ใต้เงามนตรา ตอน 8
หนึ่งชีวิต...ครองความเป็นใหญ่ หนึ่งชีวิต...ความตายเป็นผู้พลัดพราก หนึ่งชีวิต...ต้องจากเทพศิลานครไปตลอดกาล นี่คือชะตากรรมของสามบุรุษผู้ล่วงผ่านมิติเวลา!
ผู้เข้าชมรวม
85
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ใต้เงามนตรา บท8
เพราะค่ำคืนที่ผ่านร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เช้านี้สามหนุ่มจากแดนไกลจึงตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ย่ำรุ่ง แม้จะแปลกใจที่ต่างไม่เห็นร่างของครูบาผาเหมยในจุดซึ่งเป็นที่นอนของท่าน แต่ทั้ง สามก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร เช้าๆ เช่นนี้ท่านอาจจะลุกขึ้นทำสมาธิในจุดหนึ่งจุดใดภายในถ้ำแห่งนี้ ก็เป็นได้
สามร่างเดินตามกันออกมาสู่ลานหินผากว้างด้านนอก ซึ่งบัดนี้ม่านหมอกปกคลุมอยู่หนาตา แม้ละอองของสายหมอกจะทำให้แสนจะหนาวเหน็บ หากความบริสุทธิ์ของอากาศทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าอย่างไม่เคยเป็น
“นัฐ...ภู คิดไปก็เหมือนความฝันนะ”
เสียงนั้นแผ่วขึ้นจากหะริน ก่อนที่เจ้าตัวจะทรุดลงนั่งใกล้ๆ เพื่อนทั้งสอง
“ริน ถึงเวลานี้สิ่งเดียวที่เราทำได้คือการทำใจยอมรับเท่านั้นนะเพื่อน อย่าไปคิดเลยว่าทำไมเราถึงได้หลุดหลงเข้ามาในที่แห่งนี้ จำคำของครูบาท่านได้หรือเปล่า ที่ท่านบอกว่าชะตานำพวกเราเข้ามา”
“ชะตา...”
หะรินทวนคำนั้นของปิยะนัฐด้วยน้ำเสียงขื่นๆ จนภูวดลต้องตบไหล่เพื่อนรักแรงๆ พร้อม บอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ริน ไหนๆ ทุกอย่างมันก็เป็นไปแล้ว จะมีประโยชน์อะไรที่เราจะมานั่งท้อแท้ ไม่แน่หรอก ไม่นานเราอาจจะได้กลับไปยังโลกปัจจุบันของเราก็ได้ เพียงแต่ช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่เราต้องทำใจให้เข้มแข็งไว้ ยอมรับกับทุกสิ่งทุกอย่าง อย่าลืมสิเพื่อน เราอยู่ที่นี่กันตั้งสามคน เกิดอะไรขึ้นเราก็ต้องช่วยเหลือกันได้อยู่แล้ว อีกอย่าง...ถ้าคิดในทางที่ดีนะริน เราก็ลองคิดเสียว่าเราได้มาผจญภัยครั้งใหญ่ในชีวิตเท่านั้นเอง ว่าก็ว่าเถอะ ที่นี่มันก็ดูสวยงามและเงียบสงบดีนะ เฮ้อ...อย่าคิดมากเลยวะริน คิดไปก็เป็นทุกข์เปล่าๆ เชื่อเราเถอะ เราเข้ามาที่นี่ได้ เราก็ต้องออกไปได้เหมือนกัน เราเชื่ออย่างนั้นจริงๆ นะเพื่อน”
ประโยคยืดยาวที่หวังปลอบโยนอีกฝ่ายได้ผล เมื่อหะรินทุบกำปั้นเบาๆลงบนไหล่ภูวดล และภาพนั้นก็ทำให้ปิยะนัฐโล่งอกจนต้องยิ้มออกมา
แสงสีทองเรื่อๆ ค่อยๆ จับขอบฟ้าพร้อมๆ กับความสว่างไสวที่เข้ามาเยือน สามคนยังคงนั่งมองธรรมชาติอยู่ ณ ลานหินผาอย่างไม่รู้เบื่อ หากแล้วทั้งสามร่างก็ต้องสะดุ้ง เมื่อเสียงหนึ่งดังทำลายความเงียบขึ้นมาจากทางด้านหลัง
“พวกเจ้าเป็นใคร?”
ทันทีที่ทั้งสามหันไปในทิศทางที่มาของเสียง ก็เห็นสองร่างของชายหนุ่มที่กะด้วยสายตาน่าจะมีวัยที่ไม่ต่างกับพวกตนมากนักยืนจังก้ามองมาด้วยสายตาดุดัน ซ้ำร้ายไปกว่านั้น หนึ่งในสอง
ยังง้างธนูค้างมายังร่างของพวกตน
“เอ่อ...พวกผม...”
ภูวดลเอ่ยขึ้น หากปิยะนัฐกลับกระซิบบอก
“อย่าใช้ผม เขาคงไม่เข้าใจ เรา...ข้า ใช้คำนั้นดีกว่าภู”
“พวกข้ามาจาก...”
ครั้งนี้ภูวดลหันไปสบตาเพื่อนทั้งสอง เพราะจะบอกอย่างไร ชายสองคนนี้จะเข้าใจในสถานที่ที่จะบอก
“พวกนี้ดูท่าทีพิกลอยู่นะท่านพี่พันตา”
ชายหนุ่มรูปร่างสูง หากร่างกายสมส่วนชายชาตรี ใบหน้าดูสะอ้าน ไม่ได้ดุดันเช่นอีกคนเอ่ยขึ้น
“นั่นน่ะสิ แล้วนี่ครูบาอยู่ไหน”
ผู้ที่ถูกเรียกขานพันตาพูดขึ้นพร้อมสอดส่ายสายตามองหาผู้ที่ตนเอ่ยถึง
“รึว่า...”
ครั้งนี้สายตาดุดันจับเขม็งมายังชายหนุ่มแปลกหน้าทั้งสามคน
“พระนาย ข้าจะคุมพวกมันไว้ เจ้าเข้าไปดูครูบาก่อนเถิด”
ชายหนุ่มนามพระนายขยับจะก้าวเท้าไปตามคำสั่ง หากแล้วก็ต้องชะงักอยู่แค่นั้น เมื่อเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นจากมุมหนึ่งของลานหินผา
“เราอยู่นี่...”
พร้อมๆ เสียงนั้นร่างของภิกษุชราค่อยๆ ก้าวมายืนอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มทั้งสอง ซึ่งทันทีที่เห็นร่างของท่าน ทั้งสองก็คุกเข่าลงกราบแทบเท้าด้วยความนอบน้อมเป็นอย่างยิ่ง
“พันตา พระนาย เจ้าสองคนกำลังประหลาดใจใช่หรือไม่ ว่าคนพวกนี้เป็นใคร มาจากไหน”
สองศิษย์แห่งครูบาผาเหมยมิได้เอ่ยตอบ หากส่งสายตาไปสำรวจชายหนุ่มแปลกหน้าทั้งสามอยู่เป็นครู่ก่อนที่จะเอ่ยถามผู้เป็นอาจารย์ในข้อที่ยังข้องใจ
“ดูการแต่งกายของคนพวกนี้ก็แตกต่างจากชาวเทพศิลานัก จะว่าเดินทางมาจากเมืองอื่น พวกข้าก็ไม่เคยเห็นเมืองไหนแต่งกายกันแปลกๆ เช่นนี้”
ประโยคของพระนายทำให้ครูบาผาเหมยตอบแผ่วเบา
“อีกประเดี๋ยวพวกเจ้าก็จะได้คำตอบ เพียงแต่เวลานี้มาทำความรู้จักกันไว้ ภายภาคหน้าพวกเจ้าทั้งห้าจะได้รวมใจประสานเป็นหนึ่งเดียว”
แม้ต่างไม่มีใครเข้าใจในประโยคนั้น หากก็ไม่มีใครปริปากถาม
“เจ้าทั้งสาม สองคนนี้คือศิษย์ของเรา คนนี้คือสมิงพันตา ส่วนอีกคนสมิงพระนาย”
ปิยะนัฐ หะรินและภูวดลก้มศีรษะให้แก่ชายหนุ่มทั้งสอง ขณะผู้มีชื่อสมิงพันตามองมาด้วยสายตาดูแคลนและบอกแววไม่ไว้วางใจ หากสมิงพระนายกลับมีทีท่าสงบนิ่ง จนคนทั้งสามไม่อาจ
คาดเดาได้ถึงความรู้สึกภายใน
“ส่วนเจ้าทั้งสองรู้จักคนทั้งสามนี้ไว้ คนนี้คือหะรินทะ” ภิกษุชราชี้ไปยังหะริน “คนนี้ชื่อว่าภูวะ” ภูวดลยิ้มให้กับชื่อใหม่ที่ภิกษุชราตั้งให้ “ส่วนคนสุดท้ายคือนัฐถะ”
สมิงพันตาเพียงพยักหน้าให้กับสามหนุ่ม หากสมิงพระนายค้อมศีรษะให้ด้วยกิริยาสุภาพ นุ่มนวล
“สมิงพันตา สมิงพระนาย เจ้าทั้งสองไปรอเราที่ด้านในก่อน”
สองศิษย์ทำตามคำสั่งอาจารย์ในทันทีนั้น ขณะภิกษุชราหันมาบอกกับสามหนุ่มแปลกหน้าพร้อมกำชับ
“ที่เราต้องให้พวกเจ้าชื่อแบบนี้ก็เพื่อจะได้ง่ายในการเรียกขาน ผู้คนจะได้ไม่ต้องมาสงสัยในที่มาของพวกเจ้านัก”
“ครับ ครูบา”
สามเสียงตอบรับขึ้นพร้อมกัน ขณะครูบาผาเหมยพูดบางอย่างให้ฟังต่อ
“สมิงพันตา เป็นผู้มีอุปนิสัยแข็งกร้าว ดุดัน ตรงไปตรงมา อาจจะพูดจาไม่ค่อยเข้าหูนัก แต่จิตใจแท้จริงเป็นผู้กล้าหาญและไม่เอารัดเอาเปรียบใคร ส่วนสมิงพระนาย อุปนิสัยเป็นผู้สงบ รอบคอบ เยือกเย็น เฉลียวฉลาด และไม่วู่วามเหมือนอย่างศิษย์พี่ อย่างไรเสียหากศิษย์ทั้งสองของเราทำสิ่งใดให้เป็นที่ระคายใจของพวกเจ้า ก็จงอย่าได้ถือสา ส่วนที่มาของพวกเจ้า เราจะเป็นผู้ชี้แจงแก่ศิษย์ของเราให้เข้าใจเอง”
ชายหนุ่มทั้งสามก้มกราบลงแทบเท้าครูบาผาเหมย ซาบซึ้งในความเมตตาที่ท่านหยิบยื่นให้ และนับจากวินาทีนั้น ความหวาดหวั่นก็เริ่มจางหาย ทั้งสามต่างตอกย้ำลงในหัวใจ...แม้จะอ้างว้างทุกข์ตรมเพียงใด หากที่พึ่งทางใจก็ยังมี
“พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน เรามีเรื่องที่จะต้องพูดคุยกับศิษย์ของเรา”
ภิกษุชราเดินลับกายไปแล้ว หากสามหนุ่มยังคงมองตามไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
“เหมือนนั่งดูละครย้อนยุคเลยนะนัฐ...ริน”
ภูวดลพูดขึ้นยิ้มๆ
“อยากรู้เหลือเกิน ฉากต่อไปจะเป็นยังไง”
หะรินก็เริ่มมีอารมณ์ครึกครื้นขึ้น
หากแปลก...ในขณะที่สองเพื่อนรักรู้สึกเช่นนั้น ปิยะนัฐกลับรู้สึกหวั่นๆ ราวกับว่าหนทางข้างหน้าต้องมีอุปสรรคมากมายรออยู่อย่างแน่นอน...
สองร่างที่นั่งสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้าครูบาผาเหมยยังคงมิได้เอ่ยคำถามใดต่อผู้เป็นอาจารย์ ทั้งๆ ที่ในใจขณะนี้มีคำถามมากมายเกี่ยวกับสามชายหนุ่มแปลกหน้า
“พันตา พระนาย จงฟังเรา พวกเจ้าคงมีความฉงนใจนักต่อบุคคลทั้งสามที่เพิ่งพบเมื่อครู่ เรา
เองก็มิรู้ถึงรายละเอียดในชีวิตคนทั้งสามนั่นดอก แต่ที่รู้...พวกเขาคือผู้ที่จะมาช่วยให้เทพศิลานครแห่งนี้คงอยู่ต่อไป”
“คงอยู่...ครูบาท่านหมายความว่าอย่างไร”
คำนั้นของสมิงพันตาเอ่ยออกมาพร้อมความตระหนก
“วันนี้พวกเจ้าจะมาส่งข่าวบางอย่างมิใช่รึ นั่นแหละคือที่มาของคำพูดเราเมื่อครู่”
สองหนุ่มมองหน้ากัน แล้วค้อมศีรษะให้ผู้เป็นอาจารย์ก่อนที่สมิงพระนายจะเอ่ยตอบ
“ครูบา เมื่อสามวันก่อน บุตรชายแห่งเจ้าจอมตองเดินทางมาที่นี่ เข้าเฝ้าองค์พิงคะ...”
สมิงพระนายบอกเล่าได้เพียงนั้น ครูบาผาเหมยก็ยกมือห้ามขึ้น
“สมิงพันตา เจ้าออกไปเรียกคนทั้งสามเข้ามาก่อน”
“ครูบา เรื่องนี้เป็นเรื่องภายใน คนแปลกหน้าสามคนนั่นมิควรจะ...”
สมิงพันตาพูดยังไม่ทันจบประโยคก็ถูกผู้เป็นอาจารย์แทรกคำขึ้น
“จงจำไว้ คนแปลกหน้าทั้งสามจะเป็นผู้ที่ช่วยกอบกู้ให้ศิลาเทพคงอยู่ตลอดไป สมิงพันตา ไปเรียกพวกเขาเข้ามาก่อน เรื่องที่พวกเจ้ากำลังจะหารือเรา ล้วนเกี่ยวกับพวกเขาโดยตรง”
แม้จะยังไม่กระจ่าง หากร่างสมิงพันตาก็ลุกเดินออกไปเบื้องนอกตามคำสั่งของผู้เป็นอาจารย์โดยมิได้อิดออด และเมื่อสามหนุ่มผู้มาจากแดนไกลเดินตามสมิงพันตาเข้ามาถึงภายในโถงกว้าง เรื่องราวที่กำลังสร้างความหนักใจให้แก่สมิงพระนายและสมิงพันตา ก็ถูกเจ้าตัวบอกเล่าออกมาด้วยปรารถนาจะหารือผู้เป็นอาจารย์
“ครูบา เจ้าแสนคำลือมาขอผู้คนไปจากเมืองของเราอีก”
สมิงพระนายเอ่ยพระโยคที่พูดค้างไว้เมื่อครู่แก่ผู้เป็นอาจารย์
“แล้วองค์พิงคะให้คำตอบไปเช่นไร”
“พระองค์ทรงเลี่ยงไปว่า จะขอส่งเสบียงและข้าวของมีค่าไปแทนผู้คน เพราะขณะนี้พืชผลของชาวเมืองกำลังรอการเก็บเกี่ยว”
ครั้งนี้ทุกคนในโถงกว้างได้เห็นสีหน้ากังวลจากภิกษุชรา
“แล้วเจ้าแสนคำลือตอบตกลงเช่นนั้นรึ”
“เจ้าแสนคำลือตอบเพียงว่าจะขอนำความจากองค์พิงคะไปแจ้งแก่เจ้าจอมตองผู้เป็นบิดาก่อน”
“สมิงพันตา เจ้ารู้หรือไม่ นั่นแหละคือคำตอบของเจ้าแสนคำลือ”
“ครูบาหมายความว่า...”
สมิงพันตาถามด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
“ใช่...นั่นคือคำตอบของเจ้าแสนคำลือ ที่องค์พิงคะเองก็คงเข้าใจ”
ทั้งปิยะนัฐ หินริน และภูวดล ได้เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของลูกศิษย์ทั้งสองแห่งครูบา ผาเหมย หากทั้งสามก็ไม่อาจเข้าใจในเรื่องราวที่ศิษย์และอาจารย์กำลังสนทนากัน
“สมิงพันตา สมิงพระนาย ละเรื่องนี้ไว้ก่อน ตอนนี้เรามีการหนึ่งให้เจ้าทั้งสองช่วยเหลือ”
“การใดจะสำคัญไปกว่าการที่เราสองคนนำมาแจ้งแก่ท่านอีกหรือ”
คำนั้นของสมิงพันตาออกมาเพราะความน้อยใจ
“สมิงพันตา เรามิได้บอกเจ้าสักคำว่าสิ่งที่พวกเจ้านำมาบอกกล่าวจะไม่มีความสำคัญ เพียงแต่เรื่องนั้นมันต้องใช้เวลาตรึกตรองให้รอบคอบ อีกอย่างเราคิดว่าอีกวันสองวันข้างหน้า องค์พิงคะก็คงเรียกหาเราให้เข้าเฝ้าเช่นกัน”
“ครูบา ข้าขออภัย”
สมิงพันตาก้มกราบผู้เป็นอาจารย์อย่างสำนึกในความผิดที่ตนแสดงกิริยาวู่วามออกมา
“เรามิถือสาเจ้าดอกสมิงพันตา เพราะเจ้าห่วงใยในเทพศิลานคร จึงทำให้เร่าร้อนใจ”
“มิทราบว่าครูบามีการใดจะให้ข้าและท่านพี่พันตาทำ”
สมิงพระนายเปลี่ยนเรื่อง ถามถึงการสำคัญที่ผู้เป็นอาจารย์จะไหว้วาน
“ก็เกี่ยวกับสามคนนี่แหละ”
ในขณะที่สมิงพระนายชำเลืองสายตาไปยังใบหน้าของคนทั้งสามด้วยอาการสงบนิ่ง สมิงพันตากลับรู้สึกขัดใจอยู่ในที
“เจ้าสองคนช่วยไปหาเสื้อผ้าและอาหารมาให้สามคนนี้ด้วยเถิด หากวันใดผู้คนเทพศิลาผ่านมาเห็นเข้า จะตื่นตกใจกันไปเปล่าๆ อีกอย่างทั้งสามคนนั่นจะได้อาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้า กันเสียบ้าง ตอนนี้ท่าจะเหม็นอับกันเต็มที”
“ขอรับ ครูบา”
สองเสียงตอบรับขึ้นพร้อมกัน ขณะสีหน้าสมิงพันตาบ่งบอกราวจะเกิดความรำคาญ อีกใบหน้าของศิษย์น้องกลับมีรอยยิ้มบางๆ เกิดขึ้นเมื่อชำเลืองมองไปยังสามหนุ่มที่ยังคงมีสีหน้างงๆ
ครูบาบอกว่าคนทั้งสามคือผู้ที่จะมาช่วยเหลือให้เทพศิลานครคงอยู่ ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่า เทพศิลานครจะต้องประสบกับปัญหาเช่นนั้นหรือ...
สมิงพระนายส่งสายตาไปยังบุคคลทั้งสามอีกครั้งพร้อมคิด...ถ้าหากสามคนนี้เดินทางมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือเทพศิลานคร ตนก็ควรมีน้ำใจให้มิใช่หรือ
สมิงพระนายบอกตัวเองเช่นนั้น...
หากแล้วความคิดของชายหนุ่มก็สะดุด...เมื่อคำถามหนึ่งเกิดขึ้นในใจ
แล้วสามคนนี้มาจากไหน?
ร่างของสองศิษย์ลับหายออกไปเพียงครู่ ภิกษุชราก็หันกลับมายังสามร่างที่บัดนี้สีหน้าต่างบ่งบอกถึงความงุนงง
“พวกเจ้าคงมิอาจเข้าใจในสิ่งที่สมิงพระนายและสมิงพันตามาบอกเล่าแก่เรา”
สามหนุ่มได้แต่ยิ้มรับให้กับคำพูดนั้น ก่อนที่เรื่องราวหนึ่งจะผ่านออกมาจากปากของภิกษุ
ชรา
“บัดนี้ เทพศิลานครกำลังพบกับปัญหาใหญ่...”
“ปัญหาใหญ่ หมายความว่าอย่างไรครับ”
หะรินสอบถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“ตอนนี้ทางเหนือกำลังทำการสร้างเมืองศรีนครพิงค์ มีการเกณฑ์ผู้คนจากหลายๆ เมืองให้ไปเป็นแรงงาน รวมทั้งเทพศิลานครแห่งนี้”
ภิกษุชราหยุดเล่า แล้วทอดถอนใจออกมาด้วยสีหน้าบอกถึงความกังวล
“หมายความว่าเทพศิลานครไม่อยากส่งคนไปเช่นนั้นหรือครับ”
ปิยะนัฐคาดเดาจากการฟังจากปากของสองศิษย์แห่งครูบาที่ผ่านมาเมื่อครู่
“มิใช่เช่นนั้นดอก องค์พิงคะเคยส่งผู้คนไปแล้วจำนวนหนึ่ง แต่ผู้คนที่ส่งไป ได้กลับคืนมายังเทพศิลานครไม่ถึงครึ่งของจำนวนที่ส่งไป...”
“ทำไมเป็นแบบนั้นละครับ พวกเขาล้มตายจากการทำงานกันหรือครับ”
ภูวดลถามสีหน้าเครียด เพราะหากเป็นอย่างที่ตนคาดเดา ถ้าตนเป็นเจ้าผู้ครองนครก็คงไม่อยากส่งผู้คนของตัวเองไปประสบกับชะตากรรมที่เลวร้ายอย่างแน่นอน
“ความคิดของเจ้าไม่ผิดนัก ซ้ำร้ายกว่านั้น หากผู้ใดเหนื่อยล้าก็จะถูกโบยและบังคับให้ ทำงานทั้งๆ ที่แรงกายแทบไม่มี เช่นนี้จึงทำให้ผู้คนล้มตายไปมากมาย”
ปิยะนัฐย้อนคิดถึงความรู้ที่ตนเคยได้อ่านจากหนังสือประวัติการสร้างเมืองเชียงใหม่ จดจำได้ดีผู้ที่สร้างเมืองเชียงใหม่คือพญาเม็งราย...
นี่หมายความว่า ท่านเป็นคนโหดร้ายเช่นนั้นหรือ?
“หมายความว่าผู้ประสงค์ให้สร้างเมืองเชียงใหม่ มีจิตใจที่โหดร้ายเช่นนั้นหรือครับครูบา”
ปิยะนัฐได้รับคำตอบจากภิกษุชราด้วยอาการส่ายหน้า ก่อนท่านจะบอกเล่า
“จากปากคำของผู้คน พญาเม็งรายท่านมิได้มาเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานใดๆ ดอก ท่านประสงค์เพียงจะสร้างเมืองให้สำเร็จเท่านั้น แต่ผู้ที่ได้รับคำสั่งจากท่านต่างหากที่ลุแก่อำนาจ ทำการต่างๆ ตามแต่ใจตนเอง เทพศิลานครต้องพบกับความอึดอัดก็เพราะเจ้าจอมตองผู้ได้รับมอบหมายให้เกณฑ์ผู้คนจากเมืองต่างๆ ทางตอนใต้ของอาณาจักรล้านนาเป็นผู้บีบบังคับเราซึ่งเป็นเมืองที่เล็ก กว่า”
“หมายความว่าเทพศิลานครอยู่ใต้อำนาจของเมืองจอมตองหรือครับ”
ปิยะนัฐสอบถามต่ออย่างสนใจ
“มิใช่ดอก เทพศิลานครเป็นเมืองเล็กๆ ที่มีชาวเมืองเพียงแค่สามพันคนเท่านั้น พวกเราแทบจะไม่เคยยุ่งเกี่ยวใดๆ กับเมืองอื่น เจ้าดูด้วยตาของเจ้าเถิด ที่ตั้งของเมืองแห่งนี้อยู่ท่ามกลางขุนเขาที่รายล้อม เรามิได้ประสงค์จะติดต่อกับเมืองใดๆ รอบนอกเลย สิ่งที่พวกเราปรารถนาคือความสุขสงบของชีวิตเท่านั้น”
ชายหนุ่มทั้งสามพยักหน้าอย่างเข้าใจ หากที่ยังสงสัย...
ทำไมสีหน้าของครูบาผาเหมยขณะนี้ยังดูมีความวิตกกังวลเหลือเกิน
“ครูบาครับ หากไม่เป็นการละลาบละล้วง ผมอยากรู้ว่าทำไมท่านจึงดูมีความกังวลในเรื่องนี้เหลือเกิน”
หะรินส่งคำถามไปยังภิกษุชราที่บัดนี้ทอดสายตาจับนิ่งอยู่ที่ใบหน้าของตน
“เจ้าทั้งสามได้ยินในสิ่งที่ศิษย์ทั้งสองของเรามาแจ้งแล้วมิใช่รึ องค์พิงคะตอบปฏิเสธที่จะส่งผู้คนไปให้แก่เจ้าจอมตอง”
“แค่ปฏิเสธในการส่งคน แต่จะส่งเสบียงและข้าวของมีค่าไปให้แทนนี่ครับ”
หะรินจดจำคำบอกเล่าของสองหนุ่มเมื่อครู่ได้ดี
“นั่นล่ะ มันจะเป็นที่มาของความบาดหมาง ที่สำคัญ...การที่เจ้าแสนคำลือเดินทางมายังเทพศิลานครด้วยตัวเอง ย่อมแสดงให้เห็นได้ชัดว่า พ่อลูกทั้งสองนั่นมิได้ปรารถนาเพียงจะมาขอเกณฑ์ผู้คนไปช่วยทางศรีนครพิงค์ แต่มีความประสงค์อื่นแอบแฝงอยู่...”
ครั้งนี้ทั้งสามหนุ่มนิ่งเงียบ กระทั่งภิกษุชราขยายความให้เข้าใจ
“เทพศิลานครอุดมไปด้วยสินปัจจัยทางธรรมชาติอันมีค่า ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจ้าจอมตองเดินทางเข้ามา ก็มิได้ปิดบังในความปรารถนาไว้เลย”
“สินปัจจัยอันมีค่า คืออะไรหรือครับ”
ภิกษุชรามองใบหน้าหะรินพร้อมส่งยิ้มให้
“บริเวณดอยหินแก้วซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเทพศิลานคร มีหินหน่อหินแก้วอันมีค่ามหาศาลหลายชนิด เจ้าจอมตองปรารถนาจะนำหินหน่อหินแก้วเหล่านั้นออกจากเทพศิลานครไปเพื่อเป็นบรรณาการแก่เมืองศรีนครพิงค์เพื่อจะได้นำไปสร้างประดับกำแพงเมือง หอคำ และปราสาทราชวัง ความจริงองค์พิงคะมิได้หวงแหนในสินแร่เหล่านั้น หากเพราะเท่าทันในความคิดของเจ้าจอมตองว่ามิได้ปรารถนาเพียงเท่านั้น หากยังปรารถนาในสิ่งล้ำค่าที่ผู้คนเทพศิลานครไม่มีทางยินยอมให้ นำออกไป องค์พิงคะจึงตัดสินใจแข็งข้อเสียตั้งแต่ตอนนี้ เพราะอย่างไรเสีย เทพศิลานครก็คงไม่อาจเลี่ยงต่อปัญหาที่จะเกิดจากสองพ่อลูกนั่น”
“สิ่งล้ำค่าที่ครูบาพูดถึง คืออะไรหรือครับ”
หะรินยังซักถามต่อ
“องค์พระแก้วขาว พระคู่เมืองของเรา”
ศรัทธา...หะรินคิดถึงคำนั้น นี่ครูบาผาเหมยกำลังจะบอกว่าความเชื่อถือศรัทธาของผู้คน กำลังจะทำให้เกิดปัญหาเช่นนั้นหรือ
“เอ่อ...แล้วทำไมผู้คนจึงศรัทธาในองค์แก้วขาวกันขนาดที่ว่าจะไม่ยอมให้ใครนำออกไปจากเมืองล่ะครับ”
หะรินยังคงกังขาในความเชื่อของผู้คน
“ความจริงผู้คนศรัทธามาตั้งแต่ยังเป็นหินหน่อหินแก้วนั่นแหละ ยิ่งนำมาแกะเป็นองค์พระ ผู้คนก็ยิ่งยึดมั่นศรัทธามากขึ้น”
ครั้งนี้ไม่มีคำถามจากหะริน ขณะภิกษุชรากวาดสายตาไปยังสามใบหน้าก่อนจะมาหยุดนิ่งอยู่ที่หะรินเช่นเดิม
“เจ้าทั้งสามจะเชื่อหรือไม่ หากเราจะบอกว่า สิ่งที่นำพวกเจ้าให้ล่วงผ่านเข้ามายังดินแดนแห่งนี้ก็คือพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดจากหินหน่อหินแก้วที่ผู้คนในเมืองแห่งนี้ต่างพากันเชื่อถือศรัทธา”
ทั้งสามส่งความคิดไปถึงเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นเหนือเขื่อนภูมิพล...
ใช่...ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบ หะรินเป็นผู้ชี้บอกให้ดูแสงสีม่วงอมทอง
นี่หมายความว่า เพราะความมหัศจรรย์ของสิ่งนั้นละหรือ ที่นำพาพวกตนทั้งสามมายังดินแดนในอดีต ที่ย้อนเวลากลับมาเจ็ดร้อยกว่าปี!
เมื่อเห็นสีหน้าของชายหนุ่มทั้งสามตกอยู่ในอาการเคร่งเครียด ภิกษุชราจึงหยุดหัวข้อสนทนาลงเพียงแค่นั้น ปล่อยให้คนทั้งสามนั่งพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว ส่วนท่านละจากจุดนั้นแล้วก้าวเดินไปสู่ด้านนอก หากเสียงพูดคุยที่ดังแว่วๆ ขึ้น ทำให้ภิกษุชราซึ่งก้าวออกมาจนเกือบจะถึงด้านหน้าของถ้ำต้องเดินย้อนกลับเข้ามายังโถงกว้างอีกครั้ง
“สมิงพันตากับสมิงพระนายมาถึงแล้ว พวกเจ้าออกไปดูข้าวของที่เขานำมาให้ก่อนเถิด จะได้อาบน้ำอาบท่า เปลี่ยนเสื้อผ้ากันเสียที”
สามหนุ่มเดินตามกันออกไปสู่เบื้องนอกที่บัดนี้ข้าวของเสื้อผ้ากองแยกกันอยู่บนลานหินผาซึ่งมีร่างของสมิงพันตาและสมิงพระนายกำลังนั่งรอคอย
“นี่เสื้อผ้าของพวกเจ้า ข้ากับพระนายแบ่งให้พวกเจ้าคนละสองชุด ใช้ไปก่อน แล้วข้าจะให้เขาทอให้ใหม่”
แม้วาจานั้นจะฟังห้วนๆ ราวมิได้ใส่ใจนัก หากก็ทำให้ทั้งสามคนรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของ หนุ่มพันตาผู้มีทีท่าราวเบื่อหน่ายต่อพวกตนอยู่ในที
“ลองใส่ดูสิ ข้าคิดว่าน่าจะพอใส่กันได้”
สมิงพระนายหยิบเสื้อผ้าแต่ละชุดยื่นส่งให้คนทั้งสาม ซึ่งแสดงว่าก่อนหน้านี้มีการแยกแบ่งสรรค์กันมาแล้วว่าชุดไหนเป็นของใคร
ทั้งสามก้มลงมองกางเกงผ้าฝ้ายทอมือสีน้ำตาลเข้มกับเสื้อทอมือปักลวดลายที่ปลายแขนซึ่งมี ความยาวเลยข้อศอกด้วยสีหน้าเจื่อนๆ แม้มันจะเป็นเสื้อผ้าที่มีลักษณะคล้ายๆ ของชาวเขาในยุคสมัยปัจจุบัน หากการทอแน่นหนาและดูทนทานกว่ามาก หากที่มันกำลังเป็นอุปสรรคต่อชายหนุ่มทั้งสามคือ จะทำอย่างไร ให้พวกตนสามารถใส่ชุดพวกนี้ให้แน่นหนา และดูกระฉับกระเฉงได้อย่างสมิงพันตาและสมิงพระนาย
“ดูท่าพวกเจ้าไม่ปรารถนาจะใช้มัน”
สมิงพันตาพูดออกมาห้วนๆ หากหะรินกลับตอบออกไปอย่างสุภาพ
“ข้ากำลังคิดอยู่ว่าจะใส่ชุดพวกนี้ยังไงให้ดูแน่นหนาอย่างที่พวกเจ้าสวมใส่”
คราวนี้คนทั้งสามได้เห็นรอยยิ้มเหยียดปนขบขันจากสมิงพันตา หากเพียงครู่สีหน้านั้นก็กลับไปเป็นดังเดิม
“เอ...พระนาย เจ้าลืมนำเชือกผูกมาหรือเปล่า ถ้าหากลืม สามคนนี่คงต้องใช้เถาวัลย์ผูกรัดเอวกันไปก่อนเป็นแน่”
คำพูดนั้นแม้แต่สมิงพระนายยังอดยิ้มออกมาไม่ได้ ด้วยรู้...ศิษย์พี่กำลังจะแกล้งชายหนุ่มทั้งสามด้วยความห่ามตามนิสัยอีกฝ่าย หากความคิดนั้นของสมิงพันตากลับไม่ได้ผล เมื่อภูวดลเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดี
“โธ่...กับเรื่องแค่นี้ ไม่ต้องห่วงพวกเราหรอกสมิงพันตา ข้าเห็นจีวรครูบาท่านมีตั้งหลายผืน ขอท่านมาทำผ้ามัดกางเกงสักผืนจะเป็นไรไป”
ปิยะนัฐและหะรินได้แต่ยิ้มๆ กับประโยคของเพื่อน เพราะบัดนี้สมิงพันตาแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์ออกมาอย่างเห็นได้ชัด คงผิดหวังที่ภูวดลรู้เท่าทันและแกล้งศอกกลับไป
“พวกเจ้าไปอาบน้ำอาบท่ากันก่อนเถิด เสร็จแล้วจะได้มากินข้าวกัน”
พูดจบสมิงพระนายแบมือยื่นไปตรงหน้าผู้เป็นศิษย์พี่ ก่อนจะบอกเบาๆ ให้ได้ยินกันเพียงสองคน
“สายมากแล้ว พวกเขาคงหิวโหย อย่ามัวแต่แกล้งเขาอยู่เลย”
สมิงพันตาค่อยๆ ดึงเชือกรัดออกมาจากเอวของตนแล้วยื่นส่งให้ผู้เป็นศิษย์น้องด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“ท่านพี่ของข้าลืมไปน่ะว่านำเชือกรัดมาด้วยแล้ว”
ปิยะนัฐส่งมือรับสิ่งนั้นมาจากสมิงพระนายพร้อมส่งยิ้มให้อย่างมีไมตรี
“ขอบใจเจ้าทั้งสองมากที่มีน้ำใจกับพวกเรา”
คำนั้นได้รับคำตอบด้วยการค้อมศีรษะจากสมิงพระนาย หากก่อนที่ทั้งสามจะเดินจากไป เพื่ออาบน้ำในลำธารใสที่ได้ยินเสียงสายน้ำไหลเป็นจังหวะอันแสนเสนาะของมัน ก็ได้ยินประโยคสุดท้ายดังเข้ามา
“เตรียมร่างกายพวกเจ้าไว้ให้พร้อม อีกวันสองวันข้าจะนำม้ามาให้พวกเจ้าฝึกขี่กัน”
ประโยคนั้นของสมิงพันตา ทำให้ชายหนุ่มทั้งสามได้รู้เพิ่มเติมว่า ในเมืองแห่งนี้ พาหนะที่ผู้คนใช้กันก็คือม้านั่นเอง!
ผลงานอื่นๆ ของ สิริสวรส ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ สิริสวรส
ความคิดเห็น