ใต้เงามนตรา ตอน7 - นิยาย ใต้เงามนตรา ตอน7 : Dek-D.com - Writer
×

    ใต้เงามนตรา ตอน7

    หนึ่งชีวิต...ครองความเป็นใหญ่ หนึ่งชีวิต...ความตายเป็นผู้พลัดพราก หนึ่งชีวิต...ต้องจากเทพศิลานครไปตลอดกาล นี่คือชะตากรรมของสามบุรุษผู้ล่วงผ่านมิติเวลา!

    ผู้เข้าชมรวม

    93

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    93

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  11 ส.ค. 66 / 11:11 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ใต้เงามนตรา บท7

     

    สามร่างในชุดนักบินที่มีความสูงไล่เลี่ยกันตัดสินใจออกเดินบุกตะลุยไปเบื้องหน้าทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจุดหมายอยู่ที่ใด เพราะในเวลานี้จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างยังมืดมน

    หลายครั้งหลายคราที่แววตาของคนทั้งสามปรากฏรอยของความหวาดหวั่น ด้วยผืนป่าที่กำลังบุกตะลุยฝ่าฟันอยู่ในขณะนี้มันช่างเป็นผืนป่าที่รกทึบเสียเหลือเกิน เพราะตามพื้นล่างแน่นขนัดไปด้วยดงเฟิร์นหลากหลายสายพันธุ์ที่ล้วนดูแปลกตาทั้งสิ้น เถาวัลย์ไม้เลื้อยต่างๆ ที่เกาะเกี่ยวระหว่างต้นไม้ใหญ่ที่ลำต้นสีดำทะมึน เรือนยอดสูงแผ่ใบบังไปทั่วอาณาบริเวณนั่นเล่าก็เลี้ยวลดคดเคี้ยวไปทั่วทุกทิศทาง

    ความทึบของผืนป่า แม้แต่แสงแดดก็แทบไม่อาจสาดส่องลงมายังพื้นดินเบื้องล่าง มีเพียงบางช่วงบางตอนของทางเดินเท่านั้นที่พอจะเห็นแสงรำไรๆส่องลอดผ่านใบไม้เบื้องบนลงมา

    ขณะภูวดลเดินนำหน้าฝ่าดงเฟิร์นไปนั้น ตลอดเวลาไม่มีแม้เสียงพูดคุย เพราะบัดนี้ในความคิดของคนทั้งสามต่างกำลังวิเคราะห์กันไปต่างๆ นานา โดยเฉพาะปิยะนัฐซึ่งเดินปิดท้าย หลายครั้งที่ชายหนุ่มต้องหยุดชะงักมองตะไคร่น้ำและบรรดากลุ่มมอสที่จับตามโขดหินน้อยใหญ่ด้วย ความแปลกใจเป็นที่สุด

    นี่มันที่ไหนกันแน่?

    แม้จะมีคำถาม หากปิยะนัฐก็ไม่มีคำตอบให้ตัวเอง ชายหนุ่มได้แต่ระส่ำระสายอยู่ในหัวอก ยิ่งมองไปยังสองร่างที่กำลังบุกตะลุยไปข้างหน้าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ยิ่งทำให้ปิยะนัฐจำต้องสะกดกลั้นสิ่งที่มันกำลังอัดอั้นและปรารถนาจะพูดออกมา

    เส้นทางที่ภูวดลเดินนำเริ่มลาดชันลงเรื่อยๆ เพราะบ่อยครั้งที่ร่างของหะรินต้องล้มลุกคลุกคลานด้วยไม่อาจบังคับฝีเท้าให้มั่นคง หากนั่นก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มท้อแท้หรือสิ้นหวัง ทุกครั้งที่ภูวดลหันกลับมามองเพื่อนรักด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความห่วงใย นักบินหนุ่มก็จะได้รับรอยยิ้มสู้จากเพื่อนรักทุกครั้งเช่นกัน

    ภูวดลรู้...ในขณะนี้แม้ความรู้สึกลึกๆ จะหวาดหวั่น หากหะรินยังคงตั้งความหวังไว้กับเบื้องหน้า เมื่อกำลังใจมา กำลังขาก็เกิด ทำให้หะรินสามารถตะลุยติดตามตนมาได้อย่างกระชั้น ต่างกับปิยะนัฐที่เพียงสบตา ภูวดลก็คาดเดาได้ว่าเพื่อนกำลังรู้สึกอย่างไร แต่ที่เพื่อนไม่ได้ปริปาก มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น คือไม่อยากทำลายความหวังของหะริน...

    นับชั่วโมงที่สามร่างลัดเลาะกันมาจนบัดนี้กำลังขาเริ่มเหนื่อยอ่อน และแม้อากาศจะเย็นชื้น หากสามร่างกลับชุ่มโชกไปด้วยหยาดเหงื่อ แต่เมื่อภูวดลตั้งใจจะหยุดพัก ภูมิประเทศที่เปลี่ยนไปจากเมื่อครู่ก็ทำให้ชายหนุ่มเปลี่ยนใจ...

    ร่างสูงทอดฝีเท้าไปอย่างช้าๆ เมื่อมองเห็นความสว่างเบื้องหน้าค่อยๆ ชัดขึ้น...

    แล้วหัวใจภูวดลก็เต้นแทบไม่เป็นจังหวะ เมื่อสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ ตัว...

    นี่แสดงว่าตนนำเพื่อนทั้งสองมาจนสุดแนวป่าแล้ว เพราะภูมิประเทศที่เปิดโล่งบ่งบอกเช่นนั้น

    ครั้งนี้นักบินหนุ่มแห่งกองทัพอากาศค่อยๆ กวาดสายตาสำรวจรอบๆ ตัว แล้วภูวดลก็ได้คำตอบ ที่ที่ตนกำลังยืนอยู่ขณะนี้คือเนินผาหินชัน

    ภูวดลทรุดตัวลงเหยียดแขนขาเพราะความเหนื่อยล้า ส่งสายตาไปยังเพื่อนรักอีกสองคนที่กำลังผ่านดงไม้ออกมาก่อนจะตะโกนบอกเพื่อนด้วยความดีใจ

    “ริน นัฐ เราเดินมาพ้นเขตป่าแล้วล่ะเพื่อน”

    สองร่างเพียงพยักหน้ารับ แล้วแผ่หลาลงใกล้ๆ ภูวดล

    สายลมเย็นที่พัดแผ่วๆ เข้ามา ทำให้ความเหนื่อยล้าของคนทั้งสามค่อยๆ หายไป ภูวดลเป็นคนแรกที่เหยียดตัวลุกขึ้น หากเพียงครู่ เมื่อนักบินหนุ่มกวาดสายตาลงไปยังเบื้องล่าง ภาพที่เห็นทำให้ความรู้สึกชะงักงัน...

    ภาพที่เห็น...ลำน้ำสายหนึ่งเลี้ยวลดคดเคี้ยวไปตามแนวเทือกเขา ทั้งสองฝั่งขนาบด้วยท้อง ทุ่งที่บัดนี้เหลืองอร่ามไปด้วยสีทองของรวงข้าวที่กำลังรอการเก็บเกี่ยว

    ภาพนั้น...แม้จะตรึงความรู้สึกของภูวดล หากสิ่งที่ทำให้หัวใจชายหนุ่มแทบหลุดออกมาจากอกคือบ้านเรือนผู้คนที่เรียงรายจากเหนือจรดใต้ของพื้นที่ราบแห่งนั้น

    “นัฐ! ภู! เรารอดแล้วเพื่อน”

    สองร่างทะลึ่งพรวดขึ้นเมื่อได้ยินประโยคนั้น ขณะภูวดลชี้มือลงไปเบื้องล่างพร้อมย้ำบอก ด้วยความตื่นเต้นยินดี

    “นั่นไง บ้านเรือนผู้คน...”

    แม้ม่านหมอกจะปกคลุมทัศนียภาพเบื้องล่างไว้ หากปิยะนัฐและหะรินก็สามารถมองเห็นสายน้ำ ทุ่งนา และบ้านเรือนของผู้คนได้อย่างถนัดตา เพียงแต่เพราะอยู่ในระยะไกล ทำให้ไม่สามารถมองเห็น ถึงรายละเอียดเท่านั้นเอง

    “เฮ้อ...ค่อยโล่งอกไปหน่อย”

    หะรินพูดออกมาแล้วทรุดตัวลงกับพื้นหินอีกครั้ง...

    “เดี๋ยวเรานั่งพักกันให้หายเหนื่อยแล้วค่อยเดินลงไปที่หมู่บ้านกัน”

    หะรินพยักหน้ารับคำเพื่อน ในหัวใจให้ปลอดโปร่งเป็นที่สุด หากปิยะนัฐกลับไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับเพื่อน เพราะในความรู้สึกลึกๆ ของตนในขณะนี้ราวจะบอก...ทุกอย่างมันไม่ได้ง่ายอย่างที่หะรินและภูวดลกำลังคิดอย่างแน่นอน...

    “นัฐ ทำไมไม่พูดไม่จา ไม่ดีใจเหรอที่เราเจอหมู่บ้าน”

    ปิยะนัฐยิ้มให้เพื่อน พร้อมบอกความรู้สึกของตัวเองออกมาตรงๆ

    “ภู ริน นายสองคนไม่รู้สึกแปลกๆ บ้างเหรอ ทั้งป่าที่เราบุกตะลุยกันมา หรือแม้แต่ภาพที่เราเห็นข้างล่างนั่น มันสันนิษฐานไม่ถูกจริงๆ ว่าเป็นที่ไหนหรือส่วนไหนของประเทศเรา”

    แม้ความคิดจะคล้อยตามคำของเพื่อน หากภูวดลกับหะรินก็พยายามคิดไปในทางที่ดี

    “จะเป็นที่ไหนก็ช่างมันเถอะนัฐ แค่เราเจอบ้านคนก็ดีแล้ว”

    ปิยะนัฐได้แต่พยักหน้าให้กับคำพูดนั้น

    หะรินพูดถูก...แค่ได้เจอบ้านเรือนของผู้คนก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว ดีกว่าการเดินหลงป่าหาทางออกไม่เจอเป็นไหนๆ

     

    ทั้งสามนั่งพักที่หน้าผาแห่งนั้นต่ออีกเพียงครู่ก็ออกเดินทางไปยังจุดหมายที่เป็นความหวังเดียว และการเดินครั้งนี้ภูวดลผู้เดินนำแทบห้อตะบึงลงไปตามทางลาดชัน แม้จะต้องฝ่าดงทึบของเถาวัลย์และดงเฟิร์นไม่ต่างจากครั้งแรก หากกำลังใจที่มีทำให้ทั้งภูวดลและหะรินแทบจะไม่รับรู้ถึงความเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย

    สามหนุ่มตะลุยเดินกันลงมาจนกระทั่งเห็นที่ราบตีนเขาซึ่งมีความลาดชันไม่มากนัก และจุดนั้นภูมิประเทศเปิดโล่งยิ่งกว่าเนินผาที่หยุดพักกันเมื่อชั่วโมงก่อน ภูวดลจึงเดินนำเพื่อนทั้งสองลัดเลาะออกจากแนวป่าทึบตรงไปยังจุดนั้นอย่างไม่ลังเล

    ทันทีที่ถึงจุดหมาย ต่างก้มหน้าก้มตาเหนื่อยหอบเพราะเร่งฝีเท้ากันมาตลอดเส้นทาง ด้วยหวังจะให้ถึงจุดหมายโดยเร็ว 

    ความเหนื่อยล้าเริ่มจางหาย คนทั้งสามจึงเริ่มกวาดสายตาสำรวจไปยังบริเวณพื้นราบเบื้องล่างที่แม้ม่านหมอกบางๆ จะยังคงลอยตัวบดบังภูมิประเทศอยู่บ้าง หากก็สามารถจับสังเกตบ้านเรือนและผู้คนได้อย่างชัดเจน

    “ภู...ริน...ดูที่บ้านหลังนั้นสิ”

    ปิยะนัฐชี้ไปยังบ้านไม้หลังหนึ่งซึ่งอยู่ในระยะใกล้ที่สุดที่สามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวต่างๆ ได้อย่างชัดเจน

    “เอ๊ะ! ทำไม...”

    หะรินพูดได้แค่นั้นแล้วนิ่งอึ้ง เพราะไม่ว่าจะเป็นลักษณะของบ้านเรือน หรือแม้แต่การแต่งกายของผู้คนในบ้านหลังนั้นก็ล้วนไม่คุ้นตา

    ขณะที่หะรินและภูวดลยังตะลึงงันและจับสายตานิ่งอยู่ในบริเวณบ้านไม้หลังดังกล่าว        ปิยะนัฐกลับกวาดสายตาสำรวจไปรอบๆ ตัวด้วยอาการพินิจพิจารณา 

    แล้วหัวใจปิยะนัฐก็เต้นระรัวอีกครั้ง เมื่อระสายตาไปยังทิศทางด้านเหนือ ภาพที่ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเพราะสายหมอกเคลื่อนตัวลอยผ่านไปนั้น ทำให้ปิยะนัฐถึงกับมือไม้เย็นเฉียบขึ้นในบัดดล

    “ภู ริน ดูโน่น...”

    ภาพที่กำลังปรากฏอยู่ในดวงตาสามคู่ที่กำลังเบิกค้าง คือกำแพงสูงใหญ่ที่ภายในมีสิ่งปลูกสร้างไม่ต่างจากศิลปะของขอมโบราณ

    “มันเกิดบ้าอะไรขึ้นวะเนี่ย!”

    ครั้งนี้หะรินไม่อาจสะกดกลั้น ด้วยภาพที่กำลังเห็นอยู่นั้นยืนยันความจริง

    จะให้คิดอ่านไปทางไหน คำตอบที่ออกมามันคงเป็นคำตอบเดียว...คือที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่เป็นโลกปัจจุบันของตนอย่างแน่นอน

    “ริน ใจเย็นๆ เพื่อน”

    ภูวดลบีบไหล่เพื่อนรักแรงๆ เข้าใจในความรู้สึกอีกฝ่ายเป็นอย่างดี

    “ทีนี้เราจะทำยังไงกัน แล้วนี่มันบ้านไหนเมืองไหน ทำไมมันดูราวกับเป็นโบราณสมัยนครวัดนครธมแบบนี้ล่ะ”

    ทั้งปิยะนัฐและภูวดลได้แต่ถอนใจในประโยคของเพื่อน

    ใช่...หะรินพูดถูก...นี่มันยุคสมัยไหนกันแน่?

    เป็นเวลานานที่คนทั้งสามซึ่งบัดนี้ทอดตัวลงบนลานหินกว้างปล่อยให้ความหนักอึ้งจู่โจมความรู้สึก เพราะความหวังที่มี บัดนี้มันพังทลายลงหมดแล้วเพราะภาพต่างๆ ที่กำลังปรากฏ 

    ทั้งสามยังคงตกอยู่ในอาการอัดอั้นเช่นนั้น กระทั่งความมืดเริ่มโรยตัวเข้ามา ความรู้สึกของคนทั้งสามจึงค่อยๆ กลับคืน

    “ริน ไม่ว่าที่นี่จะเป็นที่ไหน เราต้องมีความหวังนะ”

    “ความหวังยังไงวะภู นายก็เห็นแล้วนี่ ว่าที่นี่มันเป็นยังไง มันไม่ใช่บ้านเมืองของเรา”

    “มันจะเป็นบ้านไหนเมืองไหนก็ช่างมันเถอะ อย่างน้อยเรายังมีชีวิตอยู่”

    ประโยคนั้นของภูวดลทำให้ความพลุ่งพล่านภายในของหะรินค่อยๆ คลายลง

    “นี่ก็ใกล้มืดค่ำแล้ว จะเอายังไงกันดีล่ะ”

    ปิยะนัฐเบือนหน้าไปปรึกษาภูวดล

    “ถ้าเราลงไปที่หมู่บ้านข้างล่างในตอนนี้คงไม่ดีแน่ล่ะ ก็ดูการแต่งตัวของเรากับพวกเขาสินัฐ มันต่างกันลิบ ขืนลงไปตอนนี้ผู้คนจะพากันแตกตื่นเสียเปล่าๆ”

    “นายคิดว่าเราควรนอนกันที่นี่งั้นเหรอภู”

    ภูวดลสบตาปิยะนัฐ หยักหน้าให้เพื่อนพร้อมบอกย้ำ

    “มันคงไม่มีทางอื่นดีกว่านี้อีกแล้วล่ะนัฐ”

     

    สามชีวิตใช้แผ่นหินของลานผาแห่งนั้นเป็นที่พักนอน แม้อากาศจะเริ่มหนาวเย็นลงทุกขณะ หากร่มเงาของไทรป่าต้นใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมทั่วทั้งลานผาแห่งนั้นทำให้พอกันน้ำค้างของ ยามค่ำคืน

    แม้ความหิวจะเริ่มเข้ามากรายกล้ำ หากสามร่างที่ทอดเหยียดยาวเบียดเสียดกันอยู่นั้นก็ไม่ได้ ปริปากบ่น ต่างทอดสายตาสู่ท้องฟ้าเบื้องบน มองผ่านลอดกิ่งไทรที่บัดนี้ทั่วทั้งผืนแผ่นฟ้าพร่างพราวไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ

    เวลาจะผ่านไปเพียงใดไม่อาจรู้ แต่ที่ปิยะนัฐและภูวดลรับได้อยู่ในขณะนี้คือจังหวะการหายใจที่สม่ำเสมอของร่างที่คุดคู้อยู่ตรงกลาง ทำให้ทั้งสองค่อยๆ ขยับตัวเหยียดขึ้นเพราะต่างยังไม่ อาจข่มตาให้หลับลง

    “นัฐ...นายก็นอนไม่หลับเหมือนกันเหรอ”

    ภูวดลถามเพื่อนด้วยน้ำเสียงเนือยๆ

    “อือ...สงสารรินมันนะภู”

    ประโยคนั้นทำให้อีกฝ่ายเงียบไปเป็นครู่

    “อีกไม่นานรินมันคงรับความจริงได้เองแหละ ว่าแต่นายเถอะนัฐ คิดว่าที่นี่เป็นที่ไหน”

    ปิยะนัฐไม่ตอบ หากทอดสายตาลงไปเบื้องล่างซึ่งบัดนี้มีแสงสว่างส่องลอดออกมาจากทุกครัวเรือน

    “นายดูบ้านเรือนข้างล่างโน่นสิภู พวกเขายังไม่มีไฟฟ้าใช้ ยังจุดไต้อยู่เลย เราเองก็ทายไม่ถูกหรอกว่าที่นี่คือที่ไหน ถ้านรามันมาด้วย มันอาจจะพอให้คำตอบกับเราได้บ้างแน่ๆ”

    คำนั้นเรียกเสียงหัวเราะหึๆ ในลำคอของภูวดล

    “นรามันไม่มาน่ะดีแล้วล่ะนัฐ ว่าแต่ตอนนี้อากาศหนาวมากเลย เรามีไฟแช็กติดมาด้วย ก่อไฟกันดีมั้ย”

    ภูวดลเปลี่ยนเรื่องพร้อมมองฝ่าความมืดไปยังร่างที่ยังนอนสงบนิ่ง

    “อย่าดีกว่าภู เราไม่รู้ว่าแถบนี้มีอะไรบ้าง นอนมันมืดๆ แบบนี้น่าจะดีกว่านะ”

    “ถ้างั้นนอนเอาแรงกันก่อนเถอะนัฐ พรุ่งนี้คงได้รู้กันแล้วล่ะว่าที่นี่คือสถานที่ใดกันแน่”

    ทั้งสองทอดตัวลงนอนยังที่เดิมอีกครั้ง และครั้งนี้แม้อากาศรอบกายจะทวีความหนาวเย็นขึ้น หากความอ่อนล้า บวกกับกำลังใจที่เหือดหายก็ทำให้ทั้งภูวดลและปิยะนัฐล่วงเข้าสู่ห้วงหลับใหลได้โดยไม่ยากเย็น

     

    สายลมที่พัดแผ่วๆ เข้ามา ทำให้ทั้งสามร่างที่คุดคู้เบียดเสียดกันอยู่บนลานหินค่อยๆ ขยับ หากเมื่อคนทั้งสามเปิดเปลือกตาขึ้น ภาพที่ปรากฏชัดอยู่ตรงหน้า ทำให้ต่างพากันลุกพรวดด้วยความตกใจ

    ครั้งแรกต่างคิด...นี่คงเป็นภาพลวงตาเป็นแน่

    หากเมื่อตั้งสติกันอยู่พักใหญ่ ภาพนั้นก็ยังคงปรากฏอยู่เช่นเดิม

    “เรามิใช่ผีสางดอก เราคือครูบาผาเหมย”

    ประโยคนั้นทำให้ทั้งสามก้มลงกราบภิกษุชราในจีวรย้อมฝาดสีน้ำตาลหม่นตรงหน้าพร้อม ความตื่นเต้นยินดีที่ผ่านเข้ามาทดแทนความสิ้นหวัง

    “นี่พวกผมไม่ได้ฝันไปใช่มั้ยครับ”

    หะรินเอ่ยถามเสียงสั่นพร่า จับจ้องใบหน้าสงบนิ่งนั้นด้วยอาการพิจารณาราวกับยังไม่เชื่อ

    สายตาตัวเอง

    “นี่คือความจริง นี่คือสิ่งที่ชะตานำพวกเจ้าให้มาประสบ”

    ในขณะที่หะรินและภูวดลยังไม่เข้าใจในประโยคของภิกษุชราตรงหน้า ปิยะนัฐกลับรู้สึกสะท้านไปทั้งใจ...

    ชะตา คำนั้นภิกษุชราท่านหมายถึงอะไร?

    “ครูบาครับ ที่นี่เป็นที่ไหนหรือครับ”

    ภิกษุชราจับสายตานิ่งอยู่ที่ใบหน้าหะริน ก่อนจะเลี่ยงพูดถึงสิ่งอื่น

    “ท่าทางเจ้าทั้งสามยังอิดโรยกันมากนัก ไปหาข้าวปลากินกันก่อนดีหรือไม่”

    “ลงไปข้างล่างนั่นหรือครับ”

    ภูวดลได้รับคำตอบจากภิกษุชราด้วยอาการส่ายหน้า ก่อนท่านจะบอกให้ชายหนุ่มทั้งสามติดตามท่านไป

    “ตามเรามาเถิด”

    จบคำ ร่างในจีวรน้ำตาลหม่นก็ออกเดินไปยังทิศทางที่มุ่งสู่ด้านเหนือ ทำให้ชายหนุ่มทั้งสามรีบออกเดินตามโดยไม่ต้องหันมาปรึกษากัน

    ตลอดเส้นทางเล็กๆ ที่สองฟากซ้ายขวาแวดล้อมไปด้วยป่ารกทึบ หลายครั้งที่ปิยะนัฐมองร่างที่เดินนำหน้าด้วยความประหลาดใจ...

    เส้นทางที่สูงชัน แม้แต่ตนเองและเพื่อนทั้งสองซึ่งกำลังอยู่ในวัยหนุ่มแน่นยังรับได้ถึงความเหน็ดเหนื่อย หากทำไมภิกษุชราผู้เดินนำ จึงก้าวฝีเท้าไปด้วยจังหวะสม่ำเสมอ และเท่าที่ปิยะนัฐ สังเกต ไม่มีช่วงจังหวะใดเลยที่การก้าวของท่านจะเปลี่ยนเป็นช้าหรือบ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าให้เห็น

    เกือบชั่วโมงที่ชายหนุ่มทั้งสามรับได้ถึงความอ่อนล้าของกำลังขา ในที่สุดภิกษุชราก็นำสามหนุ่มแปลกหน้ามาถึงจุดหมาย...

    เบื้องหน้าแม้สายหมอกยามเช้าจะปกคลุมไว้หนาแน่น หากทุกคนก็สามารถมองเห็นลานผากว้างใหญ่ได้ชัดเจน

    “ท่านพักอยู่ที่นี่หรือครับ”

    หะรินถามภิกษุชรา เมื่อกวาดสายตาสำรวจจนรอบตัวแล้วพบว่าไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดๆ อยู่ในบริเวณนี้เลย

    ภิกษุชราไม่ได้ตอบคำถามนั้น หากเพียงพยักหน้าให้ชายหนุ่มทั้งสามก้าวตามท่านไป

    แล้วทั้งสามก็ได้คำตอบ เมื่อร่างในจีวรน้ำตาลหม่นมายืนสงบนิ่งรออยู่ตรงทางเข้าของ สถานที่ที่คนทั้งสามไม่เคยคาดคิด ว่าจะมีใครใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่เช่นนี้อยู่อีก

    ภิกษุชราก้าวนำไปตามทางเดินเล็กแคบ ที่มีคบไฟปักไว้สองฝั่งเพื่อส่องสว่างให้เห็นทางเดิน และเพียงครู่ทุกคนก็มาถึงลานโล่งกว้างภายในถ้ำอันแสนจะเยียบเย็น

    “พักกายกันที่นี่ก่อน เราจะดูอาหารมาให้”

    ทั้งสามทอดร่างลงแผ่หลาด้วยความเหนื่อยล้าที่มีมาตลอดเส้นทางเดิน

    “นัฐ...ริน มันยังมีหรือวะคนอยู่ในถ้ำ”

    ภูวดลกระซิบกระซาบ หากเพื่อนทั้งสองไม่ได้ปริปากตอบ กระทั่งภิกษุชราเดินกลับมาพร้อมวางกล้วยหนึ่งหวีลงตรงหน้าและส่งกระบอกไม้ไผ่ซึ่งภายในบรรจุน้ำอยู่เต็มให้กับภูวดล

    “ใช้ประทังความหิวกันไปก่อนนะ”

    ทั้งสามกราบภิกษุชราพร้อมๆ กัน แม้มันไม่ใช่อาหารที่ทุกคนกำลังโหยหา หากมันก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรตกถึงท้องเสียเลย

    ในขณะที่ปิยะนัฐ ภูวดลและหะรินต่างก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารมื้อแรกนับจากเจอกับเหตุการณ์อันแปลกประหลาด ไม่มีร่างใดจะรู้ บัดนี้สายตาภิกษุชรามองตนด้วยความรู้สึกอย่างไร

    ในที่สุด...ภาพที่ปรากฏในฌานสมาธิของท่านก็เป็นจริง

    ภิกษุชราทอดถอนใจออกมาแผ่วเบา แม้รู้ชัดว่าสามชีวิตเบื้องหน้าเดินทางมายังที่แห่งนี้ด้วยเหตุใด หากเมื่อภาพสุดท้ายในสมาธิฌานปรากฏขึ้น ภิกษุชราก็ได้แต่มองคนทั้งสามด้วยความเวทนาจับใจ!

     

    ในขณะที่ภูวดลและปิยะนัฐยังคงกวาดสายตาสังเกตทุกสิ่งทุกอย่างภายในโถงถ้ำด้วยความ สนใจ หะรินกลับขยับกายเข้าไปจนใกล้ภิกษุชรา หลายสิ่งหลายอย่างที่ค้างคาอยู่ในใจ ทำให้หะรินไม่อาจสะกดกลั้นไว้ได้อีก

    “ท่านครับ พอจะบอกพวกผมได้มั้ยครับว่าที่นี่เป็นที่ไหน”

    ประโยคนั้นทำให้ทั้งปิยะนัฐและภูวดลต้องกระเถิบเข้ามานั่งอยู่เบื้องหน้าภิกษุชราเช่นเดียวกับเพื่อน

    “ก่อนอื่นเราขอให้เจ้าทั้งสามจงรับฟังด้วยสติ”

    สามหนุ่มผู้มาจากแดนไกลต่างมองหน้ากันและกัน ไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าท่านหมายความว่าอย่างไร

    “ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ล้วนไม่แน่นอนทั้งสิ้น แม้แต่ชะตาชีวิตของคนเรา...”

    “ยังไงหรือครับ ผมไม่เข้าใจ”

    หะรินยังคงเป็นเพียงคนเดียวที่สอบซัก

    “คิดดูสิ อะไรนำพวกเจ้าเข้ามายังเทพศิลานครแห่งนี้”

    เทพศิลานคร...

    คำนั้นทำให้หัวใจคนฟังพากันกระตุกวูบ เพราะต่างคิด ทำไมชื่อของสถานที่แห่งนี้จึงฟังดูโบราณเหลือเกิน

    “เทพศิลานคร เป็นที่ไหนหรือครับ”

    ครั้งนี้ภูวดลถามขึ้นบ้าง แล้วคำตอบที่ได้รับ ทำให้ทั้งสามแทบไม่เชื่อหูตัวเอง

    “เทพศิลานคร เมืองหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำพิงคนที”

    “พิงคนที!”

    สามเสียงอุทานประสานกันขึ้น ด้วยต่างรู้ ชื่อนี้มีเพียงสมัยโบราณเท่านั้นที่ใช้เรียกกัน เพราะมาถึงยุคปัจจุบัน ผู้คนต่างพากันเรียกแม่น้ำสายดังกล่าวกันว่าแม่น้ำปิง

    “ใช่...สายน้ำพิงคนทีคือหัวใจของชาวเทพศิลา”

    ภิกษุชราเอ่ยย้ำขณะปิยะนัฐส่งคำถามใหม่ออกไป

    “แล้วเทพศิลานครแห่งนี้ อยู่ในยุคไหนสมัยไหนกันหรือครับ”

    “เทพศิลานครสร้างขึ้นมาพร้อมกับเชียงแสนนครทางตอนเหนือโน่น”

    “เชียงแสน...”

    ปิยะนัฐทวนคำนั้นด้วยหัวใจเย็นเฉียบ

    “แล้วเทพศิลานครมีอายุกี่ปีครับ”

    ปิยะนัฐถามอีกครั้งแล้วสะกดใจรอฟังคำตอบ

    “ร้อยกว่าปีมาแล้ว...”

    คำตอบของภิกษุชราราวกับเสียงที่แว่วมาจากที่ไกลแสนไกล สามร่างได้แต่นิ่งงันอยู่เช่นนั้น ด้วยต่างกำลังคิด...ถ้าหากเทพศิลานครแห่งนี้สร้างขึ้นพร้อมๆ กับนครเชียงแสน และมาถึงขณะนี้เทพศิลานครมีอายุร้อยกว่าปี ถ้าเช่นนั้น หากนับอายุของเมืองแห่งนี้จนถึงปัจจุบันของพวกตน อายุของเทพศิลานครย่อมไม่ต่ำกว่าแปดร้อยปี

    “ครูบาครับ นี่พวกผมหลุดหลงเข้ามาได้ยังไง”

    ภิกษุชราไม่ตอบ หากมองนิ่งที่ใบหน้าปิยะนัฐด้วยแววที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา ทั้งๆ ที่รู้ว่าเหตุใดชายทั้งสามจึงพลัดหลงเข้ามายังดินแดนแห่งนี้ หากท่านก็ไม่ได้ปริปาก คงปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามทางของมัน

    “ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตามทางที่ถูกกำหนดไว้แล้วทั้งสิ้น ทำใจให้สงบ อย่าร้อนรน อย่าเพียรหาคำตอบใดๆ ในตอนนี้เลย ในเมื่อพวกเจ้าถูกชะตากำหนดมาเช่นนี้ มีหรือที่พวกเจ้าจะหลีกเลี่ยงมันได้”

    ทั้งสามรู้สึกราวถูกผลักดิ่งลงสู่ก้นเหวลึก...

    นี่หมายความว่า นับแต่นี้เป็นต้นไป พวกตนต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จนวันตายเช่นนั้นหรือ?

    “นัฐ ภู นี่มันเป็นเรื่องจริงหรือวะเพื่อน หรือว่าพวกเรากำลังฝันไป”

    ใบหน้าหะรินซีดเผือด จนเพื่อนทั้งสองใจหาย หากในเวลานี้ ใครจะสรรหาคำใดมาปลอบโยนกันได้ ในเมื่อต่างฝ่ายต่างมีความรู้สึกที่มิได้แตกต่างกัน

    “พ่อหนุ่ม...”

    ภิกษุชราแตะไหล่หะรินแผ่วเบา

    “จงดำเนินชีวิตของเจ้าไปตามที่ถูกกำหนดมาเถิด สักวันเจ้าจะได้รู้คำตอบเองว่าเหตุใดชะตาจึงนำพวกเจ้ามาที่นี่”

    แม้คำปลอบนั้นจะแสนอ่อนโยน หากในยามนี้หะรินหรือจะทำใจยอมรับได้อย่างง่ายดาย ในเมื่อต่อไป ตนจะต้องใช้ชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้โดยไม่อาจรู้ได้ว่าจะมีโอกาสได้กลับไปยังโลกปัจจุบันของตนได้อีกหรือไม่...

    ถ้าหากจะมีสิ่งใดที่จะทำให้หะรินพอมีกำลังใจหยัดยืน สิ่งนั้นก็คงเป็นสองชีวิตของเพื่อนรักที่มีชะตากรรมเช่นเดียวกับตน!

    “นัฐ...ภู...”

    ดวงตาแห้งผากจับไปมาอยู่ที่ใบหน้าของเพื่อนรักทั้งสอง

    “นี่เราต้องตายกันอยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือวะเพื่อน”

    “ไม่หรอกริน เรามาที่นี่ได้ เราก็ต้องกลับไปได้”

    ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีความมั่นใจแม้แต่น้อย หากภูวดลก็จำต้องปลอบเพื่อน เพราะในเวลานี้สภาพของหะรินย่ำแย่เหลือเกิน

    “กลับไปได้ นายคิดแบบนั้นจริงๆ หรือภู”

    “ใช่...เราคิดแบบนั้น”

    ภิกษุชรามองสามร่างเบื้องหน้าที่ต่างปลุกปลอบกันและกัน...

    แล้วภาพหนึ่งที่เคยแจ่มชัดในฌานสมาธิของท่านก็กลับปรากฏขึ้นอีกครั้ง...

    หนึ่งชีวิต...ครองความเป็นใหญ่

    หนึ่งชีวิต...ความตายเป็นผู้พลัดพราก

    หนึ่งชีวิต...ต้องจากดินแดนแห่งนี้ไปตลอดกาล

    นั่นคือชะตาของชายหนุ่มเบื้องหน้าทั้งสามคน!

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น