ท้องสมุทรอันกว้างใหญ่สุดสายตา
ภายใต้ท้องฟ้าสีครามลึกลงไปเบื้องล่างสุดจะหยั่งใจกลางสมุทร
ยังมีนครบาดาลอันยิ่งใหญ่ที่ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเงือก
ภายใต้การปกครองของจ้าวสมุทรผู้ทรงอำนาจ มาคารอฟ
ชาวเงือกอาศัยกันอย่างมีความสุขกับชีวิตใต้น้ำ ความสงบแผ่ปกคลุมไปทั่ว
ไร้ซึ่งปัญหาและความขัดแย้ง แต่ไม่ไร้สีสันแห่งความสนุกสนานรื่นเริง
กระนั้นยังมีเงือกน้อยนางหนึ่งนาม
จูเบีย
ผู้ซึ่งมีความกระหายใคร่รู้และปรารถนาที่จะออกไปใช้ชีวิตใต้แสงอาทิตย์อยู่เต็มหัวใจ
บ่อยครั้งที่นางแอบว่ายน้ำขึ้นไปเหนือผิวน้ำ เกยก่ายโขดหินในยามค่ำคืน
อาศัยแสงจันทร์ส่องสว่างนำทางสายตาจับจ้องสังเกตแสงไฟจากเรือประมงที่ส่องอยู่ไกลๆ
บ้างก็แอบว่ายวนรอบเรือสำราญอย่างริษยาระคนปรารถนาในเสียงดนตรีและงานเต้นรำนั้น
กระทั่งค่ำคืนหนึ่งที่จูเบียว่ายขึ้นไปเหนือผิวน้ำเช่นทุกคืนเดือนหงายที่ผ่านมา
แสงจันทร์ส่องสว่างอาบไล้ทั่วผืนน้ำ
จูเบียขับขานบทเพลงอันไพเราะของชาวเงือกออกมาอย่างสุนทรีย์
นางสางผมยาวสลวยไปพลางร้องเพลงไปพลางโดยไม่ทันสังเกตถึงเค้าลางของพายุที่ส่งสัญญาณมาแต่ไกล
ไม่นานคลื่นน้ำลูกใหญ่พลันโหมกระหน่ำอย่างเกรี้ยวกราด
พายุและลมฝนทำให้สภาพอากาศเหนือท้องทะเลเลวร้ายเกินจินตนาการ
จูเบียเห็นดังนั้นจึงรีบร้อนลงจากโขดหินเพื่อกลับนครบาดาล
แต่ทันใดนั้นเองนางก็สังเกตเห็นเรือสำราญลำใหญ่ที่ลอยเต้งเท้งอย่างไร้การควบคุมท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำ
นางรีบส่ายสะบัดหางมุ่งหน้าที่ทางที่เรืออยู่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
มนุษย์บนเรือจำนวนมากส่งเสียงกรีดร้องอย่างเสียขวัญ
ต่างคนต่างวิ่งชนกันอย่างโกลาหล
มีเพียงชายผู้หนึ่งเท่านั้นที่ยังคงครองสติเอาไว้ได้
เม็ดฝนที่กระทบใบหน้ากับเสื้อผ้าที่ลู่ลงแนบกายไม่อาจข่มความสูงศักดิ์ที่กระจายออกมาจากเขา
จิตใจอันเข้มแข็งและสายตาคมกล้าที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นดึงดูดสายตาของจูเบียไปจนหมดสิ้น
นางจับจ้องไปที่ร่างสูงสง่าท่ามกลางพายุนั้นอย่างเคลิบเคลิ้มหลงไหล
แต่เพียงไม่นานจูเบียก็ต้องดำดิ่งลงไปใต้ท้องสมุทรเนื่องจากเหตุเรือแตกเพราะไม่อาจทานแรงพายุได้ไหว
นางว่ายวนอยู่ในน้ำหลบเศษซากเรือพลางกวาดสายตามองหาร่างของชายหนุ่มรูปงามผู้นั้นไปพลาง
ภายหลังจากพายุสงบลงในเวลาย่ำรุ่ง
แสงแดดรำไร ณ ปลายขอบฟ้า
เงือกน้อยจูเบียกับร่างไร้สติของชายหนุ่มก็ปรากฏตัวขึ้นที่ริมหาดอันเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของมนุษย์
ด้วยความที่ไม่มีขาอย่างมนุษย์ทำให้จูเบียไม่สามารถพาเขาไปขอความช่วยเหลือได้
นางได้แต่เจ็บใจแล้วเป่าเปลือกหอยเป็นเสียงดังกังวาลไปทั่วเพื่อเรียกร้องความสนใจมาที่ชายหาดที่ตนอยู่
ก่อนที่จะจับจ้องไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลาสง่างามเป็นครั้งสุดท้ายแล้วผลุบหายลงไปในทะเล
แม้จะผ่านมาแล้วหลายวันแต่ภาพชายหนุ่มผู้นั้นยังตราตรึงอยู่ในใจไม่เสื่อมคลาย
จูเบียมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะมีขาอย่างมนุษย์เพื่อที่จะได้ไปหาชายในฝันของนาง
นางตัดสินใจไปของความช่วยเหลือจากแม่มดแห่งท้องทะเลให้ทำให้นางมีขา
แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อแม่มดโพลยุชก้าตอบปฏิเสธ จูเบียเสียใจหากแต่ไม่ยอมแพ้
นางอาศัยจังหวะที่แม่มดเผลอฉวยน้ำตาสมุทรที่ทรงอำนาจแล้วดื่มเข้าไปจนหมดโดยที่แม่มดไม่อาจห้ามได้ทันเวลา
จึงได้แต่เตือนจูเบียว่า
"เมื่อเจ้ามีขาอย่างมนุษย์
เจ้ามีเวลาถึงคืนที่วันพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น จงจำไว้ว่าหากเจ้าทำให้ชายผู้นั้นรักเจ้าอย่างแท้จริงก่อนแสงจันทร์จะหมดไปไม่ได้
เจ้าจะกลายเป็นสัตว์น้ำลึกที่น่าเกลียดที่สุดและดุร้ายที่สุด
ไม่อาจหวนคืนนครใต้สมุทรแห่งนี้ได้อีกต่อไป มาเถอะ
นี่จะเป็นการช่วยเหลือเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายของการเป็นเงือก
ข้าจะหาที่อยู่ของเจ้าหนุ่มนั่นให้เจ้าเอง"
จูเบียไม่เสียใจภายหลังที่ดื่มน้ำตาสมุทรเข้าไป
นางจดจำที่อยู่นั้นจนขึ้นใจแล้วมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่แม่มดบอก
จนกระทั่งถึงพระราชวังริมทะเล จูเบียจึงรู้ตัวว่าได้มาถึงที่ที่ชายหนุ่มอยู่แล้ว
นางว่ายน้ำขึ้นมาบนชายหาดที่ไร้ผู้คน จากนางเงือกที่งดงามสดใสค่อยๆกลายเป็นมนุษย์ นางลองเดินดูอย่างตื่นเต้นแต่ก็ต้องตกใจเมื่อมีชายท่าทางหยาบคายสองคนเข้ามาฉุดกระชากแขนและพยายามลวนลามนาง
จูเบียกรีดร้องอย่างตกใจในความป่าเถื่อนของมนุษย์
นางสะบัดแขนจนหลุดแล้ววิ่งหนีจนชนกับคนคู่หนึ่ง
เมื่อมองหน้าก็พบว่าเขาคือคนที่นางใฝ่ฝันถึงทุกค่ำคืน
นางสวมกอดเขาอย่างดีใจและยิ่งประทับใจมากขึ้นเมื่อเขาถอดเสื้อมาคลุมให้นางอย่างนุ่มนวล
“เจ้าตามข้ามาเถอะ” ชายหนุ่มดันตัวจูเบียออกอย่างช้า ๆ
พร้อมกับสีหน้างงงันเพราะเขามั่นใจว่าตนเองไม่เคยพบเจอกับนางมาก่อน
จูเบียเก็บแขนเรียวของตัวเองอย่างเสียดาย แต่ก็เดินตามชายหนุ่มไปอย่างอารมณ์ดี
“เจ้าชื่ออะไรหรือ” เขาเอ่ยถามขณะนำทางนางมุ่งหน้าไปสู่ปราสาท
“จูเบีย” นางตอบอย่างเคอะเขิน
“จูเบีย...เป็นชื่อที่น่ารักดีเหมาะกับเจ้ามาก” ชายหนุ่มสง่างามพูดต่อ “ข้าเกรย์ เป็นเจ้าชายแห่งอาณาจักรนี้
แล้วเจ้าล่ะเป็นคนที่ใด ไปแต่งตัวแล้วข้าจะส่งเจ้ากลับบ้าน”
“ไม่ไป” จูเบียรีบร้อนพูดอย่างตกใจ
เพียงแค่คิดว่าจะไม่ได้อยู่กับเขาก็อดใจหายไม่ได้ ไม่เพียงเท่านี้
ตอนนี้นางเองก็ไม่ได้เป็นชาวเงือกแล้ว ไม่มีที่ใดให้นางกลับไปอีกแล้ว
เกรย์เดินขึ้นหน้ามาประจันหน้ากับจูเบีย
เมื่อเห็นคนตัวเล็กตรงหน้านั้นทำตัวห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรง เห็นใบหน้าน่ารักยับย่นก็รู้สึกสงสาร
“บอกข้า คนที่บ้านเจ้าไม่ดีกับเจ้างั้นหรือ”
“พวกเขาดีกับข้ามาก” จูเบียส่ายหน้า จะให้บอกอย่างไรว่าครอบครัวของนางเป็นชาวเงือก
“แล้วทำไมเจ้าถึงไม่อยากกลับบ้าน” เจ้าชายหนุ่มถามต่อ
“ไม่ใช่ข้าไม่อยากกลับ แต่ข้าไม่มีที่ไป” นางไม่ได้โป้ปดเขาแม้แต่ครึ่งคำ
หลังจากที่นางมีขา เป้าหมายของนางก็มีแค่เขาแต่เพียงเท่านั้น จะให้นางไปที่ใดเล่า
คนรู้จักที่เป็นมนุษย์นางก็ไม่มี
“ข้าจะอยู่กับท่าน” จูเบียย้ำอีกครั้งอย่างหนักแน่น
เกรย์จับจ้องไปที่ร่างบางอย่างพิจารณา
นางดูไร้เดียงสา ไม่น่าจะเป็นนักฆ่าจากที่ใดได้
แววตาใสซื่อบ่งบอกทุกอย่างที่คิดออก เขารู้ว่านางไม่ได้โกหก
ใบหน้าเศร้าสร้อยนั่นทำให้เขาคิดว่าครอบครัวนางอาจมีเหตุให้ต้องแยกจาก
แม้แต่เสื้อผ้าติดกายยังไม่มี เขานึกสงสารนางขึ้นมาทันใด
“ถ้าอย่างนั้นเจ้ามาอยู่กับข้าดีหรือไม่” เกรย์ยิ้มอย่างดีใจให้กับเด็กสาวตรงหน้า
เมื่อเห็นว่านางยิ้มแย้มออกมาก็อดยิ้มตามไม่ได้ เขาลูบหัวจูเบียเบาๆอย่างเอ็นดูก่อนจะเดินนำหน้าไปทางปราสาท
ส่วนจูเบียเมื่อโดนลูบหัวแล้วก็ได้แต่เขินอายหน้าแดงก่ำ หัวใจเต้นแรงด้วยคิดว่าชายหนุ่มยอมรับตนแล้ว
นางตามหลังเขาไปพลางกระชับเสื้อคลุมที่ยังหลงเหลือไออุ่นของเขาอยู่กับตัวอย่างเป็นสุข
จูเบียหลงใหลอยู่กับการใช้ชีวิตแบบมนุษย์จนแทบลืมวันเวลา
นางมักซักถามเจ้าชายเสมอเมื่อเห็นสิ่งต่างๆที่น่าสนใจ
เจ้าชายเองก็เอ็นดูนางอยู่ไม่น้อย เขาพานางเที่ยวชมรอบปราสาทและมักให้นางติดตามเวลา
พาออกนอกเมืองอยู่บ่อยครั้ง เขาถูกใจในความร่าเริงสดใสของนาง
ไม่ว่านางจะถามอะไรหรืออยากไปที่ไหนเขาก็จะเป็นคนที่ใจอ่อนยอมตามใจนางไปเสียทุกครั้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ท่านเกรย์”
เสียงหวานใสดังขึ้นทันทีที่ศีรษะเล็กๆโผล่พ้นผิวน้ำ “ท่านเกรย์มาดูนี่สิคะ
จูเบียมีอะไรมาฝากท่านเกรย์ด้วยค่ะ”
เกรย์มองไปยังเด็กสาวที่กำลังโบกมือไหวๆอยู่อย่างร่าเริง
ไม่ใช่เขามองไม่ออกว่านางรู้สึกอย่างไร ส่วนตัวแล้วเขาก็สนใจนางอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
แต่เขาไม่รู้ว่าควรจะบอกนางอย่างไรจึงจะทำให้นางเจ็บปวดน้อยที่สุด
"ท่านเกรย์ดูนี่สิคะ"
จูเบียนั่งลงบนเสื่อข้างเจ้าชายหนุ่มพร้อมกับยื่นของในมือให้ดู มันคือมุกเม็ดงามสีขาว
ดูแล้วทั้งบริสุทธิ์และล้ำค่า
"ท่านเกรย์เคยได้ยินหรือไม่คะ
ตำนานเล่าว่า หากมีผู้ใดได้รับอัญมณีจากท้องทะเล
ผู้นั้นจะได้รับพรให้มีชีวิตที่ประสบความสำเร็จและปลอดภัย จูเบียให้ท่านเกรย์ค่ะ"
จูเบียยื่นมุกเม็ดนั้นให้เจ้าชายในดวงใจของนางอย่างเอียงอาย เกรย์มองนางอย่างลึกซึ้งก่อนรับมุกจากมือนางแล้วมาเก็บไว้กับตัว
แท้จริงแล้วจูเบียนั้นเศร้าใจอย่างยิ่ง
ทันทีที่นางย่างเท้าลงสู่ทะเลความทรงจำในวันที่นางจากมาพลันหวนเข้ามาดั่งสายน้ำ
ทำให้นางคิดได้ว่าพรุ่งนี้คือวันสุดท้ายแล้วที่นางจะมีโอกาสได้อยู่กับเขา
แม้จะรู้ดีว่าเวลาของตัวเองเหลือน้อยแค่ไหน
หากแต่นางก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเจ้าชายรู้สึกกับนางเช่นไร
นางไม่มีความกล้าพอที่จะเอ่ยถามกับเขาโดยตรง
วันต่อมาขณะที่จูเบียกำลังสับสนอยู่ในวังวนของความคิด
เกรย์กับราชาก็กำลังสนทนากันอย่างจริงจัง ภาพที่เกรย์เหลือบมองจูเบียเป็นระยะอย่างกังวลนั้นอยู่ในสายตาของราชาทั้งหมด
นั่นยิ่งทำให้ราชากังวลจนถึงกับเร่งเร้าบุตรชาย
"พ่อว่ามันควรถึงแก่เวลาแล้ว
หากรอเนิ่นนานไปมากกว่านี้เกรงว่าทำให้ฝ่ายนั้นไม่พอใจเอาได้"
"แต่ว่าท่านพ่อ..."
"เอาเป็นว่าพ่อตัดสินใจแล้ว
เจ้าเตรียมตัวให้ดีเป็นพอ"
ราชาตัดบทไม่ทันให้เกรย์ได้พูดจบ
ทิ้งความหนักใจให้เจ้าชายที่ทั้งกังวลและสับสนกับหัวใจของตัวเองเป็นอย่างยิ่ง
ฝ่ายจูเบียที่แม้จะคิดเรื่องของตัวเองอยู่
แต่ด้วยความที่นางใส่ใจเกรย์อยู่ตลอดเวลาทำให้นางได้ยินทุกบทสนทนาที่ราชาและเจ้าชายคุยกัน
นางไม่ต้องการสร้างความกังวลใจให้กับเจ้าชาย
จูเบียแบกหัวใจอันหนักอึ้งของตนแล้วยิ้มออกมาอย่างยากลำบากให้กับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า
"จูเบีย...
" เกรย์มองหน้างดงามนั้นอย่างเศร้าสร้อย ไม่คิดเลยว่าการเอ่ยชื่อของนางจะทำให้ปวดร้าวได้เช่นนี้
"คืนนี้ท่านเกรย์ออกมาพบกับจูเบียที่ชายหาดได้หรือไม่"
จูเบียตัดสินใจได้ในที่สุด
" เอาสิ
" เจ้าชายหนุ่มเห็นรอยยิ้มของนางแล้วอดใจหายไม่ได้คล้ายกับว่าจะได้เห็นนางเป็นครั้งสุดท้าย
แต่เพราะไม่อยากทำให้นางผิดหวัง ด้วยความที่เขาไม่เคยขัดใจนางสักครั้ง เขาจึงได้แต่ตอบรับด้วยความหนักใจ
คืนจันทร์เต็มดวงแสงนวลส่องสว่าง
เงาร่างสองร่างปรากฏขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่แสนงดงามราวกับภาพฝัน
จูเบียยืนหันหน้าเข้าหาท่านเกรย์ของนางเช่นทุกครั้ง
นางยิ้มบางเบาประหนึ่งสายลมยามค่ำคืนในขณะนี้ แต่รอยยิ้มนั้นกลับยังความไม่สบายใจมาให้เจ้าชายเป็นอย่างมาก
“จูเบีย เจ้ามีอะไรในใจหรือ”
เขาถามนางในที่สุดเพราะทนมองรอยยิ้มที่บาดลึกเข้าไปในใจนั้นไม่ได้อีกต่อไป
“ถึงเวลาของจูเบียแล้วค่ะ”
จูเบียช้อนสายตาขึ้นสานสบกับเกรย์พอดี นางมองเขาด้วยความรักไม่ต่างจากวันแรกที่พบเจอ
“เวลา... เวลาอะไรกัน”
เกรย์ถามอย่างร้อนรนแต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อจูเบียถอดเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ออกจนหมด
แต่ที่ทำให้เขาตกใจมากกว่าคือบนร่างกายของนางไม่ใช่ผิวขาวเรียบเนียนเช่นวันแรกี่พบเจอ
หากแต่เต็มไปด้วยเกร็ดสีดำหยาบกระด้างทั่วร่างกาย
“ความจริงแล้วจูเบียเป็นเงือกค่ะ
อาจจะฟังดูน่าขันแต่มันคือเรื่องจริง
ตั้งแต่ครั้งแรกที่จูเบียได้พบกับทะเลในคืนที่มีพายุครั้งนั้นจูเบียก็ปักใจรักท่านเกรย์มาตลอด
หลังจากที่มาส่งท่านเกรย์ที่ชายหาดแล้วจูเบียก็เลยไปขอให้แม่มดทำให้จูเบียมีขาเพื่อที่จะได้มาหาท่านเกรย์” จูเบียเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมาทั้งน้ำตา
เสียงสะอื้นขาดหายเป็นช่วงๆนั้นราวกับมีอะไรมาบีบรัดหัวใจของเกรย์จนเขาแทบทนไม่ไหว
“คนที่ช่วยข้าในตอนนั้นแท้จริงก็คือเจ้า”
เขาพึมพำ
“แต่จูเบียมีเวลาน้อยเหลือเกิน”
จูเบียสะอื้น “ถ้ามีเวลามากกว่านี้จูเบียอาจจะอยู่ที่นี่เพื่อท่านเกรย์ได้แม้ว่าจะไม่มีฐานะใดๆเลยก็ตาม
แต่จูเบียในตอนนี้ไม่อาจให้ท่านเกรย์เห็นจูเบียในสภาพที่เลวร้ายที่สุดเช่นนี้ได้”
“แต่ข้ามั่นใจว่าจะรักเจ้าได้”
เกรย์เอ่ยเสียงดังออกมาขัดเมื่อเห็นว่าจูเบียเริ่มเคลื่อนถอยหลังเข้าหาท้องทะเลลึกลงไปทุกที
“ไม่ค่ะ” จูเบียพูดไปพลางร้องไห้ นางส่ายหน้าไปมาอย่างน่าสงสาร
“ท่านเกรย์คือความสุขของจูเบีย แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นเช่นนั้นและจะเป็นตลอดไป
หากการมีตัวตนอยู่ของจูเบียต้องทำให้ท่านเกรย์ลำบากใจ
การมีอยู่ของจูเบียอาจทำให้ราชาผิดหวังในตัวท่านเกรย์
หากการมีอยู่ของจูเบียทำให้ท่านเกรย์อยู่อย่างไม่มีความสุข
จูเบียขอหายไปตลอดกาลเสียยังดีกว่า” จูเบียมองเกรย์ด้วยความรักน้ำตานองหน้า
นางประทับเขาไว้ในความทรงจำเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะค่อยๆหายลงทะเลไป ทิ้งให้เกรย์มองตามด้วยความร้าวรานที่ไม่อาจยืนหยัดเพื่อสตรีที่รักได้
“ท่านเกรย์ต้องมีความสุขนะคะ ลาก่อนค่ะ”
เศร้าอะไรเยี่ยงนี้