Attraction - Attraction นิยาย Attraction : Dek-D.com - Writer

    Attraction

    ผมไม่คิดว่าเราจะเข้ากันได้ แต่ทำไมยิ่งมองยิ่งถูกดึงดูดเข้าไปหาเขา

    ผู้เข้าชมรวม

    849

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    849

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    5
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  11 ก.พ. 65 / 18:18 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

      

    sds

     

    จินตะ Part 1

     

    มีคนเคยบอกว่า กฎของแรงดึงดูดความรักในแบบที่เราต้องการมีพื้นฐานมาจากการมองเห็นคุณค่าในตัวเองอย่างแท้จริง เพราะเมื่อเรามองเห็นคุณค่าในตัวเองก็จะเกิดการเห็นคุณค่าในตัวคนรอบข้างและจะอ่อนโยนต่อผู้อื่นไปด้วย

    จากนั้นจักรวาลก็จะส่งมอบความรักดีๆ ในแบบเดียวกันกลับมาให้เรา พูดง่ายๆ ว่า

    "คิดสิ่งใดได้สิ่งนั้น"

    ผมก็ไม่รู้ว่า คำพูดพวกนั้นมันเป็นความจริงหรือเปล่า เพราะผมเองก็ไม่เคยมีความรัก

     

    ถมปัด Part 1

     

    เคยมีคนบอกว่า สิ่งที่ตรงกันข้ามกันจะดึงดูดซึ่งกันและกัน เหมือนใครบางคนที่มีบุคลิกตรงกันข้ามกันอย่างสุดขั้ว บางครั้งมันก็ดึงดูดกันอย่างน่าแปลก ผมไม่เคยเชื่อประโยคที่พูดเหมือนเป็นกูรูในเรื่องความรักอย่างนี้เลย ผมว่ามันเพ้อเจ้อ จนกระทั่ง….

     

    เสียงเปียโนเพลง On My Way ของ Alan Walker แว่วหวานกระทบโสตประสาทผมในยามที่เดิมผ่านบริเวณส่วนกลางของ มหาวิทยาลัยในสัปดาห์แรกของเปิดเทอม มันทำให้ผมต้องหยุดชะงักเท้าแล้วหันมองไปที่ต้นทางของเสียง

    “หยุดทำไมวะไอ้ถม”

    เอกเพื่อนสนิทถามผมด้วยน้ำเสียงงงๆ เมื่อเห็นอยู่ดีๆ ผมหยุดชะงักเท้า

    “กูเหมือนได้ยินเสียงเปียโนว่ะ มันดังมาจากไหนวะ”

    ผมถามออกไปอย่างสงสัย

    “อ๋อ วันนี้มีงานโชว์ผลงานของพวกเอกดนตรีสากลไง ถ้าให้กูเดานะเพลงนี่ฝีมือจินตะตัวท็อปของเอกเปียโนเขา”

    เอกเมาส์อย่างคนรู้จริง หมอนี่ทำกิจกรรมเยอะมากจะว่าไปมันรู้จักคนทั้งมหาวิทยาลัยนั่นแหละ ไม่เหมือนกับผมที่เข้ามหาลัยแค่เฉพาะเวลาที่จำเป็น เพราะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการรับจ๊อบนอกคือ ร้องเพลงแร็พหรือเต้นตามแต่จะมีคนจ้างเพื่อฝึกฝีมือและทำตามความฝันของตัวเอง

    รู้ตัวอีกทีเท้าก็พาผมไปยังหน้าเวทีคอนเสิร์ตเล็กๆ นั่น เพื่อยืนฟังเสียงดนตรีที่แสนไพเราะนั้นแล้ว ส่วนผู้ที่บรรเลงเพลงในวันนั้นกลับยิ่งทำให้ผมหัวใจเต้นแรงเสียยิ่งกว่าเสียงเพลงที่เล่น ใบหน้าหวานซึ้ง แววตามุ่งมั่น ความเปล่งประกายที่เขามีเมื่อบรรเลงดนตรีนั้นจับหัวใจผมตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เจอ

    “ตะลึงเลยเหรอมึง มีแต่คนบอกว่าฝีมือเปียโนของจินตะเหมือนกำลังบรรเลงเสียงสวรรค์ ถ้าทำให้มึงเป็นถึงขนาดนี้ได้ กูก็ว่าคงจะจริงแล้ว”

    เอกพูดแซวขำๆ

    “ถ้ามึงอยากรู้จักเขาก็รอวิชาอาจารย์อำภาสิ วิชานั้นเอกเราเรียนกับเอกดนตรีสากล เดี๋ยวมึงก็ได้เจอเขาเอง”

     

    เอกพูดถึงวิชาประวัติศาสตร์การแสดงที่พวกเราเอกการแสดงต้องร่วมเรียนกับเอกดนตรีสากล ผมพยักหน้ารับคำโดยที่ไม่ย้ายนัยน์ตาจากคนที่อยู่บนเวที แต่ในหัวสมองก็ได้จดบันทึกไว้ว่า

    วิชานี้จะไม่ขาดเรียน

    เช้าวันอังคารผมแหกขี้ตาตื่นเพื่อที่จะมาเข้าคลาสเช้าตอน 8:30 น ให้ทัน ซึ่งถือเป็นพฤติกรรมที่ผิดปกติสำหรับคนอย่างผม แต่มันก็ช่วยไม่ได้ในเมื่อวิชานี้มีเรียนกับคนที่ผมรอคอยที่จะทำความรู้จัก

    อาจารย์อำภาเปิดตัวในคลาสแรกด้วยความน่าเบื่อน้อยกว่าที่คิด เธอมีวิธีการเล่าประวัติศาสตร์ได้อย่างน่าฟังเต็มไปด้วยลูกเล่นและเรื่องราวที่ทำให้นักศึกษาอย่างเรารู้สึกตื่นตาตื่นใจถือเป็นอาจารย์ประวัติศาสตร์คนแรกที่ผมรู้สึกว่า เรียนแล้วไม่น่าเบื่อ

    ที่ดีไปกว่านั้นเธอยังยึดหลักการเรียนการสอนที่เน้นไปที่การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และให้ร่วมกันคิดวิเคราะห์เป็นกลุ่มในหมู่นักศึกษาเป็นโชคดีของผมที่ผมจับฉลากได้อยู่กลุ่มเดียวกับคนที่ผมกำลังอยากทำความรู้จักอยู่พอดี

    พวกเรานั่งล้อมวงกันโดยแบ่งตามกลุ่มแยกกันไปในแต่ละมุมของห้องเรียนบรรยากาศในการเรียนเป็นไปอย่างสุดแสนคลาสสิคคือ ทุกคนสลับกันแนะนำตัวง่ายๆ ทีละคน

    “ผมชื่อถมปัดมาจากเอกการแสดง”

    ผมแนะนำตัวหน้านิ่ง

    “เราชื่อจินตะ เอกดนตรีสากล”

    เขาพูดสั้นๆ เพียงเท่านั้น แต่ส่งยิ้มหวานจนชวนตกตะลึงให้กับเพื่อนๆ ทุกคนในกลุ่ม นั่นทำให้บรรยากาศเป็นมิตรแผ่กระจายไปรอบๆ ในทันที

    ช่างเป็นคนที่ยิ้มได้มีเสน่ห์ดึงดูดใจเสียจริงๆ

    ผมคิดอยู่ในใจ

    แล้วก็ค้นพบว่าคงมีใครอีกหลายคนที่คิดเหมือนตัวเองจากสีหน้าของใครหลายคนที่นั่งล้อมวงอยู่ด้วยกัน

    ไม่ได้การล่ะ แบบนี้ต้องรีบลงมือ

    ผมคิดพร้อมยกยิ้มเจ้าเล่ห์

    จากนั้นก็เสนอว่าให้ทุกคนสร้าง LINE กลุ่มขึ้นมาเพื่อติดต่อกันในการทำรายงานกลุ่มต่อไป

    แนบเนียนเสียไม่มี เท่านี้ก็ได้ไลน์เขามาเรียบร้อยแล้ว

    ยังไม่ทันหมดชั่วโมงผมก็แอดไลน์จินตะเป็นการส่วนตัวแล้วส่งสติ๊กเกอร์ทักไป

    เขาก้มลองลงมองมือถือแล้วเอียงคอทำท่าสงสัยด้วยท่าทางน่ารักจนผมซึ่งแอบมองอยู่อดอมยิ้มไม่ได้

    จินตะ – “มีอะไรหรือเปล่า”

    เขาทักกลับมา

    ถมปัด- “เปล่า แค่คิดว่าควรรู้จักกันไว้เผื่อต้องทำงานกลุ่มด้วยกัน”

    ผมตอบกลับไปง่ายๆ

    คิดจะกินลูกแกะ เราต้องเข้าไปอย่างสงบ

    ผมคิด

    sds

     

    จินตะ Part 2

     

    วันนี้เรามีเรียนวิชาประวัติศาสตร์การแสดงอันเป็นวิชาพื้นฐานของคณะศิลปกรรมร่วมกับเอกการแสดงวิชานี้ขึ้นชื่อเรื่องความเข้มงวดในการเช็คชื่อเข้าชั้นเรียนผมจึงไปถึงก่อนเวลาเริ่มเรียนถึง 15 นาที

     

    ในขณะที่ผมกำลังมองไปที่ประตูห้องเพื่อรอเวลาที่อาจารย์จะเปิดเข้ามา ประตูห้องก็เปิดออกแล้วใครคนหนึ่งซึ่งมีบุคลิกภาพสะดุดตาผมตั้งแต่แรกพบก็ก้าวเข้ามา เขาเป็นหนึ่งในนักศึกษาไม่กี่คนที่ย้อมผมสีทองแล้วยังดูดี และมีท่าทางนิ่งเฉยเย็นชาต่อโลกจนรู้สึกได้ แต่ทำไมไม่รู้ท่าทางนั้นกลับดึงดูดความสนใจของผมได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เราพบกัน

    “หมอนั่นชื่อถมปัด คนดังเอกการแสดงไง”

    แอนเพื่อนสนิทของผมซึ่งนั่งด้านข้างกระซิบให้ฟัง

    “เห็นท่าทางนิ่งๆ แบบนั้นน่ะ ได้ไปร้องแร็พให้นักร้องตั้งหลายคนแล้วนะ เต้นก็เก่งมาก แม้กระทั่งอาจารย์ยังต้องยอมรับฝีมือเขาเลย”

    แอนบรรยายสรรพคุณของใครคนนั้นต่อไป และเมื่อเธอเห็นผมนิ่งฟังจึงมองหน้าแล้วทำหน้าเบื่อใส่ จากนั้นก็พูดว่า

    “พ่อหนุ่มดนตรีคลาสสิคสุดติ๋มอย่างนายคงไม่เคยฟังแร็พล่ะสิ ถึงได้ไม่รู้จักถมปัดเขา”

    ผมพยักหน้ายอมรับ แล้วเผลอเหลือบมองไปยังคนที่พวกเราพูดถึงด้วยความสนใจ

    ณ ตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่า ในอนาคตคนหน้านิ่งคนนั้นจะพาตัวเองเข้ามาใกล้ชิดผมอย่างชนิดที่ผมตั้งตัวไม่ทัน

     

    วิชานั้นของผมจบลงด้วยการที่ มีการแลกไลน์ในการทำงานกลุ่ม แล้วพ่อหนุ่มผมทองคนนั้นก็ส่งสติ๊กเกอร์มาทักทายผมตั้งแต่ยังไม่ทันหมดชั่วโมง

    แต่ตอนนั้นผมก็ไม่ได้เฉลียวใจอะไรเพราะเข้าใจว่าเขาคงอยากทำความรู้จัก เพื่อที่จะได้ทำรายงานกลุ่มด้วยกันในอนาคตอย่างราบรื่น

    ใครเลยจะไปรู้ว่า หลังจากวันนั้น LINE ของเขากับผมก็เด้งสม่ำเสมออย่างไม่มีวันหยุด

     

    “ติ้ง”

    เสียงแจ้งเตือนของไลน์ดังขึ้น จนทำให้แอนซึ่งนั่งด้านข้างหันมามองแล้วอมยิ้ม

    “ถม LINE มาอีกแล้วเหรอ? แบบนี้นายยังไม่ยอมรับอีกหรือว่า เขาจีบ”

    เธอถามด้วยหน้าตาล้อเลียนเต็มที่

    “ก็แค่เพื่อนกัน”

    ผมบอกปัด

    “เพื่อนกันที่ LINE หากันวันละหลายเวลา แวะมาหาหลังเลิกเรียน บางวันก็ไปส่งหอ เฟื่อนมากเลย นี่มันเพื่อนพิเศษใส่ไข่ชัดๆ”

    แอนพูดพร้อมยักคิ้วหลิ่วตา

    “อย่าพูดแบบนั้นถมยังไม่เคยพูดอะไรออกมาเลย เดี๋ยวเขาจะหาว่า ฉันขี้ตู่ได้”

    ผมรีบปฏิเสธ

    “อ๋ออออ สรุปว่าไม่ได้รังเกียจ แค่ต้องความชัดเจนว่างั้น”

    แอนพูดด้วยสีหน้ายกยิ้มเจ้าเล่ห์

    “ใครบอก!!”

    ผมหน้าแดงรีบปฏิเสธเสียงลั่น ก่อนที่จะยกมือถือขึ้นมาดูข้อความเป็นเขาจริงๆ ด้วย

     

    ถมปัด – “เดี๋ยวเลิกเรียนแล้วรออยู่ใต้คณะนะครับ”

    ก่อนที่จะส่งสติ๊กเกอร์โอเคกลับไป แล้วอดไม่ได้อมยิ้มแก้มตุ่ย

     

    มันก็ดูจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ นั่นแหละ

    เพื่อนที่ไหนพูดครับกัน

     

    แต่ในเมื่อถมยังไม่เคยพูดสักครั้งว่า

    เขาคิดยังไงจะให้ผมไปตู่ว่า

    เขาจีบได้ยังไง

    ถ้าขืนเขาตอบว่า ไม่ใช่ได้หน้าแตกตายกันพอดี

    ผมคิดแต่ไม่ยอมบอกใครออกไป

     

    ถมปัด Part 2

     

    วันนี้ผมเลิกก่อนเวลาผมจึงมารอจินอยู่ที่ใต้คณะก่อนที่เขาจะเรียนเสร็จ ระหว่างที่รอผมก็ไถ Social ไปเรื่อยๆ หาอะไรอ่านแล้วก็ไปสะดุดตาเพจคนดังประจำมอเข้า

    ผมพึ่งรู้ว่า เขาสัมภาษณ์จินไปลงคอลัมน์คนดังทั้งๆ ที่เราก็คุยกันประจำ ทำให้อดรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยไม่ได้

     

    แต่จะว่าไปมันอาจเป็นเพราะจินเป็นคนถ่อมตัวเขาแทบไม่เคยอวดเลยว่า ตัวเองเป็นที่รู้จักแค่ไหนตั้งแต่เราคบกันมา เขาจึงไม่นำเรื่องนี้มาเล่าให้ผมฟังแต่ถึงจะเข้าใจอย่างนั้น มันก็อดคิดหงุดหงิดในใจไม่ได้อยู่ดี

    คุยกันทุกวันขนาดนี้เล่าให้ฟังหน่อยไม่ได้หรือไง

     

    ผมอ่านสัมภาษณ์เขาไปเรื่อยๆ จนไปถึงเรื่องความรัก แล้วก็อดยิ้มไม่ได้ที่จินให้สัมภาษณ์ว่า

    เขาไม่เคยมีความรัก แต่ก็ไม่เคยปิดกั้น ทั้งยังเชื่อว่า ตัวเองเป็นคนคิดดีน่าจะดึงดูดคนดีๆ เข้ามาตามกฎของแรงดึงดูด

     

    ผมรู้ว่า จินพูดเล่นแต่ผมก็อดคิดไม่ได้ว่า

    แล้วผมพอจะเป็นคนดีๆ คนนั้นได้หรือเปล่า

    ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากค้นหาคำตอบ

     

    ในขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดเรื่องที่สงสัยอยู่ในใจ เสียงใสๆ ก็เรียกมาจากด้านหลัง

    “ถมรอนานไหม พอดีเราเพิ่งเลิก”

    ผมหันไปยกยิ้มให้แล้วส่ายหน้าปฏิเสธ

    “ถมเพิ่งมาถึงไม่นาน จินไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

    “แหมเดี๋ยวนี้มีเรียกชื่อเล่นกันด้วย น่ารักเนาะคู่เนี้ย”

    เสียงแซวจากยายแอนเพื่อนสนิทของจินดังชัดแจ๋วมาแต่ไกล จินหันไปถลึงตาใส่เพื่อนรักแล้วพูดออกมาว่า

     

    “เงียบไปเลยนะแอน”

    “แหมมมม แซวนิดแซวหน่อยทำเป็นบ่น ถมไม่ถือหรอกเนอะ”

    แอนหันมาพูดกับผม

    ผมหัวเราะแต่ไม่ตอบว่าอะไร แอนจึงได้ทีพูดต่อว่า

    “ถม เราถามจริงมารอแบบนี้มาชอบเพื่อนเราป่ะเนี่ย ถ้ามาทำเป็นคลุมเครือเราไม่ยอมนะ”

    ฟังประโยคนั้นจบผมถึงกับเลิกคิ้ว

    “เราคลุมเครือที่ตรงไหน หรือต้องติดป้ายไฟหน้าคณะว่า จีบนะ”

     

    คำตอบนั้นของผมทำเอายายแอนส่งเสียงกรี๊ดออกมาจากลำคอ แล้วหันไปเขย่าตัวจินเป็นการใหญ่เล่นเอาคนแถวนั้นหันมามองเราเป็นตาเดียวกัน

    ส่วนจินตอนนี้หน้าแดงก่ำถึงหู แถมยังทำหน้าเลิ่กลั่กเหมือนไม่รู้จะทำตัวยังไงถูกยิ่งเห็นยิ่งน่าเอ็นดู

    ผมจึงช่วยหาทางช่วยเขาจากสถานการณ์น่าเขินด้วยการตัดบทว่า

    “ไปกันเถอะจิน”

    แล้วจูงมือเขาเดินออกนอกคณะไปโดยมีเสียงกรี๊ดตามไล่หลัง

     

    จินนิ่งเงียบไม่พูดว่าอะไรจนเข้ามานั่งอยู่ภายในรถของผม เขาก็ยังคงมองออกนอกหน้าต่าง จนท้ายที่สุดผมทนความอึดอัดไม่ไหวจึงพูดออกมาลอยๆ ว่า

    “ที่ถมพูดออกไปเมื่อกี้ จินคิดว่ายังไง?”

    จินทำท่าอายจนเหมือนจะละลายลงไปที่เบาะ ตลกเสียจนผมเกือบหลุดหัวเราะขำออกมา แต่ไม่กล้าทำเพราะกลัวเสียบรรยากาศ

    เอาเข้าจริงๆ ผมแทบจะกลั้นหายใจรอฟังคำตอบ

    “ไม่รู้ ยังคิดไม่ออก”

    เขาตอบเสียงแผ่วเบา แต่เป็นคำตอบที่ฟังแล้วอยากเอาหัวกระแทกฝา

    “คิดไม่ออกเรื่องอะไร เรื่องที่ถมจะจีบ หรือเรื่องที่จะเป็นแฟนถม”

    ผมพูดออกไปอย่างตรงไปตรงมาตามประสาคนใจร้อน ส่วนอีกฝ่ายก็เย็นยังกับน้ำด้วยการตอบกลับมาว่า

    “มันกะทันหันเกินไป เรายังตอบไม่ได้หรอก”

    “กะทันหันตรงไหน เราคุยกันมาพักใหญ่แล้วนะ”

    ผมอดไม่ได้เถียงออกไป

    “คือจินพึ่งรู้ว่า ถมจีบน่ะ”

    จบประโยคนั้นของเขา ผมฟังแล้ว อยากจะเป็นลมสลบ

     

    เช้าถึงเย็นถึงขนาดนี้เพิ่งรู้ว่า จีบ

    นี่ผมกำลังคุยกับเด็กอนุบาลหรือไง

     

    สงสัยผมคงแสดงความไม่พอใจออกทางสีหน้ามากเกินไป

    จินจึงรีบพูดออกมาแทบไม่ทันว่า

    “ถมอย่าเพิ่งเข้าใจผิด จินรู้ว่าถมดีกับจินเป็นพิเศษ แต่ถมไม่เคยพูดออกมาตรงๆ ว่าจีบ จินก็เลยไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง”

    ฟังจบผมแทบจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก

    ว่าที่แฟนไม่ได้โง่ค่อยยังชั่วหน่อย

     

    “ถ้าอย่างนั้นก็รู้ได้แล้วนะครับ จีบนะ จีบมาตั้งนานแล้ว คุณจินรับรักผมเถอะ”

    ผมโจมตีเหมือนปล่อยหมัดฮุครัวๆ

     

    คนอย่างผมเป้าหมายมีไว้ให้พุ่งชน

    แต่นั่นน่าจะไม่ใช่สำหรับคนอย่างจิน

    เขานิ่งเงียบไปด้วยสีหน้าเหมือนกำลังคิดหนัก แล้วพูดออกมาว่า

    “จินอยากให้พวกเราค่อยๆ ศึกษากันก่อน”

    ผมจึงจำใจต้องพยักหน้ารับคำ ทั้งๆ ที่ในใจอยากจับเขามารวบกอดแล้วขอร้องให้ยอมรับปากเป็นแฟนกันเสียแต่โดยดีตั้งแต่วินาทีนี้เลย

    sds

     

    จินตะ Part 3

     

    หลังจากที่เริ่มศึกษาดูใจกันอย่างเป็นทางการ ถมก็ดูเปิดใจให้ผมรู้จักตัวเขาที่แท้จริงมากขึ้น เขาพาผมเข้าไปรู้จักโลกของเขาซึ่งเป็นโลกใหม่สำหรับผม มีอะไรให้ตื่นตาตื่นใจมากมายอย่างคืนนี้เขารับจ๊อบร้องเพลงที่ผับชื่อดังแห่งหนึ่ง เขาจึงชวนผมมาฟังเขาแสดงบนเวทีเป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันมา

     

    “เดี๋ยวถมมันจะขึ้นร้องคิวต่อไปแล้วนะ”

    เอกเพื่อนสนิทของถมพูดขึ้น ก่อนที่แอนซึ่งมาเป็นเพื่อนสนิทของผมจะชวนให้พวกเราเดินไปดูใกล้ๆ เวที

     

    แค่เขาขึ้นเวทีมาร้องและเต้นก็เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดได้จากสาวๆ รอบเวที ทำให้ผมตระหนักเป็นครั้งแรกว่า

    ถม Popular แค่ไหน

    จนกระทั่งถึงท่อนร้องแร็พที่เขาบอกว่าแต่งเอง ผมก็ต้องหน้าแดงแจ๋ด้วยความเขินอายเพราะเขาแร็พแล้วก็มองมาที่ผมเหมือนสื่อความหมายจากสายตาว่า กำลังร้องเพลงให้กัน

     

    “อยากจะร้องร้องแร็พให้เธอฟังสักครั้ง

    เพราะในใจลึกๆ ก็แอบรู้ว่ามีหวัง

    ขอแค่เธอเปิดใจมองมาดูสักครั้ง

    วาเลนไทน์ปีนี้ไม่ต้องเดินตามลำพัง”

     

    แถมพอร้องท่อนแร็พเสร็จเขามีการส่งจูบมาทางผมซึ่งยืนอยู่ด้านหน้าเวทีเรียกเสียงกรี๊ดจากผู้ชมได้ขนานใหญ่

     

    ช่างเป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยพลังในการเอนเตอร์เทนและดึงดูดผู้ชมเมื่อขึ้นแสดงบนเวทีจริงๆ

    ผมคิดอย่างชื่นชมในใจ

     

    หลังจากรอถมให้เลิกจากการแสดงเรียบร้อยแล้ว เขาก็อาสาจะไปส่งผมที่หอ ส่วนเอกอาสาไปส่งแอนให้ ทำให้เราได้กลับมาตามลำพัง

    ถมจึงได้โอกาสที่จะถามผมขึ้นมาว่า

    “เมื่อกี้จินได้ยินที่ถมร้องแร็พไหม?”

    “อืออ ได้ยิน”

    ผมรับคำแล้วอดรู้สึกเขินจนหน้าแทบไหม้ไม่ได้

    ก็เพลงนั้นผมคิดว่า เขาตั้งใจแต่งให้ผม

    “แล้ววาเลนไทน์ปีนี้ จินคิดจะเดินคู่กับถมไหม?”

     

    เขาถามด้วยประโยคแสนอ้อมค้อมเป็นครั้งแรกตั้งแต่เราคบกันมา แถมน้ำเสียงก็ดูจะสั่นนิดหน่อยด้วย นั่นทำให้ผมอดไม่ได้ยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู แล้วตอบออกไปว่า

    “เดินคนเดียวมาหลายปีแล้ว ปีนี้เดินเป็นคู่ก็ดีเหมือนกัน”

     

    จบประโยคนั้นถมเบรกรถเสียผมหัวแทบคว่ำ เขาจอดข้างทางแล้วหันมารวบมือผมไปจับ จากนั้นก็พูดว่า

    “หมายความว่า จินตกลงเป็นแฟนกับถมแล้วใช่ไหม?”

    ผมอมยิ้มแล้วพยักหน้าลงเบาๆ เท่านั้นแหละ เขาก็รวบผมเข้าไปกอดเสียแน่น แถมยังพรมจูบตั้งแต่ซอกหูไล่ลงมาเรื่อยจนกระทั่งแนบริมฝีปากลงมาช่วงชิงความหวานจากริมฝีปากของผมเสียจนผมแทบจะหายใจไม่ทัน

    “หื้อออ พอก่อนถม ใจเย็นๆ”

     

    ผมร้องห้าม ซึ่งเขาก็เชื่อฟังแต่โดยดี ถมผละออกไปแล้วมองหน้าผมด้วยสายตาที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนจะโดนกลืนกินเข้าไป

    อานุภาพของสายตานั้นทำเอาหัวใจผมเต้นแรงจนรู้สึกได้ ก่อนที่เขาจะทำอะไรมากไปกว่านั้น ผมจึงตัดสินใจกดจมูกลงที่แก้มป่องๆ ทั้งสองข้างของเขา แล้วพูดว่า

     

    “ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับคุณแฟน”

    คราวนี้เป็นตาเขาเสียอาการบ้าง

    ผมก็เพิ่งรู้ว่า ถมเป็นพวกแพ้คำหวาน เขาหน้าแดงถึงหูแล้วยอมขับรถไปส่งผมที่หออย่างสงบไม่มีการเกเรเหลวไหลซึ่งทำให้ผมพอใจมาก

     

    ถมปัด Part 3

     

    ตั้งแต่ที่จินรับปากเป็นแฟนกับผม ผมก็อดไม่ได้ออกอาการเห่อจนออกนอกหน้า จนตอนนี้คนแทบจะรู้กันทั้งมหาลัยแล้วว่า

    จินตะเอกดนตรีสากลเป็นแฟนกับถมปัดเอกการแสดง

    ก็จะไม่ให้รู้กันได้ยังไงล่ะครับในเมื่อผมเล่นเซลล์ฟี่คู่กับเขาแล้วโพสต์ลงไอจีตั้งแต่วันแรกที่ตกลงคบกันจากนั้นก็เขียนแคปชั่นว่า

    “วาเลนไทน์ปีนี้ไม่โสดแล้วนะคับ”

     

    เล่นเอายอดไลค์ถล่มทลายแถมเพจคนดังประจำมหาลัยยังเอาไปเล่นข่าวคู่รักคนดังจนเป็นกระแสไปทั่ว

    ซึ่งทั้งหมดผมไม่ได้คิดอะไรมาก มีแต่จินนี่แหละที่บ่นอยู่นั่นแหละว่า อาย

     

    ไม่รู้อายอะไรนักหนามีแฟนหล่อขนาดนี้ ก็ต้องอวดหน่อยสิครับคุณแฟน

    แล้วพอผมพูดอย่างนี้นะ ก็ไล่ฟาดผมจนต้องวิ่งหนี

    ไหนใครบอกว่าคนเล่นดนตรีจะอ่อนโยน ไม่เห็นจะอ่อนโยนกับผมเลย

     

    แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำให้ทุกวันของผมเต็มไปด้วยสีสันแห่งความสุข ตอนนี้ผมเชื่อแล้วว่า

    คนขั้วตรงกันข้ามกันจะดึงดูดกัน

    ดูอย่างผมกับจินสิครับ

    คนหนึ่งร้อนคนหนึ่งเย็น

    คนหนึ่งเร็วคนหนึ่งช้า

    แต่เราก็ยังเข้ากันได้ดีเหมือนเป็นจิ๊กซอว์ที่ขาดหายไปของอีกฝ่าย และถึงแม้ว่าเรื่องอื่นๆ เราจะแตกต่างกัน

     

    แต่เราก็มีเรื่องหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือ เราใจตรงกันและเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นส่วนหนึ่งที่หายไปของเราเหมือนๆ กัน

    เมื่อเราอยู่ด้วยกันผมจึงรู้สึกเหมือนกับว่าได้รับการเติมเต็ม และความสุขของผม จะสมบูรณ์แบบก็ต่อเมื่อมีเขาเดินคู่กันไป

     

    วาเลนไทน์นี้ผมไม่เหงาแล้วนะ แล้วคุณล่ะหาอีกครึ่งที่หายไปเจอแล้วหรือยัง

    สุขสันต์วันวาเลนไทน์ครับ

     

    Talk

    ขอให้ทุกคน เจออีกส่วนที่หายไปกันเร็วๆ นะคะ

    "Happy Valentine Day" heart

    ไรท์หวาน

     

     

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×