คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : 第八集 |ศรีเรือน
.
.
.
เพลาโรยร่วงสู่ห้าปีเศษ
แต่งเดือนเมษเขตเรือนทราบทั่วหลาย
วิวาห์นี้แขกนั้นไม่มากมาย
เห็นแต่กายแลใจของสองเรา
เวลาผ่านไปเร็วดั่งนกบินจากไซบีเรียสู่แดนกรุงศรีฯ จากปีท้ายศูนย์สาม แปรผันเป็นปีศูนย์แปด ซึงใกล้เวลาที่จะต้องเสียบ้านเสียเมือง ผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ใหม่ในทำนองนั้น แต่ในด้านของคุณพี่อกใหญ่นิลและศรีเรือนอย่างน้องจันของคุณพี่เขา ที่สนิทสวาทกันมาได้ห้าปีและได้แต่งงานแต่งการกันในที่สุด และเมื่องานแต่งงานนี้จบสิ้นลง พ่อนิลก็มีสิทธิ์ขาดในเรือนทั้งเรือน ส่วนเจ้าจันก็ได้ตำแหน่งเป็นคุณจันทราไปในที่สุด คอยดูแลบาญชีรายรับรายจ่ายในงานค้ากระดาษของสามีน้อง
“คุณพี่มื้อเพลนี้จะรับทานอะไรฤาขอรับ ?”
“วันนี้พี่อยากทานผัดกะ….เพราหมูสับ พี่พูดถูกมั้ย ?” อกใหญ่ยกนิ้วชี้พลางครุ่นคิดชื่ออาหารที่ครั้งยังไม่ได้แต่งงานที่เจ้าจันเคยเข้าไปที่ก้นครัวไฟทำให้ทาน คนเป็นน้องหลุดขำจากการที่ยังพูดชื่ออาหารในยุคของน้องแบบติด ๆ ขัด ๆ
“ฮ่า ๆ ถูกครับ สนใจไข่ดาวด้วยมั้ยขอรับ ?”
“ไอ้ไข่ที่เอาไปทอดในน้ำมันละก็จะมีสีแดงตรงกลางฤา ?”
“ใช่ขอรับ…” คุณพี่ไม่พูดสิ่งใดแต่ใช้การพยักหน้าเป็นเชิงตอบคำถามจากน้อง เสร็จจากการถามอาหารช่วงเพลาเพล คุณจันทราได้เดินลงไปที่ก้นครัวไฟทันที
“ป้าจ้ะ วันนี้ข้าขอไข่ไก่หนึ่งฟอง หมูสับหนึ่งถ้วย น้ำปลา น้ำตาลอ้อย ไว้ให้ข้าด้วยนะ ส่วนข้าจะเข้าไปเก็บใบกะเพราในสวนหลังก้นครัวไฟจ้ะ”
“ได้เจ้าค่ะคุณจัน” ป้าที่เป็นทาสในเรือนคนนั้นยิ้มรับ ตั้งแต่เจ้าคุณจันทราได้แต่งงาน คนในเรือนโดยเฉพาะทาสต่างก็มีความสุข มีรอยยิ้มเบิกบานกันมากขึ้น ผิดกับช่วงแรก ๆ ที่พวกทาสในเรือนยังคงหวาดกลัวเจ้าจันคนเก่า คราแรกที่คุณจันเธอเข้ามาที่ก้นครัวไฟ ต่างคนต่างตื่นตระหนกเพราะถ้าหากคุณจันเธอเป็นอะไรไป สามีอกใหญ่ของเธอจะลงโทษลงทัณฑ์เอาได้ เพราะตั้งแต่ได้รับหน้าที่ให้ดูแลเรือนทั้งหมดเต็มตัวแทนเจ้าคุณพ่อแลคุณหญิงแม่ แม้ว่าความใจดี มีน้ำใจ ไม่ถือจะยังคงมีเป็นทุนเดิม แต่เพิ่มเติมคือการมีน้ำโหและดุมากขึ้นกว่าตอนเป็นลูกชายที่ดูแลเฉพาะงานของตัวเอง
เมื่อน้ำมันที่ลอยตัวอยู่บนกระทะทองเหลืองร้อนได้ที่ ลำดับต่อไปคือการใส่พริกและกระเทียมที่ถูกตำอย่างละเอียดสีแดงสะท้าน ผัดจนขึ้นสีเหลืองได้ทีแล้วจึงนำหมูบทลงไปใส่ผัดจนหมูสุกพอตัว จากนั้นคุณจันเธอจึงเริ่มใส่น้ำปลาแลน้ำตาลตามลงไปเพื่อเติมรสชาติ ทาสที่อยู่ในก้นครัวไฟจนถึงทาสที่เดินผ่านก้นครัวไฟตอนนั้นต่างจามน้ำหูน้ำตาไหลเป็นยองใยเพราะพริกกับกระเทียมจำนวนมาก เนื่องจากคุณพี่อกใหญ่เขาทานอาหารรสจัด
“ป้าอยากบอกคุณจันว่า ป้าไม่ชินกับสำรับอาหารที่คุณจันทำเลย ฮ๊าดดด เช่ะ !!” คุณจันยิ้มอมหัวเราะแต่ก็มีหลุดจามเป็นพัก ๆ
.
.
.
“มาแล้วขอรับ รอนานมั้ย ?” คุณจันถือจานเบญจรงค์กว้างที่สามารถใส่ผัดกะเพราแบบปัจจุบันมาได้ ในจานมีแตงกวาเพื่อตัดเลี่ยนความมันจากไข่ดาวและตัวหมูกะเพรา
“ผัดกะเพราหารอนานไม่ น้องหายไป หัวใจพี่มันสั่นระทวยมาก”
“ปากหวานไม่เลิก โถ่…” คุณจันเธอแก้เขินโดยการหยิบแตงกวาหนึ่งชิ้นยัดใส่ปากให้หยุดปล่อยน้ำตาลออกมา เพราะประเดี๋ยวมดอาจจะขึ้นเรือนจนเกินเยียวยาได้
“อร่อยมั้ย ฝีมือตกบอกกันได้นะขอรับคุณพี่”
“ไม่ตก ยังอร่อยเยี่ยงไรก็เยี่ยงนั้น…” เจ้าจันทนอาการเกินไม่ไหวจึงสบเข้าตรงไหล่ใหญ่ที่ไร้เสื้อท่อนบนคลุม ซึ่งตัวคุณจันและคุณพี่นิลอกใหญ่ยังคงเสมอต้นเสมอปลาย ไร้เสื้อปิดท่อนบน มีเพียงแค่โจงกระเบนสีดำนุ่งท่อนล่างเท่านั้น
“วันนี้พี่มีไปส่งกระดาษที่เขตพระราชฐาน หากเจ้าจักไปตลาดก็ไปด้วยกันเสียเลย”
“วันนี้น้องจะไปหาเดินดูฟักเหลืองที่ตลาด น้องว่าจะทำแกงเลียงเย็นนี้ ถ้าเช่นนั้นไปด้วยนะขอรับ”
“เตรียมตัวเสียเถิด ประเดี๋ยวพี่รอที่ท่าน้ำนะ”
“ขอรับ”
หากกล่าวถึงการไปไหนมาไหนของทั้งคู่ แม้เรือนออกญามหาสุริยงจะจัดงานแต่งงานที่เรือน โดยจัดเพียงแค่ให้พระมานิมนต์และทั้งคู่ที่เป็นคู่แต่งงานนั่งอยู่ในห้อง เพราะท่านเจ้าคุณพ่อและคุณหญิงแม่รู้ดีว่าหากพาแขกนอกมา คนจะเอาไปครนินทา ว่าร้าย เหยียดหยามทั้งลูกชายและเจ้าจันที่เป็นดวงใจของลูกชายเธอ เลยจัดให้คนในเรือนได้รับทราบเท่านั้น แต่แม้นี่ไม่ใช่ในวังหลวงก็ตามที่ข่าวมักจะแพร่กระจายไปเร็วยิ่งกว่าโรคห่า ระแวกแถวนั้นบ้านเรือนก็มากโข แม้จะจัดงานแต่งให้รู้แค่ในเรือนของแต่เอง แต่ความลับก็หาอยู่คงทนถาวรไม่ เพราะหน้าต่างมีหูและตา หน้าบ้านก็มีหูและตาเช่นกัน
ไม่ว่าจะพ่อนิลหรือคุณจันในช่วงหลังแต่งงานมาไม่นาน หากไปทำธุระปะปังที่ต้องเจอคนพลุกพล่านก็ไม่ว่ายที่จะเป็นที่สังเกตหรือพูดปรารถกันระยะเผาขนเนื้อหนังกำพร้า ซึ่งเจ้าตัวทั้งสองก็หาได้สนใจกระไรไม่ แต่ถ้าหากวันนึงขั้นลามปามไม่ยอมหยุด ถึงขั้นโดนเนื้อโดนตัวให้ระคายเคือง ก็อย่าหาว่าใจดำก็แล้วกัน
“มาเจอกันที่หน้าทางเข้าตรงนี้นะ”
“ขอรับคุณพี่”
เมื่อแยกจากกันไปทำธุระปะปังของตัวเอง ช่วงที่แยกจากกัน บางคนที่ได้ข่าวได้คราวการสมรสของคุณพี่นินและคุณจันมาก็เหลือบมองทางหางตาทั้งหญิงชาย บางพวกมาเป็นกลุ่มก้อนเดินจับกลุ่มกันพูดคุยถึงเขา ไดัยินรำไรบ้าง บ้างก็ไม่ได้ยินแต่คุณจันก็รู้ตัวเองอยู่ตลอดว่ารอบตัวเกิดอะไรขึ้นไปแล้วบ้าง ด้วยความที่เป็นผู้ชายแต่งงานกับผู้ชายด้วยกัน และไม่เคยมีก่อนในประวัติการบวกกับความคิดความอ่านของสังคมในยุคนั้นยิ่งทวีความรุนแรงทางวัจนภาษาไปใหญ่
“ผัวไปไหนเหรอจ้ะพ่อคุณ ฮ่า ๆ” ผู้ชายอกสามศอกท่าทีเป็นลูกขุนน้ำขุนนางผู้หนึ่งเดินมาแตะไหล่ของคุณจันและพูดเชิงแซะกับพวกเกลอจำนวนไม่กี่คน แต่เจ้าจันก็ยังคงเลือกฟักเหลืองต่อไป โดยไม่สนใจว่าแม่ค้าจะมองด้วยสายตาอันใดหรือจะเกิดอันใดขึ้นตามมา
“…”
“เอ…ทำไมหยิ่งไม่โต้ไม่ตอบกับพวกข้าเล่า เอ่อ..ว่าแต่พ่อคุณซื้อฟักเหลืองไปทำอันใดกัน เป็นแม่ศรีเรือนดอกฤา ชักอยากจะลิ้มลองเข้าเสียแล้วสิ…”
“…”
“เฮ้ย ! จะเอาอย่างใดกะกูวะ กูคุยด้วยไม่คิดจะตอบกูไงหะ เมียลูกชายออกญาศรีสุริยงกะคุณหญิงน้ำ” ชายฝีปากดีผู้นั้นเน้นตรงประโยคไม่กี่พยางค์ก่อนจบ ไม่เพียงเน้น แต่ยังตะโกนให้คนโดยรอบได้ยิน ซึ่งคนที่ยังไม่ทราบเรื่องลูกชายของขุนน้ำขุนนางในวังมีเมียเป็นชาย พอได้ยินก็หันไปถามกันบ้าง มองค้างบ้าง บ้างก็ไม่ได้สนใจเรื่องของชาวบ้านก็มี
“กูเป็นเมียพี่นิล แลพี่นิลเป็นผัวกู แล้วไม่ทราบว่าเรื่องของกูสองผัวเมียไปถมแม่น้ำหน้าบ้านพ่อกับแม่มึงเหรอวะ ทำไมพ่อแม่ไม่รักเหรอ หรือว่าว่างมากจนวัน ๆ ไม่คิดจะทำห่าไรนอกจากฝีปากที่ยิ่งพวกหมาหมูแบบนี้อ่ะ !!”
ควับ !!!
“เฮอะ ! อย่าท้าตีต่อยกันเลยหนุ่ม ข้ายังไม่ได้ไปเริ่มกับใครก่อนดอกหนา….”
“มึง !!!”
ผลั๊ว !!
คุณจันรีบขว้าเข้าที่แขนขว้าที่ง้างเตรียมจะฝากฝังรอยหมัดไหว้ที่หน้าของเขาและยังสวนหมัดกับไปยังชายตรงนั้น โดยด้วยความที่ถึงแม้เขาจะเป็นเมียของคุณพี่นิล แต่ช่วงระหว่างหลายปีมานั้น คุณพี่นิลได้พาไปเรียนต่อยมวย เพราะคุณจันเธออยากออกกำลังกาย เพราะที่นี่จะรักษาสภาพหุ่นได้ ก็ต้องทำอะไรที่ต้องเสียเหงื่อ โดยเฉพาะการเรียนต่อยมวยหรือไม่ก็ยกของหนัก ๆ
หลังจากมะรุมมะตุ้มกันอยู่พักใหญ่ ระหว่างนั้นสหายเกลอเก่า พ่อเมฆ เทียนหนานและหลินหยาง ที่ได้รู้จักกันที่จวนโรงน้ำชาในเขตแถวจีนใกล้พระราชวังได้มองมาอยู่นานแล้วตั้งแต่คนพวกนั้นเริ่มพูดจาแทะโลมแซะเสี้ยมเข้าที่คุณจัน รู้เรื่องราวการแต่งงานของทั้งคู่แล้ว แต่ยังไม่ออกมา เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ดีขึ้น ก็ไม่รู้ว่าจะทำเยี่ยงไร ทันใดนั้นที่คุณพ่อนิลที่เดินออกมาจากหน้ากำแพงวังจากตัวพระราชฐานฝ่ายหน้าไกล ๆ จึงวิ่งไปเรียกทันทีไม่รอช้า
“เอ่อพ่อนิล ไปดูเอ่อ…เมียท่านเสียเถิด” ไม่รอช้าอกใหญ่หนารีบวิ่งเข้าไปตรงเขตมะรุมมะตุ้มตรงนั้นทันที พร้อมกับจับน้องอกเล็กกว่าหน่อยหลบไปข้างหลังของเขา
“มึงทำกระไรเมียกู หะ !!!!” เสียงพูดจากคนกลุ่มนั้นเริ่มพูดกันเหมือนแมลงวันมาตอมหลายพันตัวจนอกใหญ่ทนไม่ไหวตะโกนด่าออกไป “หุบปากกันประเดี๋ยวนี้นะ หุบ !!!” เสียงก็อันตรธานเงียบทันทีจนได้ยินแค่เสียงจากลำธารน้ำที่ไหวสั่นไกล ๆ จากตัวตลาด
“แค่นี้ถึงกับเรียกผัวมาเลยฤาวะ ฮ่า ๆ”
“!!!”
“พวกเอ็งทุกคนนี่แหละโว้ยสองสวาทชายที่ได้เสียเป็นผัวเมียกันแล้วหน--- อั๊ก….”
“ทีแรกกูไม่ได้คิดชอบชายดอก แต่กูคิดแล้วกันว่า ไม่มีใครรักกูเท่ากับชายคนนี้ผู้เป็นศรีเรือนของกูดอกวะ อีกอย่างมึงเคยมีความรักแล้วฤายัง มึงถึงบอกได้ว่า ชายรักกับชายไม่ได้รักกันเพราะความรัก หะ !!! กูไม่รู้ดอกนะ ว่ากูไปรักน้องจันของกูตอนใด เวลาใด แต่ตอนนี้กูรักของกูวะ รักกันหาใช่แค่หญิงไม่ !!” พูดจบเจ้าจันก็ถูกกอดรักและเปลี่ยนให้หันตัวมามองหน้ากันก่อนจะบดจูบเบียดเข้าที่ปากเบา ๆ และฝังรอยสีชมพูเข้ม ๆ ไว้ที่คอเพื่อบอกให้รู้ว่ามีเจ้าของแล้ว คนรอบข้างที่พิศมองมาบ้างก็ตกอกตกใจเป็นส่วนใหญ่ บ้างก็นิ่งค้างไป แต่….
“อีนิ่มมึงว่าที่พ่อคนนั้นพูดน่ะ กูว่านะ รักกันทั้งทีทำไมต้องเอาความเป็นหญิงชายมาข้องเกี่ยวกัน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ถ้ารู้สึกรักกับใครสักคน นั่นก็คือความรักเว้ย แต่ถ้าไม่รู้สึก พูดให้ตายไปสามบ้านแปดบ้านก็ไม่รู้สึกดอกวะ กูแลเบื่อพวกผู้ใหญ่หัวหงอกในกรุงศรีฯเสียจริง ชอบบังคับให้ลูกไปคลุมถุงชนกับคนที่ไม่ได้รัก ชอบจับให้แต่งงานกัน เพื่ออะไรกันวะ ตลกเนอะ”
“กูคิดเหมือนมึงเลยอีแรม ! แม่งเป็นบ้าผีเข้ากระไรกันไปเสียหมด ว่าแต่พ่อสองคนน่ะ ข้าแอบลุ้นมาตลอดนะ เห็นพ่อสองคนแจวเรือไปไหนมาไหนกันตลอด สุดท้ายพ่อสองคนก็…..เป็นคู่ตุนาหงันกันตามที่พวกข้าสองคนฝันมาตลอด ตายตาหลับแล้วว่ะมึง…” คู่หูนิ่มแรมสองคนพูดโดยเพิ่มความดังของเสียงขึ้นกว่าปกติ หญิงผู้ดีบางคนที่ต้องถูกพ่อแม่ตัวเองจับให้แต่งงานกับตัวไม่ได้รัก บังคับนู้นนี้พยักหน้าเห็นด้วยกับอะไรที่มันโบราณแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ โดยไม่ได้มีแค่ผู้หญิงเท่านั้น ลูกผู้ดีที่เป็นผู้ชายเดินอยู่ในตลาดกับบ่าวผู้ชายข้าง ๆ บางคนทนไม่ไหวถึงกับต้องบ่นความคับข้องใจออกมากลางตลาดที่มีคนมากมาย
“ข้าขอพูดหน่อยเถิด ทนมานานแล้วเหมือนกัน ข้าเองก็ใจเสาะ ขี้ขลาดตาขาว ข้าแอบชอบอยู่กับทาสผู้ชายในเรือน แต่กรุงศรีฯ ก็มีธรรมเนียมประหลาด จับข้าไปแต่งงานกับผู้หญิง ซึ่งข้าไม่ได้รักได้เสน่หา พ่อเป็นขุนนาง พอวันนึงข้าเติบโตก็ต้องเป็นขุนนางตามพ่อตามแม่ เพื่อรักษาเกียรติของตระกูลข้า ทั้งที่ข้าอยากออกไปทำงานที่ข้าอยากทำมากกว่า ทำไมข้าถึงไม่ขัดขืนหรือต่อต้านเจ้าคุณพ่อกับคุณหญิงแม่ข้า ข้าขี้ขลาดเสียจริง…”
“เห็นแล้วฤาไม่พวกท่านทุกคน ว่าเด็กเยาว์วัยพวกนี้เขาคับข้องใจแค่มากกันแค่ไหน ถ้าวันนี้ไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น เขาคงเก็บความคับข้องใจเอาไว้ไปจนกรุง…จนตายเลยกระมัง มึงก็เหมือนกัน ไอ้ที่มาปากดีหาเรื่องกูเนี่ย ทีนี้มึงรู้ฤาไม่ ว่ารักกัน หาต้องใช่แค่ชายกับหญิงเท่านั้นไม่ อีกอย่างพวกมึงมองพวกกูแค่ว่าเป็นพวกผิดแปลก ไม่ตรงตามจารีตธรรมเนียมบ้าบอที่แม่งสร้างขึ้นมา แล้วมึงรู้จักกูดีพอแล้วฤายัง พวกมึงเป็นกูมั้ย พวกมึงรู้สึกเหมือนกูมั้ย พวกมึงได้เข้ามาสิงร่างกูมั้ย ก็หาไม่…. หากมึงจะไม่เข้าใจ จะหาเรื่องกูอีกก็ได้นะ” คุณจันพูดเสียงดังออกมาจนชายที่มาหาเรื่องที่บัดนี้เนื้อตัวเละมอมแมมฟุ้งปนไปด้วยกลิ่นคาวเลือดอ่อน ๆ จาง ๆ นิ่งงันไป
“เพราะฉนั้นข้าจึงอยากบอกทุกคนที่อยู่ ณ ที่ตรงนี้ว่า ทุกคนอย่าตัดสินใครหากทุกคุณไม่ได้รู้จักเขาดีพอ คนที่เคยโดนฎีกาบ้านเมือง ตัวตนใหม่อาจจะเป็นคนใหม่ที่เดิมก็เป็นได้ คนที่ขายตัวเป็นหนุ่มหรือหญิงงามเมือง อีกตัวตนก็หาว่าจะเป็นคนไม่ดี บ้ากามเสมอไป โดยเฉพาะหนุ่มสาวทุกคนนะ ข้าขอบอกทุกคนว่า ข้าไม่ได้หวังดีบอกแค่พวกท่านเท่านั้น แต่อย่าลืมนำไปสอนลูกสอนหลานในอนาคต หากพวกท่านเกิดมีลูกชายหรือลูกสาวก็ตาม”
“แค่มองกันให้มากขึ้น ตัดสินกันน้อยลง ไม่เอาเรื่องในอดีตมาตัดสินคนใหม่ในปัจจุบัน สังคมคนอย่างพวกเรามันจะหน้าอยู่ขึ้นเยอะมากกว่านี้เสียอีก…”
“ข้าขอบคุณเจ้ามากนะ พูดแทนใจข้าไปหมดแล้ว….ฮึก ถ้าสังคมมีคนอย่างเจ้ามากกว่านี้ มันจะหน้าอยู่ขึ้นมากกว่านี้เสีย” หญิงผู้นึงยกมือขึ้นปาดน้ำตาหลังพูดจบ คุณจันมองไปที่ทุกคนบางคนก็คิดได้ บางคนพยักหน้าเห็นด้วยหลายคน โดยเฉพาะพวกหนุ่มสาว คนสูงอายุบ้างก็พยักหน้าเข้าใจ บ้างก็ส่ายหน้าเพราะยังยึดติดกับอะไรเดิม ๆ ไปบ้าง ซึ่งเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเราทุกคนนั้นต่างคนต่างคิด เพราะต่างเหตุผล ต่างประสบการณ์
“พวกข้าขอบใจเจ้ามากนะ ข้าไม่รู้ดอกนะพวกเขาจะเข้าใจพวกข้าที่เป็นหนุ่มงามเมืองมากหรือน้อยต่อจากนี้ ขอบคุณพ่อมากนะ ที่พูดแทนข้าทั้งหมด หากคืนไหนคืนใดว่าง แวะมาทานน้ำชาที่นี่กันได้นะ ข้าคิดถึงเจ้า” พ่อเมฆหรือเหม่ยหยินกล่าวออกมาพร้อมกอดเข้าที่คุณจัน ก่อนสองเกลอเทียนหนานหลินยางจะกล่าวต่อ
“อย่าลืมมาสอนภาษาฝรั่งให้กับพวกข้านะ”
“เดี๋ยวถ้ามีโอกาส ประเดี๋ยวข้าจะไปสอนให้หนา” สองคนนั้นยิ้มตอบ ส่วนสามีอย่างพ่อนิลอกใหญ่หนามองศรีเรือนของตัวเองแล้วยิ้มยินดีและโสมนัสกับเมียตัวเองเป็นอย่างมาก
“ถ้าเช่นนั้น พวกข้าไปก่อนหนา เดี๋ยวเถ้าแก่บ่นข้ากันอีก นี่ก็วุ่นวายมากพอละ ข้าไปละนะ โชคดีหนา ลาก่อน”
“โชคดีเช่นกันหนา” พ่อจันยกมือโบกลาก่อนจะหันไปซื้อฟักเหลืองต่อ ซึ่งแม่ค้าคนนั้นก็รีบค้ารีบค้าทันที เพราะทันทีที่เห็นความคิดความอ่านของคุณจัน ซึ่งตัวการฝีปากดีก็อันตรธานวิ่งหายไปโดยหาทราบตอนไหนเวลาใดไม่
“พ่อปันหยีกับพ่อวิหยาสะกำ ข้าไปแล้วนะ มีโอกาสผ่านเรือมาให้พวกข้าได้เห็นเป็นขวัญตาอีกนะ ฮิก ฮ่า ๆ” สองคนนิลจันที่โดนเปรียบเทียบจากละครอิเหนาที่บุษบาโดนเทไปแล้วหัวเราะออกมาพร้อมส่ายหน้า และได้หันไปซื้อฟักเหลืองหรือฟักทองต่อ โดยมีพ่อนิลที่จ่ายเบี้ยอัฐครั้งนี้ให้เสียเลย
หลังจากที่ซื้อฟักทองเสร็จ อกใหญ่ก็พาน้องอกเล็กกว่าน้อยนึงกลับเรือนทันที ในตอนนี้น้องอกเล็กน้อยนึงของพี่อกใหญ่นอนอยู่บนตักแกร่ง โดยคนที่อยู่ล่างมองเห็นแค่ขอบโจงกระเบนและกายหนากับมือที่ถือไม้แจวเรือที่กำลังแจวเรือกลับเรือน โดยคนพี่ข้างบนก็มองลงมาที่น้องข้างล่างตลอด ไม่ห่างตัวไปไหน
“มองอะไรเล่า เขินนะเว้ยพี่”
“ห้าปีจนแต่งงานแล้วหนา เล่นสวาทกันมาหลายครั้งครายังไม่ชินอีกฤา ?” คนถูกถามหน้าแดงขึ้นสีทันที ก่อนจะมุดหน้าเพราะความเหนียมอาย
“อย่าพูดแบบนั้นนะ !”
“หึ เออว่าแต่กลอนบทละครของเจ้าแต่งไปได้กี่แผ่นกันแล้วล่ะ ห้าปีแล้วพี่ยังไม่ได้อ่านมันเสียเลยหนา”
“นิยายคุณพี่ ไม่เคยจำเลย”
“จ้า ๆ นิยายก็นิยายโอเค ฮ่า ๆ”
“จริง ๆ พึ่งมาแต่งนิยายนั่นได้ปีนี้เองคุณพี่”
“อ้าว หลอกพี่เสียอย่างนั้น ประเดี๋ยวจะได้เจอดีเสียเถิด ปล่อยให้รอเสียนาน”
“ทำตรงนี้เลยสิ ทำเลย ทำเลยยยยยา—มั๊ว ! คุณพี่ขอรับ !!!” คนที่ถูกท้าก้มล่งโค้งเหมือนท่าดัดหลังลงมาบดเบียดตรงปากก่อนจะชะโงกหน้ากลับไปพายเรือด้วยสีหน้าปกติ โดยไม่สนผู้คนที่สัญจรผ่านไปมา
“ทำแล้วนะ”
“ร้ายไม่เบานะเนี่ย ทำทีเผลอตลอด”
“ร้ายแล้วรักพี่ฤาไม่ล่ะ ?”
“หากพี่รักน้องขนาดนี้ แล้วน้องจะไปไหนเสียล่ะขอรับ…”
“พี่เองก็ไม่รู้จะไปไหนเสียเหมือนกัน…”
“วันนี้เจ้าทำให้พี่ประทับใจมากเสียจริง คืนนี้เดี๋ยวมีรางวัลให้นะ…”
“ยิ้มเจ้าเล่ห์มาแบบนี้รู้เลย.. เอาเถิด ขอให้ปวดเอวเสียจริง ๆ เถอะจะได้หยุดเจ้าเล่ห์เสียที…”
“ได้เลย…”
คุณจันกลัวสีหน้าที่เปลี่ยนไปของอีกคนที่แจวเรือในระหว่างทางกลับเรือน ไม่เคยชินกับอารมณ์คมคายของผัวตัวเองจริง ๆ อยู่ดูใจกันมาห้าปีจนแต่งงานแต่งการ ได้เป็นแม่เหย้าแม่เรือนปกครองเรือน ก็ยังหยอกล้อกระเซ้าแหย่กันเป็นปกติไม่เคยเปลี่ยนเหมือนตอนยังอายุเลขสองตอนปลาย จนป่านนี้เลขสามทั้งคู่ ทั้งสองปวดหลังกันเก่งขึ้น ผลัดกันนวดให้กัน ผิวที่เคยนุ่มนวลก็เริ่มมีรอยสากย่นที่ผิวแต่ไม่มาก ดีที่กล้ามเนื้อทั้งร่องสิบเอ็ดไม่สลายอันตรธานหายไปเสียก่อน
เสมอต้นเสมอปลายเสียจริงคุณนิลคุณจันทรา…
ความคิดเห็น