ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เหมือน(ไม่)​รัก

    ลำดับตอนที่ #10 : เรื่องร้าย​​ : ครึ่งแรก

    • อัปเดตล่าสุด 7 พ.ย. 62



    ตอนแรกว่าจะเกเร​ ด้วยต้นฉบับในมือร่อยหรอ​ แต่เผื่อมีคนรอ​ อ่านให้สนุกนะคะ​ จะพยายามเร่งปั่นเพิ่มค่ะ❤️❤️❤️❤️❤️


    ไม่ใช่คนนั่งจับสังเกตหล่อนตรงหน้าหรอก ที่โผล่มาให้ใจหายวาบเล่น ทว่าเป็นมานพ

    นายตำรวจหนุ่มมาส่งข่าวร้าย ด้วยสภาพแม้ตัวเขาเอง ยังไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นแล้วจริง ๆ ที่นี่ ในเขตท้องที่อำเภอสมมุติ กระทั่งหล่อนฟังข่าวเข่ายังแทบทรุด

    ชัยวัฒน์ เด็กหนุ่มอนาคตสดใส เพิ่งจะเรียนมหาวิทยาลัยชั้นปีที่สองในเมืองกรุง กลับมาเยี่ยมบ้านได้เพียงสี่วัน ก็สิ้นชีพเสียแล้ว หล่อนกับเขายังไม่ได้เจอกันเลย

    มือเรียวสั่นเล็กน้อยขณะยกแก้วขึ้น จิบน้ำพอคลายความแห้งผาก หล่อนวางมันกลับที่เดิม ก่อนชำเลืองมองคนกำลังเอื้อมตัว ตักแกงพื้นเมืองใส่จานข้าวของคุณหญิงรัตนาวดี

    น้ำแกงสีแดงใส​ ๆ​ นั่น คงจะเหมือนสีเลือดจาง ๆ ไหลไปตามสายน้ำ

    จุดพบศพคือริมคลอง ตรงชายป่าละเมาะ เต็มไปด้วยต้นจิกน้ำ ใกล้สุสานเก่า ชัยวัฒน์ไปทำอะไรที่นั่น กับใคร หรือมีคนคิดตั้งใจอำพราง ณ ตอนนี้ยังไม่รู้ ทว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังวุ่นสืบสาวราวเรื่องกันอยู่ มานพบอกอย่างนั้น ก่อนจะควบชอปเปอร์หายไปในความสลัวราง

    แม่เองก็ใจหล่นใจวูบ เมื่อรู้ว่าเด็กเกเรในสายตาท่านไม่ได้อยู่ให้ระคายใจแล้ว ทว่าต่อให้รู้สึกเช่นไร หน้าที่ต้อนรับยังดำเนินอยู่

    หล่อนเองก็ควรจะทำเช่นเดียวกัน แต่มันไม่ง่ายเลย หญิงสาวฝืนกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ

    “เด็กคนนั้นคงสนิทกับเธอ”

    เมื่อบุรุษเพียงหนึ่งเดียวเปล่งกังวานเสียง คนอื่นร่วมโต๊ะชะงักสิ่งกระทำ แปรสายตามาทางเดียวกัน ยกเว้นอีกหนึ่งสตรี ดาราฉาย ไม่ต่างจากคุณชายปาริวรรต ดวงโตกลมโตซ่อนความริษยา คอยมองหล่อนอยู่ก่อนเป็นระยะ

    “ค่ะ” ตอบรับสั้น ๆ ตักข้าวในจานเข้าปากอีกคำ บุปผชาติรวบช้อน “ถ้าดิฉันจะขอตัว คุณชายจะว่ากระไร”

    “ฉันไม่ว่ากระไรหรอก”  น้ำเสียงยังคงเรียบเชียบ ทว่าสายตาคู่นั้นฉายแววหล่อนไม่เคยเห็น ถ้าเมื่อก่อน...

    ปิดฉับความคิดตัวเอง คุณแม่ลูกแฝดมองไปทางอีกคนควรขออนุญาติ คุณหญิงรัตนาวดีรีบพยักหน้า

    “ไปพักผ่อนเถอะจ๊ะ ไม่ต้องห่วงรัตนาวดี อีกสักครู่รัตนาวดีก็จะพักผ่อนเหมือนกัน เกรงใจคุณน้าเหลือเกิน ไหนจะต้อนรับขับสู้ ไหนจะเข้าครัวทำอาหารอร่อย ๆ”

    “โอ้ยย คุณหญิงรัตนาวดี ไม่ต้องเกรงใจคุณน้าหรอกค่ะ คุณน้าเต็มใจ เหนื่อยนิดเหนื่อยหน่อยนานทีปีหนเองค่ะ”

    “แล้วถ้าไม่นานทีปีหนจะได้ไหมคะคุณน้า รัตนาวดีรู้สึกชอบที่นี่​เหลือเกิน” เจ้าของนัยน์ตาสุกสกาวออดอ้อนเสียงหวาน ส่วนนายแม่กรองผกายิ้มปลาบปลื้มตอบรับ

    “ได้สิคะ ได้เสมอสำหรับคุณหญิงรัตนาวดี”

    “เฉพาะรัตนาวดีหรือคะ” ว่าแล้วน้องสาวชำเลืองมากทางพี่ชาย

    “สำหรับคุณชายก็ด้วยค่ะ กลับไปแล้วคุณชายปาริวรรตต้องหาโอกาสมาเยี่ยมคุณน้ากับบุปผาอีกให้ได้นะคะ คุณน้ากับบุปผาจะรอ”

    “อะแฮ้ม คุณแม่คะ”

    “อะไรจ๊ะบุปผา” นายแม่กรองผกาหันมายิ้มหวาน ทว่าคิ้วเลิกขึ้นนั่น

    หล่อนรู้ท่านต้องการอะไร แต่ลืมความจริงไปข้อหนึ่งหรือเปล่า “หนูได้ยินเสียงลมแรง เสียงฟ้าร้อง”

    นิ่งไปชั่วขณะ หันไปทางหน้าต่าง วกกลับมา ซ่อนแววไหววูบ ความเรียบขรึมคลี่คลุมทั้งดวงตาทั้งดวงหน้าหวาน แลไปบนโต๊ะ มืออวบอูมยื่นตรงยังถ้วยน้ำพริก วางอยู่ตรงใจกลางจานเซรามิก มีผักเคียงทั้งสดและลวกจัดเรียงล้อมสวยงาม เมื่อจับช้อนกลาง

    “ลมไม่ได้แรง พัดแต่เพียงเบา ๆ ฟ้าร้องก็คงร้องแต่ไกล ๆ คุณแม่เลยได้ยินแต่เพียงแว่ว ๆ บุปผาคงจะหมกมุ่นอยู่กับการตายของชัยวัฒน์ คุณแม่เข้าใจ แต่ความมืดมันไม่ได้อยู่กับเราตลอดเวลา ไปพักผ่อนเสียเถอะ”

    หากจะเป็นเวลาอยู่กันตามลำพัง หล่อนกับแม่คงได้คุยกันอย่างเป็นธรรมชาติกว่านี้ มองคุณชายปาริวรรต แลคุณหญิงรัตนาวดี ใช้สายตากับคนเสมือนอากาศธาตุ กลับมายังชายหนุ่ม “ดิฉันขอตัว”

    เมื่อคนฟากตรงข้ามพยักหน้า บุปผชาติออกแรงดันเก้าอี้ไปข้างหลัง ก่อนจะลุกเดินตรงขึ้นบันได ตาชำเลืองมองข้างฝา

    แม่อาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่จังหวะหัวใจเต้นของหล่อนผิดปกติ

    เท้าขวาอยู่บนบันไดขั้นสุดท้าย ขณะเท้าซ้ายอยู่ขั้นรองลงมา บุปผชาติเอี้ยวตัวมองไปตามส่วนโค้ง เสียงหัวเราะหวานเสนาะ เสียงพูดเชิดหยิ่งอารมณ์ดี แม้จะเพียงแผ่ว ๆ แต่ลมบางเบาก็หอบมาเข้าหู แม่อาจจะลุกหายไปทำอะไรสักอย่าง ดาราฉายจึงได้คุยออกรสบ้าง และคุณชายปาริวรรตก็คงนั่งเผยยิ้มนิด ๆ 

    สายตาของแม่มองผ่านโลกมามากกว่าหล่อน ทำไมยังยื้อ หรือเพราะไม่ต้องการแพ้ ระบายลมหายใจยาว หญิงสาวก้าวเท้าเร็วตรงเข้าห้อง

    อย่างน้อยภายในนี้ไม่มีใครมาวุ่น นัยน์ตาดุจอำพันกวาดมองทั่ว หลังจากพาตัวออกห่างประตูปิดสนิท

    สูดกลิ่นอายหอมละมุนลูกน้อยทั้งสอง ยังฟุ้งอยู่ในอากาศ บุปผชาติพาตัวทิ้งบนที่นอน

    ดวงดาวไม่พราวแสง จันทร์เสี้ยวไม่เปล่งประกายนวลเหนือเพดาน ด้วยม่านไหมสีดำไม่คลี่คลุม หล่อนในสภาพนอนหงาย มือทั้งสองวางอยู่บนอก  เรือนผมยาวสลวยสีน้ำตาลแดง สยายทับผืนผ้าสีเหลืองทานตะวัน กำลังรุมร้อนดั่งกำลังอยู่บนเตียงเพลิง

    ขยลกับฑิฆัมพร เป็นลูกของหล่อน เป็นแก้วตาดวงใจ เป็นของขวัญพิเศษ เป็นแสงระยิบระยับแห่งดวงดาว แดดอ่อนอุ่นไล้ สายลมผะแผ่ว ผืนฟ้าสดใส

    จากที่มีเรื่องการตายของหนุ่มรุ่นน้องมาเบี่ยงเบน ตอนนี้หมกมุ่นคิดถึงลูกฟุ้งซ่านอีก

    หญิงสาวลุกนั่งพรวดพราด หย่อนขาวางพื้น ลุกเดินไปกระชากประตู ทว่าเมื่อเยี่ยมหน้า กลับชะงักไว้แต่เพียงนั้น

    “ไหนว่าเดี๋ยวก็จะพักผ่อนเหมือนกัน นี่ยังคุยระรื่นเสียงดังมาถึงนี่” รำพึงว่ากับลมโกรก ดึงศีรษะเข้าห้อง อึดใจโผล่ออกไปอีก หลังจากขบเม้มริมฝีปากตรึกตรอง บุปผชาติค่อย ๆ ย่องไปตามโถงทางเดิน แต่เมื่อถึงบันได วิ่งแน่บเบาฝีเท้ากลับเข้าห้อง ยืนหลังพิงประตู เงยหน้ากลอกกลิ้งนัยน์ตาหาหนทาง

    ไม่รู้ว่าเป็นของใคร เงาศีรษะสีดำนั่น แต่มันไม่ใช่เรื่องเลย ทำไม ทำไม โอยยย อยากจะกรี๊ด นี่ถ้าเป็นส่วนตัวปกติหล่อนลั่นแล้ว

    เพราะแม่คนเดียว เพราะแม่คนเดียว เพราะแม่คนเดียว เพราะคุณชายปาริวรรตนั่นแหละตัวดี มาทำมายยยยยย

    เท้ากำลังจะกระทืบพื้น หวังระบายอารมณ์หงุดหงิดชะงักกึก ดวงตาเบิ่งกว้าง เอียงหน้า เมื่อใช้ทางปกติไปหาลูกไม่ได้ ไปทางพิเศษก็ได้

    ก้าวตรงยังตู้เสื้อผ้า​  เปิดลิ้นชัก หยิบผ้าเส้นใยพิเศษซื้อมาเก็บไว้ใช้เยอะจับขมวดปมต่อกัน เล็งว่าได้ความยาวตามต้องการ นำไปผูกกับราวระเบียง

    ยิ้มย่องพลางเช็กปมผ้าว่าแน่นปลอดภัย บุปผชาติสวมวิญญาณนักไต่บ้าน ทว่าพอเท้าเหยียบพื้นหญ้าเขียวขจีนุ่มเหมือนพรมราคาแพงก็มีอันได้สะดุ้งโหยง

    “กำลังจะไปไหนหรือ บุปผชาติ”


    ❤️❤️❤️❤️❤️



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×