ใต้เงามนตรา ตอน 8 - นิยาย ใต้เงามนตรา ตอน 8 : Dek-D.com - Writer
×

    ใต้เงามนตรา ตอน 8

    หนึ่งชีวิต...ครองความเป็นใหญ่ หนึ่งชีวิต...ความตายเป็นผู้พลัดพราก หนึ่งชีวิต...ต้องจากเทพศิลานครไปตลอดกาล นี่คือชะตากรรมของสามบุรุษผู้ล่วงผ่านมิติเวลา!

    ผู้เข้าชมรวม

    85

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    85

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  12 ส.ค. 66 / 10:53 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ใต้เงามนตรา บท8

     

    เพราะค่ำคืนที่ผ่านร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เช้านี้สามหนุ่มจากแดนไกลจึงตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ย่ำรุ่ง แม้จะแปลกใจที่ต่างไม่เห็นร่างของครูบาผาเหมยในจุดซึ่งเป็นที่นอนของท่าน แต่ทั้ง     สามก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร เช้าๆ เช่นนี้ท่านอาจจะลุกขึ้นทำสมาธิในจุดหนึ่งจุดใดภายในถ้ำแห่งนี้ ก็เป็นได้

    สามร่างเดินตามกันออกมาสู่ลานหินผากว้างด้านนอก ซึ่งบัดนี้ม่านหมอกปกคลุมอยู่หนาตา แม้ละอองของสายหมอกจะทำให้แสนจะหนาวเหน็บ หากความบริสุทธิ์ของอากาศทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าอย่างไม่เคยเป็น

    “นัฐ...ภู คิดไปก็เหมือนความฝันนะ”

    เสียงนั้นแผ่วขึ้นจากหะริน ก่อนที่เจ้าตัวจะทรุดลงนั่งใกล้ๆ เพื่อนทั้งสอง

    “ริน ถึงเวลานี้สิ่งเดียวที่เราทำได้คือการทำใจยอมรับเท่านั้นนะเพื่อน อย่าไปคิดเลยว่าทำไมเราถึงได้หลุดหลงเข้ามาในที่แห่งนี้ จำคำของครูบาท่านได้หรือเปล่า ที่ท่านบอกว่าชะตานำพวกเราเข้ามา”

    “ชะตา...”

    หะรินทวนคำนั้นของปิยะนัฐด้วยน้ำเสียงขื่นๆ จนภูวดลต้องตบไหล่เพื่อนรักแรงๆ พร้อม บอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

    “ริน ไหนๆ ทุกอย่างมันก็เป็นไปแล้ว จะมีประโยชน์อะไรที่เราจะมานั่งท้อแท้ ไม่แน่หรอก ไม่นานเราอาจจะได้กลับไปยังโลกปัจจุบันของเราก็ได้ เพียงแต่ช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่เราต้องทำใจให้เข้มแข็งไว้ ยอมรับกับทุกสิ่งทุกอย่าง อย่าลืมสิเพื่อน เราอยู่ที่นี่กันตั้งสามคน เกิดอะไรขึ้นเราก็ต้องช่วยเหลือกันได้อยู่แล้ว อีกอย่าง...ถ้าคิดในทางที่ดีนะริน เราก็ลองคิดเสียว่าเราได้มาผจญภัยครั้งใหญ่ในชีวิตเท่านั้นเอง ว่าก็ว่าเถอะ ที่นี่มันก็ดูสวยงามและเงียบสงบดีนะ เฮ้อ...อย่าคิดมากเลยวะริน คิดไปก็เป็นทุกข์เปล่าๆ เชื่อเราเถอะ เราเข้ามาที่นี่ได้ เราก็ต้องออกไปได้เหมือนกัน เราเชื่ออย่างนั้นจริงๆ นะเพื่อน”

    ประโยคยืดยาวที่หวังปลอบโยนอีกฝ่ายได้ผล เมื่อหะรินทุบกำปั้นเบาๆลงบนไหล่ภูวดล และภาพนั้นก็ทำให้ปิยะนัฐโล่งอกจนต้องยิ้มออกมา

    แสงสีทองเรื่อๆ ค่อยๆ จับขอบฟ้าพร้อมๆ กับความสว่างไสวที่เข้ามาเยือน สามคนยังคงนั่งมองธรรมชาติอยู่ ณ ลานหินผาอย่างไม่รู้เบื่อ หากแล้วทั้งสามร่างก็ต้องสะดุ้ง เมื่อเสียงหนึ่งดังทำลายความเงียบขึ้นมาจากทางด้านหลัง

    “พวกเจ้าเป็นใคร?”

    ทันทีที่ทั้งสามหันไปในทิศทางที่มาของเสียง ก็เห็นสองร่างของชายหนุ่มที่กะด้วยสายตาน่าจะมีวัยที่ไม่ต่างกับพวกตนมากนักยืนจังก้ามองมาด้วยสายตาดุดัน ซ้ำร้ายไปกว่านั้น หนึ่งในสอง 

    ยังง้างธนูค้างมายังร่างของพวกตน

    “เอ่อ...พวกผม...”

    ภูวดลเอ่ยขึ้น หากปิยะนัฐกลับกระซิบบอก

    “อย่าใช้ผม เขาคงไม่เข้าใจ เรา...ข้า ใช้คำนั้นดีกว่าภู”

    “พวกข้ามาจาก...”

    ครั้งนี้ภูวดลหันไปสบตาเพื่อนทั้งสอง เพราะจะบอกอย่างไร ชายสองคนนี้จะเข้าใจในสถานที่ที่จะบอก

    “พวกนี้ดูท่าทีพิกลอยู่นะท่านพี่พันตา”

    ชายหนุ่มรูปร่างสูง หากร่างกายสมส่วนชายชาตรี ใบหน้าดูสะอ้าน ไม่ได้ดุดันเช่นอีกคนเอ่ยขึ้น

    “นั่นน่ะสิ แล้วนี่ครูบาอยู่ไหน”

    ผู้ที่ถูกเรียกขานพันตาพูดขึ้นพร้อมสอดส่ายสายตามองหาผู้ที่ตนเอ่ยถึง

    “รึว่า...”

    ครั้งนี้สายตาดุดันจับเขม็งมายังชายหนุ่มแปลกหน้าทั้งสามคน

    “พระนาย ข้าจะคุมพวกมันไว้ เจ้าเข้าไปดูครูบาก่อนเถิด”

    ชายหนุ่มนามพระนายขยับจะก้าวเท้าไปตามคำสั่ง หากแล้วก็ต้องชะงักอยู่แค่นั้น เมื่อเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นจากมุมหนึ่งของลานหินผา

    “เราอยู่นี่...”

    พร้อมๆ เสียงนั้นร่างของภิกษุชราค่อยๆ ก้าวมายืนอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มทั้งสอง ซึ่งทันทีที่เห็นร่างของท่าน ทั้งสองก็คุกเข่าลงกราบแทบเท้าด้วยความนอบน้อมเป็นอย่างยิ่ง

    “พันตา พระนาย เจ้าสองคนกำลังประหลาดใจใช่หรือไม่ ว่าคนพวกนี้เป็นใคร มาจากไหน”

    สองศิษย์แห่งครูบาผาเหมยมิได้เอ่ยตอบ หากส่งสายตาไปสำรวจชายหนุ่มแปลกหน้าทั้งสามอยู่เป็นครู่ก่อนที่จะเอ่ยถามผู้เป็นอาจารย์ในข้อที่ยังข้องใจ

    “ดูการแต่งกายของคนพวกนี้ก็แตกต่างจากชาวเทพศิลานัก จะว่าเดินทางมาจากเมืองอื่น พวกข้าก็ไม่เคยเห็นเมืองไหนแต่งกายกันแปลกๆ เช่นนี้”

    ประโยคของพระนายทำให้ครูบาผาเหมยตอบแผ่วเบา

    “อีกประเดี๋ยวพวกเจ้าก็จะได้คำตอบ เพียงแต่เวลานี้มาทำความรู้จักกันไว้ ภายภาคหน้าพวกเจ้าทั้งห้าจะได้รวมใจประสานเป็นหนึ่งเดียว”

    แม้ต่างไม่มีใครเข้าใจในประโยคนั้น หากก็ไม่มีใครปริปากถาม

    “เจ้าทั้งสาม สองคนนี้คือศิษย์ของเรา คนนี้คือสมิงพันตา ส่วนอีกคนสมิงพระนาย”

    ปิยะนัฐ หะรินและภูวดลก้มศีรษะให้แก่ชายหนุ่มทั้งสอง ขณะผู้มีชื่อสมิงพันตามองมาด้วยสายตาดูแคลนและบอกแววไม่ไว้วางใจ หากสมิงพระนายกลับมีทีท่าสงบนิ่ง จนคนทั้งสามไม่อาจ

    คาดเดาได้ถึงความรู้สึกภายใน

    “ส่วนเจ้าทั้งสองรู้จักคนทั้งสามนี้ไว้ คนนี้คือหะรินทะ” ภิกษุชราชี้ไปยังหะริน “คนนี้ชื่อว่าภูวะ” ภูวดลยิ้มให้กับชื่อใหม่ที่ภิกษุชราตั้งให้ “ส่วนคนสุดท้ายคือนัฐถะ”

    สมิงพันตาเพียงพยักหน้าให้กับสามหนุ่ม หากสมิงพระนายค้อมศีรษะให้ด้วยกิริยาสุภาพ นุ่มนวล

    “สมิงพันตา สมิงพระนาย เจ้าทั้งสองไปรอเราที่ด้านในก่อน”

    สองศิษย์ทำตามคำสั่งอาจารย์ในทันทีนั้น ขณะภิกษุชราหันมาบอกกับสามหนุ่มแปลกหน้าพร้อมกำชับ

    “ที่เราต้องให้พวกเจ้าชื่อแบบนี้ก็เพื่อจะได้ง่ายในการเรียกขาน ผู้คนจะได้ไม่ต้องมาสงสัยในที่มาของพวกเจ้านัก”

    “ครับ ครูบา”

    สามเสียงตอบรับขึ้นพร้อมกัน ขณะครูบาผาเหมยพูดบางอย่างให้ฟังต่อ

    “สมิงพันตา เป็นผู้มีอุปนิสัยแข็งกร้าว ดุดัน ตรงไปตรงมา อาจจะพูดจาไม่ค่อยเข้าหูนัก แต่จิตใจแท้จริงเป็นผู้กล้าหาญและไม่เอารัดเอาเปรียบใคร ส่วนสมิงพระนาย อุปนิสัยเป็นผู้สงบ รอบคอบ เยือกเย็น เฉลียวฉลาด และไม่วู่วามเหมือนอย่างศิษย์พี่ อย่างไรเสียหากศิษย์ทั้งสองของเราทำสิ่งใดให้เป็นที่ระคายใจของพวกเจ้า ก็จงอย่าได้ถือสา ส่วนที่มาของพวกเจ้า เราจะเป็นผู้ชี้แจงแก่ศิษย์ของเราให้เข้าใจเอง”

    ชายหนุ่มทั้งสามก้มกราบลงแทบเท้าครูบาผาเหมย ซาบซึ้งในความเมตตาที่ท่านหยิบยื่นให้ และนับจากวินาทีนั้น ความหวาดหวั่นก็เริ่มจางหาย ทั้งสามต่างตอกย้ำลงในหัวใจ...แม้จะอ้างว้างทุกข์ตรมเพียงใด หากที่พึ่งทางใจก็ยังมี

    “พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน เรามีเรื่องที่จะต้องพูดคุยกับศิษย์ของเรา”

    ภิกษุชราเดินลับกายไปแล้ว หากสามหนุ่มยังคงมองตามไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ

    “เหมือนนั่งดูละครย้อนยุคเลยนะนัฐ...ริน”

    ภูวดลพูดขึ้นยิ้มๆ

    “อยากรู้เหลือเกิน ฉากต่อไปจะเป็นยังไง”

    หะรินก็เริ่มมีอารมณ์ครึกครื้นขึ้น

    หากแปลก...ในขณะที่สองเพื่อนรักรู้สึกเช่นนั้น ปิยะนัฐกลับรู้สึกหวั่นๆ ราวกับว่าหนทางข้างหน้าต้องมีอุปสรรคมากมายรออยู่อย่างแน่นอน...

     

    สองร่างที่นั่งสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้าครูบาผาเหมยยังคงมิได้เอ่ยคำถามใดต่อผู้เป็นอาจารย์ ทั้งๆ ที่ในใจขณะนี้มีคำถามมากมายเกี่ยวกับสามชายหนุ่มแปลกหน้า

    “พันตา พระนาย จงฟังเรา พวกเจ้าคงมีความฉงนใจนักต่อบุคคลทั้งสามที่เพิ่งพบเมื่อครู่ เรา

    เองก็มิรู้ถึงรายละเอียดในชีวิตคนทั้งสามนั่นดอก แต่ที่รู้...พวกเขาคือผู้ที่จะมาช่วยให้เทพศิลานครแห่งนี้คงอยู่ต่อไป”

    “คงอยู่...ครูบาท่านหมายความว่าอย่างไร”

    คำนั้นของสมิงพันตาเอ่ยออกมาพร้อมความตระหนก

    “วันนี้พวกเจ้าจะมาส่งข่าวบางอย่างมิใช่รึ นั่นแหละคือที่มาของคำพูดเราเมื่อครู่”

    สองหนุ่มมองหน้ากัน แล้วค้อมศีรษะให้ผู้เป็นอาจารย์ก่อนที่สมิงพระนายจะเอ่ยตอบ

    “ครูบา เมื่อสามวันก่อน บุตรชายแห่งเจ้าจอมตองเดินทางมาที่นี่ เข้าเฝ้าองค์พิงคะ...”

    สมิงพระนายบอกเล่าได้เพียงนั้น ครูบาผาเหมยก็ยกมือห้ามขึ้น

    “สมิงพันตา เจ้าออกไปเรียกคนทั้งสามเข้ามาก่อน”

    “ครูบา เรื่องนี้เป็นเรื่องภายใน คนแปลกหน้าสามคนนั่นมิควรจะ...”

    สมิงพันตาพูดยังไม่ทันจบประโยคก็ถูกผู้เป็นอาจารย์แทรกคำขึ้น

    “จงจำไว้ คนแปลกหน้าทั้งสามจะเป็นผู้ที่ช่วยกอบกู้ให้ศิลาเทพคงอยู่ตลอดไป สมิงพันตา ไปเรียกพวกเขาเข้ามาก่อน เรื่องที่พวกเจ้ากำลังจะหารือเรา ล้วนเกี่ยวกับพวกเขาโดยตรง”

    แม้จะยังไม่กระจ่าง หากร่างสมิงพันตาก็ลุกเดินออกไปเบื้องนอกตามคำสั่งของผู้เป็นอาจารย์โดยมิได้อิดออด และเมื่อสามหนุ่มผู้มาจากแดนไกลเดินตามสมิงพันตาเข้ามาถึงภายในโถงกว้าง เรื่องราวที่กำลังสร้างความหนักใจให้แก่สมิงพระนายและสมิงพันตา ก็ถูกเจ้าตัวบอกเล่าออกมาด้วยปรารถนาจะหารือผู้เป็นอาจารย์

    “ครูบา เจ้าแสนคำลือมาขอผู้คนไปจากเมืองของเราอีก”

    สมิงพระนายเอ่ยพระโยคที่พูดค้างไว้เมื่อครู่แก่ผู้เป็นอาจารย์

    “แล้วองค์พิงคะให้คำตอบไปเช่นไร”

    “พระองค์ทรงเลี่ยงไปว่า จะขอส่งเสบียงและข้าวของมีค่าไปแทนผู้คน เพราะขณะนี้พืชผลของชาวเมืองกำลังรอการเก็บเกี่ยว”

    ครั้งนี้ทุกคนในโถงกว้างได้เห็นสีหน้ากังวลจากภิกษุชรา

    “แล้วเจ้าแสนคำลือตอบตกลงเช่นนั้นรึ”

    “เจ้าแสนคำลือตอบเพียงว่าจะขอนำความจากองค์พิงคะไปแจ้งแก่เจ้าจอมตองผู้เป็นบิดาก่อน”

    “สมิงพันตา เจ้ารู้หรือไม่ นั่นแหละคือคำตอบของเจ้าแสนคำลือ”

    “ครูบาหมายความว่า...”

    สมิงพันตาถามด้วยสีหน้าหวาดหวั่น

    “ใช่...นั่นคือคำตอบของเจ้าแสนคำลือ ที่องค์พิงคะเองก็คงเข้าใจ”

    ทั้งปิยะนัฐ หินริน และภูวดล ได้เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของลูกศิษย์ทั้งสองแห่งครูบา         ผาเหมย หากทั้งสามก็ไม่อาจเข้าใจในเรื่องราวที่ศิษย์และอาจารย์กำลังสนทนากัน

    “สมิงพันตา สมิงพระนาย ละเรื่องนี้ไว้ก่อน ตอนนี้เรามีการหนึ่งให้เจ้าทั้งสองช่วยเหลือ”

    “การใดจะสำคัญไปกว่าการที่เราสองคนนำมาแจ้งแก่ท่านอีกหรือ”

    คำนั้นของสมิงพันตาออกมาเพราะความน้อยใจ

    “สมิงพันตา เรามิได้บอกเจ้าสักคำว่าสิ่งที่พวกเจ้านำมาบอกกล่าวจะไม่มีความสำคัญ เพียงแต่เรื่องนั้นมันต้องใช้เวลาตรึกตรองให้รอบคอบ อีกอย่างเราคิดว่าอีกวันสองวันข้างหน้า    องค์พิงคะก็คงเรียกหาเราให้เข้าเฝ้าเช่นกัน”

    “ครูบา ข้าขออภัย”

    สมิงพันตาก้มกราบผู้เป็นอาจารย์อย่างสำนึกในความผิดที่ตนแสดงกิริยาวู่วามออกมา

    “เรามิถือสาเจ้าดอกสมิงพันตา เพราะเจ้าห่วงใยในเทพศิลานคร จึงทำให้เร่าร้อนใจ”

    “มิทราบว่าครูบามีการใดจะให้ข้าและท่านพี่พันตาทำ”

    สมิงพระนายเปลี่ยนเรื่อง ถามถึงการสำคัญที่ผู้เป็นอาจารย์จะไหว้วาน

    “ก็เกี่ยวกับสามคนนี่แหละ”

    ในขณะที่สมิงพระนายชำเลืองสายตาไปยังใบหน้าของคนทั้งสามด้วยอาการสงบนิ่ง สมิงพันตากลับรู้สึกขัดใจอยู่ในที

    “เจ้าสองคนช่วยไปหาเสื้อผ้าและอาหารมาให้สามคนนี้ด้วยเถิด หากวันใดผู้คนเทพศิลาผ่านมาเห็นเข้า จะตื่นตกใจกันไปเปล่าๆ อีกอย่างทั้งสามคนนั่นจะได้อาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้า    กันเสียบ้าง ตอนนี้ท่าจะเหม็นอับกันเต็มที”

    “ขอรับ ครูบา”

    สองเสียงตอบรับขึ้นพร้อมกัน ขณะสีหน้าสมิงพันตาบ่งบอกราวจะเกิดความรำคาญ อีกใบหน้าของศิษย์น้องกลับมีรอยยิ้มบางๆ เกิดขึ้นเมื่อชำเลืองมองไปยังสามหนุ่มที่ยังคงมีสีหน้างงๆ

    ครูบาบอกว่าคนทั้งสามคือผู้ที่จะมาช่วยเหลือให้เทพศิลานครคงอยู่ ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่า เทพศิลานครจะต้องประสบกับปัญหาเช่นนั้นหรือ...

    สมิงพระนายส่งสายตาไปยังบุคคลทั้งสามอีกครั้งพร้อมคิด...ถ้าหากสามคนนี้เดินทางมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือเทพศิลานคร ตนก็ควรมีน้ำใจให้มิใช่หรือ  

    สมิงพระนายบอกตัวเองเช่นนั้น...

    หากแล้วความคิดของชายหนุ่มก็สะดุด...เมื่อคำถามหนึ่งเกิดขึ้นในใจ

    แล้วสามคนนี้มาจากไหน?

     

    ร่างของสองศิษย์ลับหายออกไปเพียงครู่ ภิกษุชราก็หันกลับมายังสามร่างที่บัดนี้สีหน้าต่างบ่งบอกถึงความงุนงง

    “พวกเจ้าคงมิอาจเข้าใจในสิ่งที่สมิงพระนายและสมิงพันตามาบอกเล่าแก่เรา”

    สามหนุ่มได้แต่ยิ้มรับให้กับคำพูดนั้น ก่อนที่เรื่องราวหนึ่งจะผ่านออกมาจากปากของภิกษุ

    ชรา

    “บัดนี้ เทพศิลานครกำลังพบกับปัญหาใหญ่...”

    “ปัญหาใหญ่ หมายความว่าอย่างไรครับ”

    หะรินสอบถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น

    “ตอนนี้ทางเหนือกำลังทำการสร้างเมืองศรีนครพิงค์ มีการเกณฑ์ผู้คนจากหลายๆ เมืองให้ไปเป็นแรงงาน รวมทั้งเทพศิลานครแห่งนี้”

    ภิกษุชราหยุดเล่า แล้วทอดถอนใจออกมาด้วยสีหน้าบอกถึงความกังวล

    “หมายความว่าเทพศิลานครไม่อยากส่งคนไปเช่นนั้นหรือครับ”

    ปิยะนัฐคาดเดาจากการฟังจากปากของสองศิษย์แห่งครูบาที่ผ่านมาเมื่อครู่

    “มิใช่เช่นนั้นดอก องค์พิงคะเคยส่งผู้คนไปแล้วจำนวนหนึ่ง แต่ผู้คนที่ส่งไป ได้กลับคืนมายังเทพศิลานครไม่ถึงครึ่งของจำนวนที่ส่งไป...”

    “ทำไมเป็นแบบนั้นละครับ พวกเขาล้มตายจากการทำงานกันหรือครับ”

    ภูวดลถามสีหน้าเครียด เพราะหากเป็นอย่างที่ตนคาดเดา ถ้าตนเป็นเจ้าผู้ครองนครก็คงไม่อยากส่งผู้คนของตัวเองไปประสบกับชะตากรรมที่เลวร้ายอย่างแน่นอน

    “ความคิดของเจ้าไม่ผิดนัก ซ้ำร้ายกว่านั้น หากผู้ใดเหนื่อยล้าก็จะถูกโบยและบังคับให้ ทำงานทั้งๆ ที่แรงกายแทบไม่มี เช่นนี้จึงทำให้ผู้คนล้มตายไปมากมาย”

    ปิยะนัฐย้อนคิดถึงความรู้ที่ตนเคยได้อ่านจากหนังสือประวัติการสร้างเมืองเชียงใหม่ จดจำได้ดีผู้ที่สร้างเมืองเชียงใหม่คือพญาเม็งราย...

    นี่หมายความว่า ท่านเป็นคนโหดร้ายเช่นนั้นหรือ?

    “หมายความว่าผู้ประสงค์ให้สร้างเมืองเชียงใหม่ มีจิตใจที่โหดร้ายเช่นนั้นหรือครับครูบา”

    ปิยะนัฐได้รับคำตอบจากภิกษุชราด้วยอาการส่ายหน้า ก่อนท่านจะบอกเล่า

    “จากปากคำของผู้คน พญาเม็งรายท่านมิได้มาเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานใดๆ ดอก ท่านประสงค์เพียงจะสร้างเมืองให้สำเร็จเท่านั้น แต่ผู้ที่ได้รับคำสั่งจากท่านต่างหากที่ลุแก่อำนาจ ทำการต่างๆ ตามแต่ใจตนเอง เทพศิลานครต้องพบกับความอึดอัดก็เพราะเจ้าจอมตองผู้ได้รับมอบหมายให้เกณฑ์ผู้คนจากเมืองต่างๆ ทางตอนใต้ของอาณาจักรล้านนาเป็นผู้บีบบังคับเราซึ่งเป็นเมืองที่เล็ก กว่า”

    “หมายความว่าเทพศิลานครอยู่ใต้อำนาจของเมืองจอมตองหรือครับ”

    ปิยะนัฐสอบถามต่ออย่างสนใจ

    “มิใช่ดอก เทพศิลานครเป็นเมืองเล็กๆ ที่มีชาวเมืองเพียงแค่สามพันคนเท่านั้น พวกเราแทบจะไม่เคยยุ่งเกี่ยวใดๆ กับเมืองอื่น เจ้าดูด้วยตาของเจ้าเถิด ที่ตั้งของเมืองแห่งนี้อยู่ท่ามกลางขุนเขาที่รายล้อม เรามิได้ประสงค์จะติดต่อกับเมืองใดๆ รอบนอกเลย สิ่งที่พวกเราปรารถนาคือความสุขสงบของชีวิตเท่านั้น”

    ชายหนุ่มทั้งสามพยักหน้าอย่างเข้าใจ หากที่ยังสงสัย...

    ทำไมสีหน้าของครูบาผาเหมยขณะนี้ยังดูมีความวิตกกังวลเหลือเกิน

    “ครูบาครับ หากไม่เป็นการละลาบละล้วง ผมอยากรู้ว่าทำไมท่านจึงดูมีความกังวลในเรื่องนี้เหลือเกิน”

    หะรินส่งคำถามไปยังภิกษุชราที่บัดนี้ทอดสายตาจับนิ่งอยู่ที่ใบหน้าของตน

    “เจ้าทั้งสามได้ยินในสิ่งที่ศิษย์ทั้งสองของเรามาแจ้งแล้วมิใช่รึ องค์พิงคะตอบปฏิเสธที่จะส่งผู้คนไปให้แก่เจ้าจอมตอง”

    “แค่ปฏิเสธในการส่งคน แต่จะส่งเสบียงและข้าวของมีค่าไปให้แทนนี่ครับ”

    หะรินจดจำคำบอกเล่าของสองหนุ่มเมื่อครู่ได้ดี

    “นั่นล่ะ มันจะเป็นที่มาของความบาดหมาง ที่สำคัญ...การที่เจ้าแสนคำลือเดินทางมายังเทพศิลานครด้วยตัวเอง ย่อมแสดงให้เห็นได้ชัดว่า พ่อลูกทั้งสองนั่นมิได้ปรารถนาเพียงจะมาขอเกณฑ์ผู้คนไปช่วยทางศรีนครพิงค์ แต่มีความประสงค์อื่นแอบแฝงอยู่...”

    ครั้งนี้ทั้งสามหนุ่มนิ่งเงียบ กระทั่งภิกษุชราขยายความให้เข้าใจ

    “เทพศิลานครอุดมไปด้วยสินปัจจัยทางธรรมชาติอันมีค่า ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจ้าจอมตองเดินทางเข้ามา ก็มิได้ปิดบังในความปรารถนาไว้เลย”

    “สินปัจจัยอันมีค่า คืออะไรหรือครับ”

    ภิกษุชรามองใบหน้าหะรินพร้อมส่งยิ้มให้

    “บริเวณดอยหินแก้วซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเทพศิลานคร มีหินหน่อหินแก้วอันมีค่ามหาศาลหลายชนิด เจ้าจอมตองปรารถนาจะนำหินหน่อหินแก้วเหล่านั้นออกจากเทพศิลานครไปเพื่อเป็นบรรณาการแก่เมืองศรีนครพิงค์เพื่อจะได้นำไปสร้างประดับกำแพงเมือง หอคำ และปราสาทราชวัง ความจริงองค์พิงคะมิได้หวงแหนในสินแร่เหล่านั้น หากเพราะเท่าทันในความคิดของเจ้าจอมตองว่ามิได้ปรารถนาเพียงเท่านั้น หากยังปรารถนาในสิ่งล้ำค่าที่ผู้คนเทพศิลานครไม่มีทางยินยอมให้ นำออกไป องค์พิงคะจึงตัดสินใจแข็งข้อเสียตั้งแต่ตอนนี้ เพราะอย่างไรเสีย เทพศิลานครก็คงไม่อาจเลี่ยงต่อปัญหาที่จะเกิดจากสองพ่อลูกนั่น”

    “สิ่งล้ำค่าที่ครูบาพูดถึง คืออะไรหรือครับ”

    หะรินยังซักถามต่อ

    “องค์พระแก้วขาว พระคู่เมืองของเรา”

    ศรัทธา...หะรินคิดถึงคำนั้น นี่ครูบาผาเหมยกำลังจะบอกว่าความเชื่อถือศรัทธาของผู้คน กำลังจะทำให้เกิดปัญหาเช่นนั้นหรือ

    “เอ่อ...แล้วทำไมผู้คนจึงศรัทธาในองค์แก้วขาวกันขนาดที่ว่าจะไม่ยอมให้ใครนำออกไปจากเมืองล่ะครับ”  

    หะรินยังคงกังขาในความเชื่อของผู้คน

    “ความจริงผู้คนศรัทธามาตั้งแต่ยังเป็นหินหน่อหินแก้วนั่นแหละ ยิ่งนำมาแกะเป็นองค์พระ ผู้คนก็ยิ่งยึดมั่นศรัทธามากขึ้น”

    ครั้งนี้ไม่มีคำถามจากหะริน ขณะภิกษุชรากวาดสายตาไปยังสามใบหน้าก่อนจะมาหยุดนิ่งอยู่ที่หะรินเช่นเดิม

    “เจ้าทั้งสามจะเชื่อหรือไม่ หากเราจะบอกว่า สิ่งที่นำพวกเจ้าให้ล่วงผ่านเข้ามายังดินแดนแห่งนี้ก็คือพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดจากหินหน่อหินแก้วที่ผู้คนในเมืองแห่งนี้ต่างพากันเชื่อถือศรัทธา”

    ทั้งสามส่งความคิดไปถึงเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นเหนือเขื่อนภูมิพล...

    ใช่...ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบ หะรินเป็นผู้ชี้บอกให้ดูแสงสีม่วงอมทอง

    นี่หมายความว่า เพราะความมหัศจรรย์ของสิ่งนั้นละหรือ ที่นำพาพวกตนทั้งสามมายังดินแดนในอดีต ที่ย้อนเวลากลับมาเจ็ดร้อยกว่าปี!

    เมื่อเห็นสีหน้าของชายหนุ่มทั้งสามตกอยู่ในอาการเคร่งเครียด ภิกษุชราจึงหยุดหัวข้อสนทนาลงเพียงแค่นั้น ปล่อยให้คนทั้งสามนั่งพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว ส่วนท่านละจากจุดนั้นแล้วก้าวเดินไปสู่ด้านนอก หากเสียงพูดคุยที่ดังแว่วๆ ขึ้น ทำให้ภิกษุชราซึ่งก้าวออกมาจนเกือบจะถึงด้านหน้าของถ้ำต้องเดินย้อนกลับเข้ามายังโถงกว้างอีกครั้ง

    “สมิงพันตากับสมิงพระนายมาถึงแล้ว พวกเจ้าออกไปดูข้าวของที่เขานำมาให้ก่อนเถิด จะได้อาบน้ำอาบท่า เปลี่ยนเสื้อผ้ากันเสียที”

     

    สามหนุ่มเดินตามกันออกไปสู่เบื้องนอกที่บัดนี้ข้าวของเสื้อผ้ากองแยกกันอยู่บนลานหินผาซึ่งมีร่างของสมิงพันตาและสมิงพระนายกำลังนั่งรอคอย

    “นี่เสื้อผ้าของพวกเจ้า ข้ากับพระนายแบ่งให้พวกเจ้าคนละสองชุด ใช้ไปก่อน แล้วข้าจะให้เขาทอให้ใหม่”

    แม้วาจานั้นจะฟังห้วนๆ ราวมิได้ใส่ใจนัก หากก็ทำให้ทั้งสามคนรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของ หนุ่มพันตาผู้มีทีท่าราวเบื่อหน่ายต่อพวกตนอยู่ในที

    “ลองใส่ดูสิ ข้าคิดว่าน่าจะพอใส่กันได้”

    สมิงพระนายหยิบเสื้อผ้าแต่ละชุดยื่นส่งให้คนทั้งสาม ซึ่งแสดงว่าก่อนหน้านี้มีการแยกแบ่งสรรค์กันมาแล้วว่าชุดไหนเป็นของใคร

    ทั้งสามก้มลงมองกางเกงผ้าฝ้ายทอมือสีน้ำตาลเข้มกับเสื้อทอมือปักลวดลายที่ปลายแขนซึ่งมี ความยาวเลยข้อศอกด้วยสีหน้าเจื่อนๆ แม้มันจะเป็นเสื้อผ้าที่มีลักษณะคล้ายๆ ของชาวเขาในยุคสมัยปัจจุบัน หากการทอแน่นหนาและดูทนทานกว่ามาก หากที่มันกำลังเป็นอุปสรรคต่อชายหนุ่มทั้งสามคือ จะทำอย่างไร ให้พวกตนสามารถใส่ชุดพวกนี้ให้แน่นหนา และดูกระฉับกระเฉงได้อย่างสมิงพันตาและสมิงพระนาย

    “ดูท่าพวกเจ้าไม่ปรารถนาจะใช้มัน”

    สมิงพันตาพูดออกมาห้วนๆ หากหะรินกลับตอบออกไปอย่างสุภาพ

    “ข้ากำลังคิดอยู่ว่าจะใส่ชุดพวกนี้ยังไงให้ดูแน่นหนาอย่างที่พวกเจ้าสวมใส่”

    คราวนี้คนทั้งสามได้เห็นรอยยิ้มเหยียดปนขบขันจากสมิงพันตา หากเพียงครู่สีหน้านั้นก็กลับไปเป็นดังเดิม

    “เอ...พระนาย เจ้าลืมนำเชือกผูกมาหรือเปล่า ถ้าหากลืม สามคนนี่คงต้องใช้เถาวัลย์ผูกรัดเอวกันไปก่อนเป็นแน่”

    คำพูดนั้นแม้แต่สมิงพระนายยังอดยิ้มออกมาไม่ได้ ด้วยรู้...ศิษย์พี่กำลังจะแกล้งชายหนุ่มทั้งสามด้วยความห่ามตามนิสัยอีกฝ่าย หากความคิดนั้นของสมิงพันตากลับไม่ได้ผล เมื่อภูวดลเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดี

    “โธ่...กับเรื่องแค่นี้ ไม่ต้องห่วงพวกเราหรอกสมิงพันตา ข้าเห็นจีวรครูบาท่านมีตั้งหลายผืน ขอท่านมาทำผ้ามัดกางเกงสักผืนจะเป็นไรไป”

    ปิยะนัฐและหะรินได้แต่ยิ้มๆ กับประโยคของเพื่อน เพราะบัดนี้สมิงพันตาแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์ออกมาอย่างเห็นได้ชัด คงผิดหวังที่ภูวดลรู้เท่าทันและแกล้งศอกกลับไป

    “พวกเจ้าไปอาบน้ำอาบท่ากันก่อนเถิด เสร็จแล้วจะได้มากินข้าวกัน”

    พูดจบสมิงพระนายแบมือยื่นไปตรงหน้าผู้เป็นศิษย์พี่ ก่อนจะบอกเบาๆ ให้ได้ยินกันเพียงสองคน

    “สายมากแล้ว พวกเขาคงหิวโหย อย่ามัวแต่แกล้งเขาอยู่เลย”

    สมิงพันตาค่อยๆ ดึงเชือกรัดออกมาจากเอวของตนแล้วยื่นส่งให้ผู้เป็นศิษย์น้องด้วยสีหน้าบึ้งตึง

    “ท่านพี่ของข้าลืมไปน่ะว่านำเชือกรัดมาด้วยแล้ว”

    ปิยะนัฐส่งมือรับสิ่งนั้นมาจากสมิงพระนายพร้อมส่งยิ้มให้อย่างมีไมตรี

    “ขอบใจเจ้าทั้งสองมากที่มีน้ำใจกับพวกเรา”

    คำนั้นได้รับคำตอบด้วยการค้อมศีรษะจากสมิงพระนาย หากก่อนที่ทั้งสามจะเดินจากไป เพื่ออาบน้ำในลำธารใสที่ได้ยินเสียงสายน้ำไหลเป็นจังหวะอันแสนเสนาะของมัน ก็ได้ยินประโยคสุดท้ายดังเข้ามา

    “เตรียมร่างกายพวกเจ้าไว้ให้พร้อม อีกวันสองวันข้าจะนำม้ามาให้พวกเจ้าฝึกขี่กัน”

    ประโยคนั้นของสมิงพันตา ทำให้ชายหนุ่มทั้งสามได้รู้เพิ่มเติมว่า ในเมืองแห่งนี้ พาหนะที่ผู้คนใช้กันก็คือม้านั่นเอง!

     

     

     

     

     

     

     



     

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น