คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : 第一集 | ปฐมบท
5 มิถุนายน 2564 : 15.58 น. - วัฒนสุขจิตเฮาส์ ; นอกเขตตัวเมือง
“ฮ่า ในที่สุดก็เขียนเสร็จไปอีกหนึ่งตอน…” ชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดปีนามว่า ‘จันทรา’ ผมรองทรงกลาง ผิวสีน้ำผึ้งนั่งปล่อยตัวผ่อนคลายความเมื่อยล้าบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานที่มีโน๊ตบุ๊คกับโทรศัพท์สำหรับคิดพล็อตข้างกัน หลังจากการสิงร่างนักเขียนไปเป็นเวลาสองชั่วโมงกับนิยายที่เขาเขียนที่เป็นตอน ๆ หนึ่ง เขาก็ได้ยกขวดน้ำดื่มสองลิตรที่ถูกเติมน้ำตั้งแต่อรุณสวัสดิ์ยามขึ้นมาดื่มเพื่อปรับสมดุลภายในร่างกาย “ไปออกกำลังกายดีกว่า นั่งแช่นาน ๆ เดี๋ยวออฟฟิศซินโดรมจะเคาะประตูบ้านทักทาย อายุก็จะสามสิบละ ไม่ได้ ๆยิ่งแก่ยิ่งต้องดูแลตัวเอง…” จันทราเปิดประตูห้องนอนออก กดเช็คค่าฝุ่นมลภาวะที่ขึ้นเด้งแจ้งบอกว่าอากาศดี เขาจึงเปิดหน้าต่างห้องนอนสีขาวสะอาดของเขา เขาเดินไปหยิบเสื่อโยคะสีดำทมิฬนิลเข้ามาวางแผ่บนพื้นในห้องนอนใหญ่ เตรียมลำโพง และเปิดคลิปวีดีโอบนแล็ปท็อป ออกกำลังกายตามไป เพราะช่วงนี้โรคระบาดที่ชื่อว่า โคโรนาไวรัสหรือโควิดไนน์ทีนกลับมาเป็นระลอกที่สามแล้ว แม้จะเป็นต่างจังหวัดในภาคตะวันออกไม่ใช่เมืองหลวงอย่างอย่างกรุงเทพมหานครก็ตาม
.
50 minutes later……
.
“ฮ่า โล่งเลย เหงื่อท่วมซอกตูด ชุ่มตัวไปทีเดียวเลยกู… ” หลังจากเผาผลาญแคลอรี่ไปหลายร้อย จันทราได้ดื่มน้ำและหาผลไม้ตู้เย็นมายืนพิงหน้าต่างในห้องนอนกินหลังออกกำลังกายรับแสงจากด้านนอกตัวบ้าน “เออ ! เช็คแฮชแท็กดีกว่า… ตอนนี้คนอ่านน่าจะเริ่มติดแท็กกันแล้ว” เขาเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางข้างแล็ปท็อปโน๊ตบุ๊คที่เอาไว้แต่งฟิคนิยายรวมทั้งออกกำลังกาย เขาเช็คฟีดแบ็คนิยายไปพลางกัดแอปเปิ้ลไปหนึ่งคำ เขายิ้มเมื่อฟีดแบ็คที่ได้ทุกคนต่างชอบกลับมันมาก ๆ แต่มีอยู่ทวีตที่ติดแท็กนิยายของเขาทวีตหนึ่งที่ถ่ายติดเขาตอนที่เขาไปอยู่ร้านเหล้าในตัวเมืองเมื่อนานมาแล้ว
……………………………………………………………………….
<รูปโปรไฟล์> :/ @dkjdkcmkd / 12 นาทีที่ผ่านมา
ไรท์เขาเสน่ห์แรงเนอะทุกคน… ผู้ชายเข้ามารุมตั้งสองคนที่ร้านเหล้าแหนะ สองรุมหนึ่ง ตายละ…. แอบแซ่บอยู่เด้อ ตอนแรกก็ว่าจะลงดีไหม รูปมันก็นานมาละ แต่คิดไปคิดมา ลงให้รู้แล้วรู้รอดเลยดีกว่า…
< รูปจันทรากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้เคาน์เตอร์บาร์ร้านเหล้า และผู้ชายสองคนยืนอยู่ข้าง ๆ ตัวจันทราทั้งซ้ายและขวา>
Replying 1 :ในนิยายที่เขียนคือฟีลกู๊ดมาก พึ่งรู้ว่าตัวจริงคือดาวแห่งร้านเหล้าว่ะเออ
Replying 2 : กูมองไรท์ไม่เหมือนเดิมละจ้า กูรอไรท์แต่งแนวบอยเลิฟฮอตผักบุ้งไฟแดงเลย กูว่าน่าจะมีประสบพะกานไม่มากก็น้อยว่ะ ; Replying 2-1 : ไม่เอาดิเธอ ให้เขาแต่งแนวนี้ไปเถอะ ไม่แน่นะ อาจจะมีประสบการณ์เยอะจนเปลี่ยนไปแต่งแนวฟีลกู๊ดไง 555555
………………………………………………………………….
เรื่องจริงในวันนั้น……
.
.
.
29 พฤษภาคม 2562 : 23.14 น.- ดาร์กแอเรียบาร์ ; ในตัวเมืองของจังหวัด
หลังจากแอคหลุมนิรนามเก็บภาพ….
เหตุการณ์หลังจากนั้น….
“น้องเขาไม่ยินยอม มึงอ่ะมีสิทธิ์อะไรไปบังคับน้องเขาวะ” พี่ไต้ฝุ่น รุ่นพี่สายรหัสสมัยที่จันทรายังเป็นนักเรียนมัธยมปลายโรงเรียนชายล้วนออกตัวปกป้องน้องไม่ให้ผู้ชายร่างท้วมที่จะมาหวังดีประสงค์อีกทางมาเข้าหาน้องจันทราตอนนี้ร่างใหญ่เบื้องขวาและเบื้องซ้ายกำลังเชือดเฉือนข่มสายตากันเหมือนอัสนีกำลังถล่มลงจันทราที่กลายเป็นคนตัวเล็กทันทีในสถานการณ์แบบนี้ ร้านเหล้าที่จันทราไปเที่ยวพักผ่อนคือเป็นร้านที่ข้างในเป็นบาร์เหล้า บาร์นี้เป็นบาร์ที่มีเฉพาะผู้ชายเท่านั้น คนที่มาเที่ยวที่นี่ในยามรัติกาลนั้นส่วนมากหุ่นกายกำยำล่ำสัน บ้างก็ใส่เสื้อยืดจนแน่นแทบขาด บ้างก็เสื้อแขนกุดจนเห็นลอนคลื่นกล้ามและผิวที่เนียนละเอียดต้องแสงไฟเย็น ๆ ในร้าน เพราะกายหยาบของแต่ละคนนั้นเป็นคนหุ่นดีมากแทบทุกคน จันทราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ร่างกายกำยำ แต่เขาก็แพ้หุ่นของทุกคนรวมถึงพี่ไต้ฝุ่นที่ตัวใหญ่กว่าเขามาก ผิดกับสมัยเรียนที่เขากับพี่ไต้ฝุ่นนั้นตัวเล็ก เฮลตี้พอ ๆ กัน เพราะเขาไม่ได้ออกกำลังกายเน้นกล้ามเนื้อมาก พึ่งจะมาเน้นได้แค่สองสามเดือนเท่านั้น
“ทำไมวะ…. น้องเขาน่ารักน่าทะนุถนอมดี กูเลยอยากพาน้องไปลองเฉย ๆ ไม่ได้เหรอวะ”
“พี่ครับ…ผมมาเที่ยวดื่มกินพักผ่อนแล้วกลับครับ ไม่ได้มาเพื่อจะไป 'เอา หรือเมควันไนท์สแตนด์กับใครมั่วซั่วนะครับ” จันทราตอบกลับไปแบบปัญญาชนที่ใจเย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ลองดูก็ไม่เสียหายนะน้อง…”
“นี่มึงเลิกยุ่งกับน้องกูได้มั้ยวะ น้องเขาไม่ได้จะเอามึง มึงก็ระลานคนอื่นเขาไปทั่วเนอะ”
“แล้วไงมึงอ่ะ ! มึงเป็นใคร ? แฟนน้องเขาเหรอ ?!!”
“น้องเขาไม่มีแฟน แต่กูกับน้องเคยเป็นพี่น้องร่วมสายรหัสตอนมอปลาย”
“อ่อออ แค่รุ่นพี่เทค กูก็นึกว่าแฟนกันถึงหวงกันออกนอกหน้า” พี่ผู้ชายร่างท้วมใหญ่คนนั้นค่อย ๆ เมคเซ็กชวล ฮาราสเมนท์กับจันทราโดยการลูบไปที่แขนของจันทราที่มีเส้นเลือดปูดออกมาบาง ๆ ….
!!! แต่โดนพี่ไต้ฝุ่นปัดมือออกไปก่อน
“เห้ย !! นี่มึงอยากมีเรื่องเรอะไอ้สัส หลายทีแล้วนะมึงอ่ะ ยุ่งอะไรด้วยวะ กูแค่จะพาน้องไปเสร็จสมอารมณ์หมายเท่านั้นเอง”
“มึงแตะน้องกูอีกที มึงได้คลานเหมือนหมากลับไปบ้านแน่ !” ผู้ชายคนนั้นค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้าใกล้จันทรามากขึ้นแต่มีเสียงผู้มาใหม่ที่เป็นผู้ชายอีกคนที่หุ่นกำยำล่ำสันเข้ามาในร้าน
“นี่มึงนอกใจกูเหรอไอ้เหี้ย !!” ประโยคสำหรับคนมาใหม่ เป็นผู้ชายมีหนวด ร่างกายกำยำล่ำสันแข็งแรง เดินเข้ามาชกหมัดใส่ผู้ชายที่กำลังเข้ามาจีบจันทรา “มึงพูดอะไรเมื่อกี้กูได้ยินนะไอ้สัส มึงมาเคลียร์กับกูนอกร้านเลย !!”
“เธอมาที่นี่ได้ยังไง ทำไมเธอมาชุดนอนแบบนี้” ผู้ชายอีกคนที่มาใหม่ที่เป็นแฟนกัน ตอนนี้ใส่เสื้อกล้ามสีดำกางเกงขาสั้นมากที่เป็นชุดนอน โดยสภาพตอนนี้ที่ไม่ได้พร้อมจะนอน เพราะจะมีปัญหากันในอีกไม่นาน
“กูจะมาสภาพนี้แล้วมันทำไมวะ ! แล้วอีกอย่าง ผัวกูอยู่ไหนทำไมกูจะไม่รู้ คบกับกูมาตั้งนาน ก็ยังเสือกมาที่นี่ได้เนอะ ! กูได้ยินหมดเลยนะเมื่อกี้ มึงนี่เสือนักนะ คิดจะไปเอากลับน้องเขา น้องเขายังไม่เอามึงเลย…. น้องไม่ต้องกลัวนะ มันไม่กลับมาที่นี่อีกนานเลยแหละ” พี่ผู้ชายคนนั้นหันมาหน้ามาบอกจันทราพร้อมจับคอเสื้อก่อนจะหันหน้ากับชำระความกับอีกคน “และกูก็พึ่งรู้ ว่าผัวกูนอกใจกูวันนี้เต็มตากูซะด้วย” ผู้ชายล่ำสันคนนั้นน้ำตาคลอเบ้า ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นร้าน “หึหึ ดี….ก่อนที่กูจะเลิกกับมึง กูขอทำให้มึงคลานเหมือนหมาก่อนจบรักเหี้ย ๆ นี่สักที มานี่ !!!!” ชายหนุ่มกำยำดึงชายหนุ่มอีกคนออกไปข้างนอกร้านเหล้า จัดการกับผู้ชายเจ้าชู้ประตูดินคนนั้น ความรักนี่แหละน้า เวลามันสุกงอมหอมหวาน ก็น่าทานมาก เวลาหมดกลิ่นหอม เน่าบูด ก็ไม่น่ากินแล้ว มันน่ากลัวจริง ๆ นะ
.
.
พี่ไต้ฝุ่นพาน้องจันทรามาอีกมุมที่เป็นมุมเงียบของทางร้าน เป็นโซนที่แสงไฟในร้านน้อยลงกว่ากลางร้านที่พึ่งมีเรื่องกันเมื่อครู่
“นั่งลงก่อน…” พี่ไต้ฝุ่นจับแขนจันทราให้นั่งลงอย่างช้า ๆ เพราะจันทราเกิดอาการอาฟเตอร์ช็อกกับเหตุการณ์รุนแรงเมื่อสักครู่
“ขอบคุณพี่ฝุ่นมากนะครับ ที่อยู่ข้าง ๆ ผมมาตลอด” จันทราเลื่อนสายตาไปมองมือที่พี่ไต้ฝุ่นจับแขน พี่ไต้ฝุ่นค่อย ๆ คลายมือที่จับแขนลงอย่างช้า ๆ และพูดคุยสนธนาต่อ
“พี่ไม่ปล่อยให้คนที่พี่แอบชอบโดนรังแกหรอก” จันทรายิ้มเย็น ๆ ให้กับน้ำใจดี ๆ ของพี่ไต้ฝุ่น แม้จันทราจะไม่ได้ชอบพี่ไต้ฝุ่นตอบในสมัยเรียนที่พี่เขาสารภาพว่่าชอบจันทรา แต่พี่ไต้ฝุ่นก็ไม่เคยล่วงเกินเขาเลย…
“ป่านนี้พวกที่แอนตี้ผมในนิยายคงจะเก็บภาพกันเยอะแล้ว การเป็นคนที่มีชื่อเสียงแม่งไม่ได้ดีเลย บางทีตั้งแฮชแท็กด่าผมกันลับ ๆ ตัดสินกันไปมั่วซั่วโดยไม่รู้ตื่นลึกหนาบาง ไม่รู้ว่าจริง ๆ ผมคิดอะไร รู้สึกยังไง เป็นคนแบบไหน”
“จะมีคนที่่เคยอ่านนิยายของจันที่กลายเป็นแอนตี้แฟนแล้วมาร้านเหล้าด้วยเหรอ คนที่อ่านนิยาย…เขาชอบมาเที่ยวที่แบบนี้ด้วยเหรอ ?” พี่ไต้ฝุ่นถามแบบคนที่ไร้เดียงสากับคนที่ชอบอ่านนิยาย
“แบบผมนี่ไงพี่ ไม่ต้องไปมองใครที่ไหนไกลเลยพี่” จันทราพยักหน้าขึ้นที่ตัวเองเพื่อเน้นว่าเขาก็เป็นคนที่ชอบมาร้านเหล้าเพื่อผ่อนคลายอารมณ์จากการหมกมุ่นอยู่กับนิยาย “คนที่ชอบอ่านนิยาย เขียนนิยาย ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ขอบมาสถานที่แบบนี้ซักหน่อย ผมยังไปคอนเสิร์ต ไปแดนซ์จนเอวหลุด กลับมาบ้านกว่าจะหายก็ปวดก็นานหลายวัน…. อย่างที่ผมบอก ตัดสินคนแค่ด้านเดียวตื้น ๆ มันไม่ถูกนะพี่”
“เออจริง ขอโทษนะจัน… ว่าแต่ในร้านก็ไม่รู้มีคนแอบถ่ายกันไปไม่รู้กี่คน” พี่ไต้ฝุ่นมองซ้ายทีขวาทีเพราะกลัวว่าจะมีใครลุกล้ำพื้นที่ของจันทรา และจึงหันกับมาฟังจันทราอีกครั้งเมื่อไม่มีใครซุ่มแอบถ่าย
“ผมโดนมาเยอะละพี่กับคนพวกนี้ โดยมาตั้งแต่นิยายเรื่อง อะคัฟออพมายน์ เรื่องแรกที่บูมละพี่ แล้วพี่ก็รู้ว่าผมไม่ได้ปิดหน้าเหมือนกับไรท์คนอื่น หน้าตาก็เห็นชัดเจน พอนิยายผมบูม คนก็จำหน้าผมได้ คนอ่านนิยายผมก็ไม่คิดว่าจะมีคนในจังหวัดติดโผมาด้วย และก็ไม่คิดว่าจะมีคนที่เคยชอบนิยายผมแล้วเป็นแอนตี้แฟน เพียงเพราะลงนิยายช้า ทิ้งนิยาย แล้วไปตามบ่น ตามด่าผมก็ไม่ชอบนะพี่ แต่ผมก็ไม่เคยตอบโต้อะไรกลับไป… ชินชาละกับคนพวกนี้ ไม่อยากไปต่อความยาวสาวความยืดหรือฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาลให้วุ่นเป็นเรื่องแดงใหญ่โต สำหรับผม ผมว่าเอาเวลาไปทำงานที่รักต่อ รู้แค่ว่าตัวเองกำลังทำอะไร คิดอะไร รู้สึกอะไรก็แค่นั้นพอพี่”
“เนี่ย…พี่ถึงไม่เคยเลิกชอบน้องจันตั้งแต่อยู่มอปลายตอนเป็นสายรหัสกับพี่เลย น้องทั้งน่ารัก ความคิดโต เปิดกว้างทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ตัดสินใครแบบชี้เป็นชี้ตายเพราะคนไหนมีข้อเสียเรื่องเล็ก ๆ เรื่องเดียว หายากนะคนแบบนี้ นาน ๆ จะมีซักคนเข้ามาในชีวิตพี่”
“พี่อ่ะ มูฟออนจากผมได้แล้วพี่ พวกเราก็อายุไม่ใช่น้อย ๆ จะสามสิบกันแล้วนะพี่ ฮ่า ๆ” ตอนนั้นเมื่อสองปีก่อนจันทราอายุ 26 ปี พี่ไต้ฝุ่นรุ่นพี่สายรหัสอายุ 28 ปี บทสนธนานั้นไม่ได้มีความตึงเครียด เพราะจันทรารู้มาตลอดว่าพี่ไต้ฝุ่นชอบเขาตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยผู้ใหญ่ และวันนี้ที่มาเจอพี่ไต้ฝุ่นเพราะความบังเอิญประจวบเหมาะที่มาร้านเหล้าวันและช่วงเวลาเดียวกัน
“ยากนะถ้าจะให้พี่มูฟออนว่ะ…. เรื่องมันก็ผ่านมาเกือบจะสิบปีละ จันทราคิดซะว่าคืนนี้พี่ไม่ได้พูดอะไรละกัน… คุยเรื่องอื่นดีกว่า พูดถึงเรื่องนิยายที่จันแต่งอ่ะ แต่งดีทุกเรื่องเลยนะ ทั้งภาษาเอย ข้อคิดแทรก ความรู้หลังอ่านนิยายจบหนึ่งตอน พี่ชอบนะนิยายแต่ละเรื่องที่น้องแต่งอ่ะ”
“ขอบคุณนะพี่ เนี่ยผมว่าจะลองแต่งนิยายสไตล์วายพีเรียดไทยดู ไม่รู้จะมีคนอยากอ่านมั้ย คนแต่งนิยายแนวไทยพีเรียดอ่ะน้อยมาก แต่งยากมาก ต้องไปเรียนคำไวพจน์เอย คำราชาศัพท์ คำโบรงโบราณ ดีนะพี่ที่สมัยเรียนผมชอบเรียนภาษามาก โดยเฉพาะภาษาไทยตอนมอปลาย เลยพอซึบซับคำมาได้บ้าง ก็ว่าจะลองแต่งดูนะ พี่ต้องไปลองอ่านด้วยนะ นี่เป็นคำสั่งจากน้องจันทรา !!”
“ฮ่า ๆ ได้สิ แล้วพระเอกนายเอกลักษณะรูปร่างแบบไหนเหรอ ?”
“คล้าย ๆ เราสองคนเลยพี่ พระนายหุ่นกล้ามปูเหมือนผมกับพี่นี่แหละ หน้าตาคมคายเข้มนิลทั้งคู่ แต่นายเอกน้องแปลนไว้ว่าเวลายิ้มจะออกหวาน ๆ ต่างจากพระเอกที่ยิ้มยาก แต่เวลายิ้มทีจะยิ้มพอเย็น ๆ เหมือนแป้งตางูอ่ะพี่”
"แป้งตางู ฮ่า ๆ เออชอบการพรรณาซะเห็นภาพเลย แต่พี่ไม่รู้พี่จะอ่านได้คล่องหรือเปล่านะ จันน่าจะรู้ว่าพี่ชอบเรียนคณิตศาสตร์กับฟิสิกส์ ไม่ได้คล่องภาษาเหมือนน้องมาก เวลาอ่านพี่คงจะต้องเตรียมพจนานุกรมเล่มหนา ๆ ข้างตัวพี่ละ”
“เห็นนะจริงดังว่า…. ขอบคุณนะพี่ ตอนนี้ผมต้องกลับบ้านละครับ เดี๋ยวจะนอนเช้าอีกถ้ากลับหลังเที่ยงคืน พรุ่งนี้ต้องแต่งนิยายตอนใหม่อีก"
“ให้พี่ไปส่งที่บ้านเปล่า ?”
“เออใช่พี่ วินก็น่าจะหมดละ เพราะผมนั่งรถส่งจากตัวตำบลขึ้นมาจัน ตอนนี้น่าจะหมดรอบละ ถ้าอย่างงั้น รบกวนพี่ด้วยนะครับ”
“ปะ กลับบ้านกัน”
คืนนั้นพี่ไต้ฝุ่นก็มาส่งจันทราที่บ้านที่นอกตัวเมืองปกติ แล้วพี่เขาก็ขับรถกลับไปตัวเมืองเหมือเดิม ไม่ได้ไปมีวันไนท์สแตนด์หรือไปทำหกเก้าอะไรกันอย่างที่แอคมืดในทวิตเตอร์บอกเลย….
>>>>>>>>>>
ตัดกลับมาที่ปัจจุบัน ปี 2564
“ไอ้สัตว์เอ้ย เรื่องก็ผ่านไปนานละ ช่วงอาทิตย์แรก ๆ มันเงียบไม่ลงทวีตกัน ไม่รู้กลัวอะไรหรือเกรงใจกูหรือเปล่ากูไม่รู้นะ แต่กูไม่คิดว่าเรื่องมันผ่านมาสองปี มันพึ่งจะเอามาลงกัน แล้วก็ตัดสินกันกูกันไปต่าง ๆ นานา เห้อออ….ครั้นจะไปทวีตบอกในแฮชแท็ก เดี๋ยวก็หาว่ากูออกมาอ้างพรู๊พตัวเองอีก ทั้งที่อยากจะพูดความจริงอยู่เต็มอก ช่างแม่งไปตลาดนัดแถวบ้าน ซื้อผักซื้อไก่มาทำกับข้าวกินมื้อเย็นแล้วนอนดีกว่า….” เมื่อบ่นอะไรต่อมิอะไรเสร็จ จันทราก็เตรียมอาบน้ำแต่งตัวไปตลาดนัดแถวบ้านซื้อผักซื้อเนื้อมาเตรียมทำอาหาร “พี่ไต้ฝุ่นก็ไม่ได้คุยกันเลยตั้งสองปีตั้งแต่เรื่องวันนั้น ปกติจะชอบทักแชทมาหาตลอด แต่นี่กลับหายไปสองปี ป่านนี้มีหวานใจเคียงแนบอกละมั้ง”
.
.
.
21.39 น. ย่ำยามรัติกาลที่ 1 ก่อนห้วงภวังค์นิทรา
‘ยามใดเธอแย้มหวาน พี่ก็ปานใจสั่นไหว หากน้องจำต้องไป ดวงหทัยคงมลาย หากน้องได้ยลอยู่ ขอให้รู้พี่ใจหาย ตัวพี่คงตรอมตราย หากอกเล็กต้องจากไป’ กาพย์ยานี ๑๑ ที่ท่านเจ้าคุณแต่งให้น้องนิล ก่อนที่น้องนิลจะกลับไปยังปัจจุบันกาลและไม่หวนกลับมาในอดีตกาลนี้อีกต่อไป กาพย์ยานีอันนี้เป็นแบบสัลลปังคพิสัยหรือแบบเศร้าโศก เสียใจ แสดงถึงความรู้สึกของพระเอกที่มีต่อนายเอกที่จะต้องกลับไปยังโลกที่จากมา
“โห เศร้าว่ะ น้องเพทายของกูจะไปละ จบดราม่าแน่เลยกูว่า แล้วคืนนี้กูจะนอนหลับได้มั้ยคืนนี้ หมอบอกว่าถ้าอ่านหนังสือที่มีประโยคชวนเศร้าด่ามาตีประตูบ้านก่อนนอน จะฝันร้าย เอาไงดีวะ อ่านต่อไม่ไหว ตาจะปิดละด้วย” จันทราใช้ที่คั่นหนังสือทับลงหน้าหนังสือนิยายวายพีเรียดเล่มหนึ่งที่เกือบจะถึงหน้าสุดท้ายของนิยายอีกไม่กี่สิบหน้า ปิดหนังสือและวางลงไว้ขางเตียงนอนสีขาวคิงไซส์ไร้คนข้างกาย “ขอให้กูจำไม่ได้ว่าเมื่อคืนฝันร้ายอะไรกัน ห..หาววว เฮยย…ง่วง กูงอนคนเขียนละ จบแบบสีเทาหม่น ๆ…”
หลังจากอาการง่วงเหงาหาวนอน และอาการของจันทราจบลง
จันทราก็ต้องลงห้วงนิทราภวังค์หลับไปเพียงไม่กี่สิบนาที
.
.
.
.
02.58 น. - หลังยามวิกาลเพลา ราตรีเริ่มเคียงรุ่งสาง ร่างหนุ่มวัยพ้นเบญจเพสมีอาการตัวไหวสั่นและมีอาการฝันหรือ REM (Rapid eyes movement ; Rem Sleep) , จันทราตัวสั่นไหวเหมือนไข้ขึ้น พลิกตัวไปพลิกตัวมา บ้างก็จับหัวของตัวเอง เพราะเสียงพูดปนเสียงร้องไห้ดังขึ้นทุก ๆ คำ ทุก ๆ อักขระอักษร
‘มีอยู่สองทางให้เจ้าเลือก ระหว่างป่าพนาไพรเขียวชอุ่มชุ่มขจี แล ทะลสีครามเฉกนภาไร้เมฆา เจ้าต้องเลือกเดี๋ยวนี้ !’ ผู้ชายในฝันลึกลับคนหนึ่งใส่ผ้าบดบังใบหน้าจนมองไม่เห็นใบหน้าจริง ๆ เห็นแค่เรือนกายแกนกลางลำตัวที่เอวคลอดและมีสันเกียวหน้าท้อง ส่วนท่อนล่างนุ่งผ้าโจงกระเบนลายไทยสีแดงยาวถึงเกือบตาตุ่มไม่รัดรูป
‘พี่เป็นใครกันทำไมผมต้องเลือกด้วย !’
‘เจ้าไม่มีทางเลือกนะจันทรา เลือก !’ รู้ได้แม้กระทั่งชื่อกูอีก
‘เลือกอะไรยังไง ถ้าผมเลือกไปป่ามันจะเป็นยังไง และถ้าผมเลือกไปทะเล มันจะเป็นยังไงครับ’
‘ไม่บอก เจ้าเลือกแล้วเจ้าได้เข้าไปเผชิญตรงนั้น เจ้าจะทราบรู้ได้เอง ข้าบอกตอนนี้ข้าเกรงว่ามันจะทำให้เจ้าหมดความรื่นรมณ์เสียก่อนที่จะไปที่นั่น’
โถ่เว้ย แล้วกูเลือกอะไรได้มั้ย เลือกที่จะไม่ไปก็ไม่ได้ ?! ไปป่าละกัน จังหวัดที่อยู่มาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยก็เป็นทะเล ขึ้นป่าดงพงไพร….ก็ไม่เสียหาย เอาก็ได้วะ ‘ป่า’
‘นี่คือคำตอบสุดท้าย ข้าถือว่าเจ้าเลือกแล้วนะ กฎมีอยู่ว่า เจ้าเข้าไปอยู่ในนั้น จะมีคนมาช่วยเจ้า เป็นผู้ชายหุ่นล่ำสันกำยำพอ ๆ กับเจ้าเลย เจ้าจะตื่นจากภวังค์ฝันนี้ได้ก็ต่อเมื่อเจ้า ตาย เท่านั้น หากเจตนาฆ่าตัวตายหรือตั้งใจให้คนฆ่าเจ้าเอง จะถือว่าไม่ตาย และจะต้องอยู่ที่นั่นจนกว่าจะตายจริงแท้ ข้ารู้แน่ ข้าจะคอยดูเจ้าอยู่ตลอด เจ้าทำอันใดข้ารู้หมด’
ความไพรเวทหายเกลี้ยงเลยกู…
‘โอ๊ย โอ๊ยยยยยยยยยยย’ จันทราเอามือบังแสงที่ค่อยเปล่งโชตมาตรสว่างสุกใสไปจนตานั้นรับแสงไม่ไหว ระหว่างนั้นที่กำลังไปสู่ป่าพนาไพร ตัวของจันทราเหมือนโดนลมตีตัวแรงพอ ๆ กับพายุโซนร้อนที่ความเร็วมากมายมหาศาลเกินจะประมาณได้ จนไม่นานแสงสีขาวก็ค่อย ๆ จางลง
.
.
.
ร่างของจันทราค่อย ๆ ถูกวางลงที่พื้นหญ้าในป่าพนาไพรที่ตอนนี้ไม่ได้นิ่งเงียบสงัด แต่มันมีคนใส่ผ้าโพกหน้าสีเทากับคนใส่ผ้าโพกหน้าสีเลือดหมูคล้ายทหารกำลังสู้รบกัน หลายร้อยคนในบริเวณป่าตรงนั้น
“ไอ้เหี้ย มึงพากูมาที่ไหนเนี่ย !!” เสียงดาบที่ฟาดเฉือนตีรันฟันแทงกันไปมา บ้างก็เลือดสาดอยู่แต่ไกลอีกฟากนึง ตอนนี้จันทราหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ที่มีทหารนอนตายเกลื่อนหน้าจันทรา “มันแต่งตัวคล้ายละครไทยสมัยกรุงศรีจังวะ ยุคไหนวะ นเรศวรหรือสุริโยไทวะ” จันทราหันไปมองหลังต้นไม้ที่ทหารร้ายนายกำลังทำศึกระหว่างฝ่ายข้าศึกและฝ่ายตั้งรับ “เป็นไงเป็นวะ ตายก็ตายวะ กูจะได้กลับไปสดุ้งตื่นจากฝันบ้า ๆ นี่ซักที” จันทรามองลาดเลาที่จะวิ่งหนีไปป่าที่ตรงนั้นไม่มีใครอยู่ จันทราทำท่าเหมือนนักกรีฑาที่กำลังเตรียมออกวิ่ง แม้จะไม่ได้เป็นนักวิ่งเป็นอาชีพ
!! >>>>>>>>>
“เห้ย !” ทหารโพกผ้าสีเทาที่กำลังสู้รบกันพัลวันวุ่นวายอยู่นั้น สังเกตเห็นจันทราที่กำลังวิ่งหนีไปอีกทาง จึงละทิ้งศึกสงครามที่ทหารผู้นั้นกำลังเผชิญอยู่ตรงหน้าและวิ่งตามจันทราไปแทน
.
.
“หยุดเดี๋ยวนี้นะเว้ย !!!”
“ไอ้เหี้ยเอ้ย กูจะหนีทำไมวะ ทำไมกูไม่ให้ไม่ฆ่าตาย แต่ทำไมกูต้องหนี แล้วกูหนีทำไม … เห้ย !! แล้วกูจะพูดวกไปวนมาทำไมวะไอ้ห่าเอ้ย !” สัญชาตญาณการวิ่งหนีนั้นควบคุมจันทรามากกว่าการยอมโดจ้วงแทงเฉย ๆ ตอนนี้อดรีนาลีนตัวของเขาหลั่งออกมามาก ทั้งพูดและวิ่งนั้นไม่มีเสียงหอบเหนื่อยอะไรเกิดขึ้น เขาเป็นคนที่ออกกำลังกายนาน อาจจะชินกับการวิ่ง แต่พอมาวิ่งหนีบวกกับฮอร์โมนส์อดรีนาลีนนั้นช่วยให้การวิ่งมีประสิทธิผลมากขึ้นไปอีก จันทรามองหลังไว ๆ พลางหันกลับมองไปยังจุดหมายตรงหน้าเรื่อยที่ไม่รู้จะวิ่งหนีไปไหน ตอนนี้ทหารพูกผ้าสีเทาวิ่งล้าหลังตามเขาไม่ทันเสียแล้ว แต่ทว่า
!!!
บุรุษหนุ่มหน้าตาคมคายฉกรรจ์ เปลือยท่อนบนเห็นสันคลื่นบริเวณหน้าท้อง หน้าอกใหญ่โต และใส่โจงกระเบนสีเลือดหมูอมน้ำตาลสั้นถึงง่ามขาหนีบมุ่งดาบสะท้อนแสงภากรชี้เป้ามาตรงเขา ทำให้การวิ่งของจันทรานั้นหยุดลงทันทีแบบไม่มีเหตุผล จันทราค่อย ๆ นุ่งขุกเข่าและยกมือลง อาหารสั่นเทาที่แสดงออกมาในกายหยาบของเขานั้นเริ่มแดงกระจ่างมากขึ้น อัสสุชลเหงื่อค่อย ๆ ขึ้นเป็นเม็ดตกตามแต่งโน้มถ่วงไปทีละเม็ด
กูจะกลัวทำไมวะ กูจะตายแล้วไม่ใช่เหรอ จะได้ตื่นได้แล้วไง
บุรุษหนุ่มคมคายฉกรรจ์ผู้นั้นค่อย ๆ เดินมาหาเขาเรื่อย ๆ ดาบใกล้ตัวเขาขึ้นเรื่อย ๆ Social distancing ค่อย ๆ แคบลงเรื่อย ๆ อย่างช้า ๆ
ทำไมตัวมันแข็งลุกหนีไปไม่ได้วะ คล้ายกับว่ากูถูกล็อคแช่แข็ง ไอ้เหี้ยวิ่งดิจัน วิ่งดิจัน
ดาบตรงหน้ามาหยุดที่เขานิ่งสนิท บรุษหนุ่มใบหน้าคมคายฉกรรจ์ผู้นั้นมองหน้าเขาสำรวจยลมองตั้งแต่หัวศีรษะจนถึงปลายเท้า แต่มองตรงบริเวณขาหนีบมากขึ้น และบุรุษหนุ่มผู้นั้นคุกเข่าขวาลงพร้อมกับเอามือพักลงที่เข่าซ้ายที่ตั้งขึ้น พินิจพิจารณา หยิบจับกางเกงขาสั้นยี่ห้อหนึ่งที่เขาใส่ เวลานอน จันทราชอบใส่กางเกงขาสั้น ไม่ใส่เสื้อนอน เพราะขี้ร้อนมาตั้งแต่เด็ก
?
=/
ชายผู้นั้นเลิกคิ้วขึ้นจนขึ้นรอยย่นบริเวณหน้าผากจาง ๆ ก่อนจะมองไปที่จันทราที่ตัวสั่นเทา ก้มหน้าหันไปทางซ้ายไม่สบตากับคนตรงหน้า
“ลุกขึ้น !!!” จันทราสดุ้งเหมือนโดนไฟดูดก็ไม่ปานทันที เมื่ออีกฝ่ายนึกจะพูดก็พูดขึ้นจนไม่ทันตั้งตัว
อะไรวะ พูดไม่ให้สุ่มให้เสียง !!
“….ฆ่ากูเดี๋ยวนี้ให้ตายไปเลย กูอยากตื่นแล้ว กูไม่อยากฝันแล้ว !!” จันทรารวบรวมใจอยู่นาน จนตัดสินพูดให้รู้แล้วรู้รอดออกไป หลังพูดจบประโยคสักชั่วขณะ เขาก็นึกถึงคำพูดที่ผู้ชายลึกลับคนหนึ่งที่พาเขาเข้ามาที่นี่
เจ้าจะตื่นจากภวังค์ฝันนี้ได้ก็ต่อเมื่อเจ้า ตาย เท่านั้น หากเจตนาฆ่าตัวตายหรือตั้งใจให้คนฆ่าเจ้าเอง จะถือว่าไม่ตาย และจะต้องอยู่ที่นั่นจนกว่าจะตายจริงแท้ ข้ารู้แน่ ข้าจะคอยดูเจ้าอยู่ตลอด เจ้าทำอันใดข้ารู้หมด
โถ่เว้ย เรื่องเหี้ยอะไรกันวะเนี่ย !!
“เห้ย !!” จันทราเห็นไปเห็นคนใส่ผ้าโพกสีดำวิ่งพุงมาทางด้านหลัง บุรุษชายที่เขาจับตัวเขาไว้นั้นละจากเขาและหันไปยืนจังกากับทหารชายโพกผ้าสีเทาตรงหน้าทางด้านหลัง สถานการณ์ตอนนี้ตึงเครียดอีกครั้ง บุรุษชายผู้นั้นดึงจันทราเข้ามาให้หลบอยู่ด้านหลังของเขา ในตอนนี้ระหว่างบุรุษชายที่เขากำลังหลบ กับทหารที่โพกผ้าสีเทาค่อย ๆ สังเกตท่าที หมุนตัวเป็นวงกลมเตรียมพุ่งเป้าไปยังเป้าหมายเพื่อหมายจะปิดชีวาให้ตายสิ้น
!!!
ฝ่ายทหารโพกผ้าสีเทารุกเข้ามาก่อน บุรุษหนุ่มผู้นั้นตั้งรับทันควันอย่างคล่องมือชาญศึก ใช้เท้าเตะหน้าท้องจนทหารผู้นั้นล้มลงกลิ้งไปกับพื้น ตอนนี้จันทราวิ่งไปหลบต้นไม้ไกล ๆ เพื่อจะไม่โดนลูกหลง อีกทางนึงก็กำลังฟาดฟันดาบเสียงดังไปทั่วบริเวณ จนกระทั่งบุรุษชายผู้นั้นใช้แขนรัดคอทหารผู้นั้นไม่ให้มีอากาศหายใจและจ้วงดาบปาดคอของทหารผู้นั้นแบบไม่รอเวลาให้ผ่านแม้วินาที จนมีสีแดงฉานจากโลหิตกระเซ็นกระเด็นใส่หน้าอกแผงใหญ่ของบุรุษชายผู้นั้น
หลังจากนั้น บุรุษหนุ่มผู้นั้นปาดเลือดแบบลวก ๆ ไม่ทันหมดจากตัว และเขาก็เดินเข้ามาจับมือจันทราแบบวิสาสะไม่พูดอะไรต่อ กลิ่นคาวโลหิตปนเคล้าหยาดเหงื่อรวมทั้งกายตีกัน จนจันทราได้กลิ่นแต่ไม่ได้แสดงอาการหรือสีหน้าอะไรออกไป
“จะพาผมไปไหนคุณ ทำไมไม่ฆ่าผมตอนนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยล่ะ !!” บุรุษผู้นั้นหันหน้ามามองที ก่อนจะจับมือและพาวิ่งออกไปจากตรงนี้ทันที
“ทำไมถึงอยากตายนัก เอ็งบังคับให้ข้าฆ่าเอ็ง เทียวแรก ข้าจ้องเองอยู่นานสองนานรอที่จะจัดการเอ็งให้รู้แล้วรู้รอด แต่พอเอ็งพูดอยากตาย ข้าว่าข้าไม่อาจฆ่าเอ็งได้ว่ะ” บุรุษหนุ่มวิ่งไปจับมือของจันทราบีบแน่นไม่ยอมให้หลุด ในขณะที่วิ่ง ก็ไม่มีทีท่าว่าเขาจะหอบเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย พูดเหมือนคนวิ่งไตรกีฬามาก็ไม่ปาน
“ก็ผมบอกไงว่าให้ฆ่าผมไปเลย จะพาผมไปไหนกันแน่ !!”
“ไปที่เรือนข้าก่อน ศึกพระเจ้าอลองพญาครานี้ยังไม่เงียบสงบ”
ศึกพระเจ้าอลองพญาเหรอ คุ้น ๆ เว้ย อาจารย์จิดาภาที่สอนวิชาประวัติฯครับ เข้ามาในหัวผมทีครับ ผมลืมแล้ว…
เขาค่อย ๆ หลับตาลงและวิ่งไปแบบไม่ตอบคำถามบุรุษผู้นั้น….
.
.
“ถ้าไม่อยากฟังแล้วหลับ ลองจดในสิ่งที่ครูพูดก็ได้นะ จดพอเข้าใจสั้น ๆ เวลาฟังจะไม่ได้หลับ ครูเล่าแล้วนะ ; ในกรุงศรีอยุธยาเคยเสียกรุงครั้งที่หนึ่งและสอง สมัยที่หนึ่งในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา ราชวงศ์สุโขทัยมีการเสียกรุงศรีฯ ให้กับพวกหงสาวดี หงสาวดีเทียบได้ตอนนั้นคือพม่านะนักเรียน เพราะคนกรุงศรีเขาเรียกพวกพม่าว่า หงสาวดี และสมเด็จพระนเรศวรหรือองค์ดำ ท่านก็ได้ไปกู้เอกราชกรุงศรีคืนมาได้ อยุธยาจึงกลับมาสงบร่มเย็นอีกครั้ง พอวันเวลาบินโรยผ่านไปเป็นศตวรรษเนี่ย กรุงศรีร้างศึกร้างสงครามมานาน ทหารเนี่ยไม่ตั้งใจขยันฝึกซ้อม เอาแต่สำราญสบายใจ หลงระเริงกับหญิงงาม เหล้าสุรา ไม่ฝึกซ้อม คิดว่าร้างศึกและสงบ จนกระทั่งมาช่วงกรุงศรีอยุธยาตอนปลายผ่านมาร้อยกว่าปี จนถึงราชวงศ์บ้านพลูหลวง ยุคสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์หรือพระเจ้าเอกทัศน์ที่เป็นคิงคนสุดท้ายเนี่ย ในบั้นปลายสมั้ยนั้น หนอนบ่อนไส้ในกรุงศรีมีเยอะมาก บ้างก็เป็นไส้ศึกคอยส่งข่าวให้พวกอังวะ บ้างก็ไปเข้ากับพวกของพม่า บ้านเมืองถึงคราวกลียุคในตอนนั้น ทหารเนี่ยคนเก่งมีน้อย คนขี้เกียจมีมาก ขุนนางในวังก็คิดว่า ฤดูน้ำหลากช่วงฤดูฝนพม่าจะเข้าไม่ได้ แต่ก็เข้ามาได้เพราะความชะล่าใจขุนนางอีกส่วนหนึ่ง จนทำให้กรุงศรีอยุธยาเนี่ยตีแตกเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2310 หรือ จ.ศ.1129 ในยุคพระเจ้ามังระของพม่า เแต่ก่อนจะเสียกรุงเนี่ยในปี 2310 ก่อนหน้านั้นก็เคยเกือบจะเสียกรุงจริง ๆ ตอน พ.ศ.2303 หรือ จ.ศ. 1122 นะ ตอนนั้นพ่อของมังระยังไม่ตายไง เลยยกทัพมาเอง แต่โชคดีที่คราวนั้นพ่อมังระที่ชื่อ พระเจ้าอลองพญา ยกทัพมาเอง แต่ก็สวรรคตเพราะปืนใหญ่ระเบิด จึงถอนทัพกลับมา” อาจารย์จิดาภาพูดเล่าเรื่อง โดยนักเรียนทุกคนจดเลคเชอร์ระหว่างฟังตามคำแนะนำของอาจารย์ แต่นายจันทราภัทรในตอนนั้นกลับหลับลงบนโต๊ะเรียน
ในตอนนั้นจันทราง่วงเหงาหาวนอน เพราะเมื่อคืนปั่นการบ้านของวิชาหนึ่งจนต้องนอนตีหนึ่ง จันทราชอบวิชาที่เกี่ยวกับภาษาและสังคม แต่อาการง่วงเหงาหาวนอนอ่อนเพลีย เพราะนอนไม่พอก็เอาชนะความสนใจในคาบเรียนวิชาโปรดมลายสิ้นไปในทันที
“จันทราภัทร….ตอบคำถามครูให้เพื่อนทั้งห้องหน่อยได้มั้ยคะ ว่าก่อนที่เราจะเสียกรุงศรีฯ ครั้งที่สอง ในปีพ.ศ.2310 ก่อนหน้านั้นเราเกือบเสียงกรุงศรีก่อนหน้านั้นในปีพ.ศ.2303 ใครเป็นคนทัพมาตรีกรุงศรีคะ ?” จันทราสดุ้งตกใจตื่นพร้อมขยี้ตาพร้อมฟังคำถามจากอาจารย์แบบคนพึ่งตื่นจากการหงีบหลับในห้อง
“ไม่รู้จริง ๆ ครับ ขอโทษด้วยครับ พอดีผมมัวแต่ทำการบ้านจนไม่ได้หลับได้นอนครับ”
“พระเจ้าอลองพญาจ้ะ….. ไม่เป็นไร ๆ ไปล้างหน้าให้สดชื่นก่อน แล้วออกไปนั่งพักหน้าห้องตากลมเย็น ๆ นะ มองวิวไกล ๆ อยู่นอกห้องไปเลยนะ นั่งเรียนต่อเดี๋ยวครูว่าหลับแน่ ๆ…. งั้นเอาอย่างงี้ เดี๋ยวครูทำสรุปเรื่องที่สอนคาบนี้วันนี้ไปให้จันทราภัทรนะ จะได้เรียนทันเพื่อน ๆ ด้วย ไม่เข้าใจตรงไหนเดินมาถามครูที่ตึกสังคมได้เลยนะ จันทราภัทรไม่ต้องรู้สึกแย่นะ สมัยครูเรียนก็เป็นแบบเธอเลย ครูเข้าใจ”
!!!
ภาพตัดกลับมาตอนที่จันทรากำลังถูกจับมือให้วิ่งตาม จันทราวิ่งไปพร้อมนึกในใจไปพลางตามกัน
เหี้ย… หลงมายุคไหนไม่หลง มาเสือกเป็นยุคสิ้นกรุงศรีด้วย เอาละทีนี้กู บ้านเมืองโกลาหลวิบัติกลียุคมาเต็ม ๆ เศรษฐกิจในยุคนั้นเละเทะ ข้าวยากหมากแพง คนเตรียมขุดหลุมฝังสมบัติกันเป็นพรวน….
กูว่าไม่ได้กูอาจจะไม่ได้ฝันละ ทั้งกลิ่น สัมผัส ความรู้สึก หรือกูเจอฝันแบบใหม่วะ… ถ้าแม่งเป็นฝันแบบใหม่ที่มาแบบนี้นะ กูคงจำได้ไม่มีวันลืมอ่ะ
แต่มันจะเรียลขนาดนี้จริงเหรอวะ….
TBC >>>
ลงเมื่อวันที่ 7 / 06 / 2564 เวลา 01.28 น.
แก้ไขครั้งที่ 1 : ยังไม่มี
__________________________________________________________
เก็บตกหลังการยลนิยายตอนที่ ๑
เสริมความรู้วันละนิดนะครับ***
1.นิยายที่น้องจันทราได้อ่าน ตอนที่เป็นบทกาพย์ยานี ๑๑ คือ ไรท์แต่งกลอนขึ้นมาเองสด ๆ ตอนนั้น สัลลปังคพิสัยคือเป็นรสวรรณดีในภาษาไทยครับ รสวรรณคดีในภาษาไทยจะมี 4 รส
1.1เสาวรสจนี คือ การชมโฉมกาย ชมธรรมชาติ ชมนกชมไม้ ชมความงดงามอะไรก็ได้ครับ
1.2นารีปราโมทย์ หรือยอดชายปราโมทย์ คือจริง ๆ คือนารีปราโมทย์ถ้าใครเคยเรียนภาษาไทยนะ แต่ในเมื่อนิยายเรื่องนี้เป็นนิยายวาย ไรท์เลยเปลี่ยนจากนารีปราโมทย์เป็นยอดชายปราโมทย์แทน เพราะนารีคือผู้หญิง ไรท์ก็เลยเปลี่ยนให้ตรงตามประเภทของนิยาย รสวรรณคดีนี้ใช้แต่งกลอนตอนที่พระนายมีการเกี้ยวพาราสีกัน โล้สำเภาหรือเล่นสวาทกันนั่นเอง ; เล่นสวาท ใช้กับชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย มันจะมีคำว่า ‘ลูกสวาท’ มาเพิ่มอีก แปล่า ผู้ชายที่เป็นนายบำเรอ และอีกคำที่ไรท์เสริมให้ก็คือคำว่า เล่นเพื่อน แปลว่่า หญิงกับหญิงมีเพศสัมพันธ์กัน
1.3พิโรธวาธัง อันนี้ทุกคนน่่าจะเดากันได้ เพราะเรียนคำราชาศัพท์กันมา นั่นก็คือ โกรธนั่นเอง รสวรรณดีในกลอน อารมณ์จะประมาณว่า โกรธเคือง ไม่พอใจ โมโห
1.4สัลลปังคพิสัย ที่ไรท์ได้แต่งกลอนไปตรงกลางเรื่องถ้าใครอ่านนะ ประมาณว่าโศกเศร้าเสียใจ มีการร้องไห้ ละเมอคิดถึงกันเกิดขึ้น อาจจะเป็นการเศร้าที่คน ๆ นึงต้องลาจาก เสียชีวิต หรือพูดให้ช้ำใจ
เอาง่าย ๆ ถ้าตอนไหนมีการแต่งกลอนไรท์ก็จะรู้ว่า กลอนนี้รสวรรณดีคืออันไหน หรือว่ารสวรรณคดีมีรวม ๆ กัน เป็นความรู้เพิ่มเติมนะครับ
ยกตัวอย่างกลอนในเรื่องนี้ ถ้าใครยังอ่านแล้วจำกลอนได้นะครับ
‘ยามใดเธอแย้มหวาน พี่ก็ปานใจสั่นไหว หากน้องจำต้องไป ดวงหทัยคงมลาย หากน้องได้ยลอยู่ ขอให้รู้พี่ใจหาย ตัวพี่คงตรอมตราย หากอกเล็กต้องจากไป’ กลอนประตูของไรท์เอง ฮ่า ๆๆ คือกลอนนี้ไรท์ตั้งใจแต่งเป็นยอดชายปราโมทย์ แต่มันดันไปรวมสัลลาปังคพิสัยในตอนท้ายที่มันเศร้า ๆ ด้วย สรุปคือหลายรสชาติ กล่มกล่อมเลยจ้ะ
ป.ล. บางครั้งในกลอนบทหนึ่งไม่ว่าจะเป็น กาพย์ยานี ๑๑ สุรางคนางค์ โคลง หรืออะไรก็ตามนะ บางครั้งจะมา
รสวรรณคดีในหลาย ๆ บท ๆ หลาย ๆ บาทก็มีนะ ลองฝึกแต่งกลอนด้วยกาพย์ยานี ๑๑ กันดูนะ มันง่ายมาก ครูภาษาไทยท่านนึง ขออนุญาตพูดชื่อนะครับ อาจารย์ปาดวาดบอกว่า ฉันท์ จะแต่งยากสุด กาพย์จะง่ายมาก ๆ ใครที่ชอบเรียนภาษา ตัวอักษร เหมือนกับไรท์ ว่าง ๆ เรามีกระดาษที่เป็นกระดาษเหลือเอามารียูสฝึกสมองประพันธ์กลอนกันนะ ช่วยสิ่งแวดล้อมและก็สมองก็จะได้ทำงาน ฝึกสมองไปอีกอย่าง แต่ถ้าไม่ใช่สายแต่งกลอนแบบไรท์ก็ไม่ว่ากันนะครับ เพราะความชอบของทุกคนนั้นไม่เหมือนกัน
ป.ล.2 รีดเดอร์ทุกคนสามารถคอมเม้นติชมการเขียนของไรท์ได้นะครับ แย้งได้ทันทีถ้าเกิดข้อมูลที่ไรท์เขียนในนี้ผิดพลาดหตกหล่น หรือว่าใช้คำผิดนะครับ
ฝากติดแฮชแท็กน้อย ๆ ในทวิตเตอร์ด้วยนะครับ
#อีกตัวตน มาพูดคุยมโนสาเร่กัน
นามปากกา : SriRunhn (ศรีรันหณ์)
Twitter : teerarunhn
E-mail : teerapatthanakit@gmail.com
อ่านวันละนิด ลดความเสี่ยงการเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้นะ =)
ความคิดเห็น