ใต้เงามนตรา ตอน7
หนึ่งชีวิต...ครองความเป็นใหญ่ หนึ่งชีวิต...ความตายเป็นผู้พลัดพราก หนึ่งชีวิต...ต้องจากเทพศิลานครไปตลอดกาล นี่คือชะตากรรมของสามบุรุษผู้ล่วงผ่านมิติเวลา!
ผู้เข้าชมรวม
94
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ใต้เงามนตรา บท7
สามร่างในชุดนักบินที่มีความสูงไล่เลี่ยกันตัดสินใจออกเดินบุกตะลุยไปเบื้องหน้าทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจุดหมายอยู่ที่ใด เพราะในเวลานี้จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างยังมืดมน
หลายครั้งหลายคราที่แววตาของคนทั้งสามปรากฏรอยของความหวาดหวั่น ด้วยผืนป่าที่กำลังบุกตะลุยฝ่าฟันอยู่ในขณะนี้มันช่างเป็นผืนป่าที่รกทึบเสียเหลือเกิน เพราะตามพื้นล่างแน่นขนัดไปด้วยดงเฟิร์นหลากหลายสายพันธุ์ที่ล้วนดูแปลกตาทั้งสิ้น เถาวัลย์ไม้เลื้อยต่างๆ ที่เกาะเกี่ยวระหว่างต้นไม้ใหญ่ที่ลำต้นสีดำทะมึน เรือนยอดสูงแผ่ใบบังไปทั่วอาณาบริเวณนั่นเล่าก็เลี้ยวลดคดเคี้ยวไปทั่วทุกทิศทาง
ความทึบของผืนป่า แม้แต่แสงแดดก็แทบไม่อาจสาดส่องลงมายังพื้นดินเบื้องล่าง มีเพียงบางช่วงบางตอนของทางเดินเท่านั้นที่พอจะเห็นแสงรำไรๆส่องลอดผ่านใบไม้เบื้องบนลงมา
ขณะภูวดลเดินนำหน้าฝ่าดงเฟิร์นไปนั้น ตลอดเวลาไม่มีแม้เสียงพูดคุย เพราะบัดนี้ในความคิดของคนทั้งสามต่างกำลังวิเคราะห์กันไปต่างๆ นานา โดยเฉพาะปิยะนัฐซึ่งเดินปิดท้าย หลายครั้งที่ชายหนุ่มต้องหยุดชะงักมองตะไคร่น้ำและบรรดากลุ่มมอสที่จับตามโขดหินน้อยใหญ่ด้วย ความแปลกใจเป็นที่สุด
นี่มันที่ไหนกันแน่?
แม้จะมีคำถาม หากปิยะนัฐก็ไม่มีคำตอบให้ตัวเอง ชายหนุ่มได้แต่ระส่ำระสายอยู่ในหัวอก ยิ่งมองไปยังสองร่างที่กำลังบุกตะลุยไปข้างหน้าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ยิ่งทำให้ปิยะนัฐจำต้องสะกดกลั้นสิ่งที่มันกำลังอัดอั้นและปรารถนาจะพูดออกมา
เส้นทางที่ภูวดลเดินนำเริ่มลาดชันลงเรื่อยๆ เพราะบ่อยครั้งที่ร่างของหะรินต้องล้มลุกคลุกคลานด้วยไม่อาจบังคับฝีเท้าให้มั่นคง หากนั่นก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มท้อแท้หรือสิ้นหวัง ทุกครั้งที่ภูวดลหันกลับมามองเพื่อนรักด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความห่วงใย นักบินหนุ่มก็จะได้รับรอยยิ้มสู้จากเพื่อนรักทุกครั้งเช่นกัน
ภูวดลรู้...ในขณะนี้แม้ความรู้สึกลึกๆ จะหวาดหวั่น หากหะรินยังคงตั้งความหวังไว้กับเบื้องหน้า เมื่อกำลังใจมา กำลังขาก็เกิด ทำให้หะรินสามารถตะลุยติดตามตนมาได้อย่างกระชั้น ต่างกับปิยะนัฐที่เพียงสบตา ภูวดลก็คาดเดาได้ว่าเพื่อนกำลังรู้สึกอย่างไร แต่ที่เพื่อนไม่ได้ปริปาก มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น คือไม่อยากทำลายความหวังของหะริน...
นับชั่วโมงที่สามร่างลัดเลาะกันมาจนบัดนี้กำลังขาเริ่มเหนื่อยอ่อน และแม้อากาศจะเย็นชื้น หากสามร่างกลับชุ่มโชกไปด้วยหยาดเหงื่อ แต่เมื่อภูวดลตั้งใจจะหยุดพัก ภูมิประเทศที่เปลี่ยนไปจากเมื่อครู่ก็ทำให้ชายหนุ่มเปลี่ยนใจ...
ร่างสูงทอดฝีเท้าไปอย่างช้าๆ เมื่อมองเห็นความสว่างเบื้องหน้าค่อยๆ ชัดขึ้น...
แล้วหัวใจภูวดลก็เต้นแทบไม่เป็นจังหวะ เมื่อสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ ตัว...
นี่แสดงว่าตนนำเพื่อนทั้งสองมาจนสุดแนวป่าแล้ว เพราะภูมิประเทศที่เปิดโล่งบ่งบอกเช่นนั้น
ครั้งนี้นักบินหนุ่มแห่งกองทัพอากาศค่อยๆ กวาดสายตาสำรวจรอบๆ ตัว แล้วภูวดลก็ได้คำตอบ ที่ที่ตนกำลังยืนอยู่ขณะนี้คือเนินผาหินชัน
ภูวดลทรุดตัวลงเหยียดแขนขาเพราะความเหนื่อยล้า ส่งสายตาไปยังเพื่อนรักอีกสองคนที่กำลังผ่านดงไม้ออกมาก่อนจะตะโกนบอกเพื่อนด้วยความดีใจ
“ริน นัฐ เราเดินมาพ้นเขตป่าแล้วล่ะเพื่อน”
สองร่างเพียงพยักหน้ารับ แล้วแผ่หลาลงใกล้ๆ ภูวดล
สายลมเย็นที่พัดแผ่วๆ เข้ามา ทำให้ความเหนื่อยล้าของคนทั้งสามค่อยๆ หายไป ภูวดลเป็นคนแรกที่เหยียดตัวลุกขึ้น หากเพียงครู่ เมื่อนักบินหนุ่มกวาดสายตาลงไปยังเบื้องล่าง ภาพที่เห็นทำให้ความรู้สึกชะงักงัน...
ภาพที่เห็น...ลำน้ำสายหนึ่งเลี้ยวลดคดเคี้ยวไปตามแนวเทือกเขา ทั้งสองฝั่งขนาบด้วยท้อง ทุ่งที่บัดนี้เหลืองอร่ามไปด้วยสีทองของรวงข้าวที่กำลังรอการเก็บเกี่ยว
ภาพนั้น...แม้จะตรึงความรู้สึกของภูวดล หากสิ่งที่ทำให้หัวใจชายหนุ่มแทบหลุดออกมาจากอกคือบ้านเรือนผู้คนที่เรียงรายจากเหนือจรดใต้ของพื้นที่ราบแห่งนั้น
“นัฐ! ภู! เรารอดแล้วเพื่อน”
สองร่างทะลึ่งพรวดขึ้นเมื่อได้ยินประโยคนั้น ขณะภูวดลชี้มือลงไปเบื้องล่างพร้อมย้ำบอก ด้วยความตื่นเต้นยินดี
“นั่นไง บ้านเรือนผู้คน...”
แม้ม่านหมอกจะปกคลุมทัศนียภาพเบื้องล่างไว้ หากปิยะนัฐและหะรินก็สามารถมองเห็นสายน้ำ ทุ่งนา และบ้านเรือนของผู้คนได้อย่างถนัดตา เพียงแต่เพราะอยู่ในระยะไกล ทำให้ไม่สามารถมองเห็น ถึงรายละเอียดเท่านั้นเอง
“เฮ้อ...ค่อยโล่งอกไปหน่อย”
หะรินพูดออกมาแล้วทรุดตัวลงกับพื้นหินอีกครั้ง...
“เดี๋ยวเรานั่งพักกันให้หายเหนื่อยแล้วค่อยเดินลงไปที่หมู่บ้านกัน”
หะรินพยักหน้ารับคำเพื่อน ในหัวใจให้ปลอดโปร่งเป็นที่สุด หากปิยะนัฐกลับไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับเพื่อน เพราะในความรู้สึกลึกๆ ของตนในขณะนี้ราวจะบอก...ทุกอย่างมันไม่ได้ง่ายอย่างที่หะรินและภูวดลกำลังคิดอย่างแน่นอน...
“นัฐ ทำไมไม่พูดไม่จา ไม่ดีใจเหรอที่เราเจอหมู่บ้าน”
ปิยะนัฐยิ้มให้เพื่อน พร้อมบอกความรู้สึกของตัวเองออกมาตรงๆ
“ภู ริน นายสองคนไม่รู้สึกแปลกๆ บ้างเหรอ ทั้งป่าที่เราบุกตะลุยกันมา หรือแม้แต่ภาพที่เราเห็นข้างล่างนั่น มันสันนิษฐานไม่ถูกจริงๆ ว่าเป็นที่ไหนหรือส่วนไหนของประเทศเรา”
แม้ความคิดจะคล้อยตามคำของเพื่อน หากภูวดลกับหะรินก็พยายามคิดไปในทางที่ดี
“จะเป็นที่ไหนก็ช่างมันเถอะนัฐ แค่เราเจอบ้านคนก็ดีแล้ว”
ปิยะนัฐได้แต่พยักหน้าให้กับคำพูดนั้น
หะรินพูดถูก...แค่ได้เจอบ้านเรือนของผู้คนก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว ดีกว่าการเดินหลงป่าหาทางออกไม่เจอเป็นไหนๆ
ทั้งสามนั่งพักที่หน้าผาแห่งนั้นต่ออีกเพียงครู่ก็ออกเดินทางไปยังจุดหมายที่เป็นความหวังเดียว และการเดินครั้งนี้ภูวดลผู้เดินนำแทบห้อตะบึงลงไปตามทางลาดชัน แม้จะต้องฝ่าดงทึบของเถาวัลย์และดงเฟิร์นไม่ต่างจากครั้งแรก หากกำลังใจที่มีทำให้ทั้งภูวดลและหะรินแทบจะไม่รับรู้ถึงความเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย
สามหนุ่มตะลุยเดินกันลงมาจนกระทั่งเห็นที่ราบตีนเขาซึ่งมีความลาดชันไม่มากนัก และจุดนั้นภูมิประเทศเปิดโล่งยิ่งกว่าเนินผาที่หยุดพักกันเมื่อชั่วโมงก่อน ภูวดลจึงเดินนำเพื่อนทั้งสองลัดเลาะออกจากแนวป่าทึบตรงไปยังจุดนั้นอย่างไม่ลังเล
ทันทีที่ถึงจุดหมาย ต่างก้มหน้าก้มตาเหนื่อยหอบเพราะเร่งฝีเท้ากันมาตลอดเส้นทาง ด้วยหวังจะให้ถึงจุดหมายโดยเร็ว
ความเหนื่อยล้าเริ่มจางหาย คนทั้งสามจึงเริ่มกวาดสายตาสำรวจไปยังบริเวณพื้นราบเบื้องล่างที่แม้ม่านหมอกบางๆ จะยังคงลอยตัวบดบังภูมิประเทศอยู่บ้าง หากก็สามารถจับสังเกตบ้านเรือนและผู้คนได้อย่างชัดเจน
“ภู...ริน...ดูที่บ้านหลังนั้นสิ”
ปิยะนัฐชี้ไปยังบ้านไม้หลังหนึ่งซึ่งอยู่ในระยะใกล้ที่สุดที่สามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวต่างๆ ได้อย่างชัดเจน
“เอ๊ะ! ทำไม...”
หะรินพูดได้แค่นั้นแล้วนิ่งอึ้ง เพราะไม่ว่าจะเป็นลักษณะของบ้านเรือน หรือแม้แต่การแต่งกายของผู้คนในบ้านหลังนั้นก็ล้วนไม่คุ้นตา
ขณะที่หะรินและภูวดลยังตะลึงงันและจับสายตานิ่งอยู่ในบริเวณบ้านไม้หลังดังกล่าว ปิยะนัฐกลับกวาดสายตาสำรวจไปรอบๆ ตัวด้วยอาการพินิจพิจารณา
แล้วหัวใจปิยะนัฐก็เต้นระรัวอีกครั้ง เมื่อระสายตาไปยังทิศทางด้านเหนือ ภาพที่ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเพราะสายหมอกเคลื่อนตัวลอยผ่านไปนั้น ทำให้ปิยะนัฐถึงกับมือไม้เย็นเฉียบขึ้นในบัดดล
“ภู ริน ดูโน่น...”
ภาพที่กำลังปรากฏอยู่ในดวงตาสามคู่ที่กำลังเบิกค้าง คือกำแพงสูงใหญ่ที่ภายในมีสิ่งปลูกสร้างไม่ต่างจากศิลปะของขอมโบราณ
“มันเกิดบ้าอะไรขึ้นวะเนี่ย!”
ครั้งนี้หะรินไม่อาจสะกดกลั้น ด้วยภาพที่กำลังเห็นอยู่นั้นยืนยันความจริง
จะให้คิดอ่านไปทางไหน คำตอบที่ออกมามันคงเป็นคำตอบเดียว...คือที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่เป็นโลกปัจจุบันของตนอย่างแน่นอน
“ริน ใจเย็นๆ เพื่อน”
ภูวดลบีบไหล่เพื่อนรักแรงๆ เข้าใจในความรู้สึกอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
“ทีนี้เราจะทำยังไงกัน แล้วนี่มันบ้านไหนเมืองไหน ทำไมมันดูราวกับเป็นโบราณสมัยนครวัดนครธมแบบนี้ล่ะ”
ทั้งปิยะนัฐและภูวดลได้แต่ถอนใจในประโยคของเพื่อน
ใช่...หะรินพูดถูก...นี่มันยุคสมัยไหนกันแน่?
เป็นเวลานานที่คนทั้งสามซึ่งบัดนี้ทอดตัวลงบนลานหินกว้างปล่อยให้ความหนักอึ้งจู่โจมความรู้สึก เพราะความหวังที่มี บัดนี้มันพังทลายลงหมดแล้วเพราะภาพต่างๆ ที่กำลังปรากฏ
ทั้งสามยังคงตกอยู่ในอาการอัดอั้นเช่นนั้น กระทั่งความมืดเริ่มโรยตัวเข้ามา ความรู้สึกของคนทั้งสามจึงค่อยๆ กลับคืน
“ริน ไม่ว่าที่นี่จะเป็นที่ไหน เราต้องมีความหวังนะ”
“ความหวังยังไงวะภู นายก็เห็นแล้วนี่ ว่าที่นี่มันเป็นยังไง มันไม่ใช่บ้านเมืองของเรา”
“มันจะเป็นบ้านไหนเมืองไหนก็ช่างมันเถอะ อย่างน้อยเรายังมีชีวิตอยู่”
ประโยคนั้นของภูวดลทำให้ความพลุ่งพล่านภายในของหะรินค่อยๆ คลายลง
“นี่ก็ใกล้มืดค่ำแล้ว จะเอายังไงกันดีล่ะ”
ปิยะนัฐเบือนหน้าไปปรึกษาภูวดล
“ถ้าเราลงไปที่หมู่บ้านข้างล่างในตอนนี้คงไม่ดีแน่ล่ะ ก็ดูการแต่งตัวของเรากับพวกเขาสินัฐ มันต่างกันลิบ ขืนลงไปตอนนี้ผู้คนจะพากันแตกตื่นเสียเปล่าๆ”
“นายคิดว่าเราควรนอนกันที่นี่งั้นเหรอภู”
ภูวดลสบตาปิยะนัฐ หยักหน้าให้เพื่อนพร้อมบอกย้ำ
“มันคงไม่มีทางอื่นดีกว่านี้อีกแล้วล่ะนัฐ”
สามชีวิตใช้แผ่นหินของลานผาแห่งนั้นเป็นที่พักนอน แม้อากาศจะเริ่มหนาวเย็นลงทุกขณะ หากร่มเงาของไทรป่าต้นใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมทั่วทั้งลานผาแห่งนั้นทำให้พอกันน้ำค้างของ ยามค่ำคืน
แม้ความหิวจะเริ่มเข้ามากรายกล้ำ หากสามร่างที่ทอดเหยียดยาวเบียดเสียดกันอยู่นั้นก็ไม่ได้ ปริปากบ่น ต่างทอดสายตาสู่ท้องฟ้าเบื้องบน มองผ่านลอดกิ่งไทรที่บัดนี้ทั่วทั้งผืนแผ่นฟ้าพร่างพราวไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ
เวลาจะผ่านไปเพียงใดไม่อาจรู้ แต่ที่ปิยะนัฐและภูวดลรับได้อยู่ในขณะนี้คือจังหวะการหายใจที่สม่ำเสมอของร่างที่คุดคู้อยู่ตรงกลาง ทำให้ทั้งสองค่อยๆ ขยับตัวเหยียดขึ้นเพราะต่างยังไม่ อาจข่มตาให้หลับลง
“นัฐ...นายก็นอนไม่หลับเหมือนกันเหรอ”
ภูวดลถามเพื่อนด้วยน้ำเสียงเนือยๆ
“อือ...สงสารรินมันนะภู”
ประโยคนั้นทำให้อีกฝ่ายเงียบไปเป็นครู่
“อีกไม่นานรินมันคงรับความจริงได้เองแหละ ว่าแต่นายเถอะนัฐ คิดว่าที่นี่เป็นที่ไหน”
ปิยะนัฐไม่ตอบ หากทอดสายตาลงไปเบื้องล่างซึ่งบัดนี้มีแสงสว่างส่องลอดออกมาจากทุกครัวเรือน
“นายดูบ้านเรือนข้างล่างโน่นสิภู พวกเขายังไม่มีไฟฟ้าใช้ ยังจุดไต้อยู่เลย เราเองก็ทายไม่ถูกหรอกว่าที่นี่คือที่ไหน ถ้านรามันมาด้วย มันอาจจะพอให้คำตอบกับเราได้บ้างแน่ๆ”
คำนั้นเรียกเสียงหัวเราะหึๆ ในลำคอของภูวดล
“นรามันไม่มาน่ะดีแล้วล่ะนัฐ ว่าแต่ตอนนี้อากาศหนาวมากเลย เรามีไฟแช็กติดมาด้วย ก่อไฟกันดีมั้ย”
ภูวดลเปลี่ยนเรื่องพร้อมมองฝ่าความมืดไปยังร่างที่ยังนอนสงบนิ่ง
“อย่าดีกว่าภู เราไม่รู้ว่าแถบนี้มีอะไรบ้าง นอนมันมืดๆ แบบนี้น่าจะดีกว่านะ”
“ถ้างั้นนอนเอาแรงกันก่อนเถอะนัฐ พรุ่งนี้คงได้รู้กันแล้วล่ะว่าที่นี่คือสถานที่ใดกันแน่”
ทั้งสองทอดตัวลงนอนยังที่เดิมอีกครั้ง และครั้งนี้แม้อากาศรอบกายจะทวีความหนาวเย็นขึ้น หากความอ่อนล้า บวกกับกำลังใจที่เหือดหายก็ทำให้ทั้งภูวดลและปิยะนัฐล่วงเข้าสู่ห้วงหลับใหลได้โดยไม่ยากเย็น
สายลมที่พัดแผ่วๆ เข้ามา ทำให้ทั้งสามร่างที่คุดคู้เบียดเสียดกันอยู่บนลานหินค่อยๆ ขยับ หากเมื่อคนทั้งสามเปิดเปลือกตาขึ้น ภาพที่ปรากฏชัดอยู่ตรงหน้า ทำให้ต่างพากันลุกพรวดด้วยความตกใจ
ครั้งแรกต่างคิด...นี่คงเป็นภาพลวงตาเป็นแน่
หากเมื่อตั้งสติกันอยู่พักใหญ่ ภาพนั้นก็ยังคงปรากฏอยู่เช่นเดิม
“เรามิใช่ผีสางดอก เราคือครูบาผาเหมย”
ประโยคนั้นทำให้ทั้งสามก้มลงกราบภิกษุชราในจีวรย้อมฝาดสีน้ำตาลหม่นตรงหน้าพร้อม ความตื่นเต้นยินดีที่ผ่านเข้ามาทดแทนความสิ้นหวัง
“นี่พวกผมไม่ได้ฝันไปใช่มั้ยครับ”
หะรินเอ่ยถามเสียงสั่นพร่า จับจ้องใบหน้าสงบนิ่งนั้นด้วยอาการพิจารณาราวกับยังไม่เชื่อ
สายตาตัวเอง
“นี่คือความจริง นี่คือสิ่งที่ชะตานำพวกเจ้าให้มาประสบ”
ในขณะที่หะรินและภูวดลยังไม่เข้าใจในประโยคของภิกษุชราตรงหน้า ปิยะนัฐกลับรู้สึกสะท้านไปทั้งใจ...
ชะตา คำนั้นภิกษุชราท่านหมายถึงอะไร?
“ครูบาครับ ที่นี่เป็นที่ไหนหรือครับ”
ภิกษุชราจับสายตานิ่งอยู่ที่ใบหน้าหะริน ก่อนจะเลี่ยงพูดถึงสิ่งอื่น
“ท่าทางเจ้าทั้งสามยังอิดโรยกันมากนัก ไปหาข้าวปลากินกันก่อนดีหรือไม่”
“ลงไปข้างล่างนั่นหรือครับ”
ภูวดลได้รับคำตอบจากภิกษุชราด้วยอาการส่ายหน้า ก่อนท่านจะบอกให้ชายหนุ่มทั้งสามติดตามท่านไป
“ตามเรามาเถิด”
จบคำ ร่างในจีวรน้ำตาลหม่นก็ออกเดินไปยังทิศทางที่มุ่งสู่ด้านเหนือ ทำให้ชายหนุ่มทั้งสามรีบออกเดินตามโดยไม่ต้องหันมาปรึกษากัน
ตลอดเส้นทางเล็กๆ ที่สองฟากซ้ายขวาแวดล้อมไปด้วยป่ารกทึบ หลายครั้งที่ปิยะนัฐมองร่างที่เดินนำหน้าด้วยความประหลาดใจ...
เส้นทางที่สูงชัน แม้แต่ตนเองและเพื่อนทั้งสองซึ่งกำลังอยู่ในวัยหนุ่มแน่นยังรับได้ถึงความเหน็ดเหนื่อย หากทำไมภิกษุชราผู้เดินนำ จึงก้าวฝีเท้าไปด้วยจังหวะสม่ำเสมอ และเท่าที่ปิยะนัฐ สังเกต ไม่มีช่วงจังหวะใดเลยที่การก้าวของท่านจะเปลี่ยนเป็นช้าหรือบ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าให้เห็น
เกือบชั่วโมงที่ชายหนุ่มทั้งสามรับได้ถึงความอ่อนล้าของกำลังขา ในที่สุดภิกษุชราก็นำสามหนุ่มแปลกหน้ามาถึงจุดหมาย...
เบื้องหน้าแม้สายหมอกยามเช้าจะปกคลุมไว้หนาแน่น หากทุกคนก็สามารถมองเห็นลานผากว้างใหญ่ได้ชัดเจน
“ท่านพักอยู่ที่นี่หรือครับ”
หะรินถามภิกษุชรา เมื่อกวาดสายตาสำรวจจนรอบตัวแล้วพบว่าไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดๆ อยู่ในบริเวณนี้เลย
ภิกษุชราไม่ได้ตอบคำถามนั้น หากเพียงพยักหน้าให้ชายหนุ่มทั้งสามก้าวตามท่านไป
แล้วทั้งสามก็ได้คำตอบ เมื่อร่างในจีวรน้ำตาลหม่นมายืนสงบนิ่งรออยู่ตรงทางเข้าของ สถานที่ที่คนทั้งสามไม่เคยคาดคิด ว่าจะมีใครใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่เช่นนี้อยู่อีก
ภิกษุชราก้าวนำไปตามทางเดินเล็กแคบ ที่มีคบไฟปักไว้สองฝั่งเพื่อส่องสว่างให้เห็นทางเดิน และเพียงครู่ทุกคนก็มาถึงลานโล่งกว้างภายในถ้ำอันแสนจะเยียบเย็น
“พักกายกันที่นี่ก่อน เราจะดูอาหารมาให้”
ทั้งสามทอดร่างลงแผ่หลาด้วยความเหนื่อยล้าที่มีมาตลอดเส้นทางเดิน
“นัฐ...ริน มันยังมีหรือวะคนอยู่ในถ้ำ”
ภูวดลกระซิบกระซาบ หากเพื่อนทั้งสองไม่ได้ปริปากตอบ กระทั่งภิกษุชราเดินกลับมาพร้อมวางกล้วยหนึ่งหวีลงตรงหน้าและส่งกระบอกไม้ไผ่ซึ่งภายในบรรจุน้ำอยู่เต็มให้กับภูวดล
“ใช้ประทังความหิวกันไปก่อนนะ”
ทั้งสามกราบภิกษุชราพร้อมๆ กัน แม้มันไม่ใช่อาหารที่ทุกคนกำลังโหยหา หากมันก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรตกถึงท้องเสียเลย
ในขณะที่ปิยะนัฐ ภูวดลและหะรินต่างก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารมื้อแรกนับจากเจอกับเหตุการณ์อันแปลกประหลาด ไม่มีร่างใดจะรู้ บัดนี้สายตาภิกษุชรามองตนด้วยความรู้สึกอย่างไร
ในที่สุด...ภาพที่ปรากฏในฌานสมาธิของท่านก็เป็นจริง
ภิกษุชราทอดถอนใจออกมาแผ่วเบา แม้รู้ชัดว่าสามชีวิตเบื้องหน้าเดินทางมายังที่แห่งนี้ด้วยเหตุใด หากเมื่อภาพสุดท้ายในสมาธิฌานปรากฏขึ้น ภิกษุชราก็ได้แต่มองคนทั้งสามด้วยความเวทนาจับใจ!
ในขณะที่ภูวดลและปิยะนัฐยังคงกวาดสายตาสังเกตทุกสิ่งทุกอย่างภายในโถงถ้ำด้วยความ สนใจ หะรินกลับขยับกายเข้าไปจนใกล้ภิกษุชรา หลายสิ่งหลายอย่างที่ค้างคาอยู่ในใจ ทำให้หะรินไม่อาจสะกดกลั้นไว้ได้อีก
“ท่านครับ พอจะบอกพวกผมได้มั้ยครับว่าที่นี่เป็นที่ไหน”
ประโยคนั้นทำให้ทั้งปิยะนัฐและภูวดลต้องกระเถิบเข้ามานั่งอยู่เบื้องหน้าภิกษุชราเช่นเดียวกับเพื่อน
“ก่อนอื่นเราขอให้เจ้าทั้งสามจงรับฟังด้วยสติ”
สามหนุ่มผู้มาจากแดนไกลต่างมองหน้ากันและกัน ไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าท่านหมายความว่าอย่างไร
“ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ล้วนไม่แน่นอนทั้งสิ้น แม้แต่ชะตาชีวิตของคนเรา...”
“ยังไงหรือครับ ผมไม่เข้าใจ”
หะรินยังคงเป็นเพียงคนเดียวที่สอบซัก
“คิดดูสิ อะไรนำพวกเจ้าเข้ามายังเทพศิลานครแห่งนี้”
เทพศิลานคร...
คำนั้นทำให้หัวใจคนฟังพากันกระตุกวูบ เพราะต่างคิด ทำไมชื่อของสถานที่แห่งนี้จึงฟังดูโบราณเหลือเกิน
“เทพศิลานคร เป็นที่ไหนหรือครับ”
ครั้งนี้ภูวดลถามขึ้นบ้าง แล้วคำตอบที่ได้รับ ทำให้ทั้งสามแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
“เทพศิลานคร เมืองหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำพิงคนที”
“พิงคนที!”
สามเสียงอุทานประสานกันขึ้น ด้วยต่างรู้ ชื่อนี้มีเพียงสมัยโบราณเท่านั้นที่ใช้เรียกกัน เพราะมาถึงยุคปัจจุบัน ผู้คนต่างพากันเรียกแม่น้ำสายดังกล่าวกันว่าแม่น้ำปิง
“ใช่...สายน้ำพิงคนทีคือหัวใจของชาวเทพศิลา”
ภิกษุชราเอ่ยย้ำขณะปิยะนัฐส่งคำถามใหม่ออกไป
“แล้วเทพศิลานครแห่งนี้ อยู่ในยุคไหนสมัยไหนกันหรือครับ”
“เทพศิลานครสร้างขึ้นมาพร้อมกับเชียงแสนนครทางตอนเหนือโน่น”
“เชียงแสน...”
ปิยะนัฐทวนคำนั้นด้วยหัวใจเย็นเฉียบ
“แล้วเทพศิลานครมีอายุกี่ปีครับ”
ปิยะนัฐถามอีกครั้งแล้วสะกดใจรอฟังคำตอบ
“ร้อยกว่าปีมาแล้ว...”
คำตอบของภิกษุชราราวกับเสียงที่แว่วมาจากที่ไกลแสนไกล สามร่างได้แต่นิ่งงันอยู่เช่นนั้น ด้วยต่างกำลังคิด...ถ้าหากเทพศิลานครแห่งนี้สร้างขึ้นพร้อมๆ กับนครเชียงแสน และมาถึงขณะนี้เทพศิลานครมีอายุร้อยกว่าปี ถ้าเช่นนั้น หากนับอายุของเมืองแห่งนี้จนถึงปัจจุบันของพวกตน อายุของเทพศิลานครย่อมไม่ต่ำกว่าแปดร้อยปี
“ครูบาครับ นี่พวกผมหลุดหลงเข้ามาได้ยังไง”
ภิกษุชราไม่ตอบ หากมองนิ่งที่ใบหน้าปิยะนัฐด้วยแววที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา ทั้งๆ ที่รู้ว่าเหตุใดชายทั้งสามจึงพลัดหลงเข้ามายังดินแดนแห่งนี้ หากท่านก็ไม่ได้ปริปาก คงปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามทางของมัน
“ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตามทางที่ถูกกำหนดไว้แล้วทั้งสิ้น ทำใจให้สงบ อย่าร้อนรน อย่าเพียรหาคำตอบใดๆ ในตอนนี้เลย ในเมื่อพวกเจ้าถูกชะตากำหนดมาเช่นนี้ มีหรือที่พวกเจ้าจะหลีกเลี่ยงมันได้”
ทั้งสามรู้สึกราวถูกผลักดิ่งลงสู่ก้นเหวลึก...
นี่หมายความว่า นับแต่นี้เป็นต้นไป พวกตนต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จนวันตายเช่นนั้นหรือ?
“นัฐ ภู นี่มันเป็นเรื่องจริงหรือวะเพื่อน หรือว่าพวกเรากำลังฝันไป”
ใบหน้าหะรินซีดเผือด จนเพื่อนทั้งสองใจหาย หากในเวลานี้ ใครจะสรรหาคำใดมาปลอบโยนกันได้ ในเมื่อต่างฝ่ายต่างมีความรู้สึกที่มิได้แตกต่างกัน
“พ่อหนุ่ม...”
ภิกษุชราแตะไหล่หะรินแผ่วเบา
“จงดำเนินชีวิตของเจ้าไปตามที่ถูกกำหนดมาเถิด สักวันเจ้าจะได้รู้คำตอบเองว่าเหตุใดชะตาจึงนำพวกเจ้ามาที่นี่”
แม้คำปลอบนั้นจะแสนอ่อนโยน หากในยามนี้หะรินหรือจะทำใจยอมรับได้อย่างง่ายดาย ในเมื่อต่อไป ตนจะต้องใช้ชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้โดยไม่อาจรู้ได้ว่าจะมีโอกาสได้กลับไปยังโลกปัจจุบันของตนได้อีกหรือไม่...
ถ้าหากจะมีสิ่งใดที่จะทำให้หะรินพอมีกำลังใจหยัดยืน สิ่งนั้นก็คงเป็นสองชีวิตของเพื่อนรักที่มีชะตากรรมเช่นเดียวกับตน!
“นัฐ...ภู...”
ดวงตาแห้งผากจับไปมาอยู่ที่ใบหน้าของเพื่อนรักทั้งสอง
“นี่เราต้องตายกันอยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือวะเพื่อน”
“ไม่หรอกริน เรามาที่นี่ได้ เราก็ต้องกลับไปได้”
ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีความมั่นใจแม้แต่น้อย หากภูวดลก็จำต้องปลอบเพื่อน เพราะในเวลานี้สภาพของหะรินย่ำแย่เหลือเกิน
“กลับไปได้ นายคิดแบบนั้นจริงๆ หรือภู”
“ใช่...เราคิดแบบนั้น”
ภิกษุชรามองสามร่างเบื้องหน้าที่ต่างปลุกปลอบกันและกัน...
แล้วภาพหนึ่งที่เคยแจ่มชัดในฌานสมาธิของท่านก็กลับปรากฏขึ้นอีกครั้ง...
หนึ่งชีวิต...ครองความเป็นใหญ่
หนึ่งชีวิต...ความตายเป็นผู้พลัดพราก
หนึ่งชีวิต...ต้องจากดินแดนแห่งนี้ไปตลอดกาล
นั่นคือชะตาของชายหนุ่มเบื้องหน้าทั้งสามคน!
ผลงานอื่นๆ ของ สิริสวรส ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ สิริสวรส
ความคิดเห็น