ใต้เงามนตรา ตอน 9 - นิยาย ใต้เงามนตรา ตอน 9 : Dek-D.com - Writer
×

    ใต้เงามนตรา ตอน 9

    หนึ่งชีวิต...ครองความเป็นใหญ่ หนึ่งชีวิต...ความตายเป็นผู้พลัดพราก หนึ่งชีวิต...ต้องจากเทพศิลานครไปตลอดกาล นี่คือชะตากรรมของสามบุรุษผู้ล่วงผ่านมิติเวลา!

    ผู้เข้าชมรวม

    256

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    256

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  13 ส.ค. 66 / 12:05 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ใต้เงามนตรา บท9

     

    นับจากก่อนสางจนถึงบัดนี้สุริยาเริ่มฉายฉานสีทองระเรื่อไปทั่วแผ่นฟ้า หากร่างบางยังคงนั่งทอดสายตามองเหม่อผ่านบานหน้าต่างอยู่เช่นนั้นแน่วนิ่ง...ทุกครั้งที่ภาพนิมิตปรากฏ ดวงหน้าหวานจะร้อนผ่าวทุกครั้งเช่นกัน

    จากวัยแรกรุ่นจนบัดนี้ยี่สิบเศษ นางไม่เคยที่จะนิมิตอย่างเช่นค่ำคืนที่ผ่าน

    หลายครั้งที่นางพยายามทำใจคิดว่า มันก็เป็นแค่เพียงความฝันธรรมดาๆ เท่านั้น แต่อีกใจหนึ่งกลับค้าน...

    แล้วทำไมหัวใจของนางจึงสั่นไหวได้ถึงขนาดนี้

    ที่สำคัญ...ใบหน้าบุรุษในความฝัน ไยจึงติดตราแนบแน่นในความทรงจำ

    นางจำได้...ใบหน้านั้นดูสงบ เยือกเย็น น่าเกรงขามในความมีสง่า ยิ่งดวงตายามที่จับจ้องมายังนาง ทำไมมันทำให้หัวใจร้อนรุ่มได้ถึงเพียงนี้

    บานประตูห้องถูกเคาะเบาๆ ก่อนที่ร่างคุ้นตาของนางในคนสนิทจะผ่านเข้ามาพร้อมพับเพียบลงตรงหน้าแล้วบอกนางขึ้นเบาๆ

    “เจ้านางน้อยมาเจ้า”

    นางมิได้ตอบ หากเพียงพยักหน้าให้ และเพียงครู่หลังจากบานประตูห้องถูกปิดลง เสียงใสๆ ก็ดังมาก่อนตัว

    “พี่นาง ไยจึงยังไม่แต่งตัว”

    ร่างแน่งน้อยในซิ่นทอสีทองกับเสื้อทอลายละเอียดสีเดียวกับซิ่นตรงเข้าโอบกอดร่างของผู้เป็นพี่สาว สำรวจใบหน้าที่เช้านี้ดูซีดขาวราวไม่ได้รับการพักผ่อนกระนั้น

    “พี่นาง วันนี้ครูบาท่านจะมาเฝ้าเจ้าพ่อ”

    ครั้งนี้ผู้เป็นพี่สาวขยับจะลุก หากผู้เป็นน้องกลับกดไหล่ไว้ จับใบหน้าให้แหงนเงย

    “พี่นางเป็นอะไรไป ไม่สบายหรือเปล่า ทำไมหน้าตาซีดเซียวแบบนี้เล่า”

    เจ้านางเอื้องงามส่ายหน้าไปมา หากยังไม่ยอมสบตาผู้เป็นน้อง ยิ่งเมื่อภาพในนิมิตของค่ำคืน ที่ผ่านแว่บเข้ามา ใบหน้าของนางยิ่งก้มต่ำลง

    “พี่นาง เล่ามานะ ไม่อย่างนั้นน้องไม่ยอม”

    คำนั้นบอกให้รู้ ถ้าหากผู้เป็นพี่ยังไม่ยอมปริปากอยู่เช่นนี้ คนถามก็จะไม่ยอมหยุดรบเร้าลงอย่างง่ายๆ เช่นกัน

    “คือพี่...”

    “คืออะไรพี่นาง พี่นางเป็นแบบนี้น้องยิ่งเป็นห่วง มีอะไรทำให้ระคายใจก็บอกน้องมา”

    เจ้านางเอื้องงามหลุบสายตาลงต่ำ ไม่กล้ามองสบผู้เป็นน้อง และอาการนั้นก็ยิ่งทำให้อีกฝ่าย ยิ่งรบเร้ามากขึ้น

    “เอ...เช้านี้พี่นางดูแปลกจริง”

    “เจ้านางน้อย ถ้าพี่บอกเล่าไป เจ้าเก็บไว้เป็นความลับระหว่างเรานะ”

    ใบหน้าใสกระจ่างพยักรับ จนดวงดอกไม้สีขาวนวลช่อน้อยบนมวยผมระริกไหว

    “เมื่อคืนพี่ฝันแปลก...”

    คำนั้นทำให้ผู้ที่รอฟังด้วยอาการใจจดใจจ่อเปิดยิ้มกว้างจนผู้เป็นพี่เกิดความเอียงอายไม่กล้าจะเอ่ยคำออกมาอีก

    “น้องขออภัย พี่นางเล่ามาเถิด แต่ถ้าให้คาดเดา สีหน้าเอียงอายแบบนี้ พี่นางของน้องคงนิมิตเห็นเนื้อคู่เป็นแน่แท้”

    “เจ้านางน้อย อย่าล้อพี่เล่นเช่นนี้สิ”

    ใบหน้าหวานเคร่งขรึมขึ้นจนผู้เป็นน้องต้องระงับกิริยา

    “พี่นางฝันอย่างไร?”

    “พี่ฝันว่าพี่ได้ภิเษกกับ...”

    ผู้เป็นน้องอดไม่ได้ที่จะแทรกขึ้น

    “กับพี่สมิงพันตาใช่หรือไม่”

    คำถามนั้นได้รับคำตอบจากผู้เป็นพี่ในทันทีทันใด

    “เจ้านางน้อย ตลอดเวลาที่ผ่านมา เจ้าก็รู้ดีว่าพี่คิดเช่นไรกับท่านพี่สมิงพันตา แม้พี่ไม่ได้มีความรังเกียจในตัวเขา แต่หัวใจของพี่ก็ไม่เคยคิดเสน่หาในตัวท่านพี่สมิงพันตาฉันท์ชู้สาวเช่นกัน”

    วาจาจริงจังทำให้ใบหน้ากระจ่างสลดลง

    “ถ้าเช่นนั้นในความฝันพี่นางภิเษกกับผู้ใด”

    ครั้งนี้เจ้านางน้อยเห็นรอยเศร้าฉายออกมาจากดวงตาผู้เป็นพี่ ก่อนนางจะตอบออกมาแผ่วเบาราวความหวังใดกำลังพังภินท์

    “พี่ก็ไม่อาจรู้ว่าบุรุษผู้นั้นเป็นใคร แต่เจ้านางน้อยรู้หรือไม่ ความรู้สึกของพี่มันช่าง...”

    เจ้านางเอื้องงามชะงักคำ ด้วยรู้...วาจาที่นางกำลังจะเอ่ยออกมา มันไม่สมควรสักน้อยเลยที่จะออกจากปากของสตรีผู้สูงศักดิ์เช่นนาง

    “พี่นาง ในห้องนี้มีเราอยู่กันแค่สองคน อย่าอายน้องเลย พี่นางรู้สึกอย่างไรต่อบุรุษในความฝัน”

    ผู้เป็นพี่ทอดสายตาเศร้าผ่านเลยบานหน้าต่างออกสู่เบื้องนอก ก่อนจะบอกน้องสาวพร้อมๆ กับปลอบโยนหัวใจตนเองไปในคราวเดียวกัน

    “ช่างมันเถิดเจ้านางน้อย มันก็เป็นเพียงแค่ความฝัน เราจะไปยึดมันมาเป็นเรื่องเป็นราวให้ทุกข์เศร้าไปไย”

    แม้เอ่ยปากบอกน้องสาวไปเช่นนั้น หากในความรู้สึกของนางช่างไหวหวั่นเสียนี่กระไร เพราะจนกระทั่งบัดนี้ นางยังคงไม่เข้าใจ...ไยนางจึงรู้สึกผูกพันต่อบุรุษผู้นั้น ทั้งๆ ที่นางได้พบเจอ

    เพียงในความฝันเท่านั้นเอง

    “เมื่อครู่ เจ้านางน้อยบอกพี่ว่าท่านครูบาจะมาที่นี่เช่นนั้นรึ”

    เจ้านางเอื้องงามสลัดความรู้สึกที่กำลังจู่โจมหัวใจออกไป ย้อนกลับมาถามถึงสิ่งที่ผู้เป็นน้องบอกกล่าวเมื่อตอนแรกที่เข้ามา

    “ใช่...ครูบาจะมาที่นี่ตอนสายๆ”

    “เจ้านางน้อยของพี่เลยแต่งตัวงดงามรอคอยพี่สมิงพระนาย”

    ผู้เป็นน้องสาวมิได้ตอบคำพี่ เพียงส่งยิ้มบางๆ ให้

    บ่อยครั้งที่ผู้เป็นพี่สาวหยอกล้อในเรื่องคู่หมายของเจ้านางน้อย หากนางก็ไม่เคยได้เห็นกิริยาใดจากน้องนอกจากรอยยิ้มบางๆ ที่นางเองก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าหมายความอย่างไร 

    และเพราะกิริยาเช่นนั้น ทำให้เจ้านางเอื้องงามคิดเสมอว่าน้องสาวคงมีใจให้แก่สมิงพระนาย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่นางควรจะยินดีกับน้องสาวเป็นอย่างยิ่ง ที่สามารถยอมรับในสิ่งที่ผู้ใหญ่จัดการให้ ซึ่งผิดกับนาง ที่ทุกครั้งยามได้พบหน้าสมิงพันตา...แม้นางจะไม่มีความรังเกียจในตัวบุรุษผู้นั้น หากหัวใจของนางก็ไม่เคยเสน่หาในคู่หมายที่เจ้าพ่อเจ้าแม่วางไว้ให้กับนางแม้แต่น้อย...

    “พี่นางไปอาบน้ำแต่งตัวเถิด อีกประเดี๋ยวครูบาท่านคงเดินทางมาถึง”

    ร่างบางทำตามคำบอกของน้องสาวอย่างว่าง่าย และเพียงลับกายไปชั่วระยะเวลาไม่นาน...นางก็งดงามอยู่ในชุดซิ่นทอมือสีม่วงเข้มกับเสื้อทอปักลายสีชมพูหวาน บนมวยผมมีปิ่นดอกไม้เงินปักเสียบแซม

    “พี่นาง น้องต้องขออภัยที่หยอกล้อจนทำให้พี่ไม่สบายใจ”

    ร่างบางดึงมือน้องสาวให้นั่งลงเคียงข้าง

    “ถ้าพี่ไม่มีเจ้านางน้อย พี่ก็คงเหงา ว่าแต่หมู่นี้น้องไม่ได้ออกไปฝึกขี่ม้ากับท่านพี่สมิงพระนายดอกรึ”

    “ก็ไปบ้าง” 

    เจ้านางน้อยจันทร์หอมตอบพี่สาวราวมิได้ใส่ใจในเรื่องนั้นนัก หากนางกลับทอดความคิดไปยังอีกเรื่องราวที่คอยติดตามรบกวนความรู้สึกจนทำให้เกิดความกลัดกลุ้มทุกครั้งที่คิดถึงมัน

    “พี่นาง น้องรู้สึกไม่สบายใจในเรื่องที่เจ้าแสนคำลือเดินทางมาขอเกณฑ์ผู้คนของเราไปช่วยทางนครพิงค์อีกครา พี่นางคิดเช่นไรกับเรื่องนี้”

    เจ้านางเอื้องงามพยักหน้าให้ผู้เป็นน้องพร้อมจับมองดวงหน้ากระจ่างด้วยแววห่วงใย เพราะในวันที่เจ้าแสนคำลือมาขอเข้าเฝ้าเจ้าพ่อ ในค่ำคืนของวันนั้น เจ้าแม่เอ่ยปรารภกับนาง...

    เจ้าจอมตองและเจ้าแสนคำลือมิได้ปรารถนาเพียงเพื่อมาขอเกณฑ์ผู้คน หากเหนือกว่านั้นคือแก้วหินหน่อและองค์พระคู่บ้านคู่เมืองอันเป็นสิ่งสูงค่าของชาวเทพศิลานคร

    หากเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำให้เจ้าแม่ไหวหวั่นหรือหวาดกลัวได้เท่ากับสายตาของเจ้าแสนคำลือในยามที่เพ่งมองมายังเจ้านางน้อย เพราะแววตาเช่นนั้นบ่งชัด...เจ้าแสนคำลือคิดอย่างไรกับเจ้านางน้อยจันทร์หอม และเมื่อใดที่สองพ่อลูกคู่นั้นเอ่ยปากถึงความปรารถนาของตน ผู้คนชาวเทพศิลาหรือจะยินยอม

    ถึงเวลานั้น...สิ่งที่ทุกคนหวาดหวั่นอาจจะเกิดขึ้นจริงๆ

     

    ภายในโถงกว้างของตำหนักหลวงในวันนี้ดูมีชีวิตชีวา ด้วยองค์พิงคะและเจ้านางโคมคำนำธิดาทั้งสองออกมานั่งรอผู้ที่ชาวเมืองต่างนับถือศรัทธา และเมื่อเวลาของการนัดหมายมาถึง ร่างในจีวรน้ำตาลหม่นก็ก้าวผ่านประตูตำหนักเข้ามาโดยเบื้องหลังศิษย์ทั้งสองเดินตามมาติดๆ เช่นทุกคราว หากที่ทำให้ทุกคนภายในโถงกว้างต้องประหลาดใจ...

    วันนี้ครูบาผาเหมยนำผู้ใดมายังตำหนักหลวงอีกสามคน?

    “เชิญ ท่านครูบา”

    องค์พิงคะประนมมือคารวะนอบน้อม ขณะเจ้านางโคมคำและธิดาทั้งสองกราบลงแทบเท้าของท่านครูบา

    “แล้วนั่นผู้ใดรึ”

    องค์พิงคะจับสายตามองสามบุรุษหนุ่มแปลกหน้าด้วยอาการเพ่งพินิจ แม้การแต่งกายของบุคคลทั้งสามจะไม่ต่างจากสมิงพระนายและสมิงพันตา หากท่วงท่าของสามบุรุษหนุ่มดูน่าเกรงขามและสง่างามอยู่ในที

    ครูบาผาเหมยส่งยิ้มเยือกเย็นให้แก่องค์พิงคะ ก่อนจะเอ่ยชื่อชายหนุ่มทั้งสามไล่เลียงกันไปให้เป็นที่รู้จักกันอย่างเป็นทางการ

    “นี่คือหะรินทะ ภูวะ และนัฐถะ”

    สามหนุ่มก้มกราบองค์พิงคะและเจ้านางโคมคำอย่างนอบน้อมพร้อมเพรียง

    หากในห้วงเวลานั้น ทุกคนภายในโถงใหญ่ไม่อาจรู้...ทันทีที่บุรุษหนึ่งในสามเงยหน้าขึ้นมา เจ้านางเอื้องงามก็ถึงกับผงะ หัวใจเต้นระรัว...

    องค์พิงคะยังคงจับจ้องใบหน้าบุรุษทั้งสามอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งครูบาผาเหมยกระซิบประโยคหนึ่งซึ่งได้ยินกันเพียงสองคนออกมา กิริยาเมื่อครู่จึงค่อยๆ หายไป

    “พระองค์ คนทั้งสามคือผู้ที่จะมาช่วยปกป้องเทพศิลานครให้พ้นภัย”

    “ท่านว่าอย่างไรนะ ช่วยปกป้องเทพศิลานครให้พ้นภัย แล้วคนทั้งสามนี่มาจากไหน”

    องค์พิงคะได้เห็นรอยยิ้มเยือกเย็นจากครูบาผาเหมยส่งมาอีกครั้ง พร้อมคำตอบที่องค์พิงคะเองก็ยิ่งงุนงง

    “มาจากแดนไกลโพ้นทางใต้”

    องค์พิงคะได้แต่นิ่งอึ้ง หากเมื่อคิดจะสอบถามต่อ ครูบาผาเหมยกลับเปลี่ยนเรื่องไปพูดถึงการสำคัญที่ผู้เป็นศิษย์ไปแจ้งแก่ตน

    “ศิษย์ของเราไปแจ้งว่าเมื่อหลายวันก่อนเจ้าแสนคำลือมาเจรจาขอเกณฑ์แรงงานผู้คนไปยัง

    นครพิงค์อีกเช่นนั้นหรือ”

    “ใช่ ท่านครูบา เราบ่ายเบี่ยงไปว่าจะขอส่งเสบียงและข้าวของมีค่าไปให้แทน เพราะช่วงเวลานี้เป็นหน้าเก็บเกี่ยว ผู้คนของเราต้องเร่งมือกับพืชผลของตน”

    “พระองค์ก็รู้ว่าแสนคำลือและเจ้าจอมตองมิได้ปรารถนาเพียงแค่นั้น”

    “นี่ล่ะ ครูบา คือสาเหตุที่เราต้องเรียกท่านมาปรึกษาในวันนี้”

    ครูบาผาเหมยเบือนหน้าไปยังสามบุรุษหนุ่มที่บัดนี้กำลังสอดส่ายสายตาสังเกตข้าวของต่างๆ นานา ภายในโถงตำหนักด้วยความตื่นตาตื่นใจในความงดงามของศิลปะและสิ่งปลูกสร้าง อีกทั้งเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกภายในที่บัดนี้...หัวใจของภูวดลและหะรินกำลังเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ เพราะทันทีที่สายตาพบกับดวงหน้าสดใส มือไม้ของคนทั้งสองก็ให้รู้สึกราวจะอ่อนเรี่ยวแรง

    ขณะที่ภูวดลชำเลืองมองดวงหน้ากระจ่างของเจ้านางน้อยจันทร์หอม หะรินก็แอบชำเลืองไปยังใบหน้าหวานของเจ้านางเอื้องงามอยู่หลายครั้ง หะรินไม่มีวันรู้...บัดนี้หัวใจของนางก็แทบจะหลุดออกมาจากอกเช่นกัน มือไม้เฉียบเย็นเพราะไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าบุรุษที่นางรู้สึกแสนเสน่หาในนิมิตนั้นจะมีตัวตนจริงๆ

    “พี่นาง เป็นอะไร ทำไมมือไม้เย็นเฉียบขนาดนี้เล่า”

    เจ้านางน้อยกระซิบแผ่วอยู่ข้างหู ขณะกุมมือของผู้เป็นพี่ไว้แน่น

    “เจ้านางน้อย...บุรุษผู้นั้น...”

    น้ำเสียงอ่อนหวานสั่นระรัว

    “ผู้นั้นน่ะคนไหน?”

    เจ้านางน้อยยังคงกระซิบกระซาบ

    “ผู้ที่นั่งตรงกลาง”

    ครั้งนี้เจ้านางน้อยจันทร์หอมส่งสายตาไปจับนิ่งอยู่ที่ใบหน้าของหะริน ก่อนจะกระซิบถามพี่สาว “เขาคือผู้ที่ปรากฏในความฝันของพี่นางใช่หรือไม่”

    เจ้านางน้อยได้รับคำตอบจากใบหน้าแดงระเรื่อของพี่นาง หลังจากนั้นเจ้านางน้อยก็ค่อยๆ เบือนหน้าไปยังสามบุรุษหนุ่มด้วยหวังจะพิจารณาใบหน้าบุรุษที่ทำให้หัวใจของพี่นางหวั่นไหว หากเมื่อนางส่งสายตาไปก็กลับกระทบเข้ากับดวงตาคมที่มองผ่านแว่บมายังใบหน้าของนาง...

    เจ้านางน้อยเบือนหน้ากลับ ไม่กล้าแม้แต่จะส่งสายตาไปยังจุดนั้นอีก ในหัวใจให้รู้สึกสั่นๆ เมื่อนึกถึงกระแสสายตาคมคู่นั้นที่ส่งมาประสานกับสายตาของนางโดยบังเอิญ...

    “องค์พิงคะ ครั้งนี้เราอาจจะเลี่ยงความขัดแย้งมิได้”

    เสียงครูบาผาเหมยเอ่ยขึ้นได้ยินกันทั่วทั้งห้องโถง ด้วยท่านปรารถนาให้ทุกคนในที่นั้นได้รับรู้ปัญหาเพื่อที่จะได้คิดหาหนทางแก้ไขร่วมกัน

    “ครูบา เมืองของเราเป็นแค่เมืองเล็กๆ ถ้าหากไปขัดแย้งกับเมืองใหญ่ๆ เช่นจอมตอง คงไม่เกิดผลดีกับเราเป็นแน่”

    “สุดแท้แต่พระองค์เถิด โลกมนุษย์ย่อมมีความขัดแย้ง หลีกเลี่ยงไม่พ้น เราเองก็มิปรารถนาให้มีการศึกสงครามพร่าผลาญชีวิตผู้คน แต่หากมิอาจยับยั้งได้ พระองค์โปรดใช้ปัญญาของพระองค์ไตร่ตรองให้จงดี”

    “อันที่จริงเราก็พอจะยอมในสิ่งที่ยอมได้ แต่หากเกินกว่านั้น มิใช่เพียงเราหรอกท่านครูบา เราเชื่อว่าชาวเทพศิลานครทุกคนคงมิมีผู้ใดยินยอม”

    องค์พิงคะครุ่นคิดด้วยความรู้สึกอันหนักหน่วง...เพราะหากแข็งข้อ แน่นอนว่าปัญหาใหญ่ต้องบังเกิด แต่หากองค์พิงคะยินยอม เจ้าจอมตองซึ่งในกมลสันดานมีแต่ความโลบโมโทสันจะต้องการสิ่งใดบ้าง 

    และสิ่งหนึ่งที่ทำให้องค์พิงคะยิ่งหวั่น...คือคำพูดของเจ้านางโคมคำที่บอกย้ำในท่าทีของ      เจ้าแสนคำลือ บุตรชายแห่งเจ้าจอมตอง ที่แสดงออกกับเจ้านางน้อยจันทร์หอมธิดาคนเล็กของพระองค์

    “ครูบา ในเมืองของเรามีทหารเพียงแค่ห้าร้อยเท่านั้น และมิเคยทำศึกสงครามใดๆ เลยนับแต่องค์ปฐมกษัตริย์ของเราสร้างเมืองมาเป็นเวลาร้อยกว่าปี ถ้าหากต้องเกิดการรบราขึ้น ท่านคิดว่าเราจะต้านทานกำลังที่มากกว่าและกระหายในการศึกได้หรือ อีกอย่างท่านก็รู้ ผู้คนของเรารักสงบเพียงใด พวกเขาคงไม่ปรารถนาที่จะให้มีการรบราฆ่าฟันเกิดขึ้นเป็นแน่”

    จบคำองค์พิงคะ ทั่วทั้งโถงตำหนักปกคลุมไปด้วยความเงียบ หากเพียงครู่เสียงหนึ่งที่ทุกชีวิตในตำหนักในไม่เคยคุ้นก็ดังขึ้นในท่วงทำนองที่ฟังแปลกหูเป็นอย่างยิ่ง

    “ถ้าหากมีการสู้รบกันจริงๆ ข้าคิดว่าจำนวนคนจะมากจะน้อยมันไม่ใช่ตัวชี้วัดถึงความพ่ายแพ้หรือชัยชนะหรอก การที่จะมีชัยในการสู้รบ มันอยู่ที่การกำหนดยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่จะนำมาใช้ต่างหาก”

    องค์พิงคะงงงันกับวาจาฉะฉานที่บางคำมิอาจเข้าใจในความหมาย หากเกิดความพึงพอใจ กับท่าทางอาจหาญของบุรุษแปลกหน้าอยู่ไม่น้อย

    “เจ้ามิควรบังอาจสอดแทรก รอให้องค์พิงคะสอบถามจึงค่อยพูด มิใช่ไม่รู้การควรไม่ควร”

    สมิงพันตารู้สึกขวางต่อท่าทางและคำพูดของภูวดลเป็นอย่างยิ่ง จึงอดไม่ได้ที่จะหันมาปรามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

    “อ้าว! ก็นี่กำลังปรึกษากันไม่ใช่หรือ?”

    ภูวดลยังคงพูดเสียงดัง จนปิยะนัฐต้องสะกิดสีข้างเบาๆ พร้อมส่งสายตาเป็นเชิงปราม ภูวดลจึงได้สงบปากคำลง

    “เจ้าผู้นี้ คำพูดของมันช่างโอหังนัก หากท่าทางมันดูอาจหาญดี เราจะละเว้นการถือโทษแก่มัน แต่คำพูดของมันฟังดูแปลกแปร่งเหลือเกิน และบางคำเราก็ไม่เข้าใจ ครูบา ท่านพอจะบอกความหมายของสิ่งที่เจ้าหนุ่มผู้นี้พูดให้เราได้ความกระจ่างได้หรือไม่”

    ครูบาผาเหมยไม่ได้ตอบ หากเบือนหน้าไปยังชายหนุ่มทั้งสามก่อนเอ่ย

    “เจ้าทั้งสามต้องค่อยๆ บอกกล่าวแก่องค์พิงคะให้เข้าใจ”

    ครั้งนี้ภูวดลยิ้มรับคำของครูบา ก่อนจะอธิบายความหมายของประโยคเมื่อครู่ที่ตนได้แนะนำออกไป

    “ข้าหมายความว่า ถึงแม้เทพศิลานครจะมีกำลังทหารน้อยและขาดประสบการณ์ในการศึก  แต่ถ้าหากเรารวมใจกันเป็นหนึ่งเดียว รวบรวมผู้คนทั้งชายหญิงมาร่วมฝึกปรือในเชิงยุทธและวางแผนการรบไว้ให้รอบคอบ ชัยชนะก็จะเป็นของเราได้โดยไม่ยาก”

    องค์พิงคะพยักหน้าให้กับความคิดของชายหนุ่ม

    “แล้วเจ้าเคยผ่านการศึกมาแล้วกี่ครั้ง”

    ภูวดลเปิดยิ้มกว้างก่อนตอบชัดถ้อยชัดคำ

    “ข้าไม่เคยผ่านศึกใดมาเลย”

    องค์พิงคะมองชายหนุ่มด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความไม่สบอารมณ์ ขณะสมิงพันตายิ้มอยู่ในหน้าด้วยแววเยาะหยัน

    “ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าการศึกตามที่เจ้าคิดจะประสบชัยชนะ ในเมื่อเจ้าเองก็ไม่เคยผ่านการศึกใดมาเลย”

    “โธ่...ก็ตำราเขาบอกไว้เยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นสามก๊กหรือตำราพิชัยสงคราม การรบแบบ    โบร่ำโบราณน่ะมันมีบอกไว้...”

    ภูวดลชะงักคำเมื่อหะรินทุบกำปั้นลงบนไหล่หนักๆ สองสามครั้งพร้อมเอ่ยขึ้นเป็นประโยคแรก “ข้าต้องขออภัยแทนเพื่อนของข้าด้วย”

    องค์พิงคะจับสายตานิ่งที่ใบหน้าสงบเยือกเย็นของหะริน ก่อนจะละไปยังอีกดวงหน้าที่นิ่งเฉย หากดวงตาคมบอกแววของความจริงจัง

    “แล้วจะให้เราและชาวเทพศิลานครทั้งหลายมั่นใจในคำพูดของพวกเจ้าได้อย่างไร เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็กน้อย หากหมายถึงชะตาของผู้คนทั้งเมือง เอาเถิด เราจะไม่ถือสา หากว่าพวกเจ้าทั้งสามสามารถทำให้เราได้ประจักษ์แก่สายตา”

    ปิยะนัฐนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ยแก่องค์พิงคะด้วยวาจาหนักแน่น

    “ถึงแม้ว่าข้าทั้งสามจะมิเคยผ่านศึกใดมา แต่เราก็เคยศึกษาวิชาเชิงยุทธกันมาพอสมควร โดยเฉพาะภูวะ แม้มิได้ออกศึก แต่ก็เคยฝึกปรือวิชาทหารมาแล้วแทบทุกรูปแบบ”

    คำนั้นทำให้ภูวดลเปิดยิ้มกว้าง หากประโยคต่อมาของปิยะนัฐแทบจะทำให้รอยยิ้มค้างอยู่บนใบหน้าเช่นนั้น

    “ภูวะยินดีจะพิสูจน์ให้องค์พิงคะได้เห็น”

    ปิยะนัฐหันไปสบตาหะรินซึ่งอีกฝ่ายก็กำลังส่งสายตามาเช่นกัน หากผู้ที่เพื่อนเชิดชูให้เป็นพระเอกของงานกลับหันมากระซิบกระซาบ

    “เอาแล้วไงเจ้านัฐ ใจคอจะหาเรื่องให้เจ็บตัวกันใช่มั้ยเนี่ย”

    ปิยะนัฐและหะรินได้แต่ยิ้มๆ ให้กับประโยคนั้น เพราะในใจต่างเชื่อมั่น...หากเป็นการต่อสู้ด้วยมือเปล่า มีหรือที่เพื่อนจะอ่อนด้อยกว่าใคร เพราะไม่ว่าการฝึกแบบไหน ภูวดลล้วนเคยผ่านมาแล้วทั้งสิ้น ที่สำคัญ...เพื่อนไม่ได้ผ่านหลักสูตรต่างๆ มาอย่างธรรมดาๆ หากผ่านมาด้วยคะแนนนำหน้าเพื่อนฝูงในรุ่นแทบจะทุกหลักสูตร

    “แล้วภูวะจะใช้อาวุธใดพิสูจน์ฝีมือ”

    องค์พิงคะส่งคำถามมายังภูวดล หากปิยะนัฐเป็นฝ่ายตอบขึ้นแทน

    “ข้าคิดว่าหากจะดูฝีมือขั้นต้น ไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธใด ใช้พละกำลังและความสามารถในท่วงท่าก็น่าจะเพียงพอ”

    “ถ้าเช่นนั้นเราจะให้ภูวะทดสอบฝีมือกับทหารฝีมือดีของเรา”

    องค์พิงคะยังมิทันจะรับสั่งให้เรียกหาทหารฝีมือดีที่พระองค์เอ่ยถึง สมิงพันตาซึ่งนิ่งฟังอยู่เป็นเวลานานก็รีบขันอาสาขึ้น

    “ข้าขออาสาทดสอบกับภูวะเอง ความจริงถ้าหากจะให้รู้ถึงฝีมือที่แท้จริง น่าจะเป็นการประอาวุธกัน เพราะในยามศึกนั้น ไม่มีข้าศึกคนไหนจะวิ่งมือเปล่าเข้ามาหาเราเป็นแน่”

    คำพูดท้าทายนั้นทำให้อารมณ์ของภูวดลกรุ่นขึ้นมาทันที

    เอาก็เอาสิวะ...คำนั้นกึกก้องขึ้นในความคิด หากภูวดลไม่ทันจะได้เอ่ยรับคำท้า ปิยะนัฐก็แทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

    “สมิงพันตา ถ้าหากร่างกายของเราพร้อม การฝึกปรืออาวุธก็ย่อมส่งผลในด้านดี ตอนนี้หากใช้อาวุธทดสอบกัน ข้าเกรงว่าจะพากันบาดเจ็บเสียเปล่าๆ เอาเป็นว่าวันนี้หากเจ้าต้องการทดสอบกับภูวะเพื่อนข้า ก็ลองด้วยมือเปล่าก่อนเถิด”

    วาจาเยือกเย็นหากสีหน้าจริงจังที่ส่งมายังสมิงพันตา ทำให้คนฟังต้องยอมจำนน หากไม่วายคิดอยู่ในใจ...แม้จะเป็นการต่อสู้ด้วยมือเปล่า แต่ตนก็จะพิสูจน์ให้ทุกคนได้รู้...ในเมืองเทพศิลานครแห่งนี้ จะมิมีผู้ใดมาทัดเทียมตน!

    “ถ้าเช่นนั้นข้าขอเชิญภูวะที่ลานด้านหน้าตำหนักเถิด”

    คำนั้นของสมิงพันตาจบลงพร้อมๆ รอยหยันบนใบหน้า หากไม่ทันที่ร่างใดจะเคลื่อนออกไปยังลานหน้าตำหนัก เสียงหวานใสจากเจ้านางน้อยก็กังวานขึ้น

    “ท่านพี่สมิงพันตา เราคิดว่าคู่ประลองของคนผู้นี้ไม่จำเป็นต้องใช้ผู้ที่มีฝีมือขนาดท่านพี่ดอก ใช้ทหารฝีมือดีสักหน่อยก็น่าจะเพียงพอ”

    วาจานั้นทำให้ใบหน้าภูวดลร้อนผ่าว ขณะที่คนพูดส่งยิ้มระเรื่อมาให้...

    ความจริงนางมิได้คิดลบหลู่หรือสบประมาทในฝีมือชายหนุ่มแปลกหน้าดั่งวาจาที่ลั่นออกมาแม้แต่น้อย แต่นางรู้ถึงอุปนิสัยของสมิงพันตาเป็นอย่างดี หากการต่อสู้ด้วยมือเปล่า สมิงพันตาเป็นผู้ชนะ ทุกอย่างก็จบ แต่หากเป็นตรงข้าม นางมั่นใจ...สมิงพันตาจะไม่ยินยอมหยุดแค่นั้นเป็นแน่ อาจจะถึงขั้นมีการทดสอบด้วยอาวุธต่างๆ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น นางเองก็มิปรารถนาที่จะเห็นฝ่าย

    หนึ่งฝ่ายใดได้รับอันตรายพร้อมกับความอับอายที่จะตามมาหลังจากการพ่ายแพ้...

    “ถ้าหากเจ้านางน้อยคิดเช่นนั้น ข้าก็คงจำต้องทำตามคำของท่าน”

    สมิงพันตายิ้มอยู่ในหน้า หากแล้วรอยยิ้มนั้นก็กลายเป็นจืดเจื่อนเมื่อภูวดลยื่นหน้าเข้าไปจนอยู่ในระยะใกล้พร้อมกระซิบได้ยินกันเพียงสองคน

    “เป็นอย่างนั้นก็ดีแล้วสมิงพันตา ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าอับอายผู้คน”

    แม้จะรู้สึกเดือดดาล แต่สมิงพันตาก็จำต้องสะกดกลั้นอารมณ์ และยิ่งองค์พิงคะมีรับสั่งขึ้น ทำให้สมิงพันตาจำต้องปล่อยให้ความคุกรุ่นเมื่อครู่ค่อยๆ จางหายไปเอง

    “สมิงพันตา เจ้าจงไปคัดเลือกทหารฝีมือดีของเรามา วันนี้จะได้รู้ว่า ฝีมือของคนจากแดนไกลเป็นอย่างไร”

     

    สมิงพันตานำทหารหนุ่มวัยฉกรรจ์สามนายมายังบริเวณลานกว้างหน้าตำหนัก ซึ่งบัดนี้ทุกคนรอคอยกันอยู่พร้อมหน้า ในขณะที่กำลังเตรียมพร้อมในการต่อสู้ ทุกคนได้เห็นความสงบเยือกเย็นจากสีหน้าของภูวะหนุ่มผู้มาจากแดนไกล และท่าทีนั้นก็เป็นสิ่งยืนยันต่อปิยะนัฐและหะรินได้เป็นอย่างดี...การต่อสู้ด้วยมือเปล่าครั้งนี้ ภูวดลไม่มีทางเพลี่ยงพล้ำอย่างแน่นอน

    สมิงพันตาเป็นผู้ส่งสัญญาณให้ทั้งสองฝ่ายเตรียมพร้อม และเมื่อสัญญาณมือบ่งบอกถึงการเริ่มต่อสู้ หนึ่งในสามของทหารวัยฉกรรจ์ก็กระโจนเข้าใส่ภูวดลด้วยท่าต่อสู้ที่ดูแปลกๆ ตา ภูวดลชะงักไปครู่ จ้องมองลีลาการเข้าทำอย่างจับสังเกต และแล้วในจังหวะที่ร่างนั้นพรวดพราดเข้ามาด้วยท่วงท่าของการเตะที่หนักหน่วง ภาพที่ทุกคนได้เห็นคือร่างนั้นต้องลงไปนอนกองแผ่หลา เมื่อสองมือของชายหนุ่มจากแดนไกลจับร่างนั้นเหวี่ยงทุ่มลงไปราวมิได้ออกแรงมากมายอะไรเลย

    ร่างที่ลงไปนอนกองถูกประคองออกจากจุดต่อสู้ หากอีกร่างกลับแสดงทีท่าของความปรารถนาเข้าประมือกับหนุ่มแดนไกลเพื่อล้างความอายให้กับเพื่อนคนแรก ทีท่านั้นทำให้สมิงพันตาส่งสัญญาณการต่อสู้ขึ้นทันที

    ร่างบึกบึนตรงเข้าหาภูวดล ปล่อยหมัดขวาที่เป้าหมายคือใบหน้าของคู่ต่อสู้อย่างสุดแรงเกิด... เสียงวืดเฉียดผ่านใบหน้าภูวดลไปเพียงปลายก้อย และเสี้ยววินาทีที่ทุกคนมองแทบไม่ทัน คือการเบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็วพร้อมการเตะตัดข้อพับทั้งสองข้างจนผู้ถูกกระทำทรุดเข่าฮวบลงตรงหน้า ไม่สามารถแม้แต่จะพยุงกายให้ลุกขึ้น

    ทั้งๆ ที่ร่างของเพื่อนยังมิได้ขยับลุก ทั้งๆ ที่สมิงพันตายังมิทันส่งสัญญาณเริ่มการต่อสู้ ร่างสุดท้ายของผู้ที่ถูกคัดเลือกให้มาพิสูจน์ฝีมือกับภูวดลก็ย่างสามขุมตรงดิ่งเข้าหาชายหนุ่มหมายเผด็จศึก...

    เท้าขวาของร่างสูงใหญ่ยกเตะขึ้นสุดแรงหมายก้านคอ หากลำแข้งที่สาดเข้าหาและกำลังจะถึงเป้าหมายก็ถูกมือขวาของภูวดลยกขึ้นกันฝีเท้าหนักหน่วงนั้นพร้อมหมุนตัวเอี้ยวสะบัดก่อนจะโยนศอกซ้ายเข้าไปยังกกหูของอีกฝ่ายจนเซแถ่ดๆ หน้าตาบูดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดผสมมึนงง...

    ท่ามกลางสีหน้าที่บอกถึงความชื่นชมของทุกคนภายในลานกว้าง อยู่ๆ เสียงของสมิงพันตาก็กังวานขึ้น

    “ภูวะ ฝีมือของเจ้าก็พอตัว แต่ในความเห็นของข้า ผู้ใดที่เคยฝึกปรือมา ย่อมเอาชนะคู่ต่อสู้ที่มีเพียงหนึ่งได้โดยไม่ยากเย็น แต่หากจะให้ถ่องแท้กระจ่างแจ้งในฝีมือของเจ้า เจ้าก็ควรจะเอาชนะคู่ต่อสู้ที่เข้ามาพร้อมกันทีละหลายๆ คนได้ เจ้าคิดเห็นเช่นใดภูวะ”

    ภูวดลไม่ได้ตอบคำสมิงพันตาในทันที หากชำเลืองมองใบหน้าสามทหารวัยฉกรรจ์ที่กำลังจ้องมองมายังตนแล้วจึงเอ่ยขึ้น

    “ข้าไม่ปฏิเสธในคำของเจ้า ว่าแต่พวกเขาทั้งสามเถอะ จะไหวหรือไม่”

    คำนั้นทำให้ทั้งปิยะนัฐและหะรินส่งสายตาปรามๆ ไปยังเพื่อน เพราะแม้จะรู้แจ้งในฝีมือของเพื่อนรักเป็นอย่างดี แต่การเข้าประชิดตัวสามต่อหนึ่ง เพื่อนก็มีสิทธิที่จะเพลี่ยงพล้ำได้เหมือนกัน หากไม่ทันที่ปิยะนัฐและหะรินจะเอ่ยเตือนเพื่อน สมิงพันตาก็ตอบรับคำของภูวดลแทนคนทั้งสามที่บัดนี้ยืนมองชายหนุ่มนามภูวะด้วยความสนเท่ห์ใจ

    “สามคนนี้ถือว่าเป็นทหารฝีมือดี ไฉนเลยจะมิปรารถนาพิสูจน์ในความสามารถของเจ้าให้ถึงที่สุด”

    ภูวดลพยักหน้าให้สมิงพันตา ก่อนจะเบือนหน้าไปยังเพื่อนทั้งสองพร้อมส่งสายตาที่ทั้ง     ปิยะนัฐและหะรินอ่านความหมายได้ทะลุปรุโปร่ง...ว่าไม่ต้องห่วงตน

    “พวกเจ้าทั้งสามพร้อมแล้วหรือไม่?”

    สมิงพันตาจ้องมองทั้งสามร่างด้วยสายตาดุดัน

    “พวกเราพร้อมแล้วท่าน”

    สามเสียงยืนยันหนักแน่น และในวินาทีถัดมา สมิงพันตาก็ส่งสัญญาณเริ่มการต่อสู้...

    ทันทีที่สิ้นเสียงให้สัญญาณ สามร่างตรงเข้าหาภูวดล จุดหมายมีเพียงอย่างเดียวคือล้างอายให้กับตัวเอง และด้วยสีหน้าท่าทางนั้น ทำให้ภูวดลได้ตระหนักคิด...ครั้งนี้ตนคงต้องเผด็จศึกทั้งสามให้ได้โดยเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นตนนั่นแหละอาจจะต้องเป็นผู้อับอาย...

    และที่ซ้ำร้าย ตนจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน หากต้องพ่ายแพ้ลงต่อหน้าต่อตาของเจ้านางน้อยที่กำลังจับสายตามองตนอยู่ทุกขณะของการต่อสู้

    ไม่ได้...งานนี้เสียฟอร์มไม่ได้!

    ภูวดลย้ำกับตัวเอง พร้อมๆ กับสามร่างที่ตรงดิ่งเข้ามาหมายเผด็จศึกตนให้ได้โดยเร็ว เช่นกัน

    ร่างสูงถอยฉากไปด้านหลัง ทำให้ใบหน้าดุดันของสมิงพันตาเกิดรอยยิ้มเพราะคิดว่าครั้งนี้เจ้าหนุ่มแปลกหน้าจากแดนไกลมันคงต้องคิดหนักกับการที่จะรับมือคนทั้งสามในเวลาเดียวกัน แต่แล้วในเสี้ยววินาทีนั้นรอยยิ้มของสมิงพันตาก็เหือดหาย เมื่อร่างสูงโผนทะยานใส่คนทั้งสามด้วยความรวดเร็วแทบจะมองไม่ทัน...

    ร่างที่ละลิ่วมาปานสายฟ้า มีผลให้สามร่างผงะ และในจังหวะที่ยังไม่ทันไหวตัว ศอกคู่ก็สับลงกลางกระหม่อมของร่างแรกจนร่วงผล็อย 

    ในขณะที่ร่างที่สองจู่โจมเข้าหาภูวดลอย่างรวดเร็ว หากความเร็วนั้นยังมิเทียบเท่าผู้ที่เป็นเป้าหมาย ซึ่งเมื่อตั้งลำได้ก็เอี้ยวตัวหลบพร้อมวาดแข้งขวาเข้ากลางลำตัวบริเวณลิ้นปี่ของผู้จู่โจม ความหนักหน่วงในแรงเตะบวกกับกำลังที่โถมเข้ามา ทำให้ร่างใหญ่สะท้านทรุดฮวบไปอีกคน

    ในสถานการณ์ที่กำลังฉุกละหุก หมัดหนึ่งจากร่างที่สามก็พุ่งเข้าใส่ใบหน้าภูวดล ชายหนุ่มเบี่ยงหลบ หากก็ไม่พ้นเสียทีเดียว หมัดนั้นเฉียดฉิวเข้าที่โหนกแก้ม แต่มิได้มีผลอันใดต่อภูวดลนัก หากเมื่อหมัดต่อมากำลังจะพุ่งตาม คราวนี้ภูวดลเพียงแค่ย่อตัวหลบ หมัดนั้นก็วืดผ่านหัวไป พร้อมๆกับที่ชายหนุ่มสวนหมัดขวาเต็มแรงจับเปราะเข้าที่ปลายคาง ทำให้ร่างนั้นถึงกับลอยคว้างก่อนที่จะล้มลงไปกองอยู่กับพื้น

    สมิงพันตาถลันเข้าไปหาทหารวัยฉกรรจ์ทั้งสาม หากแล้วต้องชะงักเมื่อองค์พิงคะเอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นพร้อมเสียงปรบมือแสดงความพึงพอใจ

    “เอาล่ะ การต่อสู้ยุติลงแล้ว ภูวะ เจ้ามิทำให้เราผิดหวังจริงๆ”

    คำชมนั้นทำให้ภูวดลเปิดยิ้มกว้าง

    “สมิงพันตา ต่อไปนี้เราขอมอบหน้าที่ดูแลคนทั้งสามจากแดนไกลให้เจ้ากับสมิงพระนาย จงจัดเรือนพักให้แก่พวกเขา และสถานที่ที่เหมาะสม เราคิดว่าน่าจะเป็นเรือนรับรองแขกเมือง เจ้า ทั้งสองจงไปจัดการเถิดว่าเรือนหลังใดจะเหมาะสม หากขาดเหลือสิ่งใด ก็แจ้งแก่เราได้โดยตรง”

    ผู้ได้รับคำสั่งตะลึงงันอยู่เช่นนั้น หากที่ต้องยอมรับ...ฝีมือของภูวะมันไม่ธรรมดาจริงๆ

    ปิยะนัฐ หะริน ภูวดล คุกเข่าลงเบื้องหน้าองค์พิงคะพร้อมค้อมคำนับ หากก่อนที่องค์พิงคะจะละจากไป ประโยคสุดท้ายที่รับสั่งทำให้ทั้งสามหนุ่มปลาบปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง 

    “เที่ยงนี้ พวกเจ้าจงอยู่รับอาหารเลี้ยงต้อนรับจากเราด้วย”

    องค์พิงคะและเจ้านางโคมคำดำเนินเข้าสู่ตำหนักในไปแล้ว หากเจ้านางธิดาทั้งสองกลับมองมายังสามร่างที่ยังคุกเข่าอยู่เช่นนั้น ในขณะที่เจ้านางเอื้องงามมีทีท่าราวลังเล เจ้านางน้อยจันทร์หอมกลับฉุดดึงผู้เป็นพี่มายืนอยู่ตรงหน้าสามหนุ่มผู้มาจากแดนไกล ก่อนที่นางจะเอื้อนเอ่ยประโยคหนึ่งซึ่งทำให้หัวใจภูวดลเต้นระรัว

    “เรายินดีนักที่พวกท่านทั้งสามจะมาช่วงปกป้องบ้านเมืองของเรา และขออภัยด้วยที่เมื่อครู่ก่อนเราเอ่ยวาจาดูแคลนฝีมือของท่านภูวะ”

    ในขณะที่หะรินเงยหน้าขึ้นจับมองใบหน้าหวานของเจ้านางผู้พี่ที่มีแววสะท้านเขินอาย...ในขณะที่ภูวดลได้รับรอยยิ้มสดใสจากเจ้านางน้อยจันทร์หอมเป็นรางวัลแห่งชัยชนะ ปิยะนัฐกลับทอดสายตาจับไปที่ดวงหน้าดุดันของสมิงพันตาพร้อมกับสะดุ้งอยู่ในใจ...เพราะดวงตาที่กำลังมองมายังหะรินและภูวดลในขณะนี้ มันช่างเต็มไปด้วยแววของความขุ่นเคือง!

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น