คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 1 : คำขอพรจากหญิงผู้พ่ายรัก (3)
กว่าห้าปีแล้วที่เลอโฉมไม่ได้เห็นหน้าคร่าตาชายผู้เป็นรักแรก ทั้งที่เหตุการณ์ผ่านพ้นมานาน แต่ยังจดจำวันคืนขณะคบหากันตลอดหนึ่งปีได้อย่างแม่นยำ ตอนนั้นหญิงสาวเพิ่งเรียนจบชั้นมัธยมปลายจากโรงเรียนเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง คุณทรงพลก็ส่งไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งเลื่องชื่อเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจและบริหารการโรงแรม ถึงขนาดใครต่อใครที่มีทุนทรัพย์เพียงพอก็มักส่งบุตรหลานเข้าเรียนต่อที่นี่เพื่อหมายให้สืบต่อกิจการส่วนตัวภายภาคหน้า ไม่ต่างจากผู้เป็นบิดาที่กำชับหนักหนาว่าให้หอบหิ้วความรู้กลับมาพัฒนาบริษัทเศวตวรกุลมากที่สุด
ดินแดนต่างบ้านต่างเมืองอาจดูน่ากลัวอยู่บ้างสำหรับผู้หญิงไทยตัวเล็กๆ รูปร่างบอบบางวัยสิบเก้าปี แต่ใช้เวลาปรับตัวไม่นานเลอโฉมก็ได้เพื่อนมากมาย จนสามารถรวมกลุ่มเป็นแก๊งค์สาวดาวเด่นประจำมหาวิทยาลัย เท่าที่สนิทสนมก็มี นุชวรา มอร์แกน กับ รสินทรา คาร์เตอร์ ซึ่งเป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกันทั้งคู่ ทำให้พูดคุยกันง่าย นอกจากนี้ยังมีแม่สาวสัญชาติอเมริกันอีกสองคน คือ มาเรีย ฮิลล์ กับ เฮเลน ปาร์คเกอร์ ทุกคนล้วนสะสวยจนต้องตาต้องใจชายหนุ่มทุกคนที่ได้พบเห็น แต่เธอซี้กับนุชวรามากกว่าใครเพราะเรียนบริหารการโรงแรมเหมือนกัน ต่างจากรสินทรา มาเรีย และ เฮเลนที่เลือกเรียนด้านบริหารธุรกิจ กระนั้นก็ไม่เป็นปัญหาเพราะได้เจอทุกคนตอนพักเที่ยงกับหลังเลิกเรียนทุกวัน
เพียงครึ่งเทอมหลังจากนั้นแก๊งค์สาวดาวเด่นประจำมหาวิทยาลัยก็ต้องขาดสมาชิกสำคัญหนึ่งคน คือ นุชวรา หล่อนทำเรื่องโอนหน่วยกิตไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่ประเทศไทยกะทันหันด้วยสาเหตุทะเลาะวิวาทกับผู้ชายที่เข้ามาจีบ ครั้นขาดเพื่อนคู่ใจอย่างไม่ทันตั้งตัวทำเอาช่วงนั้นเลอโฉมถึงกับเคว้งคว้าง ห้องพักนักศึกษาแคบๆที่เช่าอยู่ด้วยกันกว้างขวางขึ้นถนัดตา แม้รสินทรา มาเรีย และ เฮเลน คอยชักชวนเธอไปเที่ยวเล่นหลังเลิกเรียนบ่อยครั้ง แต่พอกลับมาถึงที่พักก็ต้องรู้สึกเหงาหงอยเช่นเดิม กระทั่งวันหนึ่งพวกเพื่อนๆได้ชักชวนไปปาร์ตี้ที่ผับ เธอได้เจอ ‘พอล’ หนุ่มไทยวัยยี่สิบปี ที่ข้ามจากรัฐมิชิแกนมาฝึกงานยังรัฐนิวยอร์กโดยบังเอิญ
อาจดูเหมือนเรื่องตลกเหลือเชื่อ เมื่อแรกพบสบตาทั้งคู่ก็ตกหลุมรักกันและกันทันที
“ควีน...คุณรู้ไหมว่าคุณเป็นแฟนคนแรกของผม” ชายหนุ่มสารภาพความลับนี้หลังคบหาหญิงสาวได้ราวสามเดือน ขณะช่วยกันทำอาหารเย็นรับประทานในห้องพักของเขา
ใบหน้าหล่อเหลาแดงระเรื่อเขินอายราวเด็กน้อยไม่ประสีประสาเรื่องความรัก เท่าที่ผ่านมาชายหนุ่มแสดงความรักกับเลอโฉมแค่เพียงกุมมือ กับ หอมแก้ม ตอนไปเที่ยวสวนสนุกเท่านั้น ส่วนเรื่องอย่างว่าอย่าได้คิด...เพราะแค่คิดตัวเขาก็ประหม่าจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว
“พอล...คุณเองก็เป็นแฟนคนแรกของฉันเหมือนกัน” ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยถูกใจชายใดสักคนจนกระทั่งเจอเขา “ไม่รู้ว่าฉันชอบคุณเพราะอะไร อาจเพราะความอบอุ่นอ่อนโยนของคุณล่ะมั้ง” ชายหนุ่มไม่เคยล่วงเกินเธอจนเกินควร แม้อยู่สองต่อสองในสถานที่ลับตาคนเพียงใดก็ไม่เคยฉวยโอกาสสักครั้ง
“ผมเองก็ชอบในความเอาใจใส่ที่คุณมีต่อผม คอยผลัดกันไปมาหาสู่เสมอต้นเสมอปลาย ทั้งที่คุณเองก็มีผู้ชายมากมายมาจีบแต่ก็ไม่ไขว้เขวปันใจให้คนอื่น ออ...แล้วผมก็รักในนิสัยดื้อรั้นเหมือนเด็กของคุณด้วย”
“แต่ฉันไม่ใช่เด็กนะ!” คนตัวเล็กพองแก้มป่องสองข้างเหมือนปลาทองสีสวยในโหลแก้วที่ชายหนุ่มเลี้ยงเอาไว้
“โอเคๆ...ถ้าเช่นนั้นผมคงรักใบหน้าสวยๆของคุณ” เชยคางมนขึ้นมาพินิจความงามของหญิงคนรัก "ใบหน้าขาวๆนี้ทำให้ผมนึกถึงดอกลิลลี่สีขาวสะอาดตาที่มีความหมาย ว่า...ความรักบริสุทธิ์อันแสนอ่อนโยนและอ่อนหวานดุจดั่งรักแรกพบ”
“ว้าว! โรแมนติกจังเลย”
“นับจากวันนี้ผมจะซื้อดอกลิลลี่ให้คุณวันละหนึ่งดอก เพื่อเป็นสิ่งแทนใจในรักของผมว่าจะซื่อสัตย์ต่อคุณเสมอไป” แม้จะสิ้นเปลืองบ้างแต่เพื่อความรักที่มีต่อเลอโฉมเขาก็พร้อมจะทุ่มเท
ทุกๆเช้าหลังจากวันนั้นในตู้ล็อคเกอร์ของเลอโฉมตรงด้านล่างหอพักนักศึกษาจะปรากฏดอกลิลลี่สีขาวเสียบเอาไว้พร้อมถ้อยคำหวานหยาดเยิ้มบนกระดาษโน้ตใบเล็กๆ บางครั้งทั้งคู่ก็กระเง้ากระงอดงอนกันตามประสาคู่รัก แต่ชายหนุ่มก็ยังคงปฏิบัติแบบนี้เสมอต้นเสมอปลายเป็นระยะเวลาหนึ่งปีเต็ม ความรักอันแสนวาบหวามท่ามกลางความอิจฉาของบรรดาเพื่อนฝูงและผู้คนรอบด้านดูเหมือนมั่นคงแข็งแรงเกินกว่าอุปสรรคต่างๆจะเข้ามาพังทลาย ทว่า ฝันร้ายก็เริ่มส่อเค้าเมื่อเช้าวันหนึ่งไม่มีดอกไม้อย่างที่เคยเป็นและนับจากนั้นเป็นต้นมา...
ชายผู้เป็นรักแรกได้อันตรธานหายจากชีวิตโดยสมบูรณ์ เลอโฉมไม่มีโอกาสแม้แต่จะถามไถ่ถึงสาเหตุและร่ำลา นั่นทำให้หัวใจดวงน้อยๆเกิดบาดแผลกว้างจนยากจะประสานง่ายๆ หลังจากนั้นมุมมองความรักของเธอก็ไม่ได้สดใสดั่งแต่ก่อนอีก หญิงสาวหวาดระแวงว่าความรักครั้งใหม่จะสูญหายเฉกเช่นที่เคยเป็นจึงพยายามควบคุมผู้ชายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตให้มากขึ้นกว่าเดิม กระนั้นพวกเขาเหล่านั้นก็ยังทอดทิ้งคุณหนูตระกูลเศวตวรกุลชนิดหนีหน้าตั้งกันทุกคน
ทำไม?
เพราะอะไร?
จู่ๆสวรรค์จึงกลั่นแกล้งให้ต้องมาพานพบกับรักแรกอันแสนหวานแกมขมขื่นอีกครั้ง ไม่ยุติธรรมเลย...ทั้งที่เธออุตส่าห์ลืมเขาไปจากหัวใจแล้วแท้ๆ แต่กลับต้องเจ็บปวดรวดร้าวประหนึ่งโดนคมมีดกรีดซ้ำบนรอยแผลเป็น เลอโฉมแทบไม่รู้สึกตัวเลยว่าความฟุ้งซ่านทำให้สองเท้าก้าวไปตามสกายวอล์กทางเดินยกระดับ ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างโรงแรมพาราไดซ์ซิตี้กับสถานีรถไฟลอยฟ้าชิดลมและสถานีรถไฟลอยฟ้าสยาม พลัน เสียงเครื่องดนตรีมโหรีปี่พาทย์ก็รั้งปลายเท้าให้หยุดชะงัก ดวงตากลมโตมองนางรำแก้บนแต่งองค์ทรงเครื่องสะสวยกำลังร่ายรำอ่อนช้อยสวยงามอยู่เบื้องล่างไกลออกไป จุดนี้สามารถมองเห็นศาลพระพรหมข้างโรงแรมเอราวัณได้อย่างชัดเจน...
นี่เธอเดินออกมาไกลจนถึงที่นี่เชียวหรือ?
‘ตอนนั้นพ่อท้อจนถึงขนาดบนบานศาลกล่าวพระพรหมตรงโรงแรมเอราวัณว่าให้ธุรกิจส่วนตัวประสบความสำเร็จ ท่านศักดิ์สิทธิ์จริงๆเพราะหลังจากนั้นได้ไม่นานกิจการต่างๆก็เจริญเติบโต แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะพ่อได้กำลังใจจากแม่และลูกๆเป็นแรงผลักดันเลยทำให้ฟันฝ่าอุปสรรคมาได้’
ถ้อยคำของผู้เป็นบิดาก้องดังในหัวขึ้นมาราวกับมนต์สะกด ดึงดูดเลอโฉมให้ค่อยๆก้าวลงบันไดซึ่งทอดยาวสู่จุดหมายอย่างมีความหวัง พื้นถนนยังเปียกชื้นบ่งบอกถึงพระพิรุณ ( *** ) เพิ่งชโลมสายฝนหลั่งรดบริเวณนี้ก่อนเธอมาเพียงไม่นาน บาทวิถีข้างถนนถูกจับจองด้วยร้านขายดอกไม้ พวงมาลัย และ ธูปเทียนสำหรับสักการะองค์พระพรหมละลานตา พวงมาลัยคละแบบ อาทิ ดาวเรืองล้วน กุหลาบล้วน และ กล้วยไม้ ล้วนสร้างสีสันชวนมองบอกไม่ถูก แม้น้ำฟ้าจะเพิ่งดับเขม่าควันธูปเทียนแต่ก็มิอาจชะล้างกลิ่นหอมกรุ่นออกจากลานศักดิ์สิทธิ์
คงเพราะหยาดพิรุณเพิ่งหยุดโปรยปรายได้ไม่นานสถานที่ที่ควรคร่าคร่ำด้วยผู้คนล้นหลามจึงลดน้อยลงอย่างน่าประหลาด กระนั้นก็ยังมีผู้คนประปรายสักการะกราบไหว้พระพรหมอยู่ แต่ที่โดดเด่นกว่าใคร คือ ผู้หญิงสี่คนซึ่งมีสีหน้าว้าวุ่นใจ แม้พวกหล่อนมาจากต่างสถานที่แต่จุดประสงค์คงไม่ผิดแผกมากนัก ด้วยวาดหวังให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยผ่อนปรนปัญหาและความทุกข์นั่นเอง
พลัวะ!!!
ใครบางคนชนเลอโฉมเกือบล้มคะมำ โชคดีอีกฝ่ายคว้าต้นแขนเอาไว้ทันเลยพากันช่วยพยุงขึ้นตั้งหลัก คู่กรณีเป็นหนึ่งในผู้หญิงสี่คนที่เห็น เจ้าหล่อนดัดผมฟูฟ่อง สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีครีมมีลายกุหลาบสีชมพูเข้าชุดกระโปรงสีครีมเหมือนกัน ข้อมือที่จับเธอไว้นั้นคล้องสร้อยข้อมือลูกปัดสีฟ้าเข้มตัดกับชุดชัดเจน นึกอยากตำหนิอีกฝ่ายที่ทะเล่อทะล่าชนจนเกือบทำชุดสวยราคาแพงต้องเปรอะเปื้อน แต่พอเห็นสีหน้ากับแววตาสำนึกผิดก็ใจอ่อนยอมระงับความโกรธไว้ในใจ
“ขอโทษค่ะ ดิฉันเดินไม่ระวังเอง เลยเกือบทำให้คุณหกล้ม” หล่อนเอ่ยพลางก้มศีรษะเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณคงจะรีบเพราะอยากมาสักการะท่านเหมือนกันสินะคะ”
“ค่ะ...ดิฉันตั้งใจมาขอพรจากท่านแทนพี่สาวน่ะค่ะ”
“อ้อ...อย่างนั้นเหรอคะ” เธอพยักหน้ารับ
“คุณมาขอพรเหมือนกันเหรอคะ?” อีกฝ่ายชวนคุยต่อ
“ฉันชื่อเลอโฉมค่ะ วันนี้ฉันก็ตั้งใจมาขอพรจากท่านเหมือนกับคุณนั่นล่ะค่ะ”
“ดิฉันมิลันตีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักคุณเลอโฉมนะคะ”
ต่างฝ่ายต่างส่งยิ้มให้กันตามมรรยาท ก่อนเดินแยกจากไปทำตามความปรารถนาของตนเอง เลอโฉมเรียนรู้วิธีการสักการะพระพรหมจากคนอื่นๆด้วยการเฝ้ามองอยู่ครู่ใหญ่จึงค่อยไปซื้อพวงมาลัยดาวเรือง ธูปเทียนอย่างละสี่ชุดเพื่อบูชาองค์เทพให้ครบสี่พักตร์ตามความเชื่อ แต่แล้วสายตากลับเหลือบพบกล่องไม้สักสลักลายกมลาสน์ ( *** ) วิจิตรตระการตาเลยเกิดความสงสัยขึ้นมา
“กล่องนั้นมีไว้ทำอะไรเหรอคะ?” เธอถามพ่อค้าขายดอกไม้
“ออ...สำหรับเอาไว้ใส่คำขอพรน่ะ คนที่ต้องการให้ท่านช่วยอะไรก็จะเขียนคำขอลงในกระดาษแล้วหย่อนใส่กล่องใบนั้น" ชายสูงวัยอธิบายให้หญิงสาวฟังพลางหยิบกระดาษกับปากกาส่งให้ “เอ้า...เอาไปเขียนสิ”
แรกเริ่มเลอโฉมชั่งใจนิดหน่อย แต่ก็น้อมรับน้ำใจนั้นโดยไม่ลืมยกมือไหว้ขอบคุณ เธอจุดธูปเทียนบูชาพระพรหมซึ่งตั้งตระหง่านเป็นที่เคารพบูชาของผู้คนมาช้านานด้วยความศรัทธาที่เอ่อล้นออกมาจากหัวใจ จากนั้นจึงค่อยๆเดินตามเข็มนาฬิกาพร้อมวางพวงมาลัยและปักธูปเทียนแต่ละชุดยังแท่นที่วางหน้าพักตร์ทั้งสี่จนครบ แล้วเริ่มเขียนคำขอพรลงในกระดาษใบเล็กด้วยลายมือบรรจงสละสลวย
“ขอให้ข้าพเจ้ามีอํานาจในการโน้มน้าวใจผู้ชายทุกคนที่ได้พูดคุย และ ตกอยู่ในอํานาจของข้าพเจ้าด้วยเถิด!”
ครั้นเขียนเสร็จก็หย่อนกระดาษแผ่นนั้นลงในกล่องอย่างว่องไว พริบตาเดียวฟ้าปลอดโปร่งก็มืดครึ้มเสมือนเมฆฝนเคลื่อนผ่านมาบดบังแสงตะวันที่เคยจัดจ้าน ความเงียบครอบคลุมทั่วพื้นที่จนไม่ได้ยินเสียงรถราซึ่งแล่นไปแล่นมาประหนึ่งทุกอย่างหยุดนิ่งไม่ไหวติง พลัน ปรากฏร่างสุภาพบุรุษนับร้อยในชุดสูทสีขาวสะอาดตายืนรายล้อมอยู่รอบนอกลานศักดิ์สิทธิ์ บางคนก็ยืนนิ่งมองเธอเหมือนพินิจพิจารณาอะไรบางอย่าง บางคนก็ส่งยิ้มละไมให้อย่างมีไมตรี บางคนก็แสดงท่าทีเฉยเมยราวไม่ได้แยแส เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ค่อยๆสาวเท้าออกจากกลุ่มมาหยุดตรงหน้าเลอโฉมซึ่งคุกเข่านิ่งงันอย่างตกตะลึง
บุรุษรูปงามดุจดั่งเทพบุตรบนสรวงสวรรค์ ผิวพรรณขาวผ่องละเอียดอ่อนและสะอาดสะอ้าน จนแลคล้ายมีรัศมีเรืองรองอยู่รอบกายสูงโปร่ง รอยยิ้มอ่อนโยนนุ่มนวลและอบอุ่นอย่างน่าประหลาด รู้ทั้งรู้ว่านี่ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ ทว่า กลับไม่เกรงกลัวชายผู้นี้สักนิด บางอย่างดลใจให้เลอโฉมสงบนิ่งไม่โวยวายกระโตกกระตากอย่างที่เคยเป็น
“แม่สาวน้อย...คำขอพรเจ้าช่างพิสดารยิ่งนัก” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้ม ทั้งที่กำลังยิ้ม และ ไม่ได้เปิดปากกล่าวเจรจาดั่งมนุษย์ปกติ! “แต่เจ้าก็จักได้รับสิทธิ์นั้น โดยมีข้อแม้ว่าบุรุษที่เจ้ามิอาจโน้มน้าวใจ คือ สมณะ ( *** ) พราหมณ์ ( *** ) บุพการี และ เครือญาติ” พูดจบร่างนั้นก็หายวับไปกับตา
นภาเบื้องบนกลับมาสว่างสดใสอีกครั้งดั่งอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เลอโฉมได้สติ ณ ตอนนั้น รีบลุกพรวดขึ้นมองรอบกายอย่างงุนงงสุดขีด ชั่วระยะเวลาสั้นๆที่พบเจอเหตุการณ์มหัศจรรย์ช่างรวดเร็วจนตั้งตัวแทบไม่ทันเหมือนฝันไป ใบหน้าสวยเหลียวมองรอบทิศทางเพื่อหาบุรุษในชุดสูทสีขาวนับร้อยที่ยืนรายล้อมรอบบริเวณ ทว่า ไม่ปรากฏพวกคนประหลาดเหล่านั้นสักคน มีแค่ผู้ศรัทธาที่เริ่มทยอยกันเข้ามาสักการะพระพรหมจนแน่นขนัด...
หรือเรื่องเมื่อสักครู่เป็นแค่ความฝันหรือภาพลวงตาเท่านั้น?
*** พระพรหม = หนึ่งในเทพเจ้าสูงสุดของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นเทพเจ้าแห่งการสร้างสรรค์ , เทพเจ้าแห่งความเมตตา เป็นเทพเจ้าผู้สร้างโลกให้กำเนิดสิ่งต่างๆในจักรวาล และ ให้กำเนิดคัมภีร์พระเวท พระพรหมมีสี่พักตร์ พระศอสวมลูกประคำ พระหัตถ์แต่ละข้างถือดอกบัว , คัมภีร์ และ หม้อน้ำ มีพาหนะเป็นหงส์ พระชายา คือ พระสุรัสวดี เชื่อว่าพระพรหมเป็นผู้สร้างบุคคลในวรรณะต่างๆในประเทศอินเดียจากอวัยวะแต่ละส่วน ได้แก่ วรรณะพราหมณ์เกิดจากเศียร , วรรณะกษัตริย์เกิดจากบ่า, วรรณะแพศย์เกิดจากท้อง และ วรรณะศูทรเกิดจากเท้า ในคติของชาวไทยเชื่อว่าพระพรหมเป็นผู้ลิขิตชะตาชีวิตของบุคคลต่างๆตั้งแต่เกิดจนตาย เรียกว่า "พรหมลิขิต" และผู้ใดที่บูชาพระพรหมอยู่เป็นนิจ พระองค์จะประทานพรให้สมหวัง เรียกว่า "พรพรหม" หรือ "พรหมพร"
*** พระพิรุณ = เทพเจ้าแห่งฝนตามคติของศาสนาฮินดู มีผิวสีขาวผ่อง ถือบ่วงบาศและอาโภค ทรงจระเข้เป็นพาหนะ
*** กมลาสน์ = ผู้มีบัวเป็นที่นั่ง คือ พระพรหม ( กมล = บัว + อาสน = ที่นั่ง )
*** สมณะ = ผู้สงบกิเลสแล้ว หมายถึงภิกษุในพระพุทธศาสนา
*** พราหมณ์ = ผู้สืบทอดวิชาความรู้ในคัมภีร์ไตรเวท พิธีกรรม จารีต ประเพณี ศิลปวัฒนธรรม และคติความเชื่อต่างๆ แบ่งแยกเป็นนิกาย คือ ไศวนิกาย จะถือเพศ นุ่งขาวห่มขาว ไว้มวยผม ถือศีล จริยาวัตรของพราหมณ์ มีครอบครัวได้ อยู่บ้าน หรือ เทวสถานประจำลัทธินิกายแห่งตน อีกนิกาย คือ ไวษณวะนิกาย จะไว้ผมเปียหรือมวยผม ถือเพศพรหมจรรย์ กินมังสวิรัติ ไม่ถูกต้องตัวสตรีเพศ นุ่งห่มสีขาว หรือสีต่างๆตามวรรณะนิกาย และอาศัยอยูในเทวสถาน
ความคิดเห็น