คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : 15 ✿ อย่าทำแบบนี้
15
อย่าทำแบบนี้ , ต้นเหมย
“ทำหน้าเหมือนหมาโดนแย่งกระดูกอีกละ” คนถูกทักเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่สบอารมณ์
ฟังเสียงก็รู้ว่าเป็นใคร หมิงจิ้มลูกชิ้นแล้วยื่นไปให้ผู้มาใหม่อย่างรำคาญหมายจะให้เงียบเสียง
ถึงการโต้ตอบจะดูไม่ถูกกันแต่เวลามีปัญหาหนักใจเพลิงกลายเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาเสมอ “ไม่แดก
ขี้เกียจเคี้ยว”
“งั้นกูเคี้ยวให้ไหมล่ะ” หมิงย่นจมูกแล้วถามเสียงติดหงุดหงิด
เขาอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่เช้าเพราะเพลิงดันทำรอยบนคอ
“กูกล้านะบอกก่อน”
เพลิงยังคงเร้าประสาทไม่เลิก รู้ทั้งรู้สาเหตุแต่ยังแกล้ง
เวลานั้นใครมันจะไปยั้งอารมณ์อยู่ อย่าว่าแบบนั้นแบบนี้ คอเขายังมีเลย
“เออ
กูรู้หรอก”
“ไม่งอนดิ
มึงก็ทำรอยที่คอกูไปแล้วนี่ ต้องหายกันแล้ว” ปลายนิ้วเรียวไล้ตามพวงแก้มใส
พอเจอคำนี้เข้าไปหมิงจึงค่อยๆ คิดได้แล้วหันไปทำท่าจะงับนิ้ว “แหนะ
งับนิ้วผมอะเดี๋ยวก็โดนอีกหรอก”
“ไอ้สัด”
หมิงสบถ ไม่ใช่หงุดหงิดแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะความเขิน “ไปไกลๆ เลย”
“เขินอีก
ตกลงว่า...” เด็กหนุ่มที่กำลังจะอ้าปากเงียบเสียงลงทันทีเมื่อเห็นโทรศัพท์ของตัวเองสั่น เขาล้วงออกมาดูก่อนขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะรายชื่อบนหน้าจอจะหลบเลี่ยงตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว
“ทำไมม้ากูโทรหามึง”
“ไม่รู้ว่ะ
ก็อยู่ด้วยกัน”
“รับดิ” เพลิงพยักหน้า
กดรับแล้วเปิดสปีกเกอร์โฟนด้วยความรวดเร็ว ยอมรับว่าใจเต้นระส่ำเพราะไม่รู้เหตุผล
หลังจากแฝดทะเลาะกับที่บ้านครั้งนั้นเขาก็ไม่ได้โผล่หน้าไปให้เห็น “ครับคุณน้า”
(เพลิงอยู่กับสองแฝดไหมคะ)
หมิงขมวดคิ้วแล้วผงกศีรษะครั้งหนึ่งเป็นคำตอบว่าอนุญาตให้บอกได้
ตอนนี้มีแค่เขากับเพลิงเท่านั้นแหละ ส่วนแฝดพี่ยังมาไม่ถึง
ความจริงวันนี้ไม่มีเรียนหรอกแต่พวกเขามีงานกลุ่มต้องทำเลยเห็นว่าเหมยน่าจะพาญี่ปุ่นมาด้วยกัน
“ผมอยู่กับหมิงครับคุณน้า”
(อาเหมยไม่อยู่ด้วยหรือคะ)
“เหมยคุยงานกับอาจารย์อยู่น่ะครับ
พอดีผมคุยเสร็จแล้วเลยออกมาก่อน” เขาจำต้องโกหกเพราะถ้าบอกว่าเหมยยังไม่มา
คุณน้าได้ถามอีกแน่ว่าทำไมแฝดถึงไม่ได้อยู่ด้วยกัน “คุณน้ามีอะไรหรือเปล่าครับ”
(น้าอยากเจออาหมิงค่ะ
ตอนนี้อยู่ตรงประตูมอ ไม่รู้ว่าเข้าไปทางไหน) คนเป็นลูกชายเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ
แม้เขาจะได้คุยกับม้าอยู่บ้างแต่นั่นก็ผ่านมาหลายวันแล้ว
ดูเหมือนม้าเป็นคนเดียวในบ้านที่พอจะต่อบทสนทนาได้ ทั้งพยายามเข้าใจและโอนเงินให้ใช้ (โทรหาแล้วไม่มีใครรับสายม้าเลยสักคน)
“อ้อ
หมิงมันปิดเสียงไว้น่ะครับ คุณน้าจะคุยไหม”
(บอกทางมาเลยค่ะ
เดี๋ยวน้าเข้าไปหา)
เพลิงบอกทางให้กับคุณแม่ของเพื่อนสนิทที่เขาคิดไม่ซื่อมานาน
พอจะรู้อยู่หรอกว่าทำไมถึงได้เข้ามาไม่ถูก จำได้ล่าสุดที่เห็นคุณน้าในมอก็ตอนปีหนึ่งนั่นเลยล่ะมั้ง
พวกเขาไปยืนรออยู่หน้าคณะ ระหว่างนั้นแอบจิตตกไปด้วยกันเพราะไม่รู้ว่าทำไมถึงมาหา
เมื่อรถสีขาวคันคุ้นตาวนเข้ามาในลานจอดของคณะ
หมิงจึงรีบปรี่เข้าไปทันที เพียงแค่คนด้านในเปิดประตูออกมาและเขายังไม่ทันได้ทักทาย
อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาก่อน
“ลื้อไม่ค่อยได้พักผ่อนหรือ” เธอถามด้วยน้ำเสียงแสดงความเป็นห่วงชัดเจน
ก่อนยกมือขึ้นรับไหว้เด็กหนุ่มที่ตัวเองเพิ่งโทรหาเมื่อครู่และสายตาไปบรรจบลงตรงต้นคอของลูกชายคนเล็ก
“บนคอ”
“...”
หมิงอึ้งไปครู่หนึ่งยกมือขึ้นแตะตรงต้นคอตัวเองอัตโนมัติ ฉิบหาย ลืมไปเลย “คือ...”
“ใครคะ?” คนเป็นแม่เปลี่ยนเสียงทันใด
ก่อนตวัดไปมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกัน “เพลิง”
“ขอโทษครับ” เจ้าของชื่อยกมือขึ้นไหว้คล้ายเป็นการยอมรับกลายๆ
หมิงถอยหลังออกมาก้าวหนึ่ง ยืนเม้มปากและหลบสายตาก่อนดึงเพลิงให้ถอยมายืนใกล้กันเพื่อเว้นระยะห่าง
เขาไม่มีอะไรจะแก้ตัวหรอก
“ผม...” หมิงกำลังจะเอ่ยปากบอกว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเขากับเพลิง
แต่ม้าก็พูดขึ้นมาก่อนอีกครั้ง
“ม้าไม่ได้จะตามมาว่าลื้อ
...ม้ารู้แล้วว่ามันเปลี่ยนกันไม่ได้” เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ
เพลิงยังไม่ได้ปริปากพูดอะไรหรือแสดงความในใจสักนิด “ม้าแค่จะมาชวนลื้อกลับบ้าน”
“ม...ม้าไม่โกรธจริงๆ
เหรอ”
“ให้ม้ายอมรับเรื่องแฟนพวกลื้อยังดีกว่าให้ม้าทำใจเรื่องที่ไม่มีพวกลื้ออยู่บ้าน” เธอกล่าวเสียงสั่นเครือ
อาม่าอากงรู้เรื่องนี้แล้วโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเช่นเดียวกับสามีของเธอ
ทว่าเธอพยายามกล่อมแล้วเพราะอยากให้ลูกชายกลับไปอยู่บ้านเหมือนเดิม
ทั้งที่เธอเป็นคนบอกว่ายังไม่ต้องกลับแท้ๆ แต่เมื่อนานเข้าเธอจึงกลัวว่าลูกจะไม่กลับบ้านอีกจึงต้องมาตาม
“ม้าพูดกับป๊าให้แล้ว
เขายังหัวแข็ง แต่ม้าคิดว่าถ้าพวกลื้อกลับไปคุยครั้งนี้ ม้ามั่นใจว่าเขาจะหายโกรธ”
“แต่ป๊าไล่เฮียออกจากบ้าน
...แค่ไม่กี่อาทิตย์จะหายโกรธเหรอ ป๊ายังยอมรับสิ่งที่พวกผมเป็นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
“ลื้อไม่เชื่อม้าแล้วหรืออาหมิง” ได้ยินเช่นนี้คนเป็นแม่หัวใจแทบสลาย
เธอรู้ว่าสิ่งที่สามีกระทำใส่ลูกชายทั้งสองนั้นไม่ถูกต้อง
แม้เธอจะเป็นคนติดต่อลูกชายแต่ช่วงนั้นกลับทำอะไรมากไม่ได้เพราะนิสัยของคุณหย่ง “ถ้าครั้งนี้
ลื้อกลับไปคุยแล้วป๊ายังทำเหมือนคราวก่อนอีก”
“...”
“ม้าจะออกมาอยู่กับพวกลื้อ” หมิงกัดริมฝีปากทันที
เขารู้สึกเจ็บหัวใจเสมือนรอยร้าวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
กลายเป็นว่าเขากับเหมยกำลังจะทำให้ม้าลำบากไปอีกคนและเขารู้ว่าม้าพูดจริงเสมอ “ม้ารักลื้อกับอาเหมยที่สุด ม้าทนไม่ได้จริงๆ
ลื้ออยากรักใครลื้อรักไปเลย ...ถึงม้าจะยังไม่เข้าใจเท่าไหร่แต่ม้าจะปรับตัว
ม้าจะเอ็นดูเขาให้เหมือนที่รักพวกลื้อ”
“…”
“แค่กลับบ้านไปด้วยกันได้ไหม”
“หมิง” เพลิงส่งเสียงเรียกเมื่อคนถูกถามยืนเงียบไป
จะว่าเขาเสียมารยาทก็ได้ที่ยืนฟังอยู่ไม่ยอมเดินไปไหน
คราแรกเพียงแค่กังวลว่าม้าอาจจะว่ากล่าวอะไร “ได้ยินที่คุณน้าถามไหม”
“อือ” คนตัวเล็กหันมาตอบก่อนกลับไปมองหน้าคนเป็นแม่อีกครั้ง
“ผมชอบเพลิงนะ …ม้ารับได้ใช่ไหม”
“...” เธอเงียบไปครู่หนึ่งแล้วหันไปมองหน้าคนที่ถูกกล่าวถึง
เพลิงไม่ได้หลบสายตาไปไหนยืนยันจะจ้องมองเธออย่างนั้น
ทุกวินาทีดำเนินไปด้วยความรู้สึกลุ้นและคาดหวัง กระทั่งเธอเป็นฝ่ายยิ้มออกมา “ม้าบอกแล้วว่าจะปรับตัวกับความรักของพวกลื้อ”
“...”
“ม้ารับได้”
“จริงนะม้า”
“จ้ะ” เธอยิ้มรับก่อนอ้าแขนทั้งสองออก
ยืนแช่อยู่อย่างนั้นชั่วขณะหนึ่งนาทีก่อนลูกชายหัวแก้วหัวแหวนจะโผเข้ากอดทั้งน้ำตา
เช่นเดียวกันเธอไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้เพราะทั้งหัวใจเธอยกให้เป็นของลูกชายทั้งสองคนไปหมด
แม้จะคุยกับผู้เป็นสามีมาแล้วและเขาตอบตกลงหากเธอจะมาตามลูกกลับบ้าน
แต่หากกลับไปถึงแล้วอีกฝ่ายกลับคำ
เธอยินดีจะออกจากบ้านหลังนั้นและมาใช้ชีวิตกับลูกชายทั้งสองคน
“ขอบคุณนะครับม้า
...ขอบคุณครับ”
“ลื้อไม่ต้องร้องไห้แล้ว” เธอว่าก่อนผละลูกชายออกแล้วยกมือขึ้นเช็ดหยาดน้ำตาให้เหมือนที่เคยทำเมื่อหลายปีก่อน
เมื่อโตขึ้นลูกย่อมเลือกทางเดินชีวิตเองเป็นสิ่งหนึ่งที่เธอเข้าใจดี
เธอจึงคิดได้ว่าคนที่ควรปรับไม่ใช่ลูกแต่เป็นเธอ “ม้ารักพวกลื้อที่สุดเลยนะ”
“ครับ
แต่เรื่องกลับบ้าน เดี๋ยว...” หมิงพยายามกลั้นสะอื้นตอบรับคำ
ทว่ายังไม่ทันจะได้พูดจบกลับได้ยินเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาก่อน
“ม้า” ผู้มาใหม่เอ่ยเรียกอย่างคุ้นเคย
น้ำเสียงนิ่งเฉยราวกับไม่ตกใจ
ถึงอย่างนั้นหากหมุนตัวกลับไปมองจะเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าตระหนก “มาทำอะไรที่นี่ครับ”
“มาตามลื้อกลับบ้าน” เธอตอบเสียงสั่นหลังจากไม่ได้เห็นหน้าลูกชายมาหลายอาทิตย์
เพียงเห็นใบหน้าซีดเซียวแถมยังมีรอยคล้ำใต้ตาอย่างที่ไม่เคยเจอกลับทำใจเจ็บเหลือเกิน
ลูกชายไม่ได้เดินมาเพียงแค่คนเดียว
แต่กลับมีเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักอีกคนยืนอยู่ใกล้กัน เธอมั่นใจว่าต้องเป็นเด็กคนนั้นที่แฝดพี่ได้กล่าวถึงจึงเดินเข้าไปหา
“เธอชื่อญี่ปุ่นใช่ไหม”
“ครับ” เด็กคนนั้นตอบรับเต็มเสียงก่อนยกมือขึ้นไหว้
ไม่มีท่าทีวอกแวกหรือตกใจ กลับกันลูกชายของเธอนั่นกลับดูเป็นกังวลจึงรีบดึงเข้าไปใกล้
แต่ดันโดนตีแถมเรียกเสียงดุไปทีหนึ่งเหมือนว่าการกระทำเมื่อครู่ไม่ถูกต้อง “ต้นเหมย”
“ญี่ปุ่นแฟนผมครับ” เหมยไม่สนใจก่อนจะแนะนำอย่างไม่ปิดบัง
“จ้ะ
ม้าจำชื่อได้” ทีแรกเธอไม่ได้รู้จักชื่อหรอก
แต่คุณหย่งผู้เป็นสามีพูดให้ฟังอยู่ทุกวันว่าเหมยบอกว่าแฟนของเจ้าตัวชื่ออะไร “ม้าอยากให้ลื้อกลับบ้าน”
“ไม่กลับครับ” เด็กหนุ่มตอบอย่างไม่ทบทวน
พลางหันไปมองหน้าแฝดน้องที่ตอนนี้ทั้งหน้าเปื้อนน้ำหูน้ำตา “ผมยังไม่พร้อม”
“ต้นเหมย” ญี่ปุ่นกระซิบเรียกชื่อหวังจะเตือนเรื่องที่เพิ่งได้พูดคุยกันไป
“เหมย
ฟังม้าก่อน” หมิงซ้ำอีกครั้ง
ดูท่าทีแล้วเหมือนแฝดพี่จะไม่ยอมฟังและเป็นครั้งแรกเลยที่อีกฝ่ายแสดงท่าทีต่อต้าน “ม้าเข้าใจเรา”
“รู้” เขาตอบเสียงนิ่ง
“แต่ป๊าไม่เป็นแบบนั้น ผมยังคิดไม่ออกเลยว่าถ้ากลับไปแล้วจะพูดกับป๊าแบบไหน
ต้องทำยังไงให้ป๊ายอมรับ”
“…”
“ป๊าไม่เหมือนม้า” ทุกคนต่างเงียบเพื่อรอฟังเขา
ถึงตกลงรับคำกับญี่ปุ่นไว้แต่เขาไม่ได้คิดว่าจะกลับไปเร็วขนาดนี้
คิดว่าอีกสักอาทิตย์สองอาทิตย์ค่อยกลับไปแม้มันจะกินระยะเวลามานานแล้วก็ตาม “ม้ากลับไปก่อนเถอะ
ผมยังไม่พร้อมจะกลับไปคุยจริงๆ”
“ต้นเหมย” หนนี้ญี่ปุ่นเรียกเสียงดังพอให้ได้ยินกันทุกคน
“อย่าทำแบบนี้”
ญี่ปุ่นรู้ว่าตัวเองกำลังกดดันอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก
แต่เขาไม่สามารถทนเห็นครอบครัวต้องแตกกันแบบนี้ได้
ในเมื่อม้าอุตส่าห์มาตามให้กลับบ้านอย่างน้อยๆ
เขาคิดว่าอาจจะได้ผลลัพธ์ที่ดีมาแล้วหลายเปอร์เซ็นต์
แถมหมิงดูเหมือนจะได้คุยเรียบร้อยแล้วถึงได้บอกให้เหมยฟัง
“อาเหมย” เธอเรียกเสียงสั่นจากท่าทีของลูกชาย
รู้แล้วว่าเด็กคนนี้มีอิทธิพลต่อเหมยเพียงใด
“ขอโทษครับ” เหมยตอบเสียงแผ่ว
ในหัวใจเขาตอนนี้กำลังสับสน มีทั้งความรู้สึกอยากกลับและไม่อยากกลับ
ยอมรับเลยว่าใจเขาเลือกญี่ปุ่นต่อให้ทะเลาะกับที่บ้านหนักแค่ไหนเขาก็จะเลือกญี่ปุ่น
“ถ้าครั้งนี้ยังคุยกับป๊าไม่เข้าใจ
ผมจะออกมาอยู่ข้างนอกเองครับ”
“...เฮีย” แฝดน้องเรียกพลางมองหน้าสลับกับผู้เป็นแม่
เขาเห็นภาพอย่างนี้แล้วรู้สึกหัวใจสลาย หากป๊าไม่ยอมรับเหมือนว่าครอบครัวกำลังจะพังลง
“ผมรักม้านะ” แฝดพี่ไม่ฟังอะไรอีกแล้ว
ครั้งนี้แสดงความต้องการของตัวเองอย่างชัดเจน
“ถ้าลื้อ...”
“แต่ผมก็รักญี่ปุ่นเหมือนกัน” เหมยชิงพูดตัดบท
เขารักม้ารักป๊าเป็นความจริงที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ทว่าตอนนี้เขามีอีกหนึ่งคนที่มอบคำว่ารักให้ไป
และเขาเพียงแค่ต้องการความเข้าใจแค่นั้นเอง
“…”
“ผมขอให้ม้าเข้าใจ”
✿
“เป็นอะไรของมึงไอ้ปุ่น” ยิ้มถามขึ้นด้วยความเป็นกังวลเมื่อเห็นสีหน้าของลูกพี่ลูกน้องไม่สู้ดีนัก
“เราคิดว่าเราเป็นตัวปัญหา...ให้บ้านของต้นเหมย” เขาตอบเสียงเบาในหัวทบทวนถึงเรื่องที่เพิ่งผ่านมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า
คำที่เหมยบอกจะออกมาอยู่ข้างนอกหากไม่เป็นไปตามหวังยังเวียนซ้ำอยู่ในหัว
“เรื่องพ่อเขาอะเหรอ”
“อื้อ” ญี่ปุ่นเบะปากเหมือนคนกำลังจะร้องไห้
ก่อนยิ้มจะเอื้อมมือมาโปะลงบนศีรษะเบาๆ “เราคิดถูกหรือเปล่าที่กลับมา
เริ่มไม่แน่ใจแล้วเนี่ย”
“ถูกดิ
มันก็อยากได้กำลังใจเหอะ” เขารู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น
สืบเนื่องมาจากพวกเขาอยู่ร้านแม่พู่กันแล้วหมิงโทรไปเล่าให้ฟังนั่นแหละ
...แต่ไม่รู้ว่าญี่ปุ่นใช้ไม้ไหนบอกเหมยมันถึงได้ปล่อยให้น้องเขาโทรตามให้รับมาร้านอย่างนี้
“ถ้าเกิดว่าพ่อมันไม่ยอมรับจริงๆ
มึงอยู่ได้ไหมล่ะ แบบคบกันต่อทั้งที่รู้ว่าบ้านเขาไม่โอเคอะ”
“...ถ้าอยู่กับต้นเหมย
เราอยู่ได้ แต่เราไม่อยากให้เขาต้องแตกกันเพราะเรา”
“ถ้าเป็นกูมันก็ลำบากใจนะ
ฝั่งหนึ่งก็แฟน ฝั่งหนึ่งก็ครอบครัว” ยิ้มพูดตามที่คิด “แต่มึงคิดดู ไอ้เด็กแฝดมันตามใจที่บ้านมาตลอด เท่าที่กูรู้จักมานะ
มึงว่าถ้ามันจะหันมาตามใจตัวเองบ้าง มันผิดเหรอวะ”
“…”
“นี่ถ้ามันมาได้ยินว่ามึงคิดหนักเรื่องกลับมา
คงน้อยใจน่าดู ...แล้วเอาจริง รักของพวกมึงมันผิดตรงไหน
แค่เพราะมึงเป็นชายทั้งคู่เลยไม่สมควรมีความสุขเหรอ หรือยังไง”
“เฮ้อ” ญี่ปุ่นถอนหายใจหนัก
ยกแขนขึ้นเท้าคางด้วยใบหน้าเศร้า “เราจะทำยังไงดี”
“ไอยวริญท์” เจ้าของชื่อปรายตามองทั้งที่ยังคงทำหน้างุ้มงอ
“มึงคิดจะเลิกกับเหมยมันหรือเปล่า”
“…” คนถูกถามกลืนน้ำลายลงคอ
ก่อนเบนสายตากลับมามองแก้วน้ำตรงหน้า เขาแอบคิดว่าจะจบปัญหานี้ด้วยการบอกเลิก
แต่...
“มึงจะทิ้งมันไว้คนเดียวเหรอ” พอพี่ยิ้มเห็นเขาเงียบจึงท้วงขึ้นอีกครั้ง
“แค่เคยคิด
แต่เราเลิกกับต้นเหมยไม่ได้หรอกพี่ยิ้ม”
“...”
“เราจะทิ้งได้ยังไง
...รักขนาดนี้” ประโยคหลังแผ่วเบาแต่ยิ้มยังคงจับใจความได้
เขาผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก นึกว่าไอ้น้องตัวแสบจะหนีปัญหาเสียแล้ว
“ถ้าบ้านนั้นเขาไม่ปรับตัวให้ลูก
สักวันก็ต้องแตก มึงเชื่อกูไหมล่ะ
แฝดมันโตพอที่จะเริ่มเรียนรู้ชีวิตด้วยตัวเองแล้ว ถ้าเขาบังคับ จำกัดขอบเขตขนาดนั้น”
“อื้อ
เราเลิก...”
“เลิกอะไร”
เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาทำเอาคนที่ยังพูดไม่จบถึงกับชะงัก
ต้นเหมยมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ หน้าพี่ยิ้มเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก “ญี่ปุ่น”
“อ...อะไรเล่า
เราไม่ได้... คิดจะพูดแบบนั้นซะหน่อย” ประโยคหลังแผ่วลง มาผิดจังหวะจริงๆ
เลยต้นเหมยเนี่ย แถมยังไม่ให้เขาพูดจบประโยคอีก
“คือมึงนั่งคุยกันไปก่อนนะ
...ไอ้พู่ วันนั้นที่กูแดกขนมร้านมึงอะ ขนมไรนะ มีอีกปะวะ”
ยิ้มแสร้งเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว กระโจนไปเกาะเจ้าของร้านอย่างพู่กันแล้วลากออกไปจากตรงนี้
ทำให้เหลือเพียงแค่ญี่ปุ่นกับต้นเหมย
ทั้งที่มันควรเป็นบรรยากาศที่ดีแต่กลับอึดอัดเสียอย่างนั้น
“ตกลงว่าเลิกอะไร”
เหมยทิ้งตัวลงนั่งแทนพี่ยิ้ม
มองไปยังเจ้าคนดื้อที่ยังหลบหน้าหลบตาไม่แม้แต่จะหันมามองกัน “จะเลิกกับเหมยเหรอ”
“ม...ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย”
ต้องรีบหันมาบอก เกรงว่าช้ากว่านี้คงได้เข้าใจผิดกันไปใหญ่
เขายังไม่ทันจะพูดต่อคนตรงหน้าก็คว้าข้อมือแล้วฉุดให้ลุกขึ้นเสียแล้ว
ทำไมถึงดูอารมณ์ไม่ดีแบบนี้เล่า “ต้นเหมยจะพาเราไปไหน”
อีกฝ่ายไม่ตอบอะไร
หันกลับมามองเขาหนหนึ่งแล้วยังคงดึงให้เดินต่อ ไม่ว่าจะเดินผ่านพี่ยิ้มกับพู่กันทั้งสองคนนั้นก็ไม่กล้าถามอะไร
คนตัวโตดึงเขามาข้างหลังร้านก่อนดันให้เข้ามาอยู่ในห้องน้ำ
เหมยล็อคประตูรวดเร็วท่ามกลางความสงสัยของเขา
ไม่เคยเห็นท่าทางอย่างนี้มาก่อนแต่เขาไม่มีความตกใจใดๆ ทั้งสิ้น
เป็นอีกครั้งที่ยังไม่ได้อ้าปากพูดก็โดนดึงเข้าไปกอดจมอก
“ขอโทษครับ”
กลายเป็นเขาเองที่ไม่เข้าใจ ดึงเขามาในห้องน้ำเพียงเพราะต้องการจะพูดคำนี้เหรอ
“ขอโทษเราทำไม
...ต้นเหมยยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”
“ขอโทษที่ทำให้ไม่อยากอยู่ด้วยกัน”
เสียงทุ้มเอ่ยเบาหวิวแต่ดังชัดในโสตประสาทของเขา
ญี่ปุ่นกอดคนตรงหน้าแน่นขึ้นกว่าเดิม ความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นทันใด
เป็นเพราะเขามีความคิดแบบนั้นเลยทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด
“เราขอโทษ”
ไม่ปฏิเสธหรอกว่าเขาคิดจริง “แต่เราไม่ได้จะทิ้งต้นเหมยไปไหน”
ญี่ปุ่นผละอ้อมกอดออก
ช้อนมองคนตัวสูงที่กำลังแสดงสีหน้าเรียบเฉยแต่รู้ว่าวิตกเพียงใดจากสายตาคู่นั้น
เขาคลี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนเขย่งปลายเท้าขึ้นจูบริมฝีปากของอีกฝ่ายแผ่วเบา
ไม่มีการรุกล้ำมากกว่านั้นเขาเพียงแค่ต้องการบอกว่าความคิดแบบเมื่อกี้จะไม่เกิดขึ้นอีก
“...”
เหมยยังคงเงียบเมื่อเราละริมฝีปากออกจากกัน
ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างพินิจ เขาคงเป็นกังวลมากเกินไป
แต่ตอนที่เข้ามาแล้วได้ยินญี่ปุ่นพูดเรื่องเลิกก็ใจไม่ดีรอไปก่อนแล้ว
สุดท้ายเขาหลุดหัวเราะ “กลัว”
“ขี้กลัวอะไรแบบนี้เล่า
ยังไม่ทันจะฟังเราพูดเลย”
“เพราะเหมยไม่น่ารัก”
เขายอมรับว่าตัวเองอ่อนแอ กลัวญี่ปุ่นจะไม่อยากอยู่ด้วยกัน
กลัวจะทนไม่ไหวกับสภาพครอบครัวเขาที่ยังยอมรับไม่ได้
ยิ่งเขาแสดงท่าทางต่อต้านม้าแล้วอีกฝ่ายขอให้พี่ยิ้มมารับยิ่งกลัวไปหมดทุกสิ่ง
“อย่าบอกเลิกกันนะครับ”
“อื้อ
ไม่เลิกหรอก” ญี่ปุ่นยื่นนิ้วโป้งไปแตะลงบนแก้มของอีกฝ่ายแล้วลูบเบาๆ เหมือนกล่อมเด็ก
“เรารักต้นเหมยนะ”
“รักเหมือนกัน”
“ร...เรารู้แล้ว” ถึงเขาจะดูก๋ากั่นไปบ้างแต่ใช่ว่าจะรับได้ทุกสถานการณ์เสียหน่อย
เจอมุมอ้อนของต้นเหมยแบบนี้ใครจะไปทำตัวถูก
“เย็นนี้เหมยกลับบ้านนะ”
“เย็นนี้เหรอ” เขาถามซ้ำอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจ
เพราะเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนอีกฝ่ายยังค้านหัวชนฝา ทำยังไงก็ไม่ยอมกลับบ้านท่าเดียว
“ครับ”
“ถ้างั้นเรารออยู่บ้านพี่ยิ้มนะ”
“อยากให้ไปด้วย” เหมยพูดเสียงติดอ้อน
แต่เขารู้ว่ามันเป็นแบบนั้นไม่ได้ “ขอโทษนะครับ”
“ขอโทษอะไรอีกเล่า”
“ขอโทษที่พาไปด้วยไม่ได้” เราต่างมีความกังวลของตัวเอง
ญี่ปุ่นเข้าใจเหตุผลดีและไม่อยากงี่เง่า ไม่อยากเป็นอีกหนึ่งคนที่ทำให้ต้นเหมยไม่สบายใจจึงตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เป็นไร
เราเข้าใจ”
“…”
“เราไม่ทิ้งต้นเหมยไปไหนหรอกน่า” สองมือประคองหน้าคนตัวสูงเอาไว้
ก่อนข้างหนึ่งจะเปลี่ยนมาหยิกแก้มเพื่อคลายความกังวล “เรารอฟังนะ”
“จูบหน่อยสิ”
“มาขอกันง่ายๆ
แบบนี้ได้ยังไงอะ ไม่ให้หรอก” ญี่ปุ่นหัวเราะคิกคัก
ปล่อยมือออกจากแก้มของต้นเหมยแล้วเตรียมจะเบี่ยงตัวไปเปิดประตูห้องน้ำ
ทว่ากลับโดนดึงกลับไปอยู่ในอ้อมกอดแทน “ตอนนี้ไม่ได้นะ!”
“ขอกำลังใจ”
“เราให้ไปแล้วนี่”
“ขออีก”
“ไว้ต้นเหมยกลับไปคุยกับที่บ้านก่อน” นับวันอีกฝ่ายยิ่งเจ้าเล่ห์จนเขาตามไม่ค่อยจะทัน
ยิ่งอยู่ด้วยกันมากขึ้นยิ่งโดนจูบบ่อย “เดี๋ยวเราให้จูบใหม่”
“แน่นะ”
“แน่ซี่
ถือเป็นคำสัญญาของเรา”
“ยังไงครับ” เหมยขมวดคิ้วเล็กน้อย
ไม่อาจคาดเดาคำพูดของญี่ปุ่นได้เลยสักนิด
“ก็...
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“…”
“เราจะอยู่ที่เดิม
รอให้ต้นเหมยกลับมาจูบไง”
tbc.
#เรื่องของต้นเหมย
ความคิดเห็น