ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The New Eden สงครามเทวทูตแห่งสวนศักดิ์สิทธิ์

    ลำดับตอนที่ #30 : ตอนที่ 14 Good Morning.

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 22
      0
      25 มิ.ย. 61

    ตอนที่ 14 Good Morning.

              เส้นขอบฟ้าค่อยๆสว่างกลายเป็นสีฟ้าครามที่คุ้นเคย แสงอันเจิดจรัสและอบอุ่นพาดผ่านตัวเมืองไปที่ละส่วนเผยให้เห็นร่องรอยที่ราตรีเก็บซ่อนไว้ซึ่งมีดวงจันทร์และดวงดาราเป็นประจักษ์พยาน
              ภายในหอประชุมของโรงเรียน แสงส่องผ่านเข้ามาจากบานหน้าต่างแต่ละบานจนดูเหมือนลำแสงที่มีรูปลักษณ์ ภาพที่เรือนรางกลับปรากฏให้เห็นถึงความโอ่อ่าของการตกแต่งภายในหอประชุมนี้
              ไม่เพียงแต่สถาปัตยกรรมเท่านั้นที่ทำให้มันดูน่าหลงใหล ทว่าผู้ที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ล้วนแต่มีเรื่องราวที่น่าค้นหาเสียยิ่งกว่า 

         "เจ้า...ได้คำตอบแล้ว.." เสียงที่แหบแห้งแต่ก้องกังวานกล่าว
         "..." หญิงสาวผมสีบลอนด์ทองทำได้เพียงนิ่งเงียบ
         "..." เด็กหนุ่มที่มีหลายสิ่งที่อยากจะกล่าว แต่เสียงของเขากลับเหือดหายไป
         "การเดินทาง...ของเจ้า...ยังไม่สิ้นสุด" เสียงที่แหบแห้งของทาราลิมกล่าวต่อ "เชื่อมั่นในจิตวิญญาณ...ของตัวเจ้าเอง"

              ทาราลิมก้าวถอยหลังไปสองก้าวอย่างช้าๆ เกราะสีดำที่มีหนามแหลมสะท้อนแสงแห่งรุ่งอรุณทำให้เห็นถึงความมันวาวของชุดเกราะของเขา ต่างกับที่คาระเคยได้เห็นก่อนหน้านี้

         "เอาหล่ะ ทีนี้ ก็ถอนกำลังของเจ้ากลับออกไปจากที่นี่" วาเลนไทน์เข้าเรื่องในทันที

              ทาราลิมหันมองวาเลนไทน์แล้วจ้องอย่างนิ่งสงบครู่หนึ่ง 

         "ไม่...เราไม่ได้ต้องการ...เอคโค่ เพื่อทำสงคราม...แต่เราทำให้ความปรารถนาของเขาเป็นจริง"
         "ข้าคาดไว้อยู่แล้ว" วาเลนไทน์ยิ้มที่มุมปากก่อนที่จะชักปืนของเธอขึ้นเล็งไปที่ทาราลิม "คาระถอยออกมา"
         "เจ้าเห็น...สิ่งที่พวกเรา...มนุษย์...พวกต้นกำเนิดทำกับโลกแห่งนี้แล้ว"
         "นั่นคือโชคชะตา..."
         "งั้นสิ่งที่พวกข้า...จะทำ..นั่นก็คือ...โชคชะตา"
         "ใช่ แต่การทำลายอีเดนไม่ใช่ความปรารถนาของเอคโค่แน่"
         "มีเพียง...เอคโค่ท่านั้น...ที่จะตัดสินชะตาอีเดนแห่งนี้"

              วาเลนไทน์ชักปืนของเธออีกกระบอกหนึ่งขึ้นเล็งไปที่ทาราลิม เธอพร้อมที่จะลั่นไกแล้ว แต่เพียงเสี้ยววินาทีนั้น เส้นแสงสีน้ำเงินสุกสกาววิ่งตัดมาขวางหน้าระหว่างวาเลนไทน์และทาราลิมด้วยความเร็วสูง

         "ช้าก่อน!" เสียงที่คาระคุ้นเคยขัดจังหวะ "ปล่อยให้ข้าจัดการนางฟ้าตกสวรรค์ผู้นี้เถิด"
         "โอ้ ให้ตายสิ" วาเลนไทน์หัวเสีย
         "...ฟาเรนไฮต์" คาระเผลอเรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา

              นางฟ้าผมสีเงินเปล่งประกายเมื่อต้องกับแสงอาทิตย์ ฟาเรนไฮต์หันมองไปทางทาราลิม เธอก้าวย่างตรงไปยังทาราลิมในทันที แต่ละก้าวของเธอนั้นหนักแน่น มั่นคง ท่าเธออันสง่าผ่าเผยของนักรบและนางฟ้าผสมผสานกันอย่างลงตัว เสียงบูทเหล็กดังก้องไปทั้งหอประชุม ทว่าเธอกลับเดินผ่านคาระไปโดยที่ไม่สนใจแม้แต่น้อย
              วาเลนไทน์สังเกตทุกการกระทำของทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นโดย รวมถึงนักรบสวรรค์อีกตนหนึ่งที่เฝ้าดูเหตุการณ์ในมุมมืดของหอประชุม เธอเก็บปืนของเธอเข้าซองปืนเพราะมั่นใจแล้วว่าจะไม่ต้องใช้มันในเร็วๆนี้   

         "หากเป็นเรื่องของเสียงสะท้อน..." วาเลนไทน์พูดไล่หลังฟาเรนไฮต์ "เราได้คำตอบแล้ว"

              ฟาเรนไฮต์หยุดการเคลื่อนที่ของเธอในทันที ทำให้เธอดูเหมือนตุ๊กตาที่ตั้งวางไว้นิ่งๆเสียอย่างนั้น อากาศและห้วงเวลาราวกับถูกหยุดนิ่งตามเธอไปด้วย

         "ถูกสินะ หมายความว่าเจ้าละทิ้งหน้าที่ของตน..."
         "คำตอบ ทาราลิม" ฟาเรนไฮต์ตัดบท

              แม้ภายใต้ชุดเกราะของทาราลิมจะไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้ แต่ก็พอจะรับรู้ได้ว่าเขามองมาที่วาเลนไทน์กับคาระ ก่อนที่จะกลับมาสบตากับฟาเรนไฮต์

         "ให้...เขา...ตอบเจ้าเองเถิด"
         "นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าให้โอกาสแก่เจ้า"
         "หากใช่...เจ้า...คือผู้ละทิ้ง...หน้าที่ของตน"

              ฟาเรนไฮต์ค่อยๆดึงดาบของเธอออกจากฝักอย่างช้าๆ เสียงเหล็กที่เสียดสีกันสร้างแรงกดดันให้แก่ผู้ที่อยู่ในหอประชุมดังกล่าวทุกคน ก่อนที่เธอจะดึงดาบออกมาจนสุด โรไมน์นักรบสวรรค์ได้แจ้งเตือนแก่ฟาเรนไฮต์

         "ฟาเรนไฮต์ พวกมนุษย์กำลังมุ่งตรงมาที่แห่งนี้ เวลาของเราสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้"

              ฟาเรนไฮต์หยุดชะงักไปชั่วครู่หนึ่งก่อนจะเก็บดาบของเธอกลับเข้าฝัก

    "ทาราลิม ถอยกลับออกไป ก่อนที่ข้าจะส่งเจ้ากลับไป..." ฟาเรนไฮต์กล่าวด้วยเสียงราบเรียบ "หากจำเป็น ข้าอาจต้องทำลายวิญญาณของเจ้า"

              ฟาเรนไฮต์หันหลังกลับ เพื่อเดินออกจากห้องประชุม เธอเดินผ่านวาเลนไทน์ไปโดยไม่หันมองหรือให้ความสนใจ และเมื่อจะต้องผ่านคาระอีกครั้ง เธอก็ยังคงรักษาท่าทีเช่นเดิมดังเช่นครั้งแรก

         "อรุณสวัสดิ์" 

              ฟาเรนไฮต์กล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา แต่พอที่คาระจะสามารถได้ยินได้ ในตอนนั้นคาระที่กำลังตอบกลับ เธอก็เดินห่างออกไปไปเสียแล้วจนคาระกลั้นคำพูดของตนไว้ 

         "เอคโค่...ชื่นชมในตัวท่าน...ในความกล้าหาญและ...อ่อนโยน...บัดนี้...สิ่งนั้นหายไปไหนเสียแล้ว"

              ฟาเรนไฮต์หยุดชะงักอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอเลือกที่จะเดินต่อไป

         "ข้าไม่เคยได้พบเจอเอคโค่" ฟาเรนไฮต์ทิ้งท้าย 


              โรไมน์นักรบสวรรค์เดินตามหลังฟาเรนไฮต์ออกจากหอประชุม ทำให้ภายในกลับมาเงียบสงัดอีกครั้งหนึ่ง

         "หนนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน แต่ขอเตือน อย่าได้นำนักรบปีศาจมาก่อความวุ่นวายอีก ไม่เช่นนั้นวิญญาณของเจ้าได้กลับคืนสู่ต้นไม้แห่งชีวิตอย่างแน่นอน" วาเลนไทน์กล่าวเตือนทาราลิม
         "ไม่ใช่...ในเร็วๆนี้"

              คาระที่พยายามตั้งใจฟังบทสนทนาดังกล่าว ไม่สามารถฝืนร่างกายของเขาได้อีกต่อไป เมื่อถึงขีดสุดร่างกายของคาระละทิ้งทุกสิ่งอย่าง ปิดการทำงานของมันลง และปล่อยให้แรงโน้มถ่วงของโลกดึงร่างนั้นลงเพื่อให้พักผ่อนไม่ต้องฝืนต้านแรงดึงดูดอีกต่อไป จากภาพที่ค่อยๆเลือนรางกลับกลายสีดำเป็นมืดมิดในที่สุด

              เสียงอื้ออึงดังรบกวนการพักผ่อน ภาพอันเลือนรางค่อยๆฉายให้เห็นภาพที่รูทกำลังประคองร่างของคิระเดินตรงไปหากลุ่มคนที่ใส่เครื่องแบบที่คุ้นตา แต่ในตอนนี้คาระกลับนึกไม่ออก ภาพเริ่มสั่นไหวและตัดไปอีกครั้ง

         "เฮ้ คิระ! เจ้ากำลังเล่นอะไรอยู่กันแน่..." เสียงของวาเลนไทน์
         "คำตอบหล่ะ...ข้าทายถูกหรือไม่" เสียงคิระ
         "..." เสียงที่อู้อี้ของวาเลนไทน์

              โสตประสาทของคาระดับลงอีกครั้งหนึ่ง

              ปึง! เสียงปิดประตู

              ที่ข้างๆตัวของคาระมีเตียงอีกเตียงหนึ่งในสถานที่ที่ไม่กว้างมากนักและโครงเครง มีชายอีกคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงนั้น ร่างของเขานิ่งไม่ไหวติง บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเลือดที่มีสีคล้ำ ความทรงจำของคาระบอกว่านั่นคือคิระ พี่ชายของเขาที่ได้ตายในช่วงสงคราม 

              ตุบ! ตุบ! เสียงทุบด้วยแรงพอประมาณสองครั้ง

         "ไปที่สำนักงานSA"



         จงตื่นเถิด

              เสียงของชายคนหนึ่งที่คาระเคยได้ยินดังก้อง ปลุกเรียกสติของเขากลับมา
              สีขาวที่ว่างเปล่าของเพดานทำให้คาระแปลกใจ ที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่เขาคุ้นเคย เมื่อคาระค่อยๆมองไปรอบๆ จึงรับรู้ว่า เขาอยู่ในสถานที่ซึ่งคล้ายกับโรงพยาบาล ทว่ามันต่างจากโรงพยาบาลที่เขาได้เคยพบเห็น ที่แห่งนี้มันว่างเปล่า ห้องสี่เหลี่ยมสีขาวที่ว่างเปล่า นอกจากเตียงพยาบาลที่เขาและคิระนอนพัก ก็มีเพียงประตูที่อยู่สุดมุมห้องและบานกระจกใสขนาดใหญ่ที่ปล่อยให้แสงแดดสาดส่องเข้ามาได้อย่างเต็มที่

         "อึก!" คาระพยายามจะยันตัวขึ้นแต่กลับรู้สึกปวดศีรษะในทันทีเขาจึงต้องจำยอมล้มตัวลงนอน

         กี่โมงแล้วนะ หลับไปนานหรือเปล่า ที่นี่คือที่ไหน...

              คำถามมากมายค่อยๆเอ่อล้นออกมาจากความคิดของคาระ เมื่อบรรยากาศรอบๆสงบนิ่งไม่มีสิ่งใดสามารถดึงความสนใจของเขาได้ จนในที่สุด ความทรงจำของค่ำคืนอันแสนยาวนานค่อยๆไหลทะลักเข้ามาในความคิด และมันมากเกินไปในเวลาอันสั้น มันทำให้จิตใจของคาระเริ่มสั่นไหวอีกครั้ง ราวกับแสงแดดอันอบอุ่นนี้เป็นเพียงแค่ความฝัน

         "อยู่กับปัจจุบัน แล้วค่อยๆคิด" เสียงของคิระดึงสติคาระจากห้วงความคิด "อย่าให้มันกลืนกินไปถึงจิตใจ"
         "..." คาระพยายามจับใจความและทำความเข้าใจ แต่การทำงานของสมองกลับเชื่องช้า
         "เวลานี้เหมาะสมต่อการให้ข้อมูล" คิระยังคงนอนหลับตานิ่ง เขาขยับเพียงแค่ปากเพื่อบอกพูดคุยเท่านั้น "สงสัยสิ่งใด"
         "...เอ่อ..." คาระใช้เวลาคิด มีเรื่องที่อยากจะรู้มากมาย แต่ความรู้สึกของคาระกลับสวนทางกัน มีเพียงเรื่องเดียวที่เขาอยากจะรู้ในตอนนี้ ทว่ากลับนึกไม่ออก
         "เรื่องของเอคโค่น่ะหรือ" คิระกล่าวนำ "ก่อนไปถึงเรื่องนั้น..."

         ใช่แล้ว เรื่องของเอคโค่ ทำไมถึงนึกไม่ออกนะ

         "มีบางสิ่งที่เจ้าควรรู้" 
         "...ที่ผมควรรู้" คาระทวนคำ
         "ต่อไปนี้ โลกที่เจ้าเห็นจะแตกต่างออกไป ขอให้ระลึกไว้เสมอ ไม่ว่าเจ้าจะเลือกทางใด ทำตามความปรารถนาของตนเองที่ออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจ"
         "...นั่นแน่นอนอยู่แล้วครับ" คาระตอบ
         "ถ้าอย่างนั้น เรื่องเอคโค่ เจ้าปราถนาให้ตัวเจ้าเป็นเอคโค่หรือไม่" 
         "...อ..."

              ความว่างเปล่าของหัองสี่เหลี่ยม และแสงแดดอันอบอุ่นที่สงบนิ่ง ความเงียบที่เฝ้ารอคำตอบ กลับบีบคั้นคาระอย่างน่าฉงน

         "เห็นไหมล่ะ มันไม่ง่ายขนาดนั้น สำหรับมนุษย์" คิระเริ่มทำลายความเงียบนั้น 
         "..." คาระได้แต่ครุ่นคิดในสิ่งที่คิระกล่าว
         "ความจริงแล้ว เจ้าจะเป็นเอคโค่หรือไม่ นั่นคงไม่สำคัญเท่ากับผู้คนที่อยู่รอบตัวสินะ"
         "เอ่อ ความจริงผมกับคุณวาเลนไทน์ได้คำตอบแล้วครับ"
         "..." คิระรอคำตอบ
         "ไม่ใช่ ผมไม่ใช่เอคโค่"
         "ข้ารู้อยู่แล้ว ว่าเจ้ายังไม่ใช่เอคโค่ที่พวกเราตามหา" คิระยันตัวลุกขึ้นจากเตียง "แต่เจ้าก็ยังไม่ตอบคำถาม เจ้าอยากจะเป็นเอคโค่หรือไม่"

         ก๊อก! ก๊อก!

              เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้ง ก่อนที่บานประตูจะถูกเปิด ชายที่สวมชุดเจ้าหน้าที่รัฐเปิดประตูเดินนำเข้ามาในห้อง แต่เขากลับหันกลับเพื่อเชิญบางคนเข้ามา 

         "ไว้คุยต่อครั้งหน้านะ" คิระกล่าว

              ชายอีกคนในชุดสูทเดินเข้ามา ด้วยใบหน้าอันอ่อนหวานและรูปร่างที่บอบบางทำให้คาระสับสนไม่น้อยว่าควรจะเรียกเขาหรือเธอ

         "อรุณสวัสดิ์ ทั้งสองคน เมื่อคืนคงจะหนักหน่วงสินะ" เขาหรือเธอกล่าวทักทาย "ข้าชื่อ เกรบ ยินดีที่ได้รู้จัก คาระ สินะ"

         เกรบเดินตรงเข้ามาหาคาระและประคองมือของคาระขึ้นอย่างอ่อนโยน "เจ้าคงเคยได้เห็นข้าบ้างเป็นครั้งคราวแล้วสินะ ในทีวีน่ะ"

         จริงสิ ผู้ปกครองทั้งสามเขตของเรานี่เอง

         "ข้าได้ฟังเรื่องของเจ้ามาบ้างจากคิระ น่าประทับใจที่ได้เจอตัวจริง"
         "ไม่แน่ใจว่าประทับใจเรื่องไหนหรือครับ" 
         "การพานพบกัน นับเป็นพรวิเศษเลยทีเดียว น่าประทับใจอย่างยิ่ง" เกรบยกมือของคาระขึ้นพร้อมกับตัวเขาที่ค่อยโน้มลงจนริมฝีปากเกือบแตะหลังมือ เกรบพึมพัมประโยคสั้นๆที่จับใจความไม่ได้ แล้วเป่าลมอย่างแผ่วเบา
     
              ทันทีที่ลมสัมผัสมือของคาระ ตัวของเขาอุ่นขึ้นอย่างฉับพลัน ร่างกายของเขาเริ่มสัมผัสได้ถึงน้ำหนัก อาการวิงเวียนศีรษะก็หายเป็นปลิดทิ้ง

         "คิระ อีกสองชั่วโมงมาพบข้าที่ห้องทำงาน" เกรบวางมือของคาระคืนที่เดิมอย่างแผ่วเบา "เจ้าเองก็มาด้วยล่ะ"
         "ถ้าเป็นเรื่องที่จะช่วยขอพลังข้าคืน ข้าจะยินดีอย่างยิ่ง" คิระสบัดผ้าห่มออกจากตัวแล้วลุกออกจากเตียง
         "ทำหน้าที่ของเจ้าให้ดี ไอวี่จะพิจารณาเอง" เกรบตอบ

         ก๊อก! ก๊อก!    ก๊อก!

         "เข้ามาได้" เกรบเปล่งเสียงเชิญ

              ชายเจ้าหน้าที่คนเดิมเปิดประตูห้องเพื่อให้บางคนเข้ามา

         "อรุณสวัสดิ์ค่ะ ท่านเกรบ" หญิงสาวผมสีบลอนด์ทองกล่าวทักทาย
         "เชิญเข้ามาสิ วาเลนไทน์" เกรบเชิญ

              วาเลนไทนเดินตรงไปหยุดอยู่ที่ข้างเตียงของคาระก่อนจะยื่นบางสิ่งบางอย่างให้

         "ข้าเก็บไว้ให้ตอนที่เจ้าหมดสติ"
         "โอ้ ขอบคุณมากครับ" คาระรีบรับดาบจากมือของวาเลนไทน์ "ถ้าดาบนี้หายไป ผมคงถูกฟาเรนไฮต์ฆ่าแน่"

              คาระเลื่อนดาบออกจากฝักเพื่อดูใบดาบ มันได้รับการทำความสะอาดเป็นอย่างดีมาเรียบร้อยแล้ว

         "เอาล่ะ งั้นข้าขอตัวก่อน งานที่ต้องสะสางมีอีกเยอะ ไว้เจอกันนะ" เกรบปลีกตัวออกจากห้องโดยมีเจ้าหน้าที่ชายคนเดิมตามออกไป

              ความเงียบกลับเข้ามาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้คาระไม่ได้ใส่ใจมันอีกแล้ว เมื่อเขามีของสำคัญที่สนใจอยู่ตรงหน้า 

         "จะทำอย่างไรต่อไป เมื่อคาระไม่ใช่เอคโค่" วาเลนไทน์ถาม

              คาระกลับมาให้รวามสนใจกับบทสนทนา

         "มาหาคำตอบเรื่องนี้กัน โรงเรียนคงต้องปิดอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ ดังนั้น จะมากับเราไหม" คิระเอ่ยถาม
         "ครับ ผมอยากเรียนรู้มากกว่านี้" คาระตอบอย่างรวดเร็ว
         "เดี๋ยว เจ้าควรพิจารณาปัจจัยต่างๆก่อ..."
         "พร้อมจะฟังเงื่อนไขไหม" คิระยื่นมือออกไปหาคาระ

              คาระเอื้อมมืออกไป แต่คิระชิงจับมือของคาระไว้ แล้วดึงเข้ามาใกล้จนคาระต้องเซตามแรง 

         "เจ้าต้องเก็บทุกเรื่องทุกคำพูดของทุกคนในระหว่างที่อยู่กับเราไว้เป็นความลับ ต้องไม่ให้คนอื่นๆรู้เป็นอันขาด แม้แต่ฟาเรนไฮต์ก็ตาม ตกลงหรือเปล่า"
         "ค..ครับ" 

              คิระจ้องมองเข้าไปในดวงตาของคาระ

         "นี่คือสัญญา หากผิดสัญญา นั่นหมายถึงดวงวิญญาณ" คิระถามซ้ำ "จะตกลงไหม"
         "คาระ เจ้าไม่จำต้องพิสูจน์อะไรอีก อย่าหลงเชื่อตามคำยุเป็นอันขาด" วาเลนไทน์ขัด
         "ค..ครับ ตกลง" คาระเสียงสั่น
         "ให้ตายสิ เจ้าทำอะไรลงไป คิระ" วาเลนไทน์เอือมระอา
         "นี่คือเรื่องแรกที่เจ้าต้องรู้ พันธสัญญาของพวกเรา โลกของพวกเรา วิญญาณ คือสิ่งเดียวที่ใช้เดิมพัน ฉะนั้น อย่าตัดสินใจง่ายๆเช่นนี้อีก" คิระเตือน
         "เอ่อ งั้นขอเอากลับไปคิดก่อนนะครับ" คาระดึงมือกลับ ทว่าคิระกลับไม่ปล่อยมือ
         "เรื่องที่สอง สัญญายกเลิกไม่ได้จนกว่าคู่สัญญาจะยินยอม" คิระจับมืออีกข้างหนึ่งของคาระที่กำลังถือดาบ "หรือ จนกว่าคู่สัญญาจะถูกฆ่า"
         "หมายถึง ฆ่า" คาระทวนคำพูด
         "ถูกต้องแล้ว"

              คาระหน้าซีดอย่างเห็นได้ชัด จนคิระต้องหัวเราะกลบเกลื่อน

         "ฮ่าๆๆ อย่ากังวลเลย มันไม่น่ากลัวขนาดนั้นหรอก"
         "เลิกเล่นก่อนแล้วให้คาระจัดการธุระส่วนตัว อาหารเช้าสำคัญ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเกือบเก้าโมงแล้วก็ตาม" วาเลนไทน์กล่าว

              เมื่อวาเลนไทน์พูดจบ เธอก็เดินนำออกจากห้องทันที

         "ไปเปลี่ยนชุดที่ห้องพักเจ้าหน้าที่ก่อน แล้วค่อยตามไปที่ชั้นสอง" 
         "ที่นี่คือที่ไหนกันครับ" คาระถาม
         "สำนักงาน SA" คิระตอบ "กลางเมืองเขตที่หก ข้างๆที่ทำการของผู้ปกครอง"
         "ที่นี่คือข้างในอาคารงั้นหรือครับ" คาระตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้น
         "ใช่" 
         "โอ้ อยู่เขตที่เจ็ดมาหลายปีแล้วยังไม่เคยมาแถวนี้เลย" 
         "ไว้ตื่นเต้นทีหลังเถิด ไปจัดการธุระส่วนตัวได้แล้ว"
         "ครับ"


         เพียงไม่นานทั้งสามก็ได้นั่งรับประทานอาหารในโรงอาหารของสำนักงาน SA ชั้นที่สอง ซึ่งตอนนี้มีพวกเขาเพียงกลุ่มเดียวที่ใช้งานเนื่องจากเป็นเวลาทำงาน ถึงแม้จะเรียกว่า โรงอาหาร แต่เป็นห้องโถงที่ตกแต่งอย่างเรียบหรู ที่ด้านหนึ่งเป็นกระจกใสทั้งด้านซึ่งสามารถมองเห็นบรรยากาศหน้าสำนักงานได้กว้างและชัดเจน 

         "ช่วงปลายของสงคราม ข้าพบกับหญิงสาวที่นั่งปะปนกับผู้ลี้ภัยที่มาจากหลายๆประเทศ เธอโดดเด่น ไม่ได้รู้สึกสิ้นหวัง ตรงกันข้าม" คิระเล่าสลับกับใช้ส้อมเสียบชิ้นเนื้อเข้าปาก "ข้าเดินเข้าไปใกล้ ในอ้อมกอดของเธอ..." คิระทำท่าทางดังว่าโอบอุ้มอะไรบางอย่าง      "ก็คือเจ้า โอบอุ้มเด็กทารกที่กำลังหลับ"
         "ว้าว แม่ไม่เห็นเคยเล่าเลย" คาระตั้งใจฟัง
         "อาจจะทำถูกแล้ว ที่ยังไม่เล่า" วาเลนไทน์เสริม

             
              บริกรที่ถือเหยือกน้ำที่ทำจากแก้วใสมีหยดน้ำเกาะที่ข้างเหยือก เดินเข้าใกล้อย่างเงียบเชียบและเติมน้ำลงแก้วของทั้งสามตามหน้าที่ วเลนไทน์กล่าวขอบคุณก่อนที่บริกรจะโค้งศีรษะตอบรับและจากไป 

         "ข้าที่เห็นแม่ของเจ้าในตอนนั้น ข้ารู้สึกได้ถึงความหวัง ข้าจึงช่วยเหลือเธอ เท่านั้นล่ะ"
         "แต่ แม่ของผมไม่ได้ใช้นามสกุล ฮาร์ทมาน นะครับ"
         "นามสกุลของคิระ" วาเลนไทน์แทรก
         "หมายความว่าพี่ก็ตั้งชื่อให้ผมด้วยหรือครับ" คาระตาลุกวาว
         "ใช่ แม่ของเธอขอใช้นามสกุลของข้า และให้ข้าตั้งชื่อเจ้า เพื่อตอบแทนที่ข้าช่วยเหลือ" คิระกล่าว "ข้าจึงเลือกชื่อ คาระ ไม่ได้มาจากภาษาญี่ปุ่นหรอก แค่..เสียงคล้องกับชื่อของข้า" วาเลนไทน์ที่กำลังยกแก้วขึ้นดื่มน้ำเหลือบมองคิระด้วยหางตาโดยที่เขาไม่รู้ตัว
         "แล้วทำไม แม่ถึงต้องบอกว่าพี่ตายในสงครามด้วย"
         "ข้าเป็นคนขอเช่นนั้นเอง นั่นเพราะ..ข้าคิดว่าควรจะให้เจ้าใช้ชีวิตเยี่ยงผู้คนทั่วไปในโลกที่สงบ" ในช่วงท้ายของประโยค คิระได้แสดงแววตาที่ดูเศร้า แต่แค่ชั่วพริบตา

              ทั้งสามไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะผลลัพธ์ในตอนนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าความปรารถนาของคิระต้องพังทลายลงเสียแล้ว คาระได้เข้ามาพัวพันในโลกของคิระ โลกที่คาระจะต้องต่อสู้กับสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ

         "อ้อ จริงสิครับ เพราะอะไรแม่ถึงมีบ้านเป็นของตัวเองได้ทั้งที่ผู้ลี้ภัยจะต้องอาศัยอยู่ในบ้านของรัฐ ไหนจะเรื่องสัญชาติไทยอีก" คาระเป็นคนทำลายความเงียบ
         "เส้นสาย คนรู้จัก" วาเลนไทน์ตอบ คาระจ้องมองคิระอย่างสนเท่ห์
         "ก่อนหน้านั้น ก็เข้ามาช่วยเหลืองานเจ้าหน้าที่ของราชอาณาจักรหลายเรื่องอยู่เช่นกัน" คิระอมยิ้ม
         "แล้ว เอ่อ แม่รู้เรื่องที่พี่เป็น..." คาระพยายามสรรหาคำจำกัดความ
         "ไม่แน่ใจ" คิระตอบสั้นๆ
         "ไม่แน่ใจหรอครับ" คาระถามซ้ำ
         "ความเชื่อ วิญญาณ โลกอื่นๆ แม้ว่ามันจะถูกลืมตามกาลเวลา แต่ไม่ได้หายไป" วาเลนไทน์เสริม "ข้าขอลงว่า นางรู้ว่าเจ้าไม่ใช่มนุษย์ ข้าเห็นแววตานาง"
         "คุณวาเลนไทน์อยู่ที่นั่นด้วยหรือ ไม่สิ แม่เป็นนักวิทยาศาสตร์ ทำไมถึงคิดว่าพี่ไม่ใช่มนุษย์"
         "วาเลนไทน์แอบตามไปหน่ะ..."
         "ข้าไม่ได้แอบ" วาเลนไทน์แทรก
         "ข้าว่าเธอคงจะเข้าใจว่าข้าเป็นนักบวชหรือนักมายากลอะไรแบบนั้น"

              ในตอนนั้นเอง ได้มีเสียงอื้อึงบริเวณหน้าประตูทางเข้าของสำนักงาน เจ้าหน้าที่ติดอาวุธหลายคนวิ่งลงจากอาคารไปที่ลานว่างด้านหน้าแล้วยืนประจำจุดต่างๆอย่างคุ้นเคย ประตูรั้วด้านหน้าถูกเลื่อนเปิดออกอย่างช้าๆด้วยระบบไฟฟ้า ไม่นานนักรถหุ้มเกราะติดอาวุธได้แล่นนำเข้ามาในบริเวณลานว่าง ตามมาด้วย รถหุ้มเกราะลำเลียง รถขนนักโทษ รถพยาบาล รถหุ้มเกราะลำเลียง และรถหุ้มเกราะลาดตระเวนตามลำดับ เข้ามาจอดในลานว่าง ประตูรั้วปิดในทันทีที่รถคันสุดท้ายแล่นผ่าน

         "ผู้ต้องสงสัยมาถึงแล้วสินะ" คิระกล่าวก่อนลุกขึ้นไปยืนดูใกล้กับบานกระจกใส

              คาระและวาเลนไทน์จึงลุกขึ้นไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นตามคิระ 
              เบื้องล่างนั้น ขบวนรถจอดเรียงต่อกันอย่างเป็นระเบียบ เจ้าหน้าที่ติดอาวุธหลายคนยกปืนขึ้นเล็งไปที่รถขนนักโทษ เมื่อประตูหลังของรถขนนักโทษเปิดออก เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่อยู่บนรถลากเตียงพยาบาลลงมาจากรถโดยมีเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งประคองฝั่งตรงข้าม บนเตียงมีร่างของหญิงสาวในชุดนักเรียนที่คุ้นตาถูกมัดตามส่วนต่างของร่างกายไว้กับเตียงและผ้าปิดตาสีดำที่คาดรอบศีรษะปิดบังดวงตาของเธอทั้งสองข้างอย่างมิดชิด
              เตียงพยาบาลนั้นถูกเคลื่อนย้ายเข้ามาในอาคารโดยมีเจ้าหน้าที่ติดอาวุธใช้ปืนเล็งไปที่ร่างของหญิงสาวตลอดเวลา 
              ขบวนรถเคลื่อนที่ไปยังด้านข้างของอาคารเพื่อเข้าสู่ประตูขนาดใหญ่ลงไปยังชั้นใต้ดิน เจ้าหน้าที่บริเวณลานว่างเคลื่อนย้ายกลับเข้าอาคารอย่างรวดเร็วอย่างเป็นระเบียบ

         "นั่น! นั่นคือ เฟส ใช่ไหมครับ" คาระถามอย่างตื่นตระหนก
         "ใช่ นักเรียนของโรงเรียนหลักเขตที่เจ็ด" วาเลนไทน์ตอบ คิระหันมองทั้งสองอย่างงุนงง
         "เธอเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ" คาระถามต่อ
         "ตอนนี้ไม่อาจทราบได้" 
         "งั้นไปหาข้อมูลกัน" คิระกล่าว

              คิระและวาเลนไทน์ผละตัวออกจากบานกระจกแล้วมุ่งหน้าสู่ประตูทางออกทันที โดยมีคาระที่ตามไปอย่างติดๆ บริกรหน้าประตูนั้นเปิดประตูให้อย่างรู้จังหวะและโค้งศีรษะให้ทั้งสามพอเป็นพิธี คาระที่ยังไม่คุ้นชินโค้งศีรษะให้เล็กน้อยเป็นการตอบรับ
              คาระปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ในทันทีเมื่อก้าวเท้าออกจากโรงอาหาร เป็นไปโดยที่ตัวเขาไม่รู้สึกตัว บางสิ่งบางอย่างได้บอกเขาให้เตรียมรับมือกับทุกๆอย่างที่ผ่านเข้ามาหรือกำลังจะผ่านเข้ามา คิระและวาเลนไทน์สังเกตเห็นได้แม้จะไม่ได้หันกลับมามองที่คาระ

         "นึกถึงการต่อสู้ครั้งแรกขึ้นมาเลย" คิระกล่าวขึ้นลอยๆ "หลังจากผ่านมาได้ โลกที่เห็นก็แตกต่างไปในทันทีเลยล่ะ"
         "อะไรนะครับ" คาระที่ไม่ทันฟังจึงถาม
         "ส่วนนี้ยังต้องปรับปรุง" วาเลนไทน์กล่าวเสริม




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×