คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 第三集 | น้องอกเล็กของพี่นิล
.
.
.
.
ทุกคนนั้นเปลี่ยนได้ จันทรา เช่นกัน
นุ่งห่มถึงโคนขา บ่อู้
ถึงอยากบ่นออกมา แต่อาจ มีลือ
กระนั้นต้องทนไว้ เพื่อได้ อยู่นาน
โคลงสี่สุภาพ
ถอดความว่า จันทราเนี่ยจากที่เคยเป็นบุรุษในยุคปัจจุบัน เสื้อผ้าตัวโปรดที่จันทราชอบคือ ชอบนุ่งยีนส์ ห่มเสื้อแขนกุด เป็นเซ็ตเสื้อตัวโปรด ไม่ว่าจะไปข้างนอก ทำธุระ เที่ยว ก็จะใส่เสื้อผ้าเซ็ตนี้ จันทราเป็นคนใช้เสื้อผ้าซ้ำ ๆ ถึงหน้าจะเข้ม ๆ แต่จิตใจนั้นรักสิ่งแวดล้อม ๆ มาก ถ้าจันทรายอมรับถุงพลาสติกนั่นหมายความว่า ลืมเอาถุงผ้าไปติดตัวหรือถุงผ้าเต็มนั่นเอง
จันทราเคยดูซีรีส์ หนัง หรือนิยายที่เป็นพิเรียด พวกทาสไพร่จะนุ่งโจงกระเบนที่ขาสั้นมาก ๆ ผู้ชายแน่นอนว่าเปลื่อยท่อนบนเห็นเป็นปกติในยุคนั้น โดยยิ่งโจงกระเบนยาวมากเท่าไหร่ จะเป็นการบอกชนชั้นว่ายิ่งสูง มีอำนาจ และมีทรัพย์สินเงินทองล้นกำปั่น แต่ถ้าเป็นทาสนุ่งโจงจะสั้นมาก ๆ ถ้านุ่งไม่ดีน้องปลาชะโดอาจจะโผล่มาให้ลือกันไปทั้งบางก็เป็นไปได้
.
.
.
โรงกระดาษ ข้างเรือนคุณพี่นิล
“งานของเอ็ง เพลานี้คนในโรงทำกระดาษเต็มแล้ว แลคนที่ไปรับกระดาษจากทางหัวเมืองเข้ามาในพระนครก็เยอะมากเช่นกัน ฉนั้น งานของเอ็ง….ก็คือให้เจ้าเป็นสารถีส่งกระดาษไปในเขตวังหลวง เพราะในวังจะใช้กระดาษมากมายมากกว่า บ้านเรือนละแวกนี้ แม้จะเป็นพระนครก็ตาม” จันทราฟังคำอธิบายของคุณพี่นิลอย่างตั้งใจเฉกเช่นในสมัยเรียนที่เขาตั้งใจฟังครูเสมอ แม้จะเป็นครูที่เขาไม่ชอบขี้หน้าก็ตาม แต่ก็รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร ไม่เอาอารมณ์นอกเหนือมาข้องเกี่ยว
ข้างคุณพี่นิลนั้นมีน้องไม้ยืนอยู่ข้าง ๆ คอยสอนงานคุณพี่จันทราไม่ห่าง คอยชี้อธิบายสถานที่ทำงานในโรงกระดาษ บ้างก็พาไปชมโรงเก็บไม้ที่รอไว้ทำกระดาษในยุคสมัยนั้น บ้างก็พามาดูกองกระดาษที่เรียงวางเป็นปึก รอไปส่งตามหัวเมือง เมืองหน้าด่าน รวมทั้งในเขตพระราชฐานวังหลวง
“วันนี้ในวังหลวงพวกขุนนางชั้นผู้ใหญ่สั่งกระดาษจากโรงกระดาษของข้า ประเดี๋ยวข้าจักแจวเรือตามเอ็งไป เพราะเอ็งไม่ใช่คนที่นี่มาตั้งแต่เกิด รู้เส้นทางเส้นที่เอาไว้ คราวหน้ามีกระดาษถูกสั่งมา เจ้าจักได้ไปถูก”
เอาไงดี พายเรือไม่เป็นด้วยกู กูอาศัยรถรับส่งแถวบ้านเอง เพราะไม่อยากขับรถขี่รา ไม่อยากปล่อยแก๊ส
บอกไปตรง ๆ ละกันว่าพายเรือไม่เป็น
“ผม….กระผมพายเรือไม่เป็นขอรับพ่อนาย”
พูดผิด ๆ ถูก ๆ ดีไม่สงสัยใคร่หนูเหมือนในละคร รอดตัวไป…
“ไม่เคยพายเรือกระนั้นฤา ?” คุณพี่นิลถามกลับอย่างมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่สงสัยกระไรออกไป
“ข..ขอรับ พายเรือไม่เป็น ขี้ม้าก็ไม่เป็น เดินเป็นอย่างเดียวขอรับ” พอน้องจันทราของคุณพี่นิลพูดออกมาหมดเปลือก คุณพี่นิลก็หายใจในลำคอออกมาเบา ๆ
“ถ้าเช่นนั้น ครานี้ข้าจะอาสาพายเรือพาเอ็งไปเข้าวังหลวงเอง” สิ้นเสียงประโยคเอ่ยออกมา ทาสไพร่ทั้งบุรุษแลหนุ่มสาวหันมามองเป็นตาเดียวกัน ก่อนจะโดนสายตาโลกันต์ของคุณพี่นิลที่คมคร้ามเฉือนกับไปให้ทาสที่เหลือกับไปทำงานต่อ
“รบกวนพ่อนายหรือเปล่าข---"
“รบกวนด้วยเหตุอันใด เอ็งพึ่งเข้ามาทำการทำงานคราแรก จะพายเรือไม่เป็น ไม่ชินทาง เป็นเรื่องปกติ ทำไมจะต้องเกรงใจข้ากันด้วย อีกอย่าง ข้าไม่เคยทวงบุญคุณใคร เวลาพวกทาสหนุ่มสาวแลรวมถึงพ่อเฒ่าแม่เฒ่ามาขอความช่วยเหลือจากข้า ข้าก็ช่วยเหลือไม่เคยคิดเอาบุญคุณใครหรอกนะ เพราะอย่างนั้น…อย่าถือเป็นบุญคุณ ข้าไม่ชอบ”
“เอ่อ…ขอรับ”
.
.
.
.
ท่าน้ำหน้าเรือน
จันทราขนกระดาษหลาย ๆ กองใส่กำปั่น เตรียมส่งเข้าไปในวัง จันทรารู้สึกแปลก ๆ เวลาเดิน กลัวว่าไอ้นั่นจะหลุดออกมา พ่อไม้คนสนิทของคุณพี่นิลก็สอนวิธีการใส่โจงกระเบนแบบสั้น ๆ ไปแล้ว แต่มันก็รู้สึกโหวง ๆ คล้ายกับเดินแก่ผ้าอยู่ดี
ไอ้นั่นหลุดออกมา อายไปทั้งพระนคร ลือไปสามเรือนแปดตำหนักแน่
คิดมากอยู่ได้ เราถูกกลายเป็นทาสโดนบังเอิญ มีที่อยู่ มีงานทำก็ดีแล้ว ดีกว่านั่ง ๆ นอน ๆ ไม่ทำอะไรเลย
เห้ย !! แต่พ่อนาย ลูกพระยานาหมื่น แต่ก็แต่งตัวไม่สนว่าตัวเองจะรวยจน เจ้านายที่ไม่ถือตัวแบบนี้ ชอบว่ะ ความคิดก็ดี…. เดี๋ยว ๆ ทำงานก่อนมั้ย
นอกจากทาสในเรือนเบี้ย พ่อไม้คนสนิทของคุณพี่นิล จันทราแล้ว ก็ยังมีคุณพี่นิลที่ไม่ถือเนื้อถือตัว ตอนที่ไปรายงานตัวเป็นทาสวันแรกที่เรือนออญามหาสุริยงกับคุณหญิงน้ำ แต่งตัวมีเสื้อมีผ้า โจงกระเบนยาวถึงเข่า แต่ตอนนี้กับกลายเป็นว่า แต่งตัวคล้ายกับว่าเป็นทาสเฉกเช่นพ่อไม้ จันทราและทาสคนอื่น ๆ ในนคร
คุณพี่นิลค่อย ๆ หย่อนตัวลงไปในเรือ โดยมีพ่อไม้ประคองคุณพี่นิลและเรือเอาไว้ให้ไม่โคลงเคลง เมื่อคุณพี่นิลสามารถประคองตัวเองให้ลงได้นั้นที่ท้ายเรือ ฝ่ายด้านจันทราก็อ้ำ ๆ อึง ๆ ไม่ยอมลง เพราะไม่เคยลงเรือ กลัวจะตกน้ำตกท่าให้คนทั้งเรือนวุ่นวายกับเขา แต่ไม่นานนัก มือแกร่งใหญ่ค่อย ๆ ยืนมาที่จันทรา จันทรายืนมองอยู่ซักพัก จึงตัดสินใจจับมือแกร่งเอาไว้ และค่อย ๆ ลงอย่างช้า ๆ จนนั่งสนิทก้นสบายตัว โดยพ่อไม้เป็นคนค่อย ๆ ยื่นกำปั่นที่บรรจุกกระดาษลงมาอย่างประคับประคอง เมื่อทุกอย่างพร้อม คนพร้อม ของที่ไปส่งพร้อม เรือพร้อม สารถีคุณพี่นิลก็ได้พายเรือออกทันทีไม่มีรอให้เวลาสูญ
.
.
เพลานี้เป็นเพลาเกือบเพล แดดสมัยก่อนร้อน แต่สู้ร้อนสมัยที่จันทราจากมาไม่ได้ เดชะบุญที่พระพายสายลมพัดมาชนกายแกร่งอกเล็กและอกใหญ่พร้อมกัน จึงบรรเทาเป่าความร้อนที่ติดกายออกไปได้บ้าง คนเป็นพี่สังเกตคนน้องที่กำลังมองบรรยากาศรอบตัวที่ไม่คุ้นชิน จันทราจำได้ว่าเขาเคยนั่งเรือสมัยคราวยังเล็ก ๆ จำความได้ลาง ๆ น่าจะตอนที่พ่อและแม่ของเขาพาไปตลาดน้ำตอนขวบที่มีแค่เลขหลักหน่วย ผ่านมายี่สิบปีพึ่งจะได้เสียก็คราวนี้
คราวนี้ที่มีคนพายเรือให้เขาอยู่ทางด้านหลัง
คนเป็นพี่ทอดสายตามองไปยังแผ่นหลังของคนเป็นน้อง พินิจพิจารณาดูมัดกล้ามเนื้อ ทั้งแขน หลัง หน่วยก้านนั้นดีมาก ทอดสายตาไปก็ยิ้มไป จนคุณพี่มีสีหน้าสีตาสงสัยว่า ร่างกายกำยังล่ำสันพอ ๆ กับเขา หรืออาจจะน้อยกว่าเขาเล็กน้อย ทำไมถึงพายเรือไม่เป็น ขี่ม้าไม่เป็น เป็นสารถีให้ใครไม่ได้เลย เมื่อสงสัยดัังนั้นก็ไม่รีรอ จึงต้องถามบางอย่างออกไปหน่อย เพื่อจะได้รู้ว่าเป็นใคร และมาจากที่ใดกัน
“พ่อแม่เจ้าไม่สอนเจ้าพายเรือดอกฤ ?”
ยัง ยัง เอาไงดี โกหกวันแรกตั้งแต่หัววันอีกแล้วเหรอกู
“เอ่อ….ไม่ขอรับ ไม่เคยเลย”
“อืม…”
แค่เนี้ยะ ! อะไรวะ
“นี่หล่อน เห็นชายหนุ่มที่พายเรืออยู่ด้วยกันสองคนใหม่ ๆ”
“เห็นสิอีนิ่ม อร้ายยยยย กูเขินเว้ยยยยยย”
“มึงว่าเขา…. ?”
“เป็นคู่รักคู่สวาทกันหรือเปล่าเหรอ อุ๊ย มึงก็เบา ๆ หน่อยอีแรม จับหนุ่มในพระนครจิ้นจนหมดกระบวนแล้วมั้ง”
“เดี๋ยวกูจะไปแต่งกลอนเล่าเรื่องชายหนุ่มสองคนนี้ให้มึงอ่าน นาน ๆ กูจะเจอหนุ่มสองคนพายเรือเคียงคู่กัน แล้วมึงก็ทำเป็นพูด เดี๋ยวมึงก็ดิ้นเป็นปลาไหลเหมือนกูเหมือนคราเดิมแหละวะ !”
“กูรู้ว่ากูอยากเห็นผู้ชายสองคนเขารักใคร่สวาทกัน แต่มึงเอาความเป็นจริงด้วย จะมีซักกี่คนที่จะชอบกันเอง หายากจะตาย”
“มึงก็ซื่อเนอะ ในพระนครกูไปแอบได้ยินมาว่ามีมากมายเป็นก่ายเป็นกอง แต่ถ้าจักใคร่ชอบพอกันต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ เพราะคนในพระนครจักรังเกียจเอาได้ไงมึง กูไม่เข้าใจนะ หนุ่มกับหนุ่มรักกัน ก็เป็นแค่คนสองคนที่มีความรักกันไม่ต่างเยี่ยงอิเหนากับบุษบา ทำไมต้องรังเกียจเดียดฉันท์ทำเหมือนไม่ใช่คน ตัดสินว่าเป็นพวกต่ำต้อย รักไม้ป่าเดี่ยวกัน ลักเพศ กูละเกลียดคนพวกนี้เสียจริง”
“ทำไงได้อ่ะมึง ไม่มีใครกล้าออกมาสู้ เพราะกลัวจะโดนรังเกียจกันไงมึง กูอยากทำนะ แต่ถ้าพ่อแม่ก็รู้หาว่ากูผีเข้าสิง อยากเห็นชายกับชายรักกันสู่กัน พ่อแม่กูก็จริง ๆ เห้อออ…..”
.
.
จันทราแอบฟังสตรีสองนางพายเรือเคียงกันจ้องมองมาที่เขา และมีท่าทีอ่อนระทวยเขินอาย เขาก็มียิ้มบ้าง เพราะเขาก็ชอบอ่านซีรีส์วาย แต่พอหันไปหาคนข้างหลังที่โดนให้เขาจับจิ้นกันด้วยเป็นคุณพี่นิล ก็ต้องหุบยิ้มลงทันที คุณพี่นิลก็พายเรือไปตามครรลอง ไม่ได้สนใจสตรีสองสาวที่จับเขาและคุณพี่นิลให้รักชอบกัน พึ่งรู้นะ ว่าสาววายมันมีมาตั้งแต่สมัยโบร่ำโบราณแล้ว
.
.
.
ตลาดหน้าประตูสู่ก่อนเขตพระราชฐาน ที่มีทหารรักษาทวารประตูกำลังยืนอยู่สองนาย เพลยาม
เมื่อถึงท่าน้ำหน้าประตูเขตพระราชฐาน จะมีชายหนุ่มคอยรับเรือจากคนที่จอดลงที่ท่าเอาไว้ เพื่อมัดเรือไม่ให้โคลงโคลงหรือลอยน้ำหายไป คุณพี่นิลค่อย ๆ จับไม้ตรงทางขึ้น ยกขาก้าวและไม่ลืมที่จะรอรับน้องอกเล็กที่ย้ำว่าไม่เล็ก เพื่อให้ก้าวขึ้นมา จันทรายกหีบกำปั่นบรรจุกระดาษขึ้นมาก่อน ก่อนจะถีบตัวส่งขึ้นไป พร้อมรับแรงจากมือของคุณพี่นิล
“เดี๋ยวเอ็งเดินตามข้ามาก็แล้วกัน จำเอาไว้ว่าตรงนี้คือส่วนไหน คราหน้าเจ้ามาที่นี่ จะได้ทำได้” คุณพี่เดินนำไปอย่างรวดเร็ว น้องจันทราเดินตามหลังดุ่ม ๆ ไป “ด้านหน้าประตูเขตพระราชฐานนั้นเป็นตลาดหน้าวัง ผู้คนมากมายจะมาซื้อของกันที่แห่งนี้ เป็นตลาดใจกลางพระนคร รวมคนน้อยใหญ่ ขุนนางไปจนถึงข้าหลวงในวัง”
ก็อารมณ์เหมือนสยามพารากอนที่ปทุมวัน แต่เป็นสยามพารากอนแบบเอาท์ดอร์ ขนาดไม่ได้ขึ้นไปกรุงเทพ อยู่แต่ต่างจังหวัดกูก็เปรียบเทียบซะชำนาญเชียวเนอะไอ้จันทรา
เมื่อทั้งสองเดินดุ่ม ๆ มาถึงหน้าประตูวัง ทหารอารักขาประตูทั้งสองใช้ดาบที่ยาวเท่าขนาดลำตัวของทหารกั้นเอาไว้ไม่ให้ผ่าน เพราะทำตามหน้าที่ในวังหลวง
“มาส่งกระดาษเข้าวังหลวง” คุณพี่นิลพูดน้ำเสียงราบนิ่ง ก่อนจะมีขุนนางผู้ซึ่งเฝ้าประตูวังอยู่เป็นปกติออกมาทักทายไหว้กัน ทหารสองผู้นั้นจึงเปิดทางให้ เมื่อคุณเป็นกษัยแล้ว จึงหันมาหาน้องจันทราทำหน้าส่งสัญญาณว่าให้ส่งกำปั่นประดาษมา จันทราก็ค่อย ๆ ส่งกำปั่นอันนั้นพร้อมวางลง เมื่อขุนนางผู้นั้นรับสั่ง “เปิดกำปั่นด้วย” เมื่อเปิดกำปั่นตามคำสั่งของผู้เป็นนายเรียบร้อย จึงค่อย ๆ ถอยดุ่ม ๆ ออกมายืนด้านหลังของคนเป็นพี่
“พ่อทาสคนใหม่ฤ ดูไม่ชินเสียเลย มาใหม่กระนั้นฤพ่อนิล”
“มาใหม่ขอรับท่านขุน” ท่านขุนผู้เฝ้าเวรยามตรงนั้นตรวจดูกระดาษว่ามีอะไรแปลกปลอมปนมาหรือไม่เรียบร้อย จึงค่อย ๆ ให้ทหารด้านในวังมารับกระดาษไปจนหมดกำปั่น เมื่อรับหมดเรียบร้อย คุณพี่นิลจึงไหว้กราบลา พร้อมจันทราที่ย่างก้าวถือหีบเบา ๆ โล่ง ๆ ออกมาไปไว้ตรงเรือที่จอดไว้ตรงท่า
เพลานี้เป็นเพลาเพล แสงสุริยาลงกลางกระหม่อมของผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาทั้งบุรุษแลสตรีที่เดินควักไขว่ดูของถูกจนแพงระฟ้า ทางด้านเรือค้าที่จอดริมท่าขายขนมแลอาหารมากมายหลายรำเรือ ภายในท้องของจันทราเริ่มปั่นปวนระมวนท้อง เพราะเริ่มหิวขึ้นมาเสียดื้อ ๆ คุณพี่นิลสังเกตเห็นสีหน้าและการจ้องมองของคนเป็นน้องที่กำลังจ้องมองห่อหมกสีส้ม ๆ มีพริกชี้ฟ้ากับกะทิสีขาวขุ่นเด่นที่เรือของคุณป้าที่ใส่สะไบสีน้ำตาลคนหนึ่ง คุณพี่นิลจึงเดินเข้าไปหาคุณป้าผู้นั้นพร้อมกลับมากับห่อหมกสี่ถ้วยใบตอง
“คนละสอง” จันทราที่จ้องค้างอยู่ที่ห่อหมกสะดุ้งเหมือนโดนสาดน้ำเกลือก็ไม่ปานได้ละสายตามามองที่มือแกร่งจับห่อมกข้างละสองถ้วยใบตอง จันทรามองที่คนเป็นทีห่อหมกที กระพริบตาไปที ก่อนจะค่อย ๆ ก่มหัวเล็กน้อยพร้อมพูดขอบพระคุณผู้เป็นนายที่เลี้ยงอาหารเที่ยง
ทั้งสองคนยืนกินห่อหมกอยู่ตรงท่าน้ำหน้าประตูเข้าเขตพระราชฐานอย่างเอร็ดอร่อย คนเป็นน้องมองคนเป็นพี่กำลังกิน ส่วนคนเป็นพี่ก็มองท่าน้ำไกล ๆ เมื่อรับประทานเสร็จทั้งสองส่งถ้วยใบตองให้คุณป้าผู้นั้นเพื่อเอาไปสั่งถุงกระดาษขนาดกลางสำหรับใส่ขยะ
“กลับไปที่เรือนต่อ ยังมีกระดาษต้องไปส่งตามเรือนมากมายอีกช่วงเพลาชาย”
“ขอรั--”
เดินทางกี่คราหน กี่มื้อทนกะคำหยาม
หญิงงามที่พูดพล่าม สิจะทนทุคราไป
อ้ายนิลฤจะสน กี่มื้อทนละผ่านไกล
พวกถ่อยที่เข้าใกล้ มิฤกูบ่อยากสวน
แต่งแบบ อินทรวิเชียร์ฉันท์ ๑๑ มีครุ ลหุ
ถอดความต่อไปก็คือ จะมีผู้หญิงพูดจาแซะเหน็บคุณพี่นิล ก่อนที่น้องจันทราจะมาที่นี่ คุณพี่นิลได้โดนคำพูดจากพวกสาวสตรีที่เคยชอบพลอ แต่สตรีผู้นั้นเมื่อเห็นคุณพี่นิลแต่งตัวเยี่ยงทาส ที่เปลือยท่อนบน โจงกระเบนสั้นประมาณเท่าขาหนีบ สตรีพวกนั้นไม่ชอบคนที่เป็นทาส แต่หารู้ไม่ว่า คุณพี่นิลเป็นลูกพระยาล้นมากศักดินา แค่ไม่ชอบแต่งตัวเยอะแยะ เพราะไม่รู้จะแต่งหล่อเหลาเอาการเพื่อกระไรกัน… ไปทำงานไม่ได้ไปเข้ารับเสด็จขุนหลวงในวัง….
“พ่อนิล เจอกันอีกแล้วหนาพ่ออิเหนา” สตรีนางนึงห่มสะไบสีชมพูอ่อนเอ่ยขึ้นเมื่อเจอคนคุ้นเคยมานาน เวลาปะหน้ากัน ก็จะชอบหาเรื่องให้พ่อนิลได้รับคำเหน็บแนมกลับไป
“พ่ออิเหนาตัวผิวน้ำผึ้ง บัดนี้จะผิวแทนแล้วเว้ยแม่ ฮ่า ๆ ๆ ๆ” สตรีนางที่สองที่ห่มสะไบสีม่วงเอ่ยรับขึ้นมา
คิดว่าเป็นใครกันวะ รู้จักเขาดีมากหรือไง ถึงบอกว่าเขาเป็นทาส เขามีพ่อรั้งตำแหน่งออกญานะเว้ย
“เอ๊าะมากับใครกันนี่ รูปหล่อเข้มคมดั่งกริชเสียจริง เสียดายอ่ะ….เป็นทาสด้วยกัน ผิวก็น้ำผึ้ง” สตรีนางที่สามห่มสะไบสีแดงคนสุดท้ายเอ่ยถึงน้องจันทราให้เจ็บช้ำน้ำใจ
“รู้จักกูดีเหรอ ถึงบอกว่ากูเป็นทาส ?” จันทราเอ่ยกลับไปด้วยน้ำเสียงเงียบแน่น ผู้หญิงสะไบสีชมพูอ่อนคนแรกเดินแยกตัวออกมาเด่นต่อหน้าจันทราที่ยืนประจันบาลกันสองคน
“มึงมีสิทธิ์กระไรมาว่ากู ไอ้ไพร่ชั้นต่ำ”
“อ่อ…. ถึงกูจะต่ำ ก็ไม่ปากหมาปีจอไปด่าคนนู้น เหยียดแซะคนอื่นเขาไปทำ… จุ๊ ๆ ๆ รู้หรือเปล่าแถวบ้านกู เขาเรียกหมาเห่าแต่ไร้ฟันว่ะ ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
“นี่ !! นี่พวกมึงปกป้องกันฤ ?!! กูขอตบให้หายหมั่นไส้กูเสียทีเถิด !!” เมื่อง้างมือจะตบ คุณพี่นิลก็เอาตัวมาบังน้องจันทราเอาไว้ พร้อมจับมือผู้หญิงสะไบสีชมพู่อ่อนไว้แน่น เพื่อไม่ให้การตบอันกักขฬะมาโดนกายหยาบของน้องจันทรา
“มาเดินตลาดฤ แม่หญิง กลับไปเดินตลาดต่อเสียเถิด พ่อหนุ่มคนนี้ปากไว้แลอารมณ์ร้อน อย่าถือโทษโกรธพวกข้ากันเลยหนา พวกข้าก็เป็นแค่ข้าทาส มิอาจเทียบดอกฟ้าอย่างแม่นางทั้งสามได้หรอกขอรับ” จันทรามองที่ใบหน้าพ่อจันเมื่อพูดว่าเขากับจันทรานั้นเป็นข้าทาส ทั้งที่พวกนางทั้งสามยังไม่รู้ว่าคุณพี่นิลเป็นลูกชายของผู้ใด ถ้าพวกนางรู้ อาจจะวิ่งหนีหากหลุดสดุดก้อนหินหน้าวังก็ไม่ปาน
“ปกป้องกันแบบเนี้ย หนุ่มที่พ่อพาด้วยเป็นลูกสวาทอย่างนั้นฤา หึ ฮ่า ๆ ๆ” หญิงสะไบสีม่วงเสริมแรงให้เจ็บแค้นขึ้นมาอีก จันทราหายใจเข้าออกถี่ ดวงใจเต้นระรัวพอ ๆ กับการออกกำลังกายคาร์ดิโอ
ลูกสวาทเอา…. แปลว่า ผู้ชายขายตัว
“มึง…….!!” จันทราจับแขนข้างซ้ายเอาไว้พร้อมกับหอมเข้าไปที่ต้นคอเบา ๆ อ่อน ๆ กลิ่นกายหยาบของน้องตีฟุ้งรัญจวนให้ใช้จมูกของผู้เป็นพี่อกใหญ่คลอเคลียอยู่ชั่วขณะก่อนจะละจากตัวของน้องจันทราออกมา “เฮ้ย ๆ ๆ ทำอะไรเนี่ย !!”
“จุ๊ ๆ ๆ ๆ กลับไปบ่นพี่ที่เรือนดีกว่าหนา ขืนด่าทุบตีพี่ตรงนี้ ประเดี๋ยวคนจะเอาไปนินทาเอานะ ไม่เอา ๆ นะ จันทราอกเล็กของพี่”
อกเล็กห่าไร อกใหญ่เหมือนมึ… ลืมไปเขาเป็นนาย เดี๋ยวกูโดนเฆี่ยน ทำไมถึงมาบอกว่าอกเล็ก
เล่นมาแบบนี้ ได้ เดี๋ยวกูเล่นมั่ง
“คุณพี่ก็… กระผมก็แค่กระเซ้าเหย่าแหย่พี่เล่นเสียเท่านั้นเองขอรับ กลับเรือนกันเถิดดีกว่าขอรับ เพราะถ้ามัวแต่ยืนด่าพวกหมา ๆ ควาย ๆ ต่ำต้อยเรี่ยดินโคลนหลายตัวแถวนี้ ประเดี๋ยวหมามันจะกัด อ่อลืมไป ไม่มีเฆี่ยวได้แต่เห่า”
“อีลูกสวาท !!!! อร๊ายยยยยยย” นางสามคนนั้นเดินมาสามคนพร้อมจะถีบน้องจันทรา แต่คนเป็นพี่นั้นพาน้องหลบออกมา จนพวกนางเตะอากาศ จึงพาล้มกลิ้นระเนระนาดตระการตาคนแถวนั้นเป็นส้มกลิ้งก็ไม่ปาน
.
.
.
ภาพนั้นติดตา หวนหาคราแรก
วันนี้ผิดแผลก เขาแปลกต่างไป
เขาช่วยตัวข้า ไม่ว่าผู้ใด
เขานั้นไล่ไป พ้นไซร้พวกต้อย
ระหว่างทางจากท่าน้ำในราชธานีถึงตัวเรือน ค่อนข้างไกลโข ระหว่างทางคุณพี่นิลมองเจ้าจันทราตลอดชลธาร ไม่มองแม้กระทั่งสกุนาที่โบยบินลอยไปทั่วเวหาแม้แต่น้อย ส่วนจันทราเองก็ตกใจที่เหตุการณ์บนท่านั้น ทำไมถึงคล้อยตามคนเป็นนายของเขาไปด้วย ทำไมกันหนา…..
จนในที่สุดระหว่างทางที่อากาศตายไปชั่วขณะ ก็ฟื้นกลับมา เพราะคนเป็นพี่อกใหญ่นั้นเปิดบทสนธนาเริ่มขึ้น เพื่อไม่ให้มันเงียบจนอึดอัดเกินไป เพราะขืนปล่อยให้เงียบ น้องจะอึดอัดเสียเปล่า ๆ
“เรื่องที่ข้าบอกว่าเอ็งว่า เอ็งเป็นลูกสวาท ข้าขอประทานโทษเอ็งด้วยหนา เจ้าจัน” นี่เป็นคราแรกที่คุณพี่นิลเรียกเขาด้วยชื่อ ไม่ใช่ข้าเอ็งเฉย ๆ แล้ว
“กระผมไม่ถือโทษโกรธเคืองพ่อนายดอกขอรับ แต่….ทำไมพ่อนายถึงบอกว่ากระผม อกเล็ก !!?”
“ข้าพูดให้พวกสตรีนั่นเชื่อว่าเราเป็นคู่รักคู่สวาทเท่านั้น แต่ว่า….เจ้าก็อกเล็กจริง ๆ”
“อกเล็กตรงไหนกันพ่อนาย ข้าอกใหญ่พ่อ ๆ กับพ่อนาย มาบอกว่าข้าอกเล็กไม่ได้นะ !!” เรือนกายของคุณพี่นิลกับน้องจันทรานั้นอกใหญ่พอ ๆ รูปร่าง ๆ กัน แข็งแรง กำยำ ล่ำสันพอ ๆ กัน แต่ว่าที่คุณพี่พูดออกมาเมื่อครู่ ก็เพื่อกระเซ้าเหย่าแหย่น้องเล่นก็เท่านั้น
ชี้แจ้งให้ผู้อ่านเข้าใจนะ สรุปพระนายเขาอกใหญ่ หุ่นแกร่ง หน้าคมเข้มทั้งคู่เลย เพราะไรท์ชอบแต่งพระนายเข้มทั้งคู่ แต่นายเอกน้องจันทราจะโดนคุณพี่แหย่เล่นเท่านั้น
แต่เอ…อะไรดลใจให้คุณพี่แหย่น้องเล่นกันหนา…
คุณพี่นิลจ้องมองอกใหญ่แกร่งตรงนั้น หัวเราะหัวใคร่คนเป็นน้อง คนเป็นน้องจับหน้าอก พร้อมทำสีหน้าแหง่งอนพร้อมไปหันด้านหน้าเพื่อไม่จ้องหน้าคนเป็นพี่ที่แจวเรือไปแซวอกของน้องที่ใหญ่ แต่โดนหาว่าเล็กไป….
“อกใหญ่ก็อกใหญ่….เอ หรืออกเล็กหนา”
!!!!
“เรือโคลงเคลงหมดแล้วเจ้า ประเดี๋ยวก็ตกน้ำตกท่ากันพอดี อยากโดนเฆี่ยนสักสิบทีฤ !!”
“เฆี่ยนไปเลย จะได้ตายให้จบ ๆ ไป คนอุส่าห์ช่วยเหลือกัน แต่ทำไมต้องมาเคืองกันเพราะทำเรือโคลงเลงวะ !!”
“หึ” คนเป็นพี่อกใหญ่หัวเราะให้น้องอกเล็กในลำคอ
หัวดื้อเสียจริงเจ่าเนี่ย น่าจับเฆี่ยนตีก้นเสียจริง แต่ถึงกระนั้นก็…ขอบใจเจ้ามากหนา เจ้าจัน
“เย็นนี้มาทานสำรับที่เรือนข้าหนา” คนเป็นพี่ไม่ได้พูดขอบคุณคนเป็นน้องที่ช่วยเหลือเขาวันนี้ออกไป เขาก็เลยชวนคนน้องอกเล็กมาทานสำรับเย็น เพื่อขอบคุณในครั้งนี้
.
.
.
.
.
.
ภากรลาลับตกสู่ขอบฟ้า จันทราอาบน้ำพร้อมขึ้นเรือนใหญ่
เรือนนั้นคือเรือนพี่ใช่คนไกล เจ้าอยู่ไหนรู้ไหมพี่คะนึง
ครานั้นย่ำสู่เรือนผู้เป็นพี่ สองตามีมองหน้าอย่างอ้ำอึ้ง
เมื่อมองได้พักนึงอย่างสุดซึ้ง ก็ไม่พึงมองต่อเพราะกลัวภัย (โดนเฆี่ยน)
กลอนแปด
“เข้ามานั่งสิ” จันทราเดินโท่ง ๆ เข้าไป เพราะลืมว่าผู้เป็นทาสในสมัยนั้นต้องคลานเข่า ไม่ใช่นึกจักเดินก็อยากเดิน “คลานเข่า !” ตอนนี้บนเรือนมีแค่เขากับคุณพี่นิลสองคน แสงไฟในเรือนยามราตรีกาลเป็นสีเหลืองอ่อน ๆ ทั่วเรือน แสงนั้นมีโชติมาตรมากที่สุดอยู่ตรงบริเวณเขต ตั่งที่ยกตัวสูงขึ้นอยู่กลางเรือน ที่มีร่างอกใหญ่รอทานสำรับอยู่นานแล้ว
คนโบราณนี่พูดดี ๆ ไม่เป็นไรหรือไงวะ ดุเก่งชะ
“มา กินข้าวกันเถอะ” จันทราทำตามคุณพี่นิลในการรับทาน คือ การล้างมือก่อนทานสำรับ คุณพี่นิลตักข้าวใส่จานโดยไม่ใช่บ่าวไพร่อย่างเขา เพราะสำหรับเขา อะไรที่ไม่เหนือบ่ากว่าแรง เขาอยากทำเองมากกว่ามีคนมาทำให้เขา เรียกได้ว่าแทบจะเป็นเรือนเดียวที่มีนายของเรือนที่ดี และไม่เฆี่ยนตีบ่าวไพร่อยากไร้เหตุผล
น้องจันทราใช้ช้อนตักผัดเผ็ดในจานที่วางเอามาไว้ในจานที่มีข้าวสวย ๆ ร้อนควันขึ้นทุย ๆ ชิมรสชาติของผัดเผ็ดจานนี้
หืมมม รสจัดมาก โดนใจคนชอบกินเผ็ดเลย อร่อยว่ะ
ใช้เวลาในการรับทานอาหารกับคุณพี่นิลไปซักชั่วขณะ เมื่อทานข้าวจนอิ่มเรียบร้อย จึงล้างมือในอ่างล้างมือที่เตรียมเอาไว้ และเช็ดมือจนสะอาดแห้งสนิท เขาจ้องมองไปที่คุณพี่นิลที่นั่งขัดสมาธิล้างมืออยู่ต้องหน้า มองด้วยสายตารู้ว่า นี่คือการ เลี้ยงข้าวเป็นการขอบคุณมากกว่าคำพูด
แต่อยู่ที่เรือนกลางคืนแบบนี้ ก็ไม่อยากใช้เวลานั่ง ๆ แล้วหลับไป อยากแต่งนิยายด้วย ที่นี่เป็นโรงกระดาษ ขอพ่อนายจะให้หรือเปล่าวะ
“มีกระไร เห็นเจ้ากรอกตาไปมา”
“อ่อ…..ไม่มีกระไรขอรับพ่อนาย” จันทราเกาหัวเบา ๆ ไปหนึ่งแกรก พร้อมที่กำลังจะคลานเข่าออกไป แต่ต้องหยุดชะงัก เพราะคนเป็นพี่ห้ามเอาไว้ก่อน
“หยุดเสียตรงนั้น ! ข้าว่าเจ้าต้องมีกระไร พูดมาให้หมด”
โห่ ถ้าบอกว่าจะขอกระดาษไว้เขียนนิยายนี่จะอึ้งมั้ยวะ
“กระผมแค่….แค่”
“ทำแชเชือนอยู่ได้ พูดออกมา !”
“กระผมอยากได้กระดาษ” จันทราก้มหน้างุดลงเพราะกลัวจะโดนเอ็ดต่อ แต่หลังพูดจบประโยค เรือนนี้เข้าสู่ความเงียบงันแบบไม่ได้นัดหมายล่วงหน้า
“กระดาษ จะเอาไว้ทำกระไร ?”
“เขียน…นิยาย ขอรับพ่อนาย”
“นิ…ยาย…. ยายไหนล่ะ”
นิยาย !! เออว่ะ เขาไม่ได้เรียกนิยาย เขาเรียกอะไรวะ ลืม ๆ ๆ เคยเรียนภาษาไทย จำได้ ๆ ๆ
ผ่านไปสิบวิ…..
….บันเทิงคดี หรือ fiction
เออ ใช่ !!
“ไม่ใช่นิยายแบบไหน แต่มันเป็นเอ่อ…บันเทิงคดี”
“บันเทิงคดี เจ้าแต่งกลอนเป็นด้วยฤ ?”
“ไม่ ๆ ไม่ใช่แต่งแบบกลอนขอรับ หากแต่เป็น….แบบกลอนบทละครมากกว่า”
“แปลก ข้าเคยไปชมละครนอก มีแต่กลอนเสภา กลอนสี่ กลอนแปด โคลง กายพ์ หรือ ฉันท์ที่มีครุ ลหุ แต่ของเจ้าคือ กลอน….บทละคร แปลกดี ข้าขอฟังสักบทนึงได้ฤาไม่”
ฉิบหายละ หนังสือนิยายนอนอ่านค้างไว้ที่ห้องนอนด้วย ด้นสดละกันกู
กูต้องอธิบายให้คนรุ่นปูย่าตาทวดฟัง กูจะเป็นลม เกินไม่ชอบ จะด่ากูเรือนพังมั้ยวะ
เอาวะ เจอเรื่องวุ่นวายมามาก อีกซักเรื่องไปก็ไม่เป็นไร ถือว่าเก็บเวลวะไอ้จัน เป็นนักเขียน นักอ่าน เป็นนักพากย์ถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่
ชายผู้นั้นค่อย ๆ เยื่องกายเข้ามาหาผม ผมคิดที่จะหนีเขาทั้งการเคลื่อนตัวหนีจากเตียงนอน แต่เขาก็ใช้แม่นางทั้งห้าทั้งซ้ายแลขวาจับแขนสองข้างของผมเอาไว้ เขาค่อย ๆ เลื่อนใบหน้าเข้ามาดอมดมใบหน้า ซอกคอและกันกิดยอดปทุมถันทั้งสองข้างของผมที่เป็นสีแดงระเรือ ผมร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดและความเสียวที่ซ่านไปทั้งทั่วลำตัวแลดวงใจ ในตอนนี้ผมกับเขานั้นเปลือยกายทั้งท่อนบนและล่าง
เขาประกบลิมฝีปากลงบนปากของผมจนแทบสิ้นลมหายใจ เมื่อเล้าโลมจนได้ที่ เขาค่อย ๆ จับไปที่น้องปลาช่อนตัวน้อย ๆ ที่เพิ่มขนาดใหญ่จากตอนยังไม่ถูกกระตุ้น ผมร้องครวญครางเพราะเขานั้นดันเน้นคลึงวนมือที่ปลายยอดปลาช่อนของผมจนน้ำทิพย์สีขาวขุ่นข้มไหลออกมา เมื่อทางด้านของผมนั้นเสร็จสมอารมณ์เสียว เขาก็เริ่มสอดปลาชะโดขนาดใหญ่เข้าไปในทวารประตูที่เปิดอ้ารับ เพราะถูกกระตก ผมเผลอใช้เล็บจิกเขาจนเป็นรอยร่องลึก และบางส่วนบนร่างกายนั้นเริ่มมีรอยแดง ทั้งผมและเขานั้นร้องครวญครางออกมาประสานกันเป็นท่วมทำนองซ้อนสวาทกัน เป็นท่วงทำนองที่แปลกที่ผมรู้สึกว่าผมเริ่มชอบมันเสียแล้ว
เมื่อใกล้ถึงจุดแดนวิมานชั้นปรนิมมิตวสวัตตีเทวภูมิ ชั้นสูงสุดของแดนสวรรค์ในชั้นที่หก เขาค่อย ๆ เร่งความเร็ว จนผมทั้งจุกทั้งเสียว ไม่นานนัก เขาชักลำชะโดอันนั้นออกมา พร้อมปลดปล่อยน้ำขุนเลอะเต็มเรือนกายหยาบเตียงนอนเปียกชุ่มไปหมด เขาจบด้วยการประกบจูบเป็นการบอกรักผม ผมถอนปากที่ประกบออก เพื่อให้ต่างคนต่างหายใจจากอาการหอบเหนื่อยเมื่อสักครู่จากการเสร็จกิจ
‘น่ารัก'
‘โอย ฮ่า ๆ’ ผมหัวเราะทั้ง ๆ ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำทิพย์สวาทเปรอะเต็มไปทั่ว
ฟีลกู๊ดโคตร ๆ
การด้นสดของจันทรา ทั้งน้ำเสียง อารมณ์ความรู้สึก
“…..”
เหี้ย อึ้งตาค้างเลย กูเนี่ยก็ตาค้างเหมือนเขาเลย
อีกฝ่าย ๆ ค่อยตั้งสติพร้อมกับลงมานั่งที่เดิม นั่นก็คือคุณพี่นิล ที่ไม่พูดอะไร และหันไปมองส่วนอื่นของเรือนแทนการมองที่เขา
“ถ้าอย่างนั้น กระผมไปนะขอรับ” เพื่อไม่ให้โดนด่า จันทราจึงเดินออกไป พร้อมทั้งเกลียดตัวเองที่พรรณนาฉากเอ็นซีหรือภาษาโบราณเรียกว่า บทฮัศจรรย์แบบไม่ใช่กลอน
“ประเดี๋ยวก่อน”
“มีกระไร…ฤาขอรับ ?”
“ข้าให้กระดาษปึกใหญ่นี่ แลปากกาขนนกกับหมึกดำ อยากจะแต่งบันเทิงคดีแบบไหนของเจ้าอะไรก็ทำไป”
“เอ่อ…ขอบพระคุณขอรับ” จันทรารับของตบท้ายมาอย่างช้า ๆ ค่อย ๆ หันหลังไปเตรียมจะกลับลงเรือนไปที่เรือนทาส แต่เสียงของคุณพี่นิลก็หยุดเขาเอาไว้อีกครั้ง
“ข้าชอบบทอัศจรรย์ของเจ้า ถ้าเจาขืนพรรณาต่อ ข้าอาจจะได้ตำน้ำพริกต่อหน้าเจ้าแล้วเสียแล้วนะ”
ตำน้ำพริก….
!!!
จันทราหลุดยิ้มออกมาแลหันไปหาผู้เป็นนายที่ยิ้มมาทางเขาด้วยเช่นกัน…..
อย่าบอกนะว่าพ่อนาย….
.
.
.
เขินนนนนโว้ยยยย แต่งไปเขินไปว่ะ น้องจันทรามันจะไม่ใช่แค่ตำน้ำพริกอ่ะสิ เพราะพี่นิลเขาจ้องน้องบ่อยมากเลยนะ ระวังเถอะจะได้ตำน้ำพริกคกใหญ่ เกือบแล้วมั้ย…เขินมากกกกกก อ๊ากกกกกกกกกกก
ป.ล.1 โรงกระดาษในสมัยนั้นก็อาจจะมีการใช้ไม้ไปทำกระดาษบ้าง ไม่บ้างอ่ะ อาจจะเยอะเลย ไรท์ก็เป็นคนรักสิ่งแวดล้อม แต่ก็ต้องทำความเข้าใจว่า บริบทนั้นสมัย ความรู้เอย ความคิด พัฒนาการมันต่างกับในยุคนี้มาก อยากจะให้คนอ่านนิยายที่สิ่งแวดล้อมเข้าใจในส่วนนี้ด้วย แล้วไรท์ว่าในสมัยก่อน ประชากรน้อยกว่าตอนนี้มาก คนเขียนหนังสือกันเป็นก็น้อย ส่วนใหญ่ก็จะสั่งไปในวังหลวง หรือไม่ก็บ้านที่มีพวกขุนน้ำขุนนาง ไพร่พลข้าทาสเขียนหนังสือไม่เป็นกันทั้งสิ้น ยกเว้น น้องจันทรา เพราะเป็นนักเขียนในภพปัจจุบันที่จากมา
ละก็คำว่า ลูกสวาท ไรท์เสริมนะ มันคล้าย ๆ คำว่า เล่นสวาท นี่แหละ ถ้าใครเรียนวรรณคดีหรือเอกภาษาไทย จะรู้คำนี้ ลูกสวาทคือ ผู้ชายที่เป็นนายบำเรอให้ผู้ชายสมสู่ และมันจะมีคำว่า เล่นสวาท ก็คือ มีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับชาย จริง ๆ อ่ะไรท์สันนิษฐานว่าชายรักชายมันเริ่มาตั้งแต่กรุงศรีฯ หรือนานกว่านั้น เพราะสมัยกรุงศรีฯ ก็จะมีขันที ลูกสวาท มาละ ในสมัยนั้นจะโดนเหยียดมาก คือต้องเก็บลับมาก ๆ เพราะถ้ารู้ก็จะโดนเหยียดมาก ๆ
ถามว่าหญิงรักหญิงในกรุงศรีมีมั้ย มีแน่นอน เพราะในวัง ในเขตพระราชฐานชั้นในหรือรีดอาจจะเคยได้ยินคำว่า ฝ่ายใน ก็คือมีแต่ข้าหลวงผู้หญิง ผู้ชายจะมีแค่คิงเท่านั้น ก็มีชอบกันเอง แต่เขาจะไม่ใช้คำว่า เล่นสวาท แต่จะใช้คำว่า เล่นเพื่อน สำหรับผู้หญิงกับผู้หญิงนั่นเองนะครับ
TBC >>>
ลงเมื่อวันที่ 11 / 06 / 2564 เวลา 02.53 น.
แก้ไขครั้งที่ 1 : ยังไม่มี
__________________________________________________________
ฝากติดแฮชแท็กน้อย ๆ ในทวิตเตอร์ด้วยนะครับ
#อีกตัวตน มาพูดคุยมโนสาเร่กัน
ไรท์จะเปิดแท็กอ่านตลอดเรื่อย ๆ นะครับ ทุกคำติชม คำวิจารณ์ไรท์จะเก็บไว้พินิจพิจารณาทุกคำนะครับ
นามปากกา : SriRunhn (ศรีรันหณ์)
Twitter : teerarunhn
E-mail : teerapatthanakit@gmail.com (ติดต่องาน)
เร็ว ๆ นี้จะมีแฟนเพจนะ อาจจะมีแฟนเพจในตอนต่อ ๆ ไป รอติดตามกันนะครับ
อ่านวันละนิด ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้นะ =)
ความคิดเห็น