You are my Canine
Chapter XLIV : Be with you
“ฉันจะพาเขากลับบ้าน”
น้ำเสียงติดจะหวานเป็นคำขาดที่พาให้ใจของผู้ฟังถึงกับหล่นวูบราวกับถูกกระชาก ทั่วทั้งห้องรับแขกของคฤหาสน์ตระกูลสเครเรียที่อัดแน่นไปด้วยผู้คนนั้นเกิดความเงียบขึ้นในฉับพลัน บรรยากาศในยามนี้เป็นตัวยืนยันได้อย่างดีว่าไม่มีใครกล้าพอจะเอ่ยปากคัดค้านความคิดของร่างที่นั่งอยู่บนเก้าอี้กำมะหยี่สีแดงเลือดนก
ร่างที่ได้ชื่อว่าเป็นองค์ราชาของเหล่าแวมไพร์...เรเชล เชน คาร์โนอา...
“พรุ่งนี้ฉันไม่อยากเห็นใครก็ตามที่เป็นแวมไพร์ยังอยู่กับพวกผู้ใช้มนตรา เพราะฉะนั้นพากลับซะให้หมดนะชาร์ ถึงที่ปราสาทเมื่อไหร่ฉันจะสะสางโทษให้หมดในทีเดียว”
คำสั่งต่อมาพาเอาบรรดาจินโซ เนียร่า ราฟาเอล และแม้แต่ราเวียธาร์ถึงกับหน้าซีด โทษที่ว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องความบกพร่องในการคุ้มครองราลซ์ที่มีตำแหน่งเป็นถึงผู้พิทักษ์แหวน และในขณะเดียวกันก็เป็นคนโปรดของเรเชลอย่างที่ไม่มีใครในเผ่าพันธุ์จะสามารถมาแทนที่ได้
แต่คำสั่งพาตัวกลับอย่างกระทันหันนี้ทำให้ใครหลายคนยอมรับในทันทีได้ยากนัก นี่เป็นครั้งแรกที่ราฟาเอลซึ่งเห็นเกียรติของตระกูลมาเป็นสำคัญหันกลับไปมองเทียนเอ๋อที่นั่งอยู่ข้างตัวราวกับรู้ว่าจะต้องเกิดอะไรขึ้น จินโซ และเนียร่าเองก็ห่วงสถานการณ์ทางฝั่งผู้ใช้มนตราไม่แพ้ใคร ราเวียธาร์เองก็ไม่ได้อยากกลับไปสู่โลกของพวกแวมไพร์สักเท่าไหร่นัก
ถึงอย่างนั้น...คนที่อาการหนักที่สุดเห็นจะเป็นเดอา เจ้าตัวแทบจะไม่กินไม่ดื่มตลอดระยะเวลาสามวันนับตั้งแต่เกิดเรื่อง นอกจากนอนเฝ้าอาการของราลซ์ที่ยังไม่ได้สติขึ้นมาแล้วเขาก็แทบจะไม่ทำอย่างอื่น แล้วมาคราวนี้...คนที่ตัวเองไม่มีทางจะเทียบติดนั้นกลับพูดว่าจะพาคนที่เขารักที่สุดกลับบ้าน...แล้วเขาควรจะทำยังไง...
“จะพาเขากลับไป...ทั้งที่ยังไม่ได้สติน่ะเหรอ” เดอาเอ่ยสั้นติดจะห้วนอยู่นิดๆ
เรเชลหันมาสบสายตาของเดอาอย่างจริงจัง ดวงตาสีแดงดั่งกระต่ายป่าไม่ได้มีแววของความอ่อนโยนปะปนอยู่เลยแม้แต่น้อย ถึงความรู้สึกกลัวจะแทรกซึมเข้าไปทั่วทั้งร่างกายแต่เดอาก็เลือกที่จะสบสายตานั้น อย่างน้อยมันก็ดีกว่าการที่ไม่ได้ค้านแล้วต้องปล่อยให้ราลซ์หลุดลอยไป
“แล้วอยู่ที่นี่ไปมันจะมีประโยชน์อะไร รึว่านายรักษาเขาได้” ริมฝีปากซีดเอ่ยคำตอกย้ำลึกเข้าไปในใจ
เดอารู้สึกเหมือนตัวเองถูกลอกแผลเก่า ความรู้สึกผิดที่ตัวเองช่วยราลซ์ไม่ได้ยังคงอัดแน่นอยู่เต็มอก และในยามนี้เองก็ไม่ต่างกัน...เขาทำได้แค่นั่งเฝ้าอีกอยู่ในสภาพตายทั้งเป็นไปวันๆ...
“...”
เจ้าของคฤหาสน์เงียบกริบ เขาไม่มีหน้าพอจะเอ่ยปากบอกว่าตัวเองนั้นสามารถช่วยราลซ์ได้ ท่าทีแบบนั้นทำให้เรเชลหัวเราะเบาๆ ในลำคอเป็นเชิงดูถูก
“ชาร์...ส่งเซลม่าบอกพวกสามตระกูลใหญ่ด้วยว่าฉันอยากได้คำอธิบายว่าทำไมเซเรสยังไม่ตาย แล้วก็พรุ่งนี้ออกเดินทางแต่เช้าก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นด้วย”
----------------------------------------------------------
พายุโหมกระหน่ำรุนแรงพัดมาแล้วก็ผ่านเลยไป ทิ้งเอาไว้เพียงร่องรอยของความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้ การปรากฏตัวของเซเรสก็ไม่ต่างอะไรกับพายุใหญ่นั้น ความเสียหายในครั้งนี้ไม่ใช่แค่ข้าวของ หากแต่เป็นร่างกายและชีวิต
สงครามมนตราศักดิ์สิทธิ์จบลงอย่างไม่กระจ่างนัก ไม่มีผู้ชนะ ไม่มีวี่แววของสมบัติศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีคำว่าอคติระหว่างสามกลุ่มผู้เข้าแข่งขัน ทั้งนี้ก็เพราะคนที่อยู่วงในต่างรู้กันดีว่าเรื่องราวที่แท้จริงนั้นเกิดอะไรขึ้น
สมาคมผู้ใช้มนตราตัดสินใจจบศึกลงโดยประกาศว่าสมบัติศักดิ์สิทธิ์ถูกขโมยไป ดังนั้นการแข่งขันระหว่างสมาพันธ์เทวทูตกับภาคีปีศาจจึงต้องยุติลง หลายคนไม่พอใจกับบทสรุปแบบนี้...แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป เรื่องราวของสงครามมนตราศักดิ์สิทธิ์ก็ค่อยๆสร่างซาลง
แต่กลับมีอยู่อีกเรื่องที่ไม่จบไปตามกาลเวลา เรื่องของพวกแวมไพร์ที่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
...
“อาการเขาเป็นยังไงบ้าง”
น้ำเสียงติดจะหวานอยู่หน่อยๆ เอ่ยถามเดอาที่นอนเฝ้าอาการของราลซ์ทั้งวันทั้งคืน แต่คำตอบที่ได้จากคนเฝ้าก็คือการสั่นหัวเบาๆ เป็นเชิงว่าไม่มีอะไรดีขึ้น
เรเชลทำหน้าเศร้าราวกับว่าร่างบางที่นอนอยู่บนเตียงเป็นลูกรักก็ไม่ปาน แต่ท่าทีอันบอบบางของราชาแวมไพร์องค์นี้ช่างต่างกับตอนที่คนอื่นๆ ได้เจอกันครั้งแรกยิ่งนัก นอกจากจะแลดูคล้ายคนขาดความมั่นใจแล้วยังเต็มไปด้วยความอ่อนโยนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ อย่างกับว่าเป็นคนละคนกันกับคนที่จงใจจะฆ่าเซเรสเมื่อหลายวันก่อน
“ต่อให้ร่างกายเขาไม่ตอบสนองต่อเลือดของฉัน แต่สามวัน...มันเกินไปสำหรับการพักฟื้นร่างกายแล้วนะชาร์” เรเชลพูดเสียงอ่อยพลางเกาะแขนองครักษ์คนสนิทที่ยืนอยู่ข้างตัว
“รอดูอาการต่อไปหน่อยเถอะครับ ร่างกายเขาก็ฟื้นขึ้นตั้งเยอะแล้ว เหลือแค่สติอย่างเดียว” ชาร์ตอบอย่างเรียบง่ายพลางประคองร่างของเรเชลเอาไว้อย่างทะนุถนอม
อันที่จริงก็คือว่าร่างกายของราชาแวมไพร์คนนี้บอบบางยิ่งกว่าที่คิดนัก ตลอดระยะเวลาสามวันที่คฤหาสน์ตระกูลสเครเรียถูกใช้เป็นที่พักชั่วคราวของบรรดาผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับราลซ์ ในช่วงเวลานี้เองที่เดอาเป็นหนึ่งในมนุษย์ที่มีโอกาสได้เห็นความลับของแวมไพร์ว่ามีผู้นำที่...จิตไม่ปกติ...
จากเท่าที่ชาร์เล่าให้ฟังคร่าวๆ อาการของเรเชลไม่ได้แตกต่างจากราลซ์มากนัก เมื่อยามที่ปีกแดงปรากฏเจ้าตัวก็ถูกครอบงำด้วยตัวตนอีกคนหนึ่ง จนกระทั่งเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์ ในเวลาปกติ...เรเชลจะร่างกายอ่อนแอขี้โรคได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทำตัวเรียบร้อยน่ารักโดยมีชาร์คอยตามดูแลอยู่ตลอดเวลา
กลับกันในยามที่เจ้าตัวถูกครอบงำด้วยตัวตนอีกคนหนึ่ง...บุคลิกในรูปแบบของความเป็นผู้นำจะแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัดจนน่ากลัว เรเชลในยามนั้น...อาจขาดสติเหมือนที่ทำกับเซเรส ความรุนแรง ความโกรธ และความหึงหวงจะเป็นแรงผลักดันให้เจ้าตัวทำหลายสิ่งหลายอย่าง กว่าเจ้าตัวจะคุมสติตัวเองได้ในวันนั้น...เรียกได้ว่าเล่นเอามีคนบาดเจ็บกันไปก็มาก
จินโซ เนียร่า ราฟาเอล และราเวียธาร์ บรรดาผู้ที่เป็นแวมไพร์ต่างก็โดนว่ากล่าวอย่างรุนแรงกันถ้วนหน้าในฐานะที่ดูแลราลซ์ได้ไม่ดีพอ ไม่นับเดอาซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะอธิบายด้วยคำพูด อย่าว่าแต่เรเชลจะดุด่าเลย...เจ้าตัวตั้งใจลงไม้ลงมือถ้าไม่ติดว่าคนๆ นี้อาจจะเป็นคนสำคัญของราลซ์เกินกว่าจะอธิบายด้วยคำพูดได้
สามตระกูลใหญ่ถูกเรียกรวมตัวกันที่ฝั่งของแวมไพร์ รอวันที่องค์ราชาจะกลับ...จะติดก็แค่อาการของคนที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง ไม่รู้ว่าถ้าพาไปด้วยแล้วจะทนได้แค่ไหน...จะเป็นอะไรขึ้นมากลางทางรึเปล่า
เดอาจ้องมองร่างของราลซ์ที่ยังคงนอนหลับไม่ได้สติแล้วนึกถึงเรื่องของเรเชลที่ชาร์เคยเล่าให้ฟัง หากชะตากรรมของราชาแวมไพร์เป็นแบบนั้นจริง...เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งราเลซากับราลซ์ก็คงต้องเป็นแบบเดียวกัน
เขาอยากให้เจ้าตัวฟื้นขึ้นมา...อย่างน้อยๆ ก็อยากจะพาร่างที่แสนบอบบางนี่หนีไปซะตอนนี้ ไปให้ไกลจากทุกๆ อย่างเหมือนที่เคยสัญญาไว้ แต่พันธะของราลซ์ดูจะเหนี่ยวแน่นเกินกว่าตัดขาดได้
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ดั่งคำเตือนและความหวาดกลัวเป็นจริงขึ้นมา การปรากฏตัวของเซเรสไม่เพียงสร้างความบาดเจ็บให้กับคนหลายคน แต่ว่ามันยังทำให้มนุษย์ได้รู้ถึงความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์ของตัวเองกับแวมไพร์
ไม่ใช่แค่เรื่องของความแข็งแกร่งรึว่าอำนาจ แต่เป็นการที่ความแตกต่างที่มากเกินกว่าจะทำให้ทั้งสองเผ่าพันธุ์นั้นสามารถไปด้วยกันได้
มนุษย์ที่อ่อนแอกับแวมไพร์ที่แข็งแกร่ง
มนุษย์ที่ช่วงชีวิตแสนสั้นกับแวมไพร์ที่อายุยืนยาว
มนุษย์ที่อาจเป็นเพียงคนธรรมดากับแวมไพร์ที่กำลังจะมีฐานะเหนือกว่าผู้ใด
สำหรับเดอาแล้วความจริงเหล่านี้เป็นตัวยืนยันได้อย่างดีว่า คำสัญญาระหว่างเขาและราลซ์คงมิอาจเป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ในเมื่อราลซ์ยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงด้วยสภาพอาการที่ร่อแร่เต็มที
“จบศึกนี้เมื่อไหร่ เราไปด้วยกันนะ...ไปให้ห่างจากทุกๆ อย่าง...”
ร่างของคนที่เคยให้คำสัญญานั้นบัดนี้นอนนิ่งอยู่บนเตียงที่ผ้าสีขาวซึมซับรอยเลือดจากบาดแผลใหญ่บริเวณคอ เท่าที่เดอาฟังๆ มา...เรเชลรึองค์ราชาแวมไพร์ถือว่าเป็นพวกที่เลือดเข้มข้นที่สุด และในบรรดาเลือดเหล่านั้นก็มีกฎแห่งโลหิตแทรกซึมไปทั่ว
เลือดที่เต็มไปด้วยมนตราของแวมไพร์ในหลายครั้งจึงมีฤทธิ์ในการรักษาบาดแผลและอาการอย่างฉับพลันสำหรับผู้ที่ร่างกายอ่อนแอ แต่เลือดเข้มข้นอย่างนั้นกลับยังรักษาอาการของราลซ์ไม่ได้สักนิด ตอนนี้จึงทำได้แค่ใช้ยากับบรรดาสมุนไพรเข้าช่วยเท่านั้น
“ทั้งที่แผลแค่นั้นแค่ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากดื่มเลือดฉันเข้าไป มันก็น่าจะหายได้แล้วแท้ๆ ทำไม...”
องค์ราชาแวมไพร์ที่ล่วงหน้ามาก่อนพึมพำอย่างไม่เข้าใจนัก มือบางบีบแก้วใสจนแหลกคามือ แต่ไม่นานนักบาดแผลที่เกิดขึ้นนั้นก็ค่อยๆ หายไปอย่างน่าอัศจรรย์
“อย่าทำแบบนั้นสิครับ เราเรียกตัวคาเธียไปแล้วเดี๋ยวก็คงจะมา” ชาร์ที่เป็นองครักษ์คนสนิทเอ่ยด้วยความเป็นห่วง
เขามีเส้นผมสีดำสนิทซอยสั้น ดวงตาทั้งสองข้างเป็นสีน้ำตาลเข้มคล้ายคนธรรมดา แต่ท่าทางและคำพูดของชาร์กลับทำให้รู้สึกได้เลยว่าตัวเองสนิทกับองค์ราชาที่อยู่เคียงข้างมากแค่ไหน
“แล้วทำไม...ทั้งที่ราลซ์น่าเป็นห่วงขนาดนี้แท้ๆ ทำไมพวกสามตระกูลใหญ่ถึงได้ไม่ส่งใครมาคุ้มกันเลยสักคน แต่กลับเอามาฝากไว้กับพวกไม่ได้เรื่องพวกนี้”
อาการของเรเชลรึเรียกให้ถูกก็คือสติของเจ้าตัวชักจะไม่คงที่ ร่างกายของราชาแวมไพร์เองก็ดูจะไม่ดีเท่าที่ควร หลังจากที่ต่อสู้กับเซเรสและใช้เลือดของตัวเองช่วยราลซ์ไป เรเชลก็ถึงกับสลบข้ามคืนจนกระทั่งตื่นขึ้นมามีอาการอย่างนี้
พวกที่ไม่ได้เรื่องอันประกอบด้วย จินโซ เนียร่า ราฟาเอล ราเวียธาร์ รวมถึงเดอา ทั้งหมดพากันรู้สึกไม่ดีไปตามๆ กัน แต่ก็ถูกอย่างที่เรเชลพูดทุกอย่าง หากราลซ์มีความสำคัญมากถึงขนาดนั้นก็ควรจะดูแลให้ดีกว่านี้
“เรเชล ตั้งสติหน่อยสิ” ชาร์พูดกระซิบข้างหูเบาๆ
“ได้ยังไง ในเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้ เขาเป็นของลูกชายฉันนะ...”
ริมฝีปากซีดถูกประกบปิดอย่างแน่นหนาพลางส่งของเหลวรสชาติขมขื่นไปทั่วทั้งปาก ปฏิกิริยาตอบโต้ของชาร์ทำเอาอีกหลาย ณ ที่นั้นถึงกับอึ้ง...ก่อนจะรู้คำตอบว่าอีกฝ่ายทำไปเพื่ออะไร
“ยาน่ะ อย่าลืมกินสิ... เวลาที่คุณคุมสติไม่ได้ คนรอบข้างจะพลอยเดือดร้อนเอานะ” ชาร์พูดด้วยน้ำเสียงหวานกว่าทุกทีแม้จะมีดุปนอยู่บ้าง
“ขอโทษ” เรเชลเอ่ยเสียงเบา
ความคิดเห็น