คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : 第九集 |เจ็ดเมษาสองสามหนึ่งศูนย์ (ตอนจบ)
สองปีผ่านไปจากเลขท้ายที่เป็นเลขแปดของปีสองพันสามร้อยกลายมาเป็นเลขสิบ ซึ่งในวันนี้เป็นวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2310 ซึ่งเป็นข้างแรม เป็นวันที่เสียกรุงศรีฯ อยุธยา ประวัติศาสตร์หลายแหล่งกล่าวสาเหตุของการเสียกรุงไปหลากหลายข้อมูลหลายเหตุผล แต่เหตุผลที่ค่อนข้างเด่นชัดที่สุดคงจะเป็นความอ่อนแอของกษัตริย์ผู้ปครอง ขุนนางกรุงศรีฯที่กลายเป็นไส้สึกให้กับอังวะไปหลายคน และการฉ้อราษฎร์บังหลวงเกิดขึ้นภายในราชสำนัก ฝ่ายหน้ารุกร้อนเป็นฟอนฟืนไฟ แต่ฝ่ายในที่ซึ่งเป็นที่อยู่ของข้าหลวง พระอัครมเหสี เจ้าจอม สนม แหล่งรวมผู้หญิงและองค์กษัตริย์เท่านั้นที่ไม่ได้สนอกสนใจเรื่องภายนอกระหว่างสองปีที่พวกอังวะบุกยึดหัวเมืองประเทศราช หัวเมืองชั้นนอกและชั้นใน จนสามารถตีเมืองหน้าด่านเข้ามาล้อมกรุงและยิงปืนใหญ่เข้ามาเพื่อข่มขวัญพี่น้องประชาชีในเขตพระนคร เพราะพวกเขาส่วนใหญ่คิดว่าเป็นผู้หญิง ไม่ต้องไปยุ่งวุ่นวายพวกกลทัพจับศึกของพวกทหารครูบามหาเถร ตอนนี้ทั่วเขตแดนของกรุงศรีฯ อยู่ภายในพันธนาการของอังวะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ระหว่างสองปีนี้ คุณพี่อกใหญ่ได้ให้ทุนรอนกับคุณจันเปิดหออักษรไว้สำหรับเล่านิทานก่อนนอนหรือสอนเหล่าลูกทาสอ่านเขียนอักษรหนังสือให้มีความรู้ความสามารถ ถึงแม้นว่าคุณจันจะช่วยเด็กทั้งพระนครไม่ได้เป็นระดับมหัพภาค แต่อย่างน้อยใกล้ได้เปลี่ยนความคิดของผู้คนภายในสองปีจำนวนจุลภาค เขาก็ดีใจมากพอจนเกินประมาณแล้ว
"หญิงสาวทาสผู้หนึ่งยังแจวเรือออกขายขนมกรงที่ช่วยแม่ทำทุกวันในยามสามหรือก่อนย่ำรุ่ง แม้ว่าเงินทองส่วนนี้จะไม่ได้หามาเยอะมากในแต่ละวัน แต่ก็พอประทิงชีวิตของสองแม่ลูกนั้นได้ มีมาวันหนึ่งหญิงสาวผู้นี้ก็ยังพายเรือออกไปขายขนมกรงเฉกเช่นทุกวันเป็นเนืองนิตย์ แต่วันนี้ดูท่าคนออกมาพายเรือเยอะมากกว่าเดิม หญิงสาวอุสานออกมาว่า
‘วันนี้มีงานสมโภชกระไรที่ไหนฤานี่ ทำไมเรือถึงหนาแน่นปานจะชนกันเสียแล้ว ถ้าฉันรู้อย่างนี้ ฉันให้แม่ทำขนมมากกว่านี้เสียจะดีกว่า’ หญิงสาวผู้นั้นชะโงกหน้าออกไปมองรอบ ๆ หนุ่มสาวทั้งหนุ่มจนถึงวัยชราภาพเต็มทั่วคุ้งน้ำกันไปหมด แต่ความคิดของหญิงสาวผู้นั้นก็เป็นต้องชะงัดนัดหายไปทันที เหตุอันเพราะมีหญิงสาวผู้ดีรายนึงที่มาพร้อมกับทาสรับใช้อีกคนของเธอ แต่งตัวงามจรัสพริ้งพรายกว่าเธอแจวเรือเข้ามาจนเกือบเทียบเคียงใกล้เรือของเธอพร้อมพูดจามองต่ำดูถูกเธอ
‘วันนี้ขายออกบ้างแล้วฤาไม่ ขนมกรงของเธอเนี่ย อีกุนมึงว่ามั้ย ?’
‘จริงเจ้าค่ะ’
‘พวกเอ็งบอกว่าข้าว่า ขนมหามีขายออกไม่ พวกเอ็งรู้ฤาไม่ว่าขนมข้าขายหมดทุกวันตั้งแต่รุ่นแม่ข้ายังแจวเรือออกไปขาย จนบัดนี้แม่ข้าขายไม่ไหว ข้าจึงออกมาแจวเรือแทนแม่ข้า’ เสียงของหญิงสาวทาสผู้หนึ่งเปล่งออกมาเสียงดังกว่าปกติ แต่เมื่อเธอพูดออกไปให้หญิงสาวลูกผู้ดีนั้นฟังเธอ เธอเห็นว่าหญิงสาวทาสผู้นั้นหาได้เจ็บแค้นจากคำพูดของเธอ ก็ไม่พอใจสะดีดสะดิ้งจนเรือโครงเครงตกน้ำไปทั้งคู่ สร้างความขำขันให้กับผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาทางชลธีธาร
เธอก็หาสนใจคำพูดแทะโลมมองต่ำเหล่านั้นไม่ เพราะไม่อยากจะเอาเวลาไปเสียกับอะไรที่ไม่มีแก่นสารพวกนี้ ‘ขนมกรงมั้ยจ้ะ ราคาถูก ๆ จ้า’ เธอจึงขายขนมต่อไปโดยไม่ได้หาสนใจกับพูดพวกนั้นอีก
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า หากเรามัวแต่สนใจคำพูดพร่อย ๆ ถ่อยที่ดูถูกหยามน้ำใจเรา เราก็จะเกิดความทุกข์อยู่อย่างนั้น เพราะเราดันไปผูกพันธะไมตรีกะอะไรที่ไร้ค่าแบบนี้เอาเสียเองจ้ะ”
เด็กบางคนที่มานั่งฟังทั้งหลับผล็อยบ้าง นั่งฟังจนจบแล้วยิ้มออกมาบ้าง นั่งฟังและยังขำตอนหญิงผู้ดีปากคอเราะร้ายกับนางทาสนามว่ากุนตกเรือตกท่าไปเสีย คุณจันเธอมองเด็ก ๆ เหล่านั้นด้วยความชื่นมื่น และคิดว่านิทานของคุณเธอ คงจะสร้างความมั่นใจให้กับคนชั้นทาส ในยุคที่ยังมีการแบ่งชนชั้นอย่างรุนแรงในกรุงศรีฯ ไม่มากก็น้อย
“นิทานจบแล้วหรือเจ้าคะคุณจัน หนูอยากฟังอีก”
“พรุ่งนี้มาฟังกันอีกได้นะเด็ก ๆ ดึกแล้วน้า เข้านอนกันดีกว่า ตื่นมาจะได้สดชื่น มีแรงมาเหลือจนตะวันตกดินมาฟังนิทานของพี่จันต่อน้า” เสียงหวานละมุนที่ติดจากการเล่านิทานขัดกับร่างอกใหญ่ที่เล็กกว่าสามีเธอเล็กน้อย แต่เด็ก ๆ ก็หามีความกลัวอันใดไม่ เด็ก ๆ ทุกคนต่างพากันกลับไปยังเรือนทาส บางคนอุ้มเพื่อนทั้งที่ยังไม่ตื่นออกไป สร้างความขำขันไม่น้อยให้กับคุณจัน ก่อนที่คุณจันจะยกตะเกียงขึ้นเรือนใหญ่ไป…..
เมื่อคุณจันย่างเท้าก้าวขึ้นสู่เรือนใหญ่ ภายในเรือนใหญ่ไร้แสงสว่างนอกจากตะเกียงของคุณจันที่ถือมาระหว่างทางกลับ นี่พูดแทนได้ว่าคุณพี่นอนหลับเป็นทศกัณฐ์ล้มไปแล้ว จึงเดินเปิดประตูก้าวธรณีประตูเข้าไปยังหอนอน
“หลับแล้ว….” คุณจันเธอพูดเสียงแผ่วเบาหวิวในลำคอเมื่อเห็นคุณพี่อกใหญ่กายหยาบท่อนบนแต่ปิดท่อนร่างด้วยผ้านุ่งที่คล้ายผ้าถุงของผู้หญิงแต่เป็นของผู้ชายนอนอยู่บนเตียงในท่านอนหงาย คืนนี้เป็นคืนเดือนหงายแต่ไม่ได้เต็มดวง พระจันทร์เลยสาดส่องหน้าด้วยแสงรำไรให้เห็นหน้าคมคร้ามก่อนนอน คุณจันเธอจึงดับตะเกียงและลงเตียงนอนหลับยกผ้าคลุมห่มตัวทันที “อื้อ…ยังไม่หลับหรอกหรือขอรับ ?”
“อื้อ…..ยังสิ…” คุณพี่นิลอกใหญ่แอบรอเจ้าจันที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานนมกี่ปี ก็ยังมองว่าเป็นตัวเล็กตัวน้อยเหมือนคราแรก ขนาดเตียงนอนยังไม่เปลี่ยนให้เป็นเตียงใหญ่ ยังใช้เตียงเดิมอยู่วันยังค่ำที่ทั้งเล็ก ทั้งเบียดเข้าหากันง่าย นี่แหละหนา…จะได้หาข้ออ้างนอนกอดกันเสียง่าย ๆ
“นอนได้แล้ว” คุณจันที่โดนกอดรัดแบบนุ่มนวลอยู่นั้นจึงพลิกเปลี่ยนสรีระตะแคงไปทางฝั่งให้หัวชนอกของพี่อกใหญ่ของเขา สัมผัสผิวแผ่วเบาก่อนจะนอนหลับไป
แต่ทันใดนั้น !!!!
ปัง ปัง ปัง !!!!
“คุณนิล คุณจันทราขอรับ เปิดประตูให้บ่าวเถิดขอรับ คุณนิล คุณจันทรา !!” เสียงดังลั่นพาดสนั่นปลุกคนสองคนที่กำลังหลับตื้นให้ลุกขึ้นก่อนตกภวังค์ไปเสีย ทั้งสองลุกขึ้นเลิกผ้าห่มออกมา
“ประเดี๋ยวพี่ไปเปิดเอง นอนต่อเสียเถิด” คุณจันเธอไม่สามารถนอนหลับได้ เพราะรู้สึกเหมือนว่าเสียงเคาะประตูมันดังราวเสมือนเสียงฟ้าผ่าและสนั่นก้องสะเทือนประตูเสียอย่างใดอย่างนั้น คุณจันจึงออกไปยังผัวของเธอที่กำลังใช้หูรับคำพูดที่กระซิบแผ่วเบาจากพ่อไม้ “แล้วคุณหญิงพ่อกับคุณหญิงแม่ล่ะ !!!”
“ป้านม กับ ป้าเยื้อนกำลังพาคุณท่านลงเรือขอรับ !!!”
“มีกระไรกันขอรับคุณพี่ เอ…ทำไมเสียงคนในเรือนร้องเหวกกันดังลั่นน่ะขอรับ ?!” คุณจันเธอสาวเท้าเดินออกไปยืนเคียงอกใหญ่และได้ยินเสียงที่เริ่มเหวกดังลั่นมากขึ้นเรื่อย ๆ
“พวกอังวะตีกำแพงเมืองบุกพระนครแล้ว !!! รีบไปกันเสียเถิด !!”
“เฮ้ย !!”
เจ็ดเมษาสองพันสามร้อยสิบ วันกรุงแตก !!
“ไม่มีเวลาแล้วรีบเปลี่ยนผ้าเปลี่ยนผ่อนให้ใส่กันง่ายเสียเถิด ของทุกอย่างทิ้งไว้เสียที่นี่ ตอนนี้ทรัพย์สมบัติ กำปั่นฝังลงดินไปได้แค่บางส่วน ไม่ทันแล้วตอนนี้ต้องรีบไปแต่ตัว เร็วเข้า !!!”
“ขอรับคุณพี่ !!!”
“มึงรีบหนีไป ไม่ต้องห่วงกูกับเมียเร็ว !!!”
“แต-”
“กูบอกให้ไปเสียเดี๋ยวนี้ เร็ว !!!!! บอกเจ้าคุณพ่อกับคุณหญิงแม่กูว่าไม่ต้องห่วงกูกับเมีย มีทางหนีที่สองปีที่กูให้พ่อกับแม่หนีไปแล้ว มีคลองเส้นลับเส้นหนึ่งที่หนีออกไปทางฝั่งละโว้ได้ รีบไปบอกเสีย เร็ว !!!”
“ข..ขอรับ !!!!”
ทั้งสองเปลี่ยนผ้าเปลี่ยนผ่อนจากผ้านุ่งที่คล้ายผ้าถุงเป็นโจงกระเบนที่รัดแน่นเลยขาอ่อนจนเกือบถึงโคนฐานของเขา และพ่อนิลอกใหญ่ได้หยิบดาบประจำตัวที่เจ้าคุณพ่อได้รับจ้างสั่งทำมาให้ตั้งแต่ยังวัยรุ่นสองเล่ม เขาหนึ่งเล่ม และให้คุณจันอีกหนึ่งเล่ม พร้อมทั้งวิ่งกุลีกุลีหาผ้าคลุมหน้า ก่อนจะวิ่งรุดหน้าลงไปยังลำเรือ ที่ระหว่างการวิ่งได้ผ่านคนที่ร้องโอดครวญ กรีดร้องด้วยความตื่นตระหนกตกใจ
“เจ้าคุณพ่อ คุณหญิงแม่…”
“อย่าห่วงทางนี้เลยพ่อนิล พ่อกับแม่ก็แก่มากแล้ว จะตายวันตายพรุ่งพ่อกับแม่ก็ต้องตายอยู่ดี พาเมียไปเสียเถิด ข้าได้บอกพวกไอ้ไม้ดูแลพวกลูกทาสพาหนีกันแล้ว เร็วรีบไป อย่าห่วงทางนี้ !!!!” สั่งเสียอะไรต่อมิอะไรจึงแยกกันไป น้ำตาของนิลไหลออกเบา ๆ มองเรือนหลังใหญ่ที่อยู่มาตั้งแต่เล็กจนโตออกเรือนได้ มองทุกอย่างภายในเวลาอันรวดเร็ว ก่อนจะวิ่งรุดพาคุณจันเมียผู้เป็นที่รักรุดลงไปที่รำเรือ
ขวับ ขวับ ขวับ !!!
เสียงฝีพายเก่าผู้เป็นคุณพี่นิลรีบขมีขมันพลันแร่นพายออกไปไกลมาก จนตอนนี้ลับจากตัวเขตเรือนมา ระหว่างนั้นพ่อนิลได้ยินเสียงดาบเสียดสีดังกระทบสีกัน รู้ได้ทันทีว่าพระนครถูกตีแตกอย่างจริงแท้
เวลาผ่านไปไม่รู้เท่าไหร่แต่ตอนนี้พระจันทร์ดวงหงายไร้กลมอยู่กลางหัวซึ่งเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน ภายในพระนคร ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือนประชาชีชน วัดวาอาราม วังหลวงกลายเป็นทะเลเพลิงที่ผลาญเดชฤทธิ์ทั่วอนาบริเวณ เสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือ เสียงดาบกระทบปรบกันยังสลั่นก้องอยู่ภายในใจ ตอนนี้พ่อนิลกับพ่อจันหนีออกมาใกล้จวนใกล้จะพ้นเขตพระนครแหล่ไม่แหล่
“เฮ้ย !!!”
เฟียง !!!
คุณพี่นิลไหวพริบหันไปปาดฟาดมีดเขาที่กลางอกพวกอังวะที่กำลังจะเข้ามาปลิดชีวิตของเมียอันเป็นที่รัก เลือดอาบมีดไปไม่รู้กี่ชีวิตต่อชีวิต แต่ไม่ใช่คุณจันที่เกือบโดนปลิดชีวาเพียงคนเดียว เมื่อคุณพี่เกือบถูกดาบฟาดฟันฟอดเข้าที่ตัว คุณจันก็แทงเสียบดาบเข้ายังฝั่งอังวะเพื่อเอาชีวิตรอด
“วิ่งไหวอยู่มั้ย ?”
“ไหวสิขอรับคุณพี่ !!!”
“เฮ้ย !!!”
คราวนี้ข้าศึกอังวะบุกเข้ามากันสามคนต่อสองคนผัวเมีย ทั้งสองรอจังหวะให้พวกอังวะรุกเข้ามา เพื่อรับปลิดชีวากันไปทีละคน หลบหลีกกันไปบ้าง สองผัวเมียรุกกลับโต้ไปบ้าง ดาบอาบเลือดไปทั้งสองเล่มผัวเมีย เพราะฆ่าไปได้ถึงสองคน แต่ยังเหลืออีกคนที่ยังฆ่าไม่สำเร็จ
“เฮ้ยยย !!!” คุณพี่นิลอกใหญ่ฟันฟาดเข้าไปที่ทหารอังวะอีกหนึ่งคน หลบหลุกมะรุมมะรุ้ม เสียงดาบปะกันหลายรอบนานหลายนาทีไม่มีหยุดหย่อน จนกระทั่งคุณพี่นิลพลาดท่าเสียทีให้กับทหารอังวะคนนั้นจนล้มลงจากแรงถีบส่งกลับให้ถอยออกมา “อึก…” โดยแรงถีบนั้นไปโดนจุดสำคัญอย่างหน้าท้อง จนลุกแทบไม่ขึ้น ทหารนายนั้นโรมรันพุ่งเข้ามา แต่ถูกคุณจันฟาดฟันโต้กลับไปจนถอยหลังลง
คุณจันลุกขึ้นโต้รุกกลับออกไปอยู่หลายนาที จนเกิดพลาดท่าที โดยถูกดาบเสียดสีผ่านเนื้อหนังที่แขนข้างซ้ายจนเกิดรอยเลือดออกมา
“อึก…” คุณจันแม้จะเจ็บจากบาดแผลที่แขนแต่ก็ยังไกลห่างจากหัวใจ จึงโต้กลับออกไปเพราะแรงโทสะจากการที่ทำให้เขาได้แผลจากดาบเล่มนั้นของทหารอังวะ สู้ปรบมือกันอยู่นานหลายทีคุณจันถูกดาบเล่มนั้นเสียดแทงเข้าที่สีข้างของหน้าท้อง “เอือก….อึก…”
“จัน !!!! โอ๊ย…..อึก…โถ่เว้ย !!!” คุณพี่นิลพยายามลุกยังไงก็ยังพาตัวเองไม่ไหว จนคุณพี่นิลถูกทับด้วยเจ้าจันที่ล้มลงพาดเหนือตัว
“อย่านะเว้ย อึกกก !!!” ทหารอังวะผู้นั้นเสียบแทงเข้าที่หน้าอกเจ้าจันที่ปกป้องผัวของคุณเธอ จนล้มลงต่อหน้าอกใหญ่ น้ำตาไหลนองออกมา คุณจันค่อย ๆ พยายามสูบลมหายใจเข้าเพื่อเยื้อลมหายใจครั้งสุดท้าย เพราะรู้ชะตาของตัวเองในตอนนี้ว่าอย่างไรก็ไม่รอดแล้ว
“จันนนนนนน !!!!! ฮึก ฮือออออ….. จันนนนนน !!!!!!” หยาดน้ำตาร้องไห้โดยไม่อายไม่สนพระจันทร์ สนอะไรทั้งนั้น กอดเข้าที่พ่อจันเมียอันเป็นที่รัก หยอดหยาหยีคนแรกที่มาทำให้เขาตกหลุมรักจากยี่สิบกว่าปีก่อนหน้านั้นที่ไม่เคยได้ไปสนิทเสน่หากับใครเลยแม้แต่น้อย เจ้าจันที่ยังอกเล็กอยู่วันยังค่ำของเขาเป็นคนที่มาทำให้เขาเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของโลกอนาคตในภาพมายา เห็นเจ้าจันเด็กรุ่นที่เกินรุ่นโหลนลื่อกับตัวเองที่เกินชั้นทวดเทียดขึ้นไป ไม่คิดว่าจะมาสนิทเสน่หารักกันจนได้แต่งงานกัน ได้อ่านกลอนบทละครหรือนิยายในยุคใหม่ เห็นการบุกเบิกของเจ้าจัน การไม่ถือยศถืออย่าง ถือเนื้อถือตัวของเจ้าจัน และการไม่ตัดสินคนอื่นแม้ว่าเขาจะทำผิดมาก่อนในอดีตก็ตาม พ่อนิลเรียนรู้อะไรจากเมียรุ่นโหลนลื่อมากมาย รักจนไม่คิดว่าเราจะมาจากกันในเวลาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น ทำไมเวลาถึงได้สั้นเสียอย่างนี้
เจ้าจันไม่กล่าวอะไร พยายามสูดลมหายใจเฮือกสุดท้ายให้มากที่สุด พิศมองใบหน้าผัวของตัวเอง โปรยยิ้มเคล้าคลุกผสมน้ำตาปนมาด้วยกลิ่นคาวเลือดที่ไม่คุ้นเคยที่ค่อย ๆ ไหลจนห้ามไม่หยุดรั้งไม่อยู่ ไม่ถึงเสี้ยวนาที เจ้าจันค่อย ๆ หลับตาลงอย่างช้า จากระพริบตาจนหลับสนิท ลมหายใจที่ไร้ลมหายใจ กายลำตัวที่ค่อยตกไปตามแรงโน้มถ่วงทีละส่วนก่อนจะหมดชะตาเสียตรงนี้ !!!!!!!
เจ้าจันค่อย ๆ เปลี่ยนจากร่างที่กลายเป็นศพใหม่หมาด ๆ ค่อย ๆ แปลงเป็นละอองสีเหลืองทองอย่างช้า ๆ เบา ๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้า และค่อย ๆ ลอยขึ้นไปจนเหนือท้องฟ้า จนทหารผู้นั้นหวาดกลัววิ่งหนีอันตรธานหายไป
เทพยาหนุ่มที่พาเจ้าจันตั้งแต่ขาอุบัติลงที่นี่ และเขาก็ได้ตามสัญญา เมื่อเจ้าจันตายแบบไม่ได้ตั้งใจอยากตาย เขาจึงต้องพากลับไปยังที่ที่จากมาทันที ภาพทุกอย่างของจันทราดับลงมืดบอดสนิทกลับไปยังที่ที่จันทราจากมา….
จวนสิบปีพี่นี้มิลืมเลือน น้องดวงเดือนศรีเรือนอ้ายนิลหนา
ถึงยามต้องนิวัตน์ที่จากมา ภพชาติหน้าขอมาเคียงอกเอย
หากเจ้าจำต้องจากตัวพี่ไป ตัวพี่ไซร้ไร้เคียงคู่ข้างเขนย
จากนี้ไปมีแค่ลมรำเพย อย่าอยู่เลยหากแล้วดวงแก้วตา…..
จิตของนิลรำพึงถึงน้องจันอกเล็กก่อนจะปลิดตัวเองด้วยดาบของตัวเองตามไป…
“ฮืด ฮือออ เฮือก….” เจ้าจันสดุ้งตื่นบนท่านอนที่อยู่บนเตียงเดิม บ้านหลังเดิม ที่นอนห้องเดิม แอร์ตัวเดิมที่ตอนนี้ตัดลงจนเสียงแอร์แผ่วเบาเหลือแค่ลมอ่อนเย็น ๆ ราวยี่สิบหกองษาประหยัดไฟ เจ้าจันมองไปรอบ ๆ ตัวบนความมืดที่ปนไปด้วยความไม่คุ้้นชินกับตัวเอง เหมือนกับว่าที่นี่เป็นที่แปลกใหม่สำหรับเขา น้ำตาไหลอาบแก้มจึงรีบปาดเช็ด พร้อมกับนึกถึงเรื่องที่ที่ตัวเขาจากมา “บ้าน่า..ฝันอะไรกินเวลาเกือบสิบปี ทั้งร้องไห้ ดีใจ มีความสุข โดนดูถูก ได้เปลี่ยนความคิดคนไปได้บ้างส่วน ทั้งยังได้..ถูกแทง บ้าน่า ฝันอะไรหรือเปล่าวะ นานมาก” เจ้าจันยังจำฝันที่ไม่รู้ว่าใช่ฝันจริงหรือไม่ที่กินเวลานานเกือบสิบปี จึงรีบวิ่งรุดไปดูโทรศัพท์ตรงปลายเตียงจากที่นอน พบว่าเวลาก็ยังอยู่ที่เดิมตอนตีสอง
“ปวดฉี่ว่ะ ไปฉี่ดีกว่า” เจ้าจันเดินไปเข้าห้องน้ำเพราะอาการปวดฉี่หลังจากตื่นนอนจากความเสมือนฝันหรือเรียกว่าอะไรก็หาไม่รู้ ระหว่างกำลังจะไปถึงโถนั่งรองขับถ่าย ด้วยความที่เขาถอดเสื้อนอนเป็นปกติทุกวัน เจ้าจันเหลือบไปบาดแผลเป็นที่แขน ที่สีข้างหน้าท้องแกร่ง และตรงหน้าอกที่ตัวเองไม่เคยมีมาก่อน “เฮ้ย…กูไม่เคยมีแผลเป็นตรงนี้นี่ว่า อย่าบอกนะ….ว่ากูไปอยู่นั่นมาแล้วจริง ๆ แล้วกลับมานอนฝัน”
เจ้าไปที่นั่นมาแล้วจริง ๆ จริง ๆ จริง ๆ
“ท่านใช่มั้ย ที่พาข้าไป ออกมาเดี๋ยวนี้นะ !!!”
ออกไปหน้าบ้านสิ สิ สิ สิ สิ
จันทรารีบรุดวิ่งออกไปหน้าบ้าน ในตอนนี้ได้ยินแค่เสียงแต่ตัวกายหยาบหาได้เห็นไม่ สื่อสารกันได้ถึงนาทีเรื่องราวทั้งหมดที่เจ้าจันทราได้ประสบพบมาจริง ๆ เรื่องราวทวนย้อนไป จะว่านี่คือฝันก็ไม่ใช่ จะว่ามันยังไง มันก็หาคำตอบไม่ได้ มันคืออะไรกัน หากตอบคำถามทั้งชีวิตก็คงจะตอบได้ไม่หมดเสียที
20 ปีต่อมา….
พ.ศ.2584
วันนี้วันเกิดของจันทราหรือจัน ซึ่งเจ้าตัวได้ใช้วันเกิดของตัวเองมานอนพักตากอากาศที่โรงแรมติดชายทะเลของจังหวัดจันทบุรีในภาคตะวันออก ความสุขของเขาอาจไม่ได้เป็นการทานเค้กซึ่งเป็นสัญลักษณ์วันเกิดเหมือนในทุก ๆ ปี แต่เป็นการได้ใช้วันเกิดของตัวเองมาพักผ่อนหย่อนใจให้กับตัวเองในหนึ่งวัน
“จะห้าสิบละ แป๊ป ๆ อีกสองปี ไอ้เจ้าเมฆาก็เหมือนกัน เด็กผู้ชายคนนึงที่เราเคยรับมาจากสถานที่รับเลี้ยงเด็กกำพร้ามาเลี้ยงดู จากเด็กห้าขวบคนนึง ตอนนี้มันเข้าเบญจเพศ ทำงาน สอบบรรจุครู สอบอะไรหลายอย่าง ตั้งแต่บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงผู้นำไป ตอนนี้ก็เป็นคุณครูไปละ ตอนนี้งานเขียนกูก็ลังรุ่งเลย….” จันทราวัยสี่สิบแปดที่นั่งหยิบรูปของเด็กคนนึงที่เป็นรูปโพลลารอยด์ในยุคหกสี่ จนตอนนี้เทคโนโลยีในแกลลอรี มีการจัดเก็บรูปภาพที่เป็นระเบียบระบบ ทำเสมือนจริงกับรูปภาพที่ถูกแขวนอยู่ในห้องนอน นอนมองรูปที่เป็นรูปเด็กชายตัวเล็กไม่รู้ประสีประสา จนโตเลี้ยงตัวเองได้ นี่คือรูปตอนที่ถ่ายกับจันทราที่สวมชุดเสื้อเชิร์ตสีขาวพับแขนและกางเกงยีนส์เดนิม ส่วนเจ้าเมฆาก็สวมชุดนักศึกษาในเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ตอนที่จับมือถือในยุคแปดสี่รุ่นใหม่ดูรูปภาพเก่า ๆ วนไป ทุกอย่างส่วนใหญ่ถูกจัดเก็บในมือถือ เวลาเปลี่ยนมือถือกันเป็นการใหญ่ ก็แค่ถ่ายโอนไฟล์ไปเครื่องใหม่ รูปไปเครื่องใหม่ อะไรทุกอย่างไปเครื่องใหม่ โดยทุกอย่างถูกจัดเก็บแยกเป็นโฟลเดอร์ตามเดิมเหมือเครื่องเก่า ที่ไม่ต้องมาคอยสร้างไฟล์โฟลเดอร์ขึ้นมาไม่ให้เสียเวลา ระหว่างนั้นก็มองมือตัวเองที่จับขอบมือถือ เริ่มมีรอยเหี่ยวย่นขึ้นมามากจากตอนอายุยี่สิบแปด นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก สกินแคร์ดีมากเท่าไหร่ จุดที่จะโรยราไปก่อนชาวบ้านโดยเฉพาะใบหน้า มือ ข้อศอกแขน เข่า และเท้าจะไปก่อนส่วนอื่น ยิ่งเป็นผู้ชายยิ่งแล้ว คอลลาเจนจะหยุดสร้างเร็วกว่าผู้หญิงเป็นปกติ ตอนนี้ครีมทามือคงช่วยประทินผิวไปได้ไม่มากก็น้อย
“คิดถึงคุณพี่นิลว่ะ เสียดายจบไม่สวย หลัง ๆ ก็พึ่งมารู้ว่า กรุงศรีฯเมืองเก่าแตก พวกพม่าหรืออังวะไม่ได้ร้ายหรอก เพียงแต่มันเห็นว่าราชสำนักอ่อนแอ โกงกันเอง ทั้งยังมาเข้ารีตกับพวกพม่ากันเองอีก สุดท้ายขุนนางพวกนั้นก็ตายที่อังวะ เพราะพม่าไม่เก็บคนทรราชไว้แน่นอนอยู่แล้ว แต่นั่นก็ช่างเถอะ ประวัติศาสตร์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากมีหลักฐานชิ้นใหม่สำคัญเข้ามาเพิ่ม ไปเล่นน้ำดีกว่า…” จันทราละรูปจากในมือถือและความคิดที่พึ่งตกผลึกเมื่อชั่วครู เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นกางเกงผ้าร่มขาสั้นสีดำเดินลงจากบันไดของโรงแรม โดยไม่ใช้ลิฟต์เพื่อการออกกำลังกาย กล้ามเนื้อกระดูกจะได้ทำงาน จะได้ไม่แก่ไปตามตายายวัย
จันทราสนุกกับการเล่นน้ำตั้งแต่ตอนเช้าจนมาถึงตอนพระอาทิตย์กำลังจะลาลับเพราะโลกหมุนรอบตัวเองไปเรื่อย ๆ จันทราชอบเล่นน้ำทะเลมาก ๆ ตั้งแต่เด็กจนโต ถึงมีคติประจำตัวว่า หากมาทะเลและไม่ได้เล่นน้ำถือว่ามาไม่ถึงทะเล ในตอนเที่ยงก็มีการสั่งอาหารทะเลเข้ามากิน อาทิ ข้าวผัด กุ้งเผา กรรเชียงปูม้า อะไรสารพัด เล่นน้ำต่อไปจนตกเย็น ได้เพื่อนผู้หญิงและชาย แต่ส่วนใหญ่จะได้ผู้ชายวัยเดียวกับเขาซึ่งเคยเป็นหนุ่มมาก่อนเมื่อยี่สิบปีจนกลายมาเป็นรุ่นวัยกลางคนในตอนนี้
ร่างอกใหญ่แถมไว้หนวดตอนนี้กำลังแช่น้ำตอนพระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า โดยนึกถือเรื่องในอดีตมายาที่เขาได้เข้าไปสัมผัสกับมัน เวลาผ่านไปนานหลายปีแต่ยังตรึงใจอยู่เสมอมา และก็ไม่ได้ร้องไห้คิดถึงเหมือนสองสามปีแรก ๆ แล้ว มีแต่ความคิดถึงและอยากพบเจอในฝันอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้ฝันถึงอีกเลยตลอดมา
“อ้าวพ่อมาเล่นน้ำเหรอครับ ?”
“เฮ้ยมาได้ไงถามก่อน ?!”
“พ่อนี่แก่แล้วลืมสิ้นเนอะ ครอบครัวสองพ่อลูกเรามีจีพีเอสตามติดไม่ใช่เหรอครับ ไปไหนรู้หมด”
“เออแล้วกูจะถามทำไมวะ ตลกตัวเองว่ะ ฮ่า ๆ ๆ”
“ว่าแต่….พ่อมาที่นี่คนเดียว….ไม่เหงาเหรอครับ ?”
“ไม่เหงาหรอก อยู่คนเดียวมีความสุขจะตาย เพราะวันนึงต่อให้เรามีคนที่เรารัก มีเพื่อนสนิท มีครอบครัว หรือมีลูกเหมือนที่พ่อมี วันนึงเราก็ต้องจากกันอยู่ดี เพียงแต่ว่าเราจะใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มค่าและมีความสุขกับมันหรือไม่เท่านั้นเอง จำที่พ่อสอนตลอดได้มั้ยครับ ?”
“จำได้สิครับ เอ่อ…แต่ผมไม่ได้มาคนเดียวนะครับพ่อ ผมมีเรื่องจะบอก..อ่า”
“เรื่องอะไรครับ ?” พ่อขึ้นมาอยู่บนทรายที่ยังติดใกล้น้ำทะเล และหันไปมองแฟนลูกชายที่เป็นผู้ชายมาเปิดตัวในวันเกิดของพ่อ เพื่อที่จะบอกว่าคนนี้คือแฟนของผม พ่อมองตั้งแต่ด้านล่างปลายเท้าไปจนถึงเส้นผมและกลับขึ้นไปมองที่ใบหน้า
เดี๋ยวนะ…นี่มัน.
“พี่นิล….”
“อะไรเหรอครับพ่อ ?”
“อ่อ !! คือเปล่าไม่มีอะไรหรอก เขาแค่หน้าคุ้น ๆ เหมือนคนที่พ่อรู้จักด้วย ว่าแต่คบกันมาได้นานเท่าไหร่ละเจ้าเมฆา”
“ปีกว่าแล้วครับ แฟนผมชื่อน้องเนตรนะครับเป็นครูผู้ช่วยด้วยกัน” จันทรามองหน้าทำความรู้จักถามไถ่ลูกชายอีกคนที่เป็นแฟนของลูกชายบุญธรรมอยู่แล้ว “รักกันให้มาก ๆ นะ มีปัญหาอะไรก็ค่อย ๆ คุยกันนะ เป็นคนรักกัน มีความรัก ก็ต้องมีปัญหาเข้ามาแทรกเป็นบททดสอบ ขอให้ผ่านไปให้ได้ รักกันให้มาก ๆ และนาน ๆ เข้าใจข้อด้อยของกันและกัน และไม่เอาข้อด้อยมาเป็นตัวทำลายความสัมพันธ์กันนะ เพราะชีวิตมันเป็นของเมฆากับของลูกเนตรเองนะ พ่อไม่มีสิทธิ์ไปบังคับหรืออะไรยังไงลูกได้ ดูแลกัน จัดการช่วยเหลือกันเองนะ”
//ขอบคุณครับ// ทั้งคู่กล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้มแห่งความโสมนัสยินดี ก่อนทั้งคู่จะลาจากกันไปเพราะจองร้านอาหารมื้อเย็นเพื่อมาทานข้าวกันไว้ ก่อนจะทำธุระอะไรของประสาเด็กวัยรุ่นกันต่อไป
ตะวันในตอนนี้ถูกน้ำทะเลหั่นเป็นครึ่งวงกลม แสงจากบริเวณโดยรอบเริ่มสีที่จางลง เพราะแสงขาวจากดวงอาทิตย์เริ่มอันตรธานเหือดหายไป หนุ่มสาวเริ่มลงมาเล่นน้ำเพื่อเก็บภาพไปถ่ายรูปมากขึ้น บางคนก็ขึ้นจากน้ำเพราะอากาศเริ่มเย็นมากขึ้นแล้ว ลมเริ่มโชยเบาลงจากตอนกลางวันที่จันทราเล่นน้ำ แสงอาทิตย์ครึ่งวงกลมสาดส่องเข้าที่ใบหน้าหนวดจนเห็นเป็นเด่นชัดมากขึ้น
จ่อม…
เสียงคนเดินลงมาเล่นน้ำเบา ๆ จันทราหันไปมองผู้ใหม่แต่ต้องหยุดชะงักเนื่องจากผู้ใหม่หน้ายังคล้ายลูกเนตรที่เป็นแฟนเจ้าเมฆาอีกเสียอย่างไรอย่างนั้น แต่คราวนี้ดูจะอีกบุคลิกนึงมาก
“คุณคือพ่อของเมฆาเขาใช่มั้ยครับ ?”
“เอ่อ….คุณคือใครเหรอครับ ?”
“ผมชื่อนิลครับ นิลวัตน์ ศรีวงศ์จันทรา อายุห้าสิบครับ เป็นพ่อของเจ้าเนตรแฟนลูกชายคุณน่ะครับ”
“เอ่อ..อ้าวเหรอครับ แล้วมีเรื่องอะไรกับ….เจ้าเมฆ…มันหรือเปล่าครับ ?” จันทราพูดติดขัดปนกับลมหายใจที่ไม่ถนัด สบตามองไปยังเส้นขอบฟ้าตรงพระอาทิตย์กับหน้าของคนที่ชื่อนิลในปัจจุบันกาลอีกคน
“ผมตามลูกชายผมกับลูกชายคุณมาน่ะครับ เขามาบอกเรื่องการคบกันของเขาทั้งคนน่ะครับ ละเขาก็บอกจะไปทะเลเพื่อไปบอกคุณที่เป็นพ่อฝั่งเจ้าเมฆา ผมเลยคิดว่าจะแอบปลอมตัวเป็นคนมาเล่นน้ำ แต่ไม่คิดว่าคุณจะมาเล่นน้ำด้วย ก็เลยหลบตรงต้นมะพร้าวต้นนั้นไกล ๆ น่ะครับ” คุณนิลผู้เป็นพ่อของเนตรแฟนเจ้าเมฆาชี้ไปยังต้นมะพร้าวไกล ๆ ซึ่งไกลมากจนเรียกว่าแอบดูได้ง่าย ๆ โดยไม่มีจับสายตาได้เลย “วันนี้มาเที่ยวกับลูกเหรอครับ ?”
“วันนี้วันเกิดผมครับ พึ่งเป่าเค้กกันไปตอนเช้ากับเจ้าเมฆ ละผมก็ออกมาเช็คอินโรงแรมข้างนอกลางานซักสองสามวันที่เป็นงานนายตัวเองน่ะครับคุณนิล”
“ขออนุญาตถามคุณหน่อยน่ะครับ แล้วภรรยาคุณไม่มาด้วยเหรอครับ”
“ผมไม่มีภรรยาน่ะครับ ผมเป็นพ่อบุญธรรมของเจ้าเมฆามายี่สิบปีได้ครับ”
“เหมือนผมเลย เจ้าเนตรก็เป็นลูกบุญธรรมผมเหมือนกัน”
“อ่อ…ครับ” จันทรามองเป็นเรื่องปกติ เพราะในเด็กเจนซีที่กลายเป็นผู้ใหญ่หันมาเป็นซิงเกิลแดดหรือมัมกันมากขึ้น บางบ้านก็เริ่มมีสองพ่อหรือสองแม่ มีความหลากหลายไม่ใช่เพียงแค่พ่อกับแม่เหมือนยี่สิบปีก่อนที่ยังเป็นวัยรุ่น
“เอ่อผมขอถา-- โอ๊ยยย !!”
“เป็นอะไรครับคุ-- โอ๊ยย !!!” จู่ ๆ ทั้งสองคนคุณนิลและจันทราก็ปวดหัวตาม ๆ กันอย่างไม่มีสาเหตุปี่ขลุ่ยเกิดขึ้น จนกระทั่งภาพในยุคกรุงศรีฯครานั้นของทั้งคู่เข้ามาในหัวตีสลับกันของทั้งคู่ คนบริเวณโดยรอบเดินขึ้นทะเลกันไปหมดเหลือเพียงสองคนที่ยืนกุมหัวเพราะอาการปวดจากความทรงจำที่เข้ามาตีในหัวจนในที่สุด
วิ๊ง……
“ฮ….ฮึก น้อง…จัน” คุณนิลได้แปรผันเปลี่ยนเป็นคุณนิลในยุคกรุงศรีฯไปโดยทันทีทันใด
“พ…พี่นิล..ฮ..ฮึก พี่นิลฤาขอรับ..” จู่ ๆ ภาษาโบราณก็ติดปากขึ้นมาอย่างไม่ต้องบอกเตือนให้รู้ว่าต้องพูด
“อกเล็กเหมือนเดิมเลยน่ะเรา….ฮึก”
“คุณพี่….น้องบอกกี่ครั้งนะ ว่าไม่ได้อกเล็ก เดี๋ยวไม่คุยด้วยเสียนี่” จันทรากำลังจะเดินขึ้นฝั่งแต่ห้ามเอาไว้โดยการจับแขนเอาไว้ก่อน
“คิดถึงพี่ฤาไม่ ?”
“คิดถึงสิขอรับ ได้เจอกันแล้วนี่ไง ไม่ดีใจเหรอหืม ?”
“ดีใจเสียยิ่งกว่าดีใจอีก”
“กระผมก็ดีใจเหมือนกัน”
ไม่รู้นะว่าการปวดหัวเมื่อกี้มันคืออาเพศหรืออีกคนความทรงจำกลับมา แต่กระนั้นก็เถิด ไปหาคำตอบให้มันก็เสียเวลา คิดถึงนะคุณอกใหญ่ คิดถึงนะคุณเจ้าของโรงกระดาษ และคิดถึงนะคุณพี่นิลของน้อง…
“ปะหน้ากันครานี้ยินดีนัก ได้ประจักษ์ดวงใจที่หนีหาย
อยากแลอยากคุยเสียมากมาย และสุดท้ายเราก็มาพบกัน
ไม่รู้อีกกี่ปีสองเราอยู่ ขอเดินคู่เคียงกันไม่หวาดหวั่น
ขอให้นานเท่านานเป็นแม้นมั่น ทุกคืนวันจนสุดท้ายบั้นปลาย” นิลกล่าว
“คะนึงหาแสนนานยี่สิบปี ตัวน้องหนีคิดถึงพี่มากหนา
แรกเริ่มสามปีแรกมีน้ำตา ฮึก… พอต่อมาเหลือแค่ความทรงจำ” จันทรากล่าว
ทั้งสองคนแย้มยิ้มให้กันนานพักใหญ่จนลืมเวลาไป ตะวันฉายส่องแสงจาง ๆ ผ่านหน้าจนแปรเปลี่ยนเป็นดวงจันทราที่แม้ว่าคืนนี้จะเป็นเดือนเสี้ยว แต่มันก็ยังเป็นเดือนที่อยู่คู่เคียงเวลาที่สองนิลจันทราอยู่ด้วยกันรวมถึงคู่รักคนอื่น ทั้งคู่พิศมองใบหน้า ก่อนจะบดเบียดจูบแทรกสอดลิ้นเข้าไปในช่องปาก แลกสัมผัส แลกน้ำลายที่เอาไว้รสเข้ากันจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวก่อนที่เจ้าจันจะเปลี่ยนเป็นท่านอนบนตักที่มีความชื้นเหนียวจากน้ำทะเลบนผืนทรายยามราตรี แสงสะท้อนจากไฟตรงร้านอาหารสะท้อนจางลงมาจนเห็นน้ำทะเลสีเขียวคลื่นตัดกับตัวฟองที่กระทบกับผืนทรายเพลินจนอีกคนผล็อยหลับตรงนั้นไปในที่สุด……..
__________________________________________________________
เรื่องนี้จะจบเร็วหน่อยนะครับ ไม่รู้ว่ารีดจะได้้ข้อคิดจากนิยายเรืื่องนี้ไปไม่มากก็น้อยนะครับ แต่ไรท์พยายามตั้งใจเขียนในทุก ๆ ตอนเวลาที่ได้ลงมือเขียน นิยายเรื่องนี้เป็นบทเรียนสำหรับไรท์เยอะมาก ๆ มีทั้งข้อผิดพลาดมากมาย มุมมอง ๆ ดีระหว่างพระนาย เป็นนิยายชิ้นที่สองที่ไรท์ได้เขียนจนจบ เพราะก่อนหน้านี้มีนิยายหลายเรื่องที่เขียนแล้วไม่เคยจบ อาจจะเพราะความใจเสาะของไรท์เองด้วยแหละ ขำกะโชคชะตาตัวเองไปอีกหนึ่งเนอะ
เรื่องต่อไปที่ไรท์จะแต่งเนี่ยที่ไรท์คิดไว้ก็คือจะไม่ใช่แฟนซีวายแล้วนะ จะเป็นชีวิตจริงเลยแล้วก็เกี่ยวกับสังคมไทยที่เกิดจากการเลี้ยงดูของครอบครัวที่ไม่พร้อม จนมันกลายเป็นปัญหาของสังคมในทุกวันนี้ ต้องคอยติดตามกันนะครับ ว่าจะเป็นเรื่องราวของอะไรกัน ขอบคุณทุกคนนะครับที่อ่านกันมาจนถึงตอนนี้ เรื่องต่อไปจะให้ทำให้เต็มที่กว่าเดิม และพัฒนาทักษะการเขียนและการพรรณนามากขึ้นครับ ขอบคุณทุกคนทุกรีดอีกครั้งนะครับ
ลงตอนสุดท้ายเมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ.2564
ฝากติดแฮชแท็กน้อย ๆ ในทวิตเตอร์ด้วยนะครับ
#อีกตัวตน มาพูดคุยมโนสาเร่กัน
ไรท์จะเปิดแท็กอ่านตลอดเรื่อย ๆ นะครับ ทุกคำติชม คำวิจารณ์ทุกคำไรท์จะเก็บไว้พินิจพิจารณาทุกคำนะครับ และรบกวนไม่ใช้คำหยาบคาย หรือคำด่าทอที่หยาบคายนะครับ
นามปากกา : SriRunhn (ศรีรันหณ์)
Twitter : teerarunhn
E-mail : teerapatthanakit@gmail.com
Facebook and Instagram Fanpage : SriRunhn
ความคิดเห็น