ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องของต้นเหมย ` ✿ (end. สนพ.sensebook)

    ลำดับตอนที่ #16 : 15 ✿ อย่าทำแบบนี้

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.47K
      562
      15 พ.ย. 64


    15

    อย่าทำแบบนี้ , ต้นเหมย

     

    ทำหน้าเหมือนหมาโดนแย่งกระดูกอีกละคนถูกทักเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่สบอารมณ์ ฟังเสียงก็รู้ว่าเป็นใคร หมิงจิ้มลูกชิ้นแล้วยื่นไปให้ผู้มาใหม่อย่างรำคาญหมายจะให้เงียบเสียง ถึงการโต้ตอบจะดูไม่ถูกกันแต่เวลามีปัญหาหนักใจเพลิงกลายเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาเสมอ ไม่แดก ขี้เกียจเคี้ยว

    งั้นกูเคี้ยวให้ไหมล่ะหมิงย่นจมูกแล้วถามเสียงติดหงุดหงิด เขาอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่เช้าเพราะเพลิงดันทำรอยบนคอ

    “กูกล้านะบอกก่อน” เพลิงยังคงเร้าประสาทไม่เลิก รู้ทั้งรู้สาเหตุแต่ยังแกล้ง เวลานั้นใครมันจะไปยั้งอารมณ์อยู่ อย่าว่าแบบนั้นแบบนี้ คอเขายังมีเลย

    “เออ กูรู้หรอก”

    “ไม่งอนดิ มึงก็ทำรอยที่คอกูไปแล้วนี่ ต้องหายกันแล้ว” ปลายนิ้วเรียวไล้ตามพวงแก้มใส พอเจอคำนี้เข้าไปหมิงจึงค่อยๆ คิดได้แล้วหันไปทำท่าจะงับนิ้ว “แหนะ งับนิ้วผมอะเดี๋ยวก็โดนอีกหรอก”

    “ไอ้สัด” หมิงสบถ ไม่ใช่หงุดหงิดแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะความเขิน “ไปไกลๆ เลย”

    “เขินอีก ตกลงว่า...” เด็กหนุ่มที่กำลังจะอ้าปากเงียบเสียงลงทันทีเมื่อเห็นโทรศัพท์ของตัวเองสั่น เขาล้วงออกมาดูก่อนขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะรายชื่อบนหน้าจอจะหลบเลี่ยงตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว

    ทำไมม้ากูโทรหามึง

    ไม่รู้ว่ะ ก็อยู่ด้วยกัน

    รับดิเพลิงพยักหน้า กดรับแล้วเปิดสปีกเกอร์โฟนด้วยความรวดเร็ว ยอมรับว่าใจเต้นระส่ำเพราะไม่รู้เหตุผล หลังจากแฝดทะเลาะกับที่บ้านครั้งนั้นเขาก็ไม่ได้โผล่หน้าไปให้เห็น ครับคุณน้า

    (เพลิงอยู่กับสองแฝดไหมคะ) หมิงขมวดคิ้วแล้วผงกศีรษะครั้งหนึ่งเป็นคำตอบว่าอนุญาตให้บอกได้ ตอนนี้มีแค่เขากับเพลิงเท่านั้นแหละ ส่วนแฝดพี่ยังมาไม่ถึง ความจริงวันนี้ไม่มีเรียนหรอกแต่พวกเขามีงานกลุ่มต้องทำเลยเห็นว่าเหมยน่าจะพาญี่ปุ่นมาด้วยกัน

    ผมอยู่กับหมิงครับคุณน้า

    (อาเหมยไม่อยู่ด้วยหรือคะ)

    เหมยคุยงานกับอาจารย์อยู่น่ะครับ พอดีผมคุยเสร็จแล้วเลยออกมาก่อนเขาจำต้องโกหกเพราะถ้าบอกว่าเหมยยังไม่มา คุณน้าได้ถามอีกแน่ว่าทำไมแฝดถึงไม่ได้อยู่ด้วยกัน คุณน้ามีอะไรหรือเปล่าครับ

    (น้าอยากเจออาหมิงค่ะ ตอนนี้อยู่ตรงประตูมอ ไม่รู้ว่าเข้าไปทางไหน) คนเป็นลูกชายเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ แม้เขาจะได้คุยกับม้าอยู่บ้างแต่นั่นก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ดูเหมือนม้าเป็นคนเดียวในบ้านที่พอจะต่อบทสนทนาได้ ทั้งพยายามเข้าใจและโอนเงินให้ใช้  (โทรหาแล้วไม่มีใครรับสายม้าเลยสักคน)

    อ้อ หมิงมันปิดเสียงไว้น่ะครับ คุณน้าจะคุยไหม

    (บอกทางมาเลยค่ะ เดี๋ยวน้าเข้าไปหา)

    เพลิงบอกทางให้กับคุณแม่ของเพื่อนสนิทที่เขาคิดไม่ซื่อมานาน พอจะรู้อยู่หรอกว่าทำไมถึงได้เข้ามาไม่ถูก จำได้ล่าสุดที่เห็นคุณน้าในมอก็ตอนปีหนึ่งนั่นเลยล่ะมั้ง พวกเขาไปยืนรออยู่หน้าคณะ ระหว่างนั้นแอบจิตตกไปด้วยกันเพราะไม่รู้ว่าทำไมถึงมาหา

    เมื่อรถสีขาวคันคุ้นตาวนเข้ามาในลานจอดของคณะ หมิงจึงรีบปรี่เข้าไปทันที เพียงแค่คนด้านในเปิดประตูออกมาและเขายังไม่ทันได้ทักทาย อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาก่อน

    ลื้อไม่ค่อยได้พักผ่อนหรือเธอถามด้วยน้ำเสียงแสดงความเป็นห่วงชัดเจน ก่อนยกมือขึ้นรับไหว้เด็กหนุ่มที่ตัวเองเพิ่งโทรหาเมื่อครู่และสายตาไปบรรจบลงตรงต้นคอของลูกชายคนเล็ก บนคอ

    ... หมิงอึ้งไปครู่หนึ่งยกมือขึ้นแตะตรงต้นคอตัวเองอัตโนมัติ ฉิบหาย ลืมไปเลย คือ...

    ใครคะ?คนเป็นแม่เปลี่ยนเสียงทันใด ก่อนตวัดไปมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกัน เพลิง

    ขอโทษครับเจ้าของชื่อยกมือขึ้นไหว้คล้ายเป็นการยอมรับกลายๆ หมิงถอยหลังออกมาก้าวหนึ่ง ยืนเม้มปากและหลบสายตาก่อนดึงเพลิงให้ถอยมายืนใกล้กันเพื่อเว้นระยะห่าง เขาไม่มีอะไรจะแก้ตัวหรอก

    ผม...หมิงกำลังจะเอ่ยปากบอกว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเขากับเพลิง แต่ม้าก็พูดขึ้นมาก่อนอีกครั้ง

    ม้าไม่ได้จะตามมาว่าลื้อ ...ม้ารู้แล้วว่ามันเปลี่ยนกันไม่ได้เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ เพลิงยังไม่ได้ปริปากพูดอะไรหรือแสดงความในใจสักนิด ม้าแค่จะมาชวนลื้อกลับบ้าน

    ม...ม้าไม่โกรธจริงๆ เหรอ

    ให้ม้ายอมรับเรื่องแฟนพวกลื้อยังดีกว่าให้ม้าทำใจเรื่องที่ไม่มีพวกลื้ออยู่บ้านเธอกล่าวเสียงสั่นเครือ อาม่าอากงรู้เรื่องนี้แล้วโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเช่นเดียวกับสามีของเธอ ทว่าเธอพยายามกล่อมแล้วเพราะอยากให้ลูกชายกลับไปอยู่บ้านเหมือนเดิม ทั้งที่เธอเป็นคนบอกว่ายังไม่ต้องกลับแท้ๆ แต่เมื่อนานเข้าเธอจึงกลัวว่าลูกจะไม่กลับบ้านอีกจึงต้องมาตาม ม้าพูดกับป๊าให้แล้ว เขายังหัวแข็ง แต่ม้าคิดว่าถ้าพวกลื้อกลับไปคุยครั้งนี้ ม้ามั่นใจว่าเขาจะหายโกรธ

    แต่ป๊าไล่เฮียออกจากบ้าน ...แค่ไม่กี่อาทิตย์จะหายโกรธเหรอ ป๊ายังยอมรับสิ่งที่พวกผมเป็นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

    ลื้อไม่เชื่อม้าแล้วหรืออาหมิงได้ยินเช่นนี้คนเป็นแม่หัวใจแทบสลาย เธอรู้ว่าสิ่งที่สามีกระทำใส่ลูกชายทั้งสองนั้นไม่ถูกต้อง แม้เธอจะเป็นคนติดต่อลูกชายแต่ช่วงนั้นกลับทำอะไรมากไม่ได้เพราะนิสัยของคุณหย่ง ถ้าครั้งนี้ ลื้อกลับไปคุยแล้วป๊ายังทำเหมือนคราวก่อนอีก

    ...

    ม้าจะออกมาอยู่กับพวกลื้อหมิงกัดริมฝีปากทันที เขารู้สึกเจ็บหัวใจเสมือนรอยร้าวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นว่าเขากับเหมยกำลังจะทำให้ม้าลำบากไปอีกคนและเขารู้ว่าม้าพูดจริงเสมอ ม้ารักลื้อกับอาเหมยที่สุด ม้าทนไม่ได้จริงๆ ลื้ออยากรักใครลื้อรักไปเลย ...ถึงม้าจะยังไม่เข้าใจเท่าไหร่แต่ม้าจะปรับตัว ม้าจะเอ็นดูเขาให้เหมือนที่รักพวกลื้อ

    “…”

    แค่กลับบ้านไปด้วยกันได้ไหม

    หมิงเพลิงส่งเสียงเรียกเมื่อคนถูกถามยืนเงียบไป จะว่าเขาเสียมารยาทก็ได้ที่ยืนฟังอยู่ไม่ยอมเดินไปไหน คราแรกเพียงแค่กังวลว่าม้าอาจจะว่ากล่าวอะไร ได้ยินที่คุณน้าถามไหม

    อือคนตัวเล็กหันมาตอบก่อนกลับไปมองหน้าคนเป็นแม่อีกครั้ง ผมชอบเพลิงนะม้ารับได้ใช่ไหม

    ...เธอเงียบไปครู่หนึ่งแล้วหันไปมองหน้าคนที่ถูกกล่าวถึง เพลิงไม่ได้หลบสายตาไปไหนยืนยันจะจ้องมองเธออย่างนั้น ทุกวินาทีดำเนินไปด้วยความรู้สึกลุ้นและคาดหวัง กระทั่งเธอเป็นฝ่ายยิ้มออกมา ม้าบอกแล้วว่าจะปรับตัวกับความรักของพวกลื้อ

    ...

    ม้ารับได้

    จริงนะม้า

    จ้ะเธอยิ้มรับก่อนอ้าแขนทั้งสองออก ยืนแช่อยู่อย่างนั้นชั่วขณะหนึ่งนาทีก่อนลูกชายหัวแก้วหัวแหวนจะโผเข้ากอดทั้งน้ำตา เช่นเดียวกันเธอไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้เพราะทั้งหัวใจเธอยกให้เป็นของลูกชายทั้งสองคนไปหมด

    แม้จะคุยกับผู้เป็นสามีมาแล้วและเขาตอบตกลงหากเธอจะมาตามลูกกลับบ้าน แต่หากกลับไปถึงแล้วอีกฝ่ายกลับคำ เธอยินดีจะออกจากบ้านหลังนั้นและมาใช้ชีวิตกับลูกชายทั้งสองคน

    ขอบคุณนะครับม้า ...ขอบคุณครับ

    ลื้อไม่ต้องร้องไห้แล้วเธอว่าก่อนผละลูกชายออกแล้วยกมือขึ้นเช็ดหยาดน้ำตาให้เหมือนที่เคยทำเมื่อหลายปีก่อน เมื่อโตขึ้นลูกย่อมเลือกทางเดินชีวิตเองเป็นสิ่งหนึ่งที่เธอเข้าใจดี เธอจึงคิดได้ว่าคนที่ควรปรับไม่ใช่ลูกแต่เป็นเธอ ม้ารักพวกลื้อที่สุดเลยนะ

    ครับ แต่เรื่องกลับบ้าน เดี๋ยว...หมิงพยายามกลั้นสะอื้นตอบรับคำ ทว่ายังไม่ทันจะได้พูดจบกลับได้ยินเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาก่อน

    ม้าผู้มาใหม่เอ่ยเรียกอย่างคุ้นเคย น้ำเสียงนิ่งเฉยราวกับไม่ตกใจ ถึงอย่างนั้นหากหมุนตัวกลับไปมองจะเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าตระหนก มาทำอะไรที่นี่ครับ

    มาตามลื้อกลับบ้านเธอตอบเสียงสั่นหลังจากไม่ได้เห็นหน้าลูกชายมาหลายอาทิตย์ เพียงเห็นใบหน้าซีดเซียวแถมยังมีรอยคล้ำใต้ตาอย่างที่ไม่เคยเจอกลับทำใจเจ็บเหลือเกิน ลูกชายไม่ได้เดินมาเพียงแค่คนเดียว แต่กลับมีเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักอีกคนยืนอยู่ใกล้กัน เธอมั่นใจว่าต้องเป็นเด็กคนนั้นที่แฝดพี่ได้กล่าวถึงจึงเดินเข้าไปหา เธอชื่อญี่ปุ่นใช่ไหม

    ครับเด็กคนนั้นตอบรับเต็มเสียงก่อนยกมือขึ้นไหว้ ไม่มีท่าทีวอกแวกหรือตกใจ กลับกันลูกชายของเธอนั่นกลับดูเป็นกังวลจึงรีบดึงเข้าไปใกล้ แต่ดันโดนตีแถมเรียกเสียงดุไปทีหนึ่งเหมือนว่าการกระทำเมื่อครู่ไม่ถูกต้อง ต้นเหมย

    ญี่ปุ่นแฟนผมครับเหมยไม่สนใจก่อนจะแนะนำอย่างไม่ปิดบัง

    จ้ะ ม้าจำชื่อได้ทีแรกเธอไม่ได้รู้จักชื่อหรอก แต่คุณหย่งผู้เป็นสามีพูดให้ฟังอยู่ทุกวันว่าเหมยบอกว่าแฟนของเจ้าตัวชื่ออะไร ม้าอยากให้ลื้อกลับบ้าน

    ไม่กลับครับเด็กหนุ่มตอบอย่างไม่ทบทวน พลางหันไปมองหน้าแฝดน้องที่ตอนนี้ทั้งหน้าเปื้อนน้ำหูน้ำตา ผมยังไม่พร้อม

    ต้นเหมยญี่ปุ่นกระซิบเรียกชื่อหวังจะเตือนเรื่องที่เพิ่งได้พูดคุยกันไป

    เหมย ฟังม้าก่อนหมิงซ้ำอีกครั้ง ดูท่าทีแล้วเหมือนแฝดพี่จะไม่ยอมฟังและเป็นครั้งแรกเลยที่อีกฝ่ายแสดงท่าทีต่อต้าน ม้าเข้าใจเรา

    รู้เขาตอบเสียงนิ่ง แต่ป๊าไม่เป็นแบบนั้น ผมยังคิดไม่ออกเลยว่าถ้ากลับไปแล้วจะพูดกับป๊าแบบไหน ต้องทำยังไงให้ป๊ายอมรับ

    “…”

    ป๊าไม่เหมือนม้าทุกคนต่างเงียบเพื่อรอฟังเขา ถึงตกลงรับคำกับญี่ปุ่นไว้แต่เขาไม่ได้คิดว่าจะกลับไปเร็วขนาดนี้ คิดว่าอีกสักอาทิตย์สองอาทิตย์ค่อยกลับไปแม้มันจะกินระยะเวลามานานแล้วก็ตาม ม้ากลับไปก่อนเถอะ ผมยังไม่พร้อมจะกลับไปคุยจริงๆ

    ต้นเหมยหนนี้ญี่ปุ่นเรียกเสียงดังพอให้ได้ยินกันทุกคน อย่าทำแบบนี้

    ญี่ปุ่นรู้ว่าตัวเองกำลังกดดันอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก แต่เขาไม่สามารถทนเห็นครอบครัวต้องแตกกันแบบนี้ได้ ในเมื่อม้าอุตส่าห์มาตามให้กลับบ้านอย่างน้อยๆ เขาคิดว่าอาจจะได้ผลลัพธ์ที่ดีมาแล้วหลายเปอร์เซ็นต์ แถมหมิงดูเหมือนจะได้คุยเรียบร้อยแล้วถึงได้บอกให้เหมยฟัง

    อาเหมยเธอเรียกเสียงสั่นจากท่าทีของลูกชาย รู้แล้วว่าเด็กคนนี้มีอิทธิพลต่อเหมยเพียงใด

    ขอโทษครับเหมยตอบเสียงแผ่ว ในหัวใจเขาตอนนี้กำลังสับสน มีทั้งความรู้สึกอยากกลับและไม่อยากกลับ ยอมรับเลยว่าใจเขาเลือกญี่ปุ่นต่อให้ทะเลาะกับที่บ้านหนักแค่ไหนเขาก็จะเลือกญี่ปุ่น ถ้าครั้งนี้ยังคุยกับป๊าไม่เข้าใจ ผมจะออกมาอยู่ข้างนอกเองครับ

    ...เฮียแฝดน้องเรียกพลางมองหน้าสลับกับผู้เป็นแม่ เขาเห็นภาพอย่างนี้แล้วรู้สึกหัวใจสลาย หากป๊าไม่ยอมรับเหมือนว่าครอบครัวกำลังจะพังลง

    ผมรักม้านะแฝดพี่ไม่ฟังอะไรอีกแล้ว ครั้งนี้แสดงความต้องการของตัวเองอย่างชัดเจน

    ถ้าลื้อ...

    แต่ผมก็รักญี่ปุ่นเหมือนกันเหมยชิงพูดตัดบท เขารักม้ารักป๊าเป็นความจริงที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ทว่าตอนนี้เขามีอีกหนึ่งคนที่มอบคำว่ารักให้ไป และเขาเพียงแค่ต้องการความเข้าใจแค่นั้นเอง

    “…”

    ผมขอให้ม้าเข้าใจ

     

     


                เป็นอะไรของมึงไอ้ปุ่นยิ้มถามขึ้นด้วยความเป็นกังวลเมื่อเห็นสีหน้าของลูกพี่ลูกน้องไม่สู้ดีนัก

    เราคิดว่าเราเป็นตัวปัญหา...ให้บ้านของต้นเหมยเขาตอบเสียงเบาในหัวทบทวนถึงเรื่องที่เพิ่งผ่านมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า คำที่เหมยบอกจะออกมาอยู่ข้างนอกหากไม่เป็นไปตามหวังยังเวียนซ้ำอยู่ในหัว

    เรื่องพ่อเขาอะเหรอ

    อื้อญี่ปุ่นเบะปากเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ ก่อนยิ้มจะเอื้อมมือมาโปะลงบนศีรษะเบาๆ เราคิดถูกหรือเปล่าที่กลับมา เริ่มไม่แน่ใจแล้วเนี่ย

    ถูกดิ มันก็อยากได้กำลังใจเหอะเขารู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น สืบเนื่องมาจากพวกเขาอยู่ร้านแม่พู่กันแล้วหมิงโทรไปเล่าให้ฟังนั่นแหละ ...แต่ไม่รู้ว่าญี่ปุ่นใช้ไม้ไหนบอกเหมยมันถึงได้ปล่อยให้น้องเขาโทรตามให้รับมาร้านอย่างนี้ ถ้าเกิดว่าพ่อมันไม่ยอมรับจริงๆ มึงอยู่ได้ไหมล่ะ แบบคบกันต่อทั้งที่รู้ว่าบ้านเขาไม่โอเคอะ

    ...ถ้าอยู่กับต้นเหมย เราอยู่ได้ แต่เราไม่อยากให้เขาต้องแตกกันเพราะเรา

    ถ้าเป็นกูมันก็ลำบากใจนะ ฝั่งหนึ่งก็แฟน ฝั่งหนึ่งก็ครอบครัวยิ้มพูดตามที่คิด แต่มึงคิดดู ไอ้เด็กแฝดมันตามใจที่บ้านมาตลอด เท่าที่กูรู้จักมานะ มึงว่าถ้ามันจะหันมาตามใจตัวเองบ้าง มันผิดเหรอวะ

    “…”

    นี่ถ้ามันมาได้ยินว่ามึงคิดหนักเรื่องกลับมา คงน้อยใจน่าดู ...แล้วเอาจริง รักของพวกมึงมันผิดตรงไหน แค่เพราะมึงเป็นชายทั้งคู่เลยไม่สมควรมีความสุขเหรอ หรือยังไง

    เฮ้อญี่ปุ่นถอนหายใจหนัก ยกแขนขึ้นเท้าคางด้วยใบหน้าเศร้า เราจะทำยังไงดี

    ไอยวริญท์เจ้าของชื่อปรายตามองทั้งที่ยังคงทำหน้างุ้มงอ มึงคิดจะเลิกกับเหมยมันหรือเปล่า

    “…” คนถูกถามกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนเบนสายตากลับมามองแก้วน้ำตรงหน้า เขาแอบคิดว่าจะจบปัญหานี้ด้วยการบอกเลิก แต่...

    มึงจะทิ้งมันไว้คนเดียวเหรอพอพี่ยิ้มเห็นเขาเงียบจึงท้วงขึ้นอีกครั้ง

    แค่เคยคิด แต่เราเลิกกับต้นเหมยไม่ได้หรอกพี่ยิ้ม

    ...

    เราจะทิ้งได้ยังไง ...รักขนาดนี้ประโยคหลังแผ่วเบาแต่ยิ้มยังคงจับใจความได้ เขาผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก นึกว่าไอ้น้องตัวแสบจะหนีปัญหาเสียแล้ว

    ถ้าบ้านนั้นเขาไม่ปรับตัวให้ลูก สักวันก็ต้องแตก มึงเชื่อกูไหมล่ะ แฝดมันโตพอที่จะเริ่มเรียนรู้ชีวิตด้วยตัวเองแล้ว ถ้าเขาบังคับ จำกัดขอบเขตขนาดนั้น

    อื้อ เราเลิก...”

    “เลิกอะไร” เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาทำเอาคนที่ยังพูดไม่จบถึงกับชะงัก ต้นเหมยมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ หน้าพี่ยิ้มเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก “ญี่ปุ่น”

    “อ...อะไรเล่า เราไม่ได้... คิดจะพูดแบบนั้นซะหน่อย” ประโยคหลังแผ่วลง มาผิดจังหวะจริงๆ เลยต้นเหมยเนี่ย แถมยังไม่ให้เขาพูดจบประโยคอีก

    “คือมึงนั่งคุยกันไปก่อนนะ ...ไอ้พู่ วันนั้นที่กูแดกขนมร้านมึงอะ ขนมไรนะ มีอีกปะวะ” ยิ้มแสร้งเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว กระโจนไปเกาะเจ้าของร้านอย่างพู่กันแล้วลากออกไปจากตรงนี้ ทำให้เหลือเพียงแค่ญี่ปุ่นกับต้นเหมย ทั้งที่มันควรเป็นบรรยากาศที่ดีแต่กลับอึดอัดเสียอย่างนั้น

    “ตกลงว่าเลิกอะไร” เหมยทิ้งตัวลงนั่งแทนพี่ยิ้ม มองไปยังเจ้าคนดื้อที่ยังหลบหน้าหลบตาไม่แม้แต่จะหันมามองกัน “จะเลิกกับเหมยเหรอ”

    “ม...ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย” ต้องรีบหันมาบอก เกรงว่าช้ากว่านี้คงได้เข้าใจผิดกันไปใหญ่ เขายังไม่ทันจะพูดต่อคนตรงหน้าก็คว้าข้อมือแล้วฉุดให้ลุกขึ้นเสียแล้ว ทำไมถึงดูอารมณ์ไม่ดีแบบนี้เล่า “ต้นเหมยจะพาเราไปไหน”

    อีกฝ่ายไม่ตอบอะไร หันกลับมามองเขาหนหนึ่งแล้วยังคงดึงให้เดินต่อ ไม่ว่าจะเดินผ่านพี่ยิ้มกับพู่กันทั้งสองคนนั้นก็ไม่กล้าถามอะไร คนตัวโตดึงเขามาข้างหลังร้านก่อนดันให้เข้ามาอยู่ในห้องน้ำ

    เหมยล็อคประตูรวดเร็วท่ามกลางความสงสัยของเขา ไม่เคยเห็นท่าทางอย่างนี้มาก่อนแต่เขาไม่มีความตกใจใดๆ ทั้งสิ้น เป็นอีกครั้งที่ยังไม่ได้อ้าปากพูดก็โดนดึงเข้าไปกอดจมอก

    “ขอโทษครับ” กลายเป็นเขาเองที่ไม่เข้าใจ ดึงเขามาในห้องน้ำเพียงเพราะต้องการจะพูดคำนี้เหรอ

    “ขอโทษเราทำไม ...ต้นเหมยยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”

    “ขอโทษที่ทำให้ไม่อยากอยู่ด้วยกัน” เสียงทุ้มเอ่ยเบาหวิวแต่ดังชัดในโสตประสาทของเขา ญี่ปุ่นกอดคนตรงหน้าแน่นขึ้นกว่าเดิม ความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นทันใด เป็นเพราะเขามีความคิดแบบนั้นเลยทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด

    “เราขอโทษ” ไม่ปฏิเสธหรอกว่าเขาคิดจริง “แต่เราไม่ได้จะทิ้งต้นเหมยไปไหน”

    ญี่ปุ่นผละอ้อมกอดออก ช้อนมองคนตัวสูงที่กำลังแสดงสีหน้าเรียบเฉยแต่รู้ว่าวิตกเพียงใดจากสายตาคู่นั้น เขาคลี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนเขย่งปลายเท้าขึ้นจูบริมฝีปากของอีกฝ่ายแผ่วเบา ไม่มีการรุกล้ำมากกว่านั้นเขาเพียงแค่ต้องการบอกว่าความคิดแบบเมื่อกี้จะไม่เกิดขึ้นอีก

    “...” เหมยยังคงเงียบเมื่อเราละริมฝีปากออกจากกัน ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างพินิจ เขาคงเป็นกังวลมากเกินไป แต่ตอนที่เข้ามาแล้วได้ยินญี่ปุ่นพูดเรื่องเลิกก็ใจไม่ดีรอไปก่อนแล้ว สุดท้ายเขาหลุดหัวเราะ “กลัว”

    “ขี้กลัวอะไรแบบนี้เล่า ยังไม่ทันจะฟังเราพูดเลย”

    “เพราะเหมยไม่น่ารัก” เขายอมรับว่าตัวเองอ่อนแอ กลัวญี่ปุ่นจะไม่อยากอยู่ด้วยกัน กลัวจะทนไม่ไหวกับสภาพครอบครัวเขาที่ยังยอมรับไม่ได้ ยิ่งเขาแสดงท่าทางต่อต้านม้าแล้วอีกฝ่ายขอให้พี่ยิ้มมารับยิ่งกลัวไปหมดทุกสิ่ง “อย่าบอกเลิกกันนะครับ”

    “อื้อ ไม่เลิกหรอก” ญี่ปุ่นยื่นนิ้วโป้งไปแตะลงบนแก้มของอีกฝ่ายแล้วลูบเบาๆ เหมือนกล่อมเด็ก “เรารักต้นเหมยนะ”

    “รักเหมือนกัน”

    ร...เรารู้แล้วถึงเขาจะดูก๋ากั่นไปบ้างแต่ใช่ว่าจะรับได้ทุกสถานการณ์เสียหน่อย เจอมุมอ้อนของต้นเหมยแบบนี้ใครจะไปทำตัวถูก

    เย็นนี้เหมยกลับบ้านนะ

    เย็นนี้เหรอเขาถามซ้ำอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจ เพราะเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนอีกฝ่ายยังค้านหัวชนฝา ทำยังไงก็ไม่ยอมกลับบ้านท่าเดียว

    ครับ

    ถ้างั้นเรารออยู่บ้านพี่ยิ้มนะ

    อยากให้ไปด้วยเหมยพูดเสียงติดอ้อน แต่เขารู้ว่ามันเป็นแบบนั้นไม่ได้ ขอโทษนะครับ

    ขอโทษอะไรอีกเล่า

    ขอโทษที่พาไปด้วยไม่ได้เราต่างมีความกังวลของตัวเอง ญี่ปุ่นเข้าใจเหตุผลดีและไม่อยากงี่เง่า ไม่อยากเป็นอีกหนึ่งคนที่ทำให้ต้นเหมยไม่สบายใจจึงตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม

    ไม่เป็นไร เราเข้าใจ

    “…”

    เราไม่ทิ้งต้นเหมยไปไหนหรอกน่าสองมือประคองหน้าคนตัวสูงเอาไว้ ก่อนข้างหนึ่งจะเปลี่ยนมาหยิกแก้มเพื่อคลายความกังวล เรารอฟังนะ

    จูบหน่อยสิ

    มาขอกันง่ายๆ แบบนี้ได้ยังไงอะ ไม่ให้หรอกญี่ปุ่นหัวเราะคิกคัก ปล่อยมือออกจากแก้มของต้นเหมยแล้วเตรียมจะเบี่ยงตัวไปเปิดประตูห้องน้ำ ทว่ากลับโดนดึงกลับไปอยู่ในอ้อมกอดแทน ตอนนี้ไม่ได้นะ!”

    ขอกำลังใจ

    เราให้ไปแล้วนี่

    ขออีก

    ไว้ต้นเหมยกลับไปคุยกับที่บ้านก่อนนับวันอีกฝ่ายยิ่งเจ้าเล่ห์จนเขาตามไม่ค่อยจะทัน ยิ่งอยู่ด้วยกันมากขึ้นยิ่งโดนจูบบ่อย เดี๋ยวเราให้จูบใหม่

    แน่นะ

    แน่ซี่ ถือเป็นคำสัญญาของเรา

    ยังไงครับเหมยขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่อาจคาดเดาคำพูดของญี่ปุ่นได้เลยสักนิด

    ก็... ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

    “…”

    เราจะอยู่ที่เดิม รอให้ต้นเหมยกลับมาจูบไง

    tbc.

    #เรื่องของต้นเหมย 

     


    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×