ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อีกตัวตน

    ลำดับตอนที่ #5 : 第五集 |นิราศพ้น

    • อัปเดตล่าสุด 27 ก.ย. 64


     

    “ล้า ลั้นลาาาา ฮู้ฮู…." เจ้าจันเดินลิงโลดเตรียมไปที่โรงกระดาษทำงานเหมือนอย่างทุกวันที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่หารู้ไม่ว่าภัยกำลังจะคลานเคลือบมาถึงตัวเอง

    “พ่อจันทรา…” พ่อไม้ หนุ่มเอวคลอดหน้าท้องสันระลอกคลื่นนุ่งโจงกระเบนเปลือยกายหยาบท่อนบนเดินเร่งรีบกุลีกุจอเข้ามาหาเจ้าจัน 

    “มีอะไรหรือพ่อไม้ เรียกข้าตั้งแต่เช้าเลย”

    “พ่อนายสั่งให้ข้ามาเรียกให้พ่อจันขึ้นไปบนเรือนของพ่อนายตอนนี้ทันทีเมื่อข้ามาตามเจ้า สีหน้าพ่อนายดููมึนตึง ไม่รู้เครียดเรื่องกระไร พ่อจันทรารีบไปเสียเถิด… ปกติ พ่อนายไม่เคยเป็นแบบนี้นะ

    “…อืม ได้” จันทราชะงักสถิตเสียงพูดงึมงึมตรงประโยคสุดท้ายก่อนรีบเร่งฝีเท้าเดินจ้ำอ้าวไปที่เรือนของพ่อนายทันทีเมื่อตัวโดนถูกเรียกตัว

    เรียกหากระไรแต่เช้าวะ พ่อไม้บอกว่าเคร่งเครียดด้วย….

    เออขนาดคิดใจกูก็ติดภาษาโบราณไปละ อ่านนิยายพีเรียดมาหลายเรื่อง ไม่เคยคิดในใจหรือพูดคำโบรึณโบราณเลย เอาเป็นว่ารีบไปดีกว่า เดี๋ยวเรือนจะพัง ดูจากหน้าพ่อไม้ละ ตื่นกลัวโคตร

     

     

     

     

    เรือนใหญ่คุณพี่นิล

    ศรีนิลยืนตัวตรงขุ่นหมองอยู่ ตรงประตูจันทราคลานเข่าหา

    คนเป็นพี่นึกทำไมพึ่งจะมา หารู้ว่าอีกไม่นานมึงจะโดน…

    “เจ้าออกไปก่อนไม้ ประเดี๋ยวข้าจะคุยกันไอ้จันสองต่อสอง” คุณพี่นิลปัดมือไล่พ่อไม้ที่เดินตามหลังจันทราให้ลงจากเรือนไป เพลานี้เจ้าจันทราคลานมาตรงทางต่างระดับระหว่างพื้นไม้กับพื้นตั่งกลางเรือนที่ยกสูงขึ้น คนเป็นพี่นั่งอ่านกระดาษที่เป็นข้อมูลเรื่องหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินมาหยุดที่ตัวของเจ้าจันที่บัดนี้กำลังก้มหน้างุดอยู่ “มาแล้วก็ดี ข้าอยากจะรู้นัก ว่ากระดาษที่มีตัวอักขระอักษรนี่เป็นของใคร ?!!” เจ้าจันยลมองตัวอักษรสีน้ำหมึกดำที่ถูกเขียนลงบนแผ่นกระดาษ

    เห้ย นั่นมันไดอารี่กูนี่หว่า ไหงไปอยู่กับเขาได้ไงวะ !!

    “กูถามว่าของใคร ?!!!” 

    ไอ้เหี้ย ทำไมต้องอารมณ์เสียใส่กูขนาดนั้นวะ….. กลัวนะเว้ย 

    “ข..ของกระผมเองขอรับ” เจ้าจันทราตอบอย่างตัวสั่นเทา พลางนึกไปถึงคราที่ตัวเองลงนอน 

    เออจริงว่ะ ไอ้เหี้ย..เมื่อคืนกูก็ง่วงจนไม่ได้เก็บ

    ใครมันเอาไปวะ 

    “แต่กระดาษแผ่นนั้นที่กระผมเขียน มันเป็นเรื่องส่วนตัวของกระผมนะขอรับ ผมเขียนเสร็จก็วางเอาไว้ แต่ไม่รู้ว่ามันมาอยู่ที่พ่อนายใดอย่างไร ผม…เห้ออ” จันทราพูดตะกุกตะกัก เพราะอธิบายจับหน้าชนหลังไม่ถูก เมื่อคืนตัวเองก็ง่วงนอนผล็อยหลับไปเร็วมากจนจำไม่ได้

    “เรื่องส่วนตัวเหรอ แต่ภาษาที่ใช้เขียนมันผิดแผลกแปลกเสีย บางคำก็อ่านไม่รู้ความ บางคำก็อ่านแปลก ๆ มึงเป็นใคร มึงคือพวกด้าวต่างแผ่นดินใช่ฤาไม่… บอกกูมา !!”

    “เอ้า กูก็เป็นคนไทย……” จันทราสบถออกมาเสียงเบา ๆ แต่อกใหญ่กลับได้ยินชัดเจน

    “มึงพูดงึมงัมอะไร คนทง….คนไทย…กระไรกัน นี่มึงอย่าบอกนะว่ามึงเป็นพวกต่างด้าวต่างนครอย่างนั้นฤา !!!!”

    “กระผมเป็นคนไท--- เอ่อ..ก็คนกรุงศรีฯนี่แหละขอรับ”

    ไอ้เหี้ยเอ๊ย กูไม่คิดว่าไดอารี่กูมันจะก่อเรื่องให้กูขนาดนี้ วันหลังกูเขียนเสร็จกูจะใส่หีบเลย กูไม่เอาแล้ว กูจะไม่ลืมอีกแล้วววว !!

    “มึงโกหกกูไอ้จัน… ภาษาที่มึงพูดก็วิบัติวิปลาศ !!!!” อกใหญ่เดินออกไปยังห้องหอห้องหนึ่งภายในเรือน ก่อนจะมาพร้อมกับไม้หวายและกริชด้ามสีทองด้ามหนึ่ง

    เห้ยยย ไอ้เหี้ย ไดอารี่แผ่นเดียวทำกูตายเลยเหรอวะ ?!

    “เดี๋ยว ๆ ๆ จะทำอะไรขอรับพ่อนาย !!” จันทราโดนจับล็อกคอเอาไว้ แม้ว่าตัวจะใหญ่พอ ๆ กัน แต่เขาก็แพ้แรงโมโหโทสะที่อีกฝ่ายแสดงออกมา คราวนี้เจ้าจันคิดว่า เขากลายเป็นคนอกเล็ก ๆ จริง ๆ เพราะแรงที่จะหนีนั้นหาไม่มีเหมือนที่คนที่ล็อกตัวเจ้าจันเคยแซวจริง ๆ 

    “กูคงเลี้ยงมึงไว้ไม่ได้ กูรู้สึกว่ามึงเป็นหนอนมาจากพวกอังวะ แม้สงครามพึ่งจักจบไปก็เถิด แต่กูก็หาจะเลี้ยงงูเลี้ยงหนอนหาไว้ไม่ กูจักให้มึงเลือก… ระหว่างโดนโบยลงหวาย กับ กริชปาดคอมึงเทียวเดียว มึงจักตายแบบไหนมึงเลือกมา !”

    “กระผมไม่ใช่อังวะหรือพวกพม่่ารามัญอะไรที่พ่อนายพูดเลย !! กระผมคือคนที่นี่ แดนเกิดกระผมคือที่นี่ขอรับ กระผมยืนยันได้ขอรับ !!” จันทราหลับตาปี๋ แรงจากตัวก็พยายามดันตัวหนี แต่แรงของอีกคนก็เหมือนงูเหลือมรัดตัวเอาไว้หนีไปไหนก็หามิได้ เพลานี้ทำไมเขากลับรักตัวห่วงชีวาของตัวเองมากถึงเพียงนี้ แม้ผ่านไปไม่นานก็ตาม ต่างจากวันแรกที่เขาโผล่วาร์ปมาที่นี่ และอยากจะตายทันทีเพื่อที่เขาจะได้ตื่นกลับไปฝันให้ได้

    “มึงไม่ต้องมาเล่นลิ้นกับกู ไอ้งู่ห่าหนอนเหว กูจะให้มึงโดนโบยซักยกนึง ลิ้มรสหวายก่อนชีวาขาดกูว่าดีนะ ถ้ามึงตายแล้ว มึงไปเขาฝันคนจากอังวะที่ส่งมึงมาด้วยนะ หึ มานี่ !!!!”

    “กระผมไม่ใช่พวกอังวะ !!!! ฮึก” จันทราแม้จะตัวใหญ่พอ ๆ กับคุณพี่นิลที่กำลังเข้าใจผิด แต่อีกคนก็เหมือนโคถึก ที่สามารถดึงตัวของเจ้าจันทราผู้ที่กำลังตกภาวะมืดอย่างง่ายดาย จันทราพยายามขัดขืน แต่เหมือนแรงต้านนั้นหาได้ผลไม่เลยเสียซักนิด

    พ่อนิลหันไปหยิบผ้าสีดำยาว ๆ มาจับมัดมือจันทราไว้กับเสาไม้เอาไว้จนแน่นแกะไม่ออก เรียกว่ามัดแบบเงื่อนตายไม่ให้อีกฝ่ายรอดหนีออกไปได้ พ่อนิลอกใหญ่ค่อย ๆ เริ่มสะบัดไม้หวายจนเสียงตะวัดลมจากหวายนั้นแผ่เข้าถึงโสตประสาทของเจ้าจันทรา ทำให้ตัวของจันทราสั่นเทาพร้อมน้ำตาไหลอาบแก้มไม่หยุด

    ฟั๊บ ! 

    ไม้หวายยังไม่ทันกระทบลงบนผิวหนังสีแทนออกน้ำผึ้ง พ่อนิลพ่ออกใหญ่นึกพินิจช่วงเพลาที่เขาและจันทราอยู่ด้วยกัน แม้จะเป็นช่วงเพลาเพียงไม่กี่วันกี่คืนก็ตาม ภาพนั้นประเดประดังซัดสนั่นเข้ามาในตัว มือที่ถือหวายในมือสั่น ความรู้สึกผูกพันและสนิทใจกับบ่าวลูกนายคนนี้อย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก พ่อนิลอกใหญ่ยลมองอีกคนที่น้ำตาไหลอาบแก้ม แต่ไม่ขัดขืนอะไรเลยเสียซักนิด เมื่อคุมสติได้จึงตั้งสติและลงหวายที่หลังของอีกฝ่ายทันทีแบบไม่ยั้งแรงมือ

    เฟี๊ยบ ! เฟี๊ยบ ! เฟี๊ยบ !!!

    “โอ๊ย ฮึก เอ๊าะ โอ๊ย !! ฮึก ฮืออ ……”

    ไอ้เหี้ยทำไมไม่ปาดคอกูให้จบ ๆ เรื่องวะ ฮึก ทรมานกูอีกทำไม ไม่ฆ่ากูไปเลยถ้าคิดว่ากูเป็นพวกพม่าอังวะอะไรเนี่ยวะ !!

    ฟั๊บ !!

    “หยุดประเดี๋ยวนี้ !!” เจ้าจันค่อย ๆ หันไปมองเสียงบุรุษที่คุ้นหูผู้นั้น เมื่อหันไปก็พบว่าไอ้คนตัวทิพย์ที่แม่งพากูมาที่นี่เอง 

    “เห้ย !!! นี่มึงเป็นใคร !!!?”

    “เป็นใครไม่สำคัญดอก… สำคัญที่ว่าท่านควรละเลิกหวายลงหลังจากชายผู้นี้เสียก่อนเถิด” ไอ้พ่อหนุ่มทิพย์ผู้พาจันทรามาที่นี่นั้นยิ้มเย็น ๆ ออกมา ขัดกลับสถานการณ์ตรงหน้าที่กำลังเหมือนไฟโรมรันพนงไพรอยู่ “พ่อจันนี้ไม่ใช่พวกอังวะอย่างที่พ่อคิดดอก เขามาจากแดนไกล ไกลมาก ข้าขอให้ท่านอย่าทำร้ายเขาได้ฤาไม่ ?”

    “แล้ว…ไอ้นี่มันเป็นผู้ใด มาจากเมืองใดกันแน่ ?!” พ่อนิลตัวสั่นระริกแต่ก็ไม่วายที่จะปล่อยโทสะออกมา 

    “เขามาไกลเกินกว่าที่พ่อจะรู้นัก หากให้เจ้าตัวอธิบายขยายบทให้พ่อฟัง พ่ออาจจะมิเชื่อในคำพูดของเขาก็ได้”

    “ท่านเป็นใคร จะเป็นผีสร้างนายไม้ หรือสิ่งลี้ลับอันใด ข้าไม่รู้ !! แต่ข้าให้คนด้าวบ้านด้าวเมืองมาอยู่ในเรือนข้าคงหาไม่ได้ !!”

    “เจ้าไล่เขาก็ย่อมได้ ข้าคงไปห้ามเจ้าไม่ได้ แต่เจ้าต้องรับผลที่จะเกิดขึ้นกับเจ้าด้วยก็แล้วกันนะ…” 

    “ผลอันใดกัน ?!!” ร่างของพ่อหนุ่มทิพย์ที่พาจันทราหวนอดีตากลับมานั้นค่อย ๆ จางจนกลายเป็นละอองเกล็ดสีทองลอยขึ้นสู่นภาจนกลับสู่สภาวะปกติ

    .

    .

    พ่อนิลค่อย ๆ หายใจเข้าและออก ก่อนจะเดินไปแกะผ้าสีดำที่มัดอยู่ตรงเสาเรือนบนตั่งที่ยกสูง พ่อนิลมองไปที่หลังสีแทนน้ำผึ้งที่เป็นรอยเลือดจาง ๆ และรอยแดง ก่อนจะพิศยลใบหน้าของเจ้าจันที่น้ำตาอาบแก้มจนตาแดงก่ำเป็นสีโลหิตจาง ๆ เสียงร้องไห้นั้นปนเสียงสะอึกสะอื้นครวญคราง ก่อนที่พ่อนิลจะทนเห็นสภาพน้องจันทราไม่ไหวจึงพยักหน้าไปตรงทางขึ้นเรือนเพื่อบอกเป็นนัยว่าให้ออกไปได้แล้ว

    เมื่อเจ้าจันเดินลงมาถึงส่วนกลางของบันได เห็นพวกทาสหนุ่มแลสาว อายุน้อยจนถึงชราภาพมองมาที่เขาแบบงวยงงและอึ้งอ้ำกับเจ้าจัน เมื่อพวกทาสพวกนั้นเห็นรอยหวายที่โดนลงหลัง เสี้ยงครหานินทาก็ดังเซ็งแซ่จนไม่เกรงใจเจ้าจัน ส่วนพ่อไม้พ่อเอวงามก็รีบเดินขึ้นไปด้านบน เห็นผู้เป็นนายยืนถือหวายและกริชในมือสั่นระรัวระริก และก็เกวี้ยงกริชกับหวายไปให้พ้น ๆ มือของเขา ใบหน้าของพ่อนิลในตอนนั้นรู้สึกแค้น เสียใจ พินิจนึกถึง ตีสนั่นในหัวเต็มไปหมด พ่อไม้ไม่พูดอันใดเมื่อได้เห็นผู้เป็นนายเดินเข้าห้องลงกลอนประตูเสียงดังลั่น ก่อนจะเดินออกมาท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่ของพวกทาส และพ่อไม้ก็ตัดสินใจไล่ทาสคนอื่น ๆ ให้เริ่มกลับไปทำงานต่อ

    .

    .

    .

    .

    ย่ำถึงเพลเป็นเวลาทานสำรับ นึกใคร่กลับปัจจุบันหาได้ไม่

    เขาไม่รับตัวจะอยู่หาทำไม นิราศไกลคงจะดีศรีเจ้าเรือน

    จันทราคนึงพินิจ…

     

    จันทราค่อย ๆ เก็บเสื้อผ้าของตัวเองที่ผู้เป็นคนพี่อกใหญ่มอบให้ แต่จำพวกปากกาขนนก น้ำหมึกและ กระดาษ ก็มิได้เอาติดตัวไปแม้แต่น้อย เพราะเกรงว่าหากเขียนสิ่งใดลงไป จักเป็นภัยแก่ตัวของเจ้าจันเอง

    ตอนนี้เพลาร่วงโรยจากตอนเช้ามาถึงเพลเพลา คนเป็นพี่ก็ไม่ได้มาตามดุให้ไปทำงานส่งกระดาษเหมือนวันก่อนแต่อย่างใด ต่างคนต่างนิราศห่างกันไปทั้งคู่ จันทราเองก็หาพายเรือยังคล่องไม่ จันทราจึงตัดสินใจไปบอกพ่อไม้ที่เดินผ่านหน้าเรือนให้ไปที่ตลาดหน้าเขตพระราชฐาน เผื่ออาจจะมีงานให้ได้ทำนี่ทางโน่นบ้างก็ยังดี

    “พ่อไม้…ซี๊ด พาข้าไปที่ตลาดหน้าพระราชฐานได้ฤาไม่ ข้าจะไปหางานทำที่นั่น”

    “พ่อจันจะไม่อยู่ที่นี่ต่อแล้วฤา ?”

    “พ่อนายไม่อยากให้ข้าอยู่ที่นี่ ซี๊ด… ข้าจะอยู่ให้พ่อนายรังเกียจเดียดฉันท์ข้าต่อไปทำไม ข้าเห็นใจเขา ที่ต้องมาเห็นหน้าคนรังเกียจ ขืนฝืนอยู่่ต่อ พ่อนายเจ้าอึดอัดตายกันพอดี” เจ้าจันทราพูดไปพลางรู้สึกเจ็บปวดแผลเล็กน้อยไป หากโดนเฆี่ยนเสียยกนึง เขาคงสลบเหมือดบนเรือนพ่อนายไปแล้ว

    “พ่อนายไม่เคยเป็นแบบนี้มาแต่ก่อนเลย ข้าตกใจอยู่ ตอนที่ข้าขึ้นไป พ่อนายยังโมโหโกรธาจนตัวสั่นอยู่ แต่เรื่องนั้นช่างเถิด ถ้าพ่อจะไม่ทำงานต่อที่เรือนนี้แล้ว ฉันก็คงจะรั้งพ่อให้ทำงานต่อไม่ได้ แต่เจอกันที่ตลาดเมื่อใด ข้าจะไปทักทายปราศรัยกับพ่อนะ…”

    “หึ ได้สิ ซี๊ด…… แล้วเงิ…เอ้ย เบี้ยที่ท่านเจ้าคุณผู้นั้นให้ข้า ประเดี๋ยวข้าทำงานเก็บเงินได้มากเมื่อใด ข้าจักเอาเงินนี้ฝากพ่อไม้ไปคืนท่านด้วยนะ” พ่อจันยิ้มบาง ๆ ออกมา ก่อนอากาศปวดแผลจะค่อย ๆ กำเริบขึ้นมาเป็นพัก ๆ พ่อไม้รู้สึกเห็นใจอีกคน ก่อยจะเริ่มแจวเรือออกจากท่าน้ำหน้าเรือนไทยหลังใหญ่ไป โดยจันทราไม่ได้สังเกตเลยว่า มีพ่ออกใหญ่กำลังแอบยลมองเขาอยู่ตรงบันไดของเรือนใหญ่ ด้วยสีหน้าที่ยากจะคาดเดาว่าเป็นอารมณ์แบบไหน โดยพ่อนิลนั้นก็รับรู้แล้วว่าพ่อนิลนั้นได้นิราศจากไปแล้วจริง ๆ 

     

     

     

     

     

     

     

    เพลาชาย ตลาดหน้าพระราชฐาน

    “รักษาเนื้อรักษาตัว โชคดีนะพ่อจัน”

    “อืม พ่อไม้เองก็เหมือนกัน”

    “เออนี่ !” จันทราหันกลับไป เมื่ออีกฝ่ายกำชับเรียกเสียงแน่น

    “มีกระไรฤพ่อไม้ ? ”

    “ป้า ๆ ข้ากับพ่อจันคนนี้เอาขนมจีนน้ำพริกคนละจานจ้ะป้า”

    ได้สิพ่อหนุ๊ม !!

    เจ้าจันทรากับพ่อไม้มองหน้าและหัวเราะร่าออกมาโดยไม่เกรงใจประชาชีที่สัญจรผ่านไปมาที่หน้าตลาด และคนที่พายเรือขายของที่่ท่าน้ำตรงบริเวณนั้น สงสัยฮอร์โมนเอ็นโดรฟินจะหลั่งระงับบรรเทาความเจ็บปวดจากแผลทีี่หลังของเจ้าจันไปเสียแล้ว…

     

     

     

     

     

    เพลาชายแก่ ตะวันเริ่มตั้งตรงทางปัจจิมทิศ แต่หายังหาแตะขอบฟ้าไม่

    “จะไปหางานอะไรที่ไหนได้บ้างวะเนี่ย…” เพลานี้เป็นเพลาหลังศึกสงครามบ้านเมือง เศรษฐกิจสภาพในอโยธยาศรีรามเทพนครยังคงไม่กลับมาคึกคักเร็ว ๆ นี้ เพราะพวกพ่อค้าชาวจีน แขก โปรตุเกส และชาติอื่น ๆ พึ่งถอนสมอเรือออกไปตั้งที่บางกอกเพื่อลี้ภัยศึกสงครามบ้านสงครามเมือง ยังไม่ถอนสมอเรือมุ่งกลับมาสู่ยังกรุงศรีฯ จึงทำให้สภาพเศรษฐกิจการคลังนั้นพึ่งฟื้นตัว ผู้คนยังไม่วายจากอากาศตื่นกลัวสงคราม พวกไพร่ที่อยากขายตัวเป็นทาส เรือนเจ้าขุนมูลนายก็ไม่มีรับ เพราะต่างฝังกำปั่นสมบัติเอาไว้ใต้เรือนบางส่วน ต้องรัดเข็มขัดรัดเอวเอาไว้ ไม่อาจรู้ได้ว่าศึกสงครามนั้นจะกลับมาเมื่อใดกันแน่ 

    ในสมัยนั้นเรื่องสงครามอะไรพรรค์นี้ เอาแน่เอานอนหาไม่ได้….

    “นิ พ่อหนุ่ม” 

    “หา ?” จันทราหันม้วนหลังกลับไป แต่กลับต้องตกตะลึงอ้ำ ๆ อึง ๆ ไปสักชั่ววินาทีก่อนจะคุมสติได้ “มีอะไรหรือขอรับ ?”

    “อ่าย….. ขอรงขอรับกระไรกัน เมื่อกี้เจ้าพูดว่ากระไรนะ ?” ก่อนจันทราจะตอบคำถามของอีกฝ่าย พลางพิศยลไปที่การแต่งหน้าและการแต่งกาย เป็นบุรุษชายทำผมทรงมหาดไทย ใบหน้าถูกแต่งเติมด้วยร่ำแป้งและริมฝีปากสีแดงดอกกระเจี๊ยบให้รู้ว่ามีการแต่งหน้าแต่งตา บริเวณหูทัดดอกไม้เหมือนสตรีงามเมืองในฝ่ายใน ถัดจากใบหน้าโฉมงาม ลงมาเป็นเรือนกายท่อนบนตั้งแต่หน้าอกจนถึงบริเวณอุทรน้อย ตรงบริเวณคอมีสร้อยสีทับทิมสีเลือดยาวจรดร่องอกแน่นที่มีขนรำไรไม่เยอะมาก หน้าท้องเป็นลอนสันคลื่นจนเกือบถึงแกนกลางลำตัว ท่อนล่างใส่โจงกระเบนสีน้ำเงินกรมท่ารัดเหนือเข่าแต่ไม่ถึงเกือบโคนขาหนีบเช่นพวกข้าทาส รอบเอวมีผ้าสีขาวบาง ๆ พันรอบ ๆ โดยผ้าคลุมแค่ด้านหลังของกายหยาบ แต่ไม่ได้คลุมด้านหน้าที่บริเวณโคนขา รองเท้าเป็นรองเท้ารัดส้นโบราณสีดำธรรมดา

    หุ่นคล้าย ๆ เรา คนที่นี่ดูแลตัวเองกันยังไงวะ 

    แต่คนนี้ทำไมหน้าหวานจัง หวานกว่าพ่อไม้ แต่งตัวไม่เหมือนผู้ชายทั่ว ๆ ไปที่จันทราเดินสวนผ่านมาและพึ่งผ่านไป

    “หา… ทำไมเหรอครับ ?”

    “ไม่ใช่ หา…. แต่ก่อนหน้านั้นเจ้าพูดว่ากระไร ข้าฟังไม่ถนัดชัด”

    “ผมแค่บ่นว่ายังหางานทำไม่ได้ หางานแถวนี้ก็ไม่มีใครรับจ้าง ตอนนี้ให้แบกหามอะไรก็ยอมทำหมดครับตอนนี้” จันทราระบายบ่นออกมาจนลืมไปว่าพูดภาษาในยุคของตัวเองอยู่ ซึ่งบุรุษอีกคนมีหน้าตางงงวยเล็กน้อยแต่หามีความสงสัยอันใดต่อไม่

    “ไม่มีงานทำฤ ? เพลานี้บ้านเมืองพึ่งสงบศึก เป็นธรรมดา แต่หลังจากนี้จะกลับมาคึกคักเป็นแน่ เจ้าอยากทำงานมั้ยล่ะ ?”

    “อยากทำครับ ให้ผมทำอะไรเหรอครับ ?”

    “ถ้าเช่นนั้นตามข้ามา”

     

    จันทราว่าย่างตามอย่างง่าย เกือบจวนวายเหตุเพราะไม่มีงาน

    อยู่แห่งใดเจ้าจันมิเกียจคร้าน แม้จะปานอดีตากาลา

    เขตที่จันทราเดินมาค่อนข้างไกลโข เป็นแหล่งที่คล้ายถนนคนเดินพวกคนจีนแท้ และคนไทยเชื้อสายจีนในสมัยนั้นที่เป็นแหล่งรวมห้องแถวที่ไม่เหมาะกับเยาชนหาซักเท่าไหร่ ตึกที่จันทราหยุดกับบุรุษตรงหน้านั้นเป็นโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง เป็นจวนทรงจีนผสมทรงไทย โดยชั้นสองและชั้นที่อยู่ด้านบนสุดเป็นชั้นที่สามมีระเบียบยื่นออกมา ตึกจวนนี้เป็นสีน้ำตาลเข้ม ใหญ่่โตโอ่อ่า พันผ้าสีแดงรอบตึกจวน มีโคมไฟประดับทุกชั้นไม่ขาด ต้นไผ่สีทองแลเขียววางติดประดับทุกชั้น เพื่อเพิ่มทิวทัศน์รอบระเบียงที่สามารถใช้นัยน์ตามองได้ระยะอนันต์ ตอนกลางวันเป็นตึกจวนที่ไม่มีอะไร ธรรมดา เพราะคนตัดสินมันแค่ด้านเดียว แต่พอตกกลางคืน บริเวณหน้าจวนนี้จะคึกคักเป็นพิเศษ แสงโคมไฟรอบจวนจะเปล่งแสงแข่งกับบริเวณตึกแถวโดยรอบ ผู้คนที่ชอบออกเที่ยวกลางคืนจะออกมาเดินหาเหล้า หากับแกล้มกินบันเทิงสำราญจิตกัน หลัังพ้นยามสองไปแล้วไม่เดินเซะเซกลับบ้าน ก็เมาหัวราน้ำข้างตึกแถว

    “นี่แหละ เข้าไปประเดี๋ยวข้าจะอธิบายให้ท่านฟังทีละส่วนของที่ทำงาน หากท่านสนใจ ก็บอกข้า ประเดี๋ยวข้าจะบอกเถ้าแก่ไท่เฟิงให้ก็แล้วกัน” จันทราพยักหน้าตามน้ำไป เพื่อจะสำรวจที่ทำงานที่ระหว่างเดิน เขาก็เริ่มรู้สึกเอะใจเล็กน้อยเมื่อเข้ามายังตรอกเขตของพวกจีน “ข้าชื่อเหม่ยหยิน เป็นชื่อในน้ำที่โรงน้ำช้า ชื่อจริงข้าชื่อเมฆ พ่อแม่ข้าตายตั้งแต่ข้าจำความได้ มา…รีบ ๆ เข้ามา เห็นอะไรอย่าตื่นกลัวนะ” จันทราเดินตามเข้าไปอย่างง่าย

    จันทราย่างตามนายเมฆา มองเข้ามาเห็นบุรุษจ้องเพ่งเล็ง

    เมฆาเอาสายตาทรงเขม็ง พวกนั้นเกร็งแลพร้อมเล่นแซะแซว

    เมฆงามพลางแซะแซวปักษา ดูมาคงได้งานหาไม่แคล้ว

    เจ้านี่เขาดูแล้วก็มีแวว คงเป็นแก้วรัตนาแห่งศรีจวน….

    “ชั้นแรกจะเป็นที่ทำงานของพวกนายโลมฝ่ายด้าวเยือน พวกนี้จะใส่ผ้าโสร่งยาวสีแดงลายวับ เปลือยกายท่อนบน แต่ที่นี่ไม่ใช่ที่ถิ่นข้า ถิ่นของข้าอยู่ข้างบนฝ่ายเหย้านคร ชั้นสองน่ะ”

    นายโลม….. ฝ่ายด้าวเยือน…… ฝ่ายเหย้านคร รู้เลยแม่ง รุกกะรับนี่หว่า

    ช่วงที่จันทรามองสังเกตการณ์ไปรอบ ๆ ชั้นที่ 1 นั้น มีกาน้ำชาตั้งอยู่แทบทุกทิศ กลิ่นใบชาหอมฟุ้งเฟ้อลอยทั่วมาแต่ไกล ผู้ชายอกสามศอกแกร่งบ้างก็ยืนชงชา บ้างก็จัดของ ยกของ ปรับเปลี่ยนย้ายของไปทางนู้นบ้างทางนี้บ้าง บ้างก็นั่งหยิบเทียนสีแดงแลผ้าสีดำยาว ๆ ออกมามัดเสาเอาไว้ ดูเหมือนพวกเขาก็ทำงานกันปกติ แต่ไม่ถึงสองสามวินาที บุรุษอกสามศอกแกร่งพวกนั้นก็หันหน้ามาตอนรับผู้มาใหม่อย่างจันทรา มองได้เพียงเสี้ยววินาที บ้างก็เลียปาก บ้างก็เอามือลูปคาง บ้างก็ส่งสายตาหยอกหยอดยิ้มกระตุกมุมปากมาให้ 

    “พวกมึงอ่ะเบา ๆ เบาเบาเว้ย……”

    “แขกฤาวะ ตั้งแต่หัววันเลยนา”

    “ไม่ใช่เว้ย พ่อนี่ยังหางานไม่ได้ ช่วงนี้ก็พึ่งพ้นศึก กูเลยพามาดูงานในจวน เผื่อสนใจ จะได้ไปอยู่ชั้นสองกับพวกกูเหย้านคร”

    กู….มองกูเป็นบอทเทิมเหรอวะ 

    กูบอกเลยกูสายตำน้ำพริกลงเรือ กูไม่ถนัดออนท็อปหรือบอทเทิมใด ๆ ว่ะ ไม่เคยมีประสบการณ์ เคยแต่เห็น… 18++++ XXXXXXXXXX

    ‘ถ้าอยู่ชั้นสอง เดี๋ยวพี่ขึ้นไปหานะน้อง’

    “เขายังไม่ได้เป็นนายโลมเลยนะไอ้ชิต มึงอยู่ที่ของมึงไปเลย พวกกูไม่กินกันเองดอกวะ แหมมม อยู่กันมานมนาน ทำไมกูจะไม่รู้ไส้รู้พุงพวกมึงดี!!” นายเมฆหันไปว่าพวกด้าวเยือนหรือรุกชั่วครู่ “ไม่ต้องกลัวนะ ไอ้พวกนี้มันพูด แต่มันไม่ทำอะไร มันเห็นใครน่ารัก ๆ มันก็ชอบแซวเย้าแหย่ตามประสาพวกมัน ไปพ่อรีบขึ้นไปดูชั้นสองก่อน เกลอข้าอยู่ที่นั่นกันเยอะ รีบตามขึ้นมา”

    จันทรารีบสายเท้าพร้อมจับถุงผ้าเน่า ๆ ที่คลุกฝุ่นฝ่าลมที่ใส่เสื้อผ้าเสื้อผ่อนเอาไว้ตามขึ้นไป ไม่นานนักจันทราก็เริ่มคิดได้ว่า เขามาถึงขนาดนี้แล้ว อีกอย่างงานบริการ ขายตัว หรือปัจจุบันเรียกว่า Sex worker ก็เป็นอาชีพนึงที่จริง ๆ แล้วทุกคนเป็นมิตรไม่ได้น่ากลัวจริง ๆ ไปเสียทั้งหมด พวกเขาก็ทำงานของพวกเขากันไป 

    อยากให้ Sex worker มันถูกกฎหมายหรือได้รับความเป็นธรรมและปลอดภัยกันมากขึ้นมากขึ้น มีกฎหมายเฉพาะ หรือ take action อะไรกันมากกว่านี้ ทุกวันนี้คนชอบมองว่าผิดศีลธรรม น่ารังเกียจเดียดฉันท์กันเข้าไส้ เป็นแมงดาทำให้ประเทศเสื่อมโทรมวินาศสันตะโร กร่นด่ากันไปจนไม่เกรงใจกันซักนิด ทั้งที่พวกเขาก็มีชีวิตและความรู้สึกไม่แพ้กับอาชีพอื่น ๆ เช่นกัน โดยเฉพาะในยามเศรษฐกิจตกต่ำหรือมีโรคระบาด….

    “ข้าชื่อเทียนหนาน” “ข้าชื่อหลินหยาง”

    “เฮ่นเกาชิงนะพ่อจันทรา” เทียนหนานกับหลินหยางตอบพร้อมกัน สองคนนี้เป็นเกลอของเหม่ยหยิน หลังจากจันทราได้สำรวจบริเวณชั้นสองที่บริบทโดยรอบคล้ายชั้นที่หนึ่ง มีโต๊ะชงชา ถ้วยน้ำชาวางเรียงสวย แต่โชคดีมีระเบียบระบายอากาศกว่าชั้นที่หนึ่ง มองด้านนอกดูเล็กมาก แต่พอดูดูห้องกว้างมาก มีเตียงหลายเตียงที่มีม่านผูกเอาไว้ ของประดับด้วยแจกันดอกบัว มีเชิงเทียนตั้งอยู่มากมายที่ตอนนี้ยังไม่ถูกจุด กลิ่นของชั้นนี้จะหอมหวานสบาย ๆ ไม่หอมยั่วยียวนเหมือนชั้นแรกที่มีพวกบุรุษฝ่ายด้าวเยือน 

    “ไนซ์ทูมีทยิวทู เทียนหนานแอนด์หลินหยาง” ทั้งสองและนายเมฆงงงวยกับภาษาเทศของจันทราที่พูดออกมา จันทราหลุดขำเล็กน้อย โดยจันทราก็รู้ว่าภาษาจีนที่ทั้งสองพูดนั้น แปลว่า ‘ยินดีที่ได้รู้จัก’ ซึ่งจันทราก็ได้อธิบายออกไปจนหมดจนทั้งสามเข้าใจ 

    “จันทราเรียนหนังสือหนังหาฤาถึงพูดภาษาพวกฝาหรั่งได้” 

    อังกฤษพูดได้ดี แต่จีนได้พอกลาง ๆ 

    “ข้าเรียน อ่าน เขียน ฟังได้ เขียนได้ทั้งภาษาไทย อังก.. เอ้ย ฝาหรั่ง แลจีนน่ะ”

    “ตอนกลางวันไม่มีแขก ถ้าเจ้าได้ทำงานที่นี่ ช่วยสอนภาษาฝาหรั่งให้ข้าด้วยนะ ข้าอยากเรียนเขียนอักษร !!”

    อืม…ที่ว่าเรียนมาไม่สูญเปล่า ทำงานที่นี้ แม้จะเสียตัวแบบเดจาวู ยังได้สอนภาษาด้วย เพราะตอนสมัยยี่สิบต้น ๆ อยากเป็นครู แต่ติดตรงเป็นแล้วสิทธิเสรีภาพลด เลยมาเป็นนักเขียน

     เอ่อ !! จะได้เขียนพวกนิยายบันเทิงคดี แล้วอาจจะลองขอเจ้าของจวนน้ำชานี้ เล่านิยายให้คนที่่ผ่านไปมาเข้าฟัง เพื่อจะได้ทิปบ้าง นอกจากนอนทับกันแล้วน้ำทิพย์กระเซนแล้วแยกกันไปอย่างเดียว

    “ได้สิ แต่ข้าต้องไปกับนายเมฆ ไปคุยกับเถ้าแก่ไท่เฟิงอะไรนั่นอีกอ่ะ”

    “ไม่ต้องห่วง เถ้าแก่เป็นคนอารี อย่าเป็นกังวลไป พวกเจ้าสองคนก็นั่งคิดค้นสูตรน้ำชากับคนอื่น ๆ ไป เห็นมั้ย คนอื่นมีภาระหน้าที่กันหมด ทั้งจัดโต๊ะ จัดม่าน พับผ้า ประเดี๋ยวข้ากลับมา” 

    ณ นาทีก็ยอม อยู่ที่ไหนก็ต้้องรับผิดชอบตัวเอง ไม่เป็นภาระคนอื่น หางานทำ เอาตัวรอดให้ได้ พ่อสอนเอาไว้ !!

    .

    .

    .

    พูดถึงรีดทุกคนนะ คนบางคนมันไม่มีที่ไป ไม่เหลือใคร เงินก็แทบจะหาไม่ได้ บางคนก็ยอมไปทำงานหนัก เพื่อเอาเงินมาประทังชีวิตตัวเองไปวัน ๆ บางคนต้องไปขายตัว เหมือนจันทรา ย้อนหวนกับมาในยุคปลายกรุงศรีฯ ยุคที่บ้านเมืองกลียุค กษัตริย์อำนาจอ่อนแอ ราชธานีระส่ำระส่าย ปีที่จันทรากำลัง take part และอยู่กับมันจริง ๆ เผชิญกับมัน ปรับตัวไม่ได้โดยเฉพาะการพูด และค่านิยมความเชื่อ ทัศนคติคนในยุคนั้น ยุคที่ทุกคนลำบาก หางานยากมาก ๆ แต่อย่างน้อยบ้านเมืองก็ไม่ได้สิ้นคนดี คนทัศนคติดี ๆ อย่างนายเมฆ นายโลมโรงน้ำชา ที่แม้เขาจะเป็นฝ่ายรับในโรงน้ำชา จันทราเห็นนายโลมก็ไม่ได้รู้สึกกลัวหรืออะไร แค่รู้สึกอึ้งและก็ผ่อนคลายตามกันมา ทุกคนเป็นมิตรช่วยเหลือกัน พูดจาดีใส่กัน แต่ก็ต้องรอดูต่อไปว่า เมื่อถึงยามราตรีกาล จะขนาดไหนกัน จันทราเองก็ไม่เคยทำงานนี้ และจำเป็นต้องทำงาน ประสบการณ์ยังไม่มี

    เรื่องราวจะเกิดอะไรขึ้นในตอนต่อไป

    สุข ทุกข์ พิโรธ หรือ การจากลา ต้องรอติดตามกันครับ

    ป.ล. ขอโทษรีดทุกคนด้วยนะครับที่ไรท์อัพช้า ต้นสายปลายเหตุก็มาจากเรียนออนไลน์ อาจารย์แม่งสั่งการบ้านเยอะเป็นขุนเขา บวกกับช่วงนี้ไรท์ตามข่าวการเมืองเยอะ ล็อกดาวน์ วัคซีน อะไรทำนองนี้ จนบางทีก็ไม่หลุดออกเลย ไหนจะเผลอรู้สึกเครียดกับการศึกษาไทยอีก พอไรท์สมองแล่น หลุดจากการเมือง การเรียนออนไลน์ที่คุณภาพต่ำมาได้ ก็เลยพาตัวเองมาเขียนนิยาย เพื่อให้คุ้มกับการรอคอยครั้งนี้ ข้อมูลผิดพลาด คำผิดที่อ่านแล้ว ไม่สามารถเดาต่อได้ คอมเมนต์หรือทักมาในแฟนเพจได้เลยนะครับ รับฟังทุกคำวิจารณ์มากกว่ารัฐบ…. ไม่พูดดีกว่า นะครับ :)

    ป.ล.2 ฉากท้องเรื่อง รวมถึงการแต่งกายบางอย่างอาจจะไม่ได้จริงแท้ตามประวัติศาสตร์ไปเสียทุกอย่าง เพราะนิยายเรื่องนี้เป็นนิยายวายพีเรียด อิงประวัติศาสตร์-เสียดสีสังคมวัฒนธรรม อาจจะมีการใส่ฉากที่อติพจน์หรือเกินจริงไปบ้าง คำพรรณนาเล่าเรื่องที่ดูยาวเหยียดไปบ้าง เพื่อความอรรถรสและความสนุกของนิยายที่มากขึ้นครับ และเรื่องนี้จะมีบทอัศจรรย์หรือ nc แน่นอน ตอนไหนต้องรอลุ้นระทึกกันต่อไป แต่ไรท์ไม่สามารถแต่งใน dek d ได้ จึงต้องย้ายไปแต่งในอีกที่นึง ประเดี๋ยวไรท์จะบอกอีกทีเมื่อถึงวันนั้นตอนนั้นนะครับ >)

     

    TBC >>>

    ลงเมื่อวันที่ 04 / 07 / 2564 เวลา 03.30 น.

    แก้ไขครั้งที่ 1 : ยังไม่มี

    __________________________________________________________

    ฝากติดแฮชแท็กน้อย ๆ ในทวิตเตอร์ด้วยนะครับ 

    #อีกตัวตน มาพูดคุยมโนสาเร่กัน 

    ไรท์จะเปิดแท็กอ่านตลอดเรื่อย ๆ นะครับ ทุกคำติชม คำวิจารณ์ทุกคำไรท์จะเก็บไว้พินิจพิจารณาทุกคำนะครับ และรบกวนไม่ใช้คำหยาบคาย หรือคำด่าทอที่หยาบคายนะครับ

     

    นามปากกา : SriRunhn (ศรีรันหณ์) 

    Twitter : teerarunhn

    E-mail : teerapatthanakit@gmail.com (ติดต่องาน)

    Facebook Fanpage : SriRunhn 

     

     

    อ่านวันละนิด ลดความเสี่ยงการเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้นะ =)

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×