ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พรหมรักประกาศิต

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 : คำขอพรจากหญิงผู้พ่ายรัก (2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 365
      6
      15 พ.ย. 63

         นาฬิกาปลุกเรือนงามแปรสภาพเป็นซากขยะ เมื่อมันถูกเขวี้ยงใส่ผนังจนหน้าปัดกระจกแตกกระจายเต็มพื้นห้องนอน ลำบากแม่เพลงต้องตาลีตาเหลือกเก็บกวาดเช็ดถูด้วยเกรงเจ้านายสาวจะเหยียบย่ำขณะวิ่งวนไปมาระหว่างตู้เสื้อผ้ากับโต๊ะเครื่องแป้ง พลางนำเสื้อบ้าง กางเกงบ้าง กระโปรงบ้าง แนบทาบลำตัวเพื่อคัดเลือกชุดดีที่สุดออกงานสังคมวันนี้ ทว่า ยังไม่ได้ดั่งใจเสียทีจึงโยนชุดสวยราคาแพงเหล่านั้นทิ้งลงเตียงขนาดคิงไซส์ ก่อนก้าวฉับๆไปค้นหาชุดใหม่อีกรอบ

             “ยายเพลง! ทำไมแกไม่ยอมปลุกฉัน ดูสิ...เก้าโมงกว่าแล้วฉันยังแต่งตัวไม่เสร็จเลย” เลอโฉมโยนความผิดให้อีกฝ่ายเสียดื้อๆ “คอยดูเถอะ...ถ้าฉันไปร่วมงานสายกว่าชาวบ้านชาวช่อง จะให้คุณแม่หักเงินเดือนให้หมดโทษฐานทำฉันเสียหน้า!!!”

             “โธ่! ก็คุณหนูเป็นคนบอกดิฉันเอง ว่า...ไม่ต้องปลุก เพราะเพิ่งซื้อนาฬิกาปลุกเรือนใหม่มาใช้” และตอนนี้มันก็กลายเป็นเรือนเก่าเรียบร้อยแล้ว

             “ถึงอย่างนั้นแกก็ควรมีไหวพริบปลุกฉันด้วยเพื่อความแน่นอน” โวยวายลั่นอย่างไม่แยแสความอาวุโสกว่าของสาวใช้ “แล้วทำไมไม่เตรียมจัดชุดไปงานให้ฉัน ดูสิ...ฉันเลยต้องเสียเวลาเลือกชุดเองอีก” โยนความผิดอีกกระทงให้แพะรับบาป

             “เมื่อวานคุณหนูบอก ว่า...จะจัดเตรียมเอง เพราะดิฉันเลือกชุดออกงานให้ทีไรก็ไม่สวยเข้าตาเสียที”

             “โอ้ย! เถียงคำไม่ตกฟากเลยนะ พอๆ...ฉันไม่มีเวลาเถียงกับแกแล้ว” เธอยอมยุติเรื่องทั้งหมด

             ในที่สุดหญิงสาวก็เลือกสวมชุดเกาะอกยาวเสมอเข่าสีขาวสะอาดตา แต่งแต้มเครื่องสำอางลงบนใบหน้านวลเนียน โดยมีแม่เพลงช่วยคลายโรลม้วนผมพร้อมฉีดสเปรย์จัดทรงให้ จากนั้นเธอก็นำที่คาดผมประดับไข่มุกมาตกแต่งศีรษะเป็นอันเสร็จสิ้นแต่ยังไม่สมบูรณ์ เพราะหลังจากนั้นต้องหมุนตัวหน้ากระจกบานใหญ่ เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยจนพึงพอใจกว่าสิบนาที จึงค่อยคว้ากระเป๋าถือไร้สายแล้วสาวเท้าออกจากห้องนอน แต่แล้วเลอโฉมก็ต้องหันกลับเข้ามาอีกครั้ง เพราะลืมจุมพิตพอลลี่ พอล ซึ่งนอนเหยียดแข้งเหยียดขาบนหมอนหนุนอันเป็นกิจวัตรประจำวัน

             เป็นดั่งคาด...ยามสายในย่านราชประสงค์คร่าคร่ำด้วยรถราแน่นขนัด การจราจรวุ่นวายเหมือนการจลาจล เมื่อยินเสียงบีบแตรดังไล่กันเป็นทอดๆ ดุจเดียวกับอารมณ์ของเลอโฉมซึ่งนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่บนเบาะท้ายรถยุโรปคันงามที่จอดแช่กลางถนนรวมกับรถยนต์คันอื่นๆ สัญญาณไฟแดงนานเสียจนอยากลงเดิน กระนั้นเธอก็ไม่กล้าพอที่จะเอาผิวสวยๆไปเสี่ยงคล้ำเสียเพราะแสงแดดยามใกล้เที่ยง จึงได้แต่ข่มใจไม่ให้สติเตลิดเปิดเปิง

             “นายชาติ...แกพาฉันมาเส้นทางบ้าบออะไรเนี่ย รถติดขนาดนี้ปีหน้าฉันจะถึงงานไหม” เธอไม่ได้ต้องการคำตอบ แค่บ่นระบายความเครียดเท่านั้น

             “โธ่! คุณหนูครับ...เส้นทางนี้ไวที่สุดแล้ว” คนขับรถวัยสี่สิบห้าปีเอ่ยบอกเจ้านายสาว “อีกไม่ไกลก็จะถึงแล้วครับ”

             “คอยดูเถอะ! ถ้าฉันไปร่วมงานสาย จะฟ้องคุณแม่ให้หักเงินเดือนแก!”

             อีกฝ่ายไม่ตอบโต้อะไรได้แต่ถอนหายใจอย่างเอือมระอา ผู้อยู่ใต้โอวาททุกคนต่างเคยโดนคำขู่ลมๆแล้งๆจากเลอโฉมยามโมโหโกรธาเรื่องรอบตัวบ่อยครั้ง ยังดีที่คุณแพรพิไลไม่เคยเห็นด้วยกับการแสดงอำนาจเกินตัวของลูกสาว มิเช่นนั้นป่านนี้บรรดาลูกจ้างใต้ร่มชายคาคฤหาสน์เศวตวรกุลคงอดตายไม่มีเงินใช้กันถ้วนหน้า หลังจากนั้นราวครึ่งชั่วโมงรถยนต์คันงามก็ค่อยๆเคลื่อนออกจากจุดเดิมจนถึงโรงแรมพาราไดซ์ซิตี้โดยสวัสดิภาพ

             ภายในโรงแรมห้าดาวแห่งนี้ตกแต่งด้วยศิลปะไทยประยุกต์เพื่อสร้างจุดเด่นให้แขกต่างชาติเข้ามาใช้บริการ ข้าวของมักทำจากไม้แกะสลัก อาทิ เคาน์เตอร์ต้อนรับ โต๊ะ เก้าอี้ และ เสาขนาดใหญ่ ซึ่งมีผ้าทอมือหัตถกรรมพื้นบ้านพันสลับและปล่อยชายห้อยระย้าลงมาอย่างวิลิศมาหรา ยังไม่นับดอกกล้วยไม้ที่ประดับแจกันตามมุมต่างๆทั่วสถานที่ สีสันสดสวยเฉพาะตัวของมันทำให้ทราบได้ทันทีว่าสั่งตรงมาจากสวนไอยเรศอันขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพและความงาม ผนังรอบด้านแทบจะไม่มีพื้นที่ว่างเนื่องจากถูกทาบทับด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนัง แน่นอนว่าแนวคิดนี้ได้ผล เพราะเท่าที่เลอโฉมสังเกตก็พบชาวยุโรปกับชาวอาหรับเข้ามาใช้บริการกันคับคั่ง ส่วนคนไทยคงมีแต่ผู้มาร่วมงานเปิดตัวน้ำหอมยี่ห้อใหม่บริเวณห้องแกรนด์บอลรูมบนชั้นยี่สิบเท่านั้น

             เจ้าของร่างบอบบางเดินกรีดกรายหว่านเสน่ห์หนุ่มต่างชาติหน้าตาหล่อเหลากลุ่มหนึ่งตรงระเบียงทางเดินก่อนเข้าไปในลิฟท์ตัวใหญ่ พอเอื้อมมือจะกดปุ่มปิดประตูก็บังเอิญเหลือบพบบุรุษในชุดสูทสีเทากำลังวิ่งหน้าตั้งมาแต่ไกลจึงกดปุ่มเปิดประตูรออีกฝ่ายจนกระทั่งมาถึง

             “ชั้นอะไรคะ?” ถามโดยไม่หันมองเพื่อนร่วมทาง ปลายนิ้วชี้เลือกกดปุ่มชั้นยี่สิบอันเป็นจุดหมายก่อน

             “ชั้นยี่สิบเหมือนกันครับ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ

             ตอนนั้นเองต่างฝ่ายต่างคุ้นหูกับน้ำเสียงที่ได้ยินจนต้องหันมองหน้ากัน ครั้นทั้งคู่สบตาก็ถึงกับนิ่งงันอย่างตกตะลึง ประหนึ่งเวลาในชั่ววินาทีนั้นหยุดลงจนมิอาจขยับเขยื้อนไปไหนได้ เลอโฉมกลั้นหายใจจนเกือบลืมผ่อนออกมา ไม่ต่างจากหนุ่มหล่อซึ่งเบือนหน้าหนีทันทีที่รู้สึกตัว ลิฟท์ใหญ่กลายเป็นสถานที่คับแคบบีบรัดคนสองคนจนอึดอัดแทบเป็นบ้า จะไม่ให้รู้สึกเช่นนั้นได้อย่างไรเมื่ออดีตคนรักที่เลิกรามานานกว่าห้าปีโคจรกลับมาเจอกันอีกครั้ง!

             ที่สำคัญทั้งคู่ต่างเป็นรักแรกของกันและกันด้วย!

             ระยะทางจากชั้นหนึ่งถึงชั้นยี่สิบไม่ได้ห่างไกลเท่าไร กระนั้นเลอโฉมกลับรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปช้าเหลือเกิน ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดออกเขาก็รีบชิงก้าวออกไปเป็นคนแรกราวกับต้องการหลีกลี้หนีหน้าเธอให้เร็วที่สุด การกระทำนั้นตอกหน้าและสร้างความเจ็บใจแก่หญิงสาวจนต้องรีบตามชายหนุ่มเข้าไปในงานเปิดตัวน้ำหอมยี่ห้อใหม่ ทว่า อีกฝ่ายก็อันตรธานหายท่ามกลางแขกเหรื่อร่วมร้อยกว่าชีวิตเสียแล้ว

             ให้ตายเถอะ! เขามีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนี้ ควรเป็นเธอมากกว่าที่ต้องรีบหนีผู้ชายเฮงซวยให้เร็วที่สุด!

             “ควีน!!!” เสียงเรียกนั้นดึงความสนใจของเลอโฉมให้เหลียวมอง ‘นุชวรา มอร์แกน’ หลานสาวเจ้าของบริษัทศุภณัฐมงคล ผู้นำเข้ารถยนต์แบรนด์ดังรุ่นหายากจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยจนมียอดจองและยอดขายถล่มทลายสะท้านวงการธุรกิจ และ ยังเป็นเพื่อนสนิทเธออีกด้วย

             “นุช! เธอไม่ต้องเรียกฉันดังขนาดนั้นก็ได้ ตกใจหมดเลย”

             “ขวัญอ่อนจริง” อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ “อย่าบอกนะ ว่า...แม่สาวบ้าสังคมอย่างคุณเลอโฉมเพิ่งมาถึงงานเอาป่านนี้” นุชวรารู้จักนิสัยเพื่อนรักดีว่าชื่นชอบการออกงานมาก จนบางครั้งมาถึงก่อนเจ้าภาพเสียด้วยซ้ำ

             “ก็นายชาติน่ะสิ...ขับรถชักช้าไม่ได้ดั่งใจฉันเลย!” พูดพลางชะเง้อคอมองหาชายหนุ่มไม่หยุดหย่อน

             “นี่เธอมองหาใครเนี่ย?” เริ่มสงสัยพฤติกรรมประหลาดของเลอโฉม

             “คนเคยรู้จักน่ะ!” ตอบห้วนๆด้วยน้ำเสียงกระวนกระวายใจ เธอไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้เอาเสียเลย ยามไม่ทราบว่าบุคคลที่กำลังตามหาอยู่ที่ไหนทำให้รู้สึกเหมือนเสียเปรียบและอาจตกเป็นเป้าสายตาได้ตลอดเวลา งานวันนี้เริ่มไม่หอมหวานจนอยากสังสรรค์เสียแล้ว “นุช...ฉันจะกลับแล้วนะ”

             “เฮ้ย! นี่เธอเพิ่งมาถึงเองนะ” เพื่อนสาวตกใจ “อุตส่าห์แต่งตัวแต่งหน้าทำผมมาเสียดิบดี แล้วจะกลับไปง่ายๆโดยที่งานยังไม่ทันเริ่มแบบนี้เหรอยะ” พยายามยื้ออีกฝ่ายให้อยู่ต่อ

             “ฉันอยากกลับแล้วจริงๆ”

             “เธอมีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า...เล่าให้ฉันฟังได้นะ”

             “เรื่องเฮงซวย...ฉันไม่อยากเล่าให้เป็นเสนียดหูเธอหรอก”

             “โอ้โห! ขนาดนั้นเชียววววว” นุชวราขึ้นเสียงสูงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เย้าแหย่หมายให้เพื่อนรักคลายความขุ่นเคืองในใจลงบ้าง “เอาเถอะๆ...ค่อยเล่าให้ฉันฟังทีหลังก็ได้”

             “ขอบใจนะ...เธอเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวที่เข้าใจฉันที่สุด” เอ่ยพลางกุมมือเรียวบางของนุชวราเอาไว้

             “แหม! ก็พวกเราเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย แล้วจะไม่ให้ฉันเข้าใจเธอได้อย่างไรยะ”

             “ฉันขอตัวก่อนละกัน...เอาไว้พวกเราค่อยโทร.นัดเที่ยวหรือเจอในงานหน้าแล้วกันนะ” ร่ำลาเสร็จเลอโฉมก็ไม่รอช้าที่จะสาวเท้าออกจากงานเปิดตัวน้ำหอมยี่ห้อใหม่ทั้งที่ยังไม่ทันเริ่มด้วยซ้ำ ไม่กลัวโดนสื่อสังคมวิพากษ์วิจารณ์เพราะเวลานี้ไม่มีอะไรสำคัญกว่าเรื่องเจอะเจออดีตคนรักโดยความบังเอิญ ไม่ว่าเขาจะมาร่วมงานด้วยสาเหตุใดก็ตามแต่ทางที่ดีเธอควรหลีกหนีผู้ชายเฮงซวยให้ไกลห่างมากที่สุด!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×