื่อนใหม่ที่หวังจะได้รู้จัก
ฉันยินดีที่จะเป็นเพื่อนกับเธอ และหวังว่าเราคงจะคุยกันได้ ฉันมีความทุกข์ที่จะเล่าให้เธอฟังเยอะแยะพอดู หวังว่าเธอคงจะเป็นผู้ฟังที่ดีให้กับฉันได้
จาก เพื่อนใหม่ของเธอ’
ฉันเดินกลับบ้านในเวลากลางคืน สายตาก็ไปสะดุดกลับสมุดเล่มนั้นของตัวเอง ฉันเอื้อมมือไปหยิบออกมาดูแล้วก็ต้องยิ้มที่เห็นว่ายังมีคนตอบฉันอยู่ ฉันทรุดตัวลงที่ฟุตบาทแล้วเริ่มลงมือเขียนตอบทันที
‘ถึง เพื่อนใหม่ที่ยินดีจะรู้จัก
เราจะได้คุยกันแน่ ผ่านสมุดเล่มนี้ หากเธอมีความทุกข์ยังไง ฉันก็ยินดีที่จะรับฟัง เพราะไม่ใช่เธอคนเดียวที่มีความทุกข์ ฉันเองก็มี เพื่อนๆที่โรงเรียนพากันเกลียดฉันเพราะบ้านฉันจน ฉันไม่เข้าใจเลยว่าฉันเกิดมาเป็นอย่างนี้แล้วจะให้ทำยังไงได้ล่ะ ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากเกิดมารวยเหมือนกัน แล้วเธอล่ะคิดยังไง ยังอยากเป็นเพื่อนกับฉันอยู่ไหมล่ะ
จาก เพื่อนใหม่ที่รู้จักมาได้สักพัก’
‘ถึง เพื่อนใหม่ที่กำลังมีความทุกข์
ถึงจะไม่มีใครคบ แต่ฉันยังเป็นเพื่อนเธอนะ อยากบอกให้เธอรู้ว่าจนรวยไม่สำคัญ มันอยู่ที่ใจต่างหากแล้วฉันเองก็ไม่คิดจะเลิกคบเธอด้วย แล้วบางทีไม่ใช่ว่าเกิดเป็นคนรวยจะดีไปซะทุกอย่างหรอกนะ อย่างที่เธอบอกทุกคนก็มีความทุกข์เช่นกัน
จาก เพื่อนใหม่ที่รู้จักมาได้สักพัก’
เราเขียนตอบกันไปอย่างนี้เรื่อยๆ จนจากคำว่าเพื่อนใหม่ กลายมาเป็น เพื่อนใหม่ที่รู้จักกันมานาน ฉันรู้สึกดีที่มีเพื่อนดีๆ อย่างนี้ ฉันมีโอกาสได้เล่าเรื่องราวมากมายให้เพื่อนคนนี้ฟัง กว่าฉันจะรู้ตัวว่าเขาเป็นผู้ชายก็นานพอดูเลยทีเดียว ระหว่างฉันกับเขามันเหมือนว่ารู้จักกันมานานจนเหมือนฉันรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขา ฉันรู้ว่าเขาชอบผู้หญิงผมยาว ยังอดเสียใจไม่ได้ที่ผมของตัวเองสั้นเต่ออย่างนี้ แต่ฉันก็ต้องบอกกลับตัวเองว่าต่อแต่ไปนี้จะไว้ผมยาว แม้ว่ามันคงสร้างความรำคาญให้กับฉันน่าดูเชียว ตลอดระยะเวลาที่คุยกันมันทำให้ฉันรู้สึกมีความสุข สุขซะจนไม่อยากให้มีวันนี้เลย
เย็นวันนั้นฉันเดินกลับบ้านก่อนที่จะเห็นว่าบ้านร้างหลังนั้นได้ถูกทุบทิ้ง ฉันอดรู้สึกใจหายได้ เพราะบ้านหลังนั้นเต็มไปด้วยความทรงจำสำหรับฉัน ฉันจึงตัดสินใจเดินเข้าไปถามคนงานแถวนั้นว่า
“พี่ค่ะ จะทุบบ้านหลังนี้ทำไหมหรอค่ะ”
“อ๋อ เจ้าของคนเก่าเพิ่งจะขายบ้านหลังนี้ไป เจ้าของคนใหม่เลยตัดสินใจที่จะทุบทิ้งแล้วสร้างใหม่เพราะเขาจะมาอยู่น่ะ”
ฉันใจหายวูบนึกว่าคงจะไม่ได้คุยกับเขาคนนั้นอีกแล้ว ฉันรีบกระวีกระวาดเปิดสมุดเล่มนั้นโดยที่ไม่ได้อ่านหน้าก่อนหน้าสุดท้าย ก่อนที่จะพบว่าเหลืออีกเพียงหน้าเดียวที่ว่างเท่านั้น มันทำให้ฉันอดรู้สึกไม่ได้ว่ามันจะเป็นหน้าสุดท้ายสำหรับเรา
‘ถึง เพื่อนใหม่ที่รู้จักกันมานาน
บ้านร้างหลังนี้กำลังจะมีคนย้ายมาอยู่ เราคงไม่สามารถติดต่อกันอย่างนี้ได้อีกแล้วล่ะ นายช่วยบอกให้รู้หน่อยได้ไหมว่านายเป็นใคร แล้วฉันจะเจอนายได้ยังไง
จาก เพื่อนใหม่ที่รู้จักกันมานาน’
ฉันจรดปากกาแล้วรีบวิ่งกลับบ้านเพราะนึกขึ้นได้ว่าเย็นนี้เป็นหน้าที่ของฉันต้องเฝ้าบ้าน ทำให้ไม่อาจอยู่รอคนที่ฉันหวังกลับมาตอบข้อความได้ แต่ฉันหวังเป็นที่สุดว่าลางสังหรณ์ของฉันจะไม่เป็นจริง
4 ปีผ่านมาแล้ว มันนานเหลือเกินนับจากวันนั้น ฉันไม่เคยได้รับการตอบกลับจากเขาเลย ไม่มีแม้เพียงเศษกระดาษแผ่นเล็กๆ เจ้าของคนใหม่เอากล่องรับจดหมายนั้นออกทำให้ฉันต้องรีบไปเอามันมาจากกองขยะเพราะเห็นว่ามันเป็นของมีค่าสำหรับเรา ฉันทำตัวเหมือนคนบ้าคอยแต่จะเดินผ่านบ้านหลังนั้นอยู่บ่อยครั้ง เพราะหวังว่าเขาจะปรากฏตัว แต่กลับไม่มีแม้แต่เงา
สองเท้าของฉันออกเดินไปเรื่อยๆ ก่อนที่ฉันจะตัดสินใจนั่งลงที่ริมคลอง มือของฉันล้วงลงไปหยิบกระดาษในกระเป๋า ก่อนที่จะเขียนความรู้สึกที่เก็บมานานตลอดสี่ปีลงไปในกระดาษ แล้วพับมันเป็นจรวดก่อนจะปล่อยมันลอยไปในสายลม ความรู้สึกทั้งหลายมันประดังประเดเข้ามา ทั้งความรู้สึกที่ว่าคิดถึง และความรู้สึกเศร้า เกิดคำถามมากมายในใจฉัน
“ถึงใครก็ตามที่ได้รับจดหมายนี้ แด่หัวใจทั้งหมดที่มีให้ ได้โปรดกลับมาหาฉันที” ฉันตระโกนออกไป
ฉันทรุดตัวลงกับพื้นหญ้าอันอ่อนนุ่ม หากแต่ความอ่อนนุ่มของพื้นหญ้าไม่ได้บรรเทาความเศร้าในใจของฉันเลย สายลมพัดผ่านผมสีดำยาวของฉัน ผมที่ฉันอุตส่าห์ไว้มาตลอดสี่ปี ทั้งๆที่ตนไม่เคยชอบไว้ผมยาวเลย หยาดน้ำตาหยดเล็กๆ ไปจนถึงหยดใหญ่ๆ ไหลลงอาบแก้ม ทั้งๆที่ฉันเคยคิดว่าตนเองเป็นคนเข้มแข็ง แต่มาวันนี้ฉันกลับทำได้เพียงปล่อยให้หยาดน้ำตาไหลอาบแก้มไปอย่างนั้น ความเศร้ามากมายมันมากเกินกว่าที่ฉันจะรับไหว มันทำให้ฉันแทบบ้า ความรู้สึกที่ว่าจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้วมันยากเกินกว่าจะรับได้
ในขณะที่ฉันกำลังนั่งจมอยู่กับความทุกข์ จรวดกระดาษสีขาวมากมายลอยละล่องมาที่ฉัน ก่อนที่ฉันจะได้ยินเสียงตะโกนว่า
“ถึงใครก็ตามที่ได้รับจดหมายนี้ แด่หัวใจที่ทั้งหมดที่มีให้ เธอได้ยินฉันหรือเปล่า”
น้ำตาของฉันที่ว่าไหลพรากอยู่แล้วกลับไหลมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมหากแต่คราวนี้เป็นน้ำตาแห่งความยินดี ไม่ใช่น้ำตาแห่งความเศร้าอีกต่อไป มือของฉันเอื้อมไปหยิบจรวดลำหนึ่งพร้อมเปิดออกอ่าน ข้างในนั้นมีข้อความสั้นๆ ว่า ‘ขอโทษ’ เขียนด้วยลายมือที่ฉันคุ้นเคยดีเป็นที่สุด ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าของคนที่รีบเร่งวิ่งความสะพานมาที่ฝั่งนี้ก่อนที่เท้าคู่นั้นจะหยุดอยู่ข้างหลังฉัน ฉันได้ยินเสียงหอบก่อนที่จะสัมผัสถึงความอบอุ่นที่โอบรอบตัว
“ขอโทษ” เสียงนุ่มทุ้มของเขาเอ่ยเบาๆที่ข้างหูของฉัน แค่คำๆเดียวเท่านั้นแต่กลับทำให้ฉันรู้สึกยินดีเป็นที่สุด ฉันคงไม่ขออะไรไปมากกว่านี้แล้ว
4 ปีที่แล้ว
ผมเพิ่งรู้จากแม่ แม่บังคับให้ผมไปเรียนต่างประเทศ แต่จะให้ผมทำยังไงในเมื่อผมยังไม่รู้จักเธอเลย สองเท้าของผมวิ่งอย่างรวดเร็วไปที่กล่องรับจดหมายสีแดงนั่น แล้วลงมือจรดปากกา
‘ถึง คนที่ฉันรักมากที่สุด
ฉันคงจำเป็นต้องไปแล้ว ไปสู่ประเทศอื่นที่ไม่มีเธอ เครื่องจะออกในวันพรุ่งนี้ตอนเก้าโมงเช้า ฉันจะรอเธอให้นานที่สุดที่หน้าประตู หวังเราคงจะได้เจอกัน
จาก คนที่รักเธอมากที่สุด’
ผมเอาสมุดเล่มเล็กไว้ในกล่องจดหมาย แล้วนั่งรอเธออยู่หลายชั่วโมง แต่ก็ไม่วี่แววของเธอเลย ผมจึงตัดสินใจกลับบ้าน หวังว่าพรุ่งนี้เราคงได้เจอกัน
สิบเอ็ดโมงแล้วแต่เธอก็ยังไม่ปรากฏตัว ผมถูกแม่รุนหลังให้ขึ้นเครื่องไป วันนั้นน้ำตาของผมไหลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมเสียใจ เสียใจเหลือเกินที่ความหวังของผมไม่เป็นจริง
สี่ปีต่อมา ผมกลับมาที่เมืองไทย ทันทีที่ผมมาถึงผมก็รีบเร่งไปที่บ้านร้างหลังนั้น แต่สิ่งที่ผมเห็นกลับไม่ใช่บ้านร้างที่มีกล่องจดหมายสีแดงสนิมเขลอะอยู่ข้างหน้า สองเท้าของผมออกวิ่งไปอย่างไร้จุดหมายเพียงแค่ขอให้พบเธอ ถึงแม้ว่าพบจะไม่รู้จักหน้าตาของเธอ แต่ผมเชื่อว่าพระเจ้าคงไม่ใจร้ายกับผมไปมากกว่านี้หรอก ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยคำพูดที่ผมคิดถึงพร้อมกับจรวดกระดาษที่ลอยมาตรงหน้า แค่มองแวบเดียวผมก็รู้ว่าเป็นเธอ ผู้หญิงผมยาวที่นั่งทรุดอยู่กับพื้นหญ้า
ผมรีบเขียนคำว่าขอโทษมากมายลงในกระดาษสีขาว แล้วพับมันเป็นจรวดก่อนส่งมันไปที่เธอคนนั้น พร้อมกับตะโกน สองเท้าของผมออกวิ่งอย่างเร็วที่สุดไปหาเธอ แล้วผมก็หยุดที่ข้างหลังเธอแล้วโผเข้ากอด พร้อมบอกคำที่ผมอยากบอกมาตลอด ว่าผมขอโทษ
ผมอธิบายเรื่องราวให้เธอฟัง เธอยังคงเป็นเหมือนเดิมเสมอเอาแต่พึมพำว่าไม่เป็นไร เราสองคนคุยกันเสียจนดึก นั่นทำให้ผมรู้ว่าความรักของเราแค่เพียงกระดาษแผ่นบางๆกั้น ถ้าเพียงแต่วันนั้นผมไม่วิ่งเสียจนเหงื่อชื้นไปทั้งมือ ถ้าเพียงแต่วันนั้นผมไม่ทำกระดาษแผ่นนั้นเปียก ถ้าพียงแต่วันนั้นกระดาษไม่ได้ติดกัน เราคงได้เจอกันเร็วกว่านี้ แต่ผมก็พอใจกับสิ่งที่มันเป็น แค่เพียงเท่านี้ก็พอแล้วที่ผมต้องการ ผมไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้แล้ว
‘ถึง ใครก็ตามที่ได้รับจดหมายนี้
ผมอยากจะเล่าให้พวกคุณได้ฟังว่า ความรักมีค่าเพียงใด ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไรแต่มันก็ยังคงอยู่...
จาก คนที่หวังดีกับคุณ’
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น