ใต้เงามนตรา ตอน2 - นิยาย ใต้เงามนตรา ตอน2 : Dek-D.com - Writer
×

    ใต้เงามนตรา ตอน2

    หนึ่งชีวิต...ครองความเป็นใหญ่ หนึ่งชีวิต...ความตายเป็นผู้พลัดพราก หนึ่งชีวิต...ต้องจากเทพศิลานครไปตลอดกาล นี่คือชะตากรรมของสามบุรุษผู้ล่วงผ่านมิติเวลา!

    ผู้เข้าชมรวม

    92

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    92

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  5 ส.ค. 66 / 12:33 น.

    อีบุ๊กจากนิยาย ดูรายการอีบุ๊กทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ใต้เงามนตรา บท2

     

    แม้นราจะอ่อนเพลียกับการนั่งรถทัวร์มาตลอดทั้งคืน หากเพราะความร้อนใจกับสิ่งที่ยังค้างคาเกี่ยวกับเพื่อนรัก ทำให้นราไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าอาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้วจะ นอนพักเอาแรงสักชั่วโมงสองชั่วโมงก่อนจะออกเดินทางไปทำธุระสำคัญเพื่อหาคำตอบให้กับตัวเอง

    เมื่อไม่อาจปิดเปลือกตาลงได้ นราจึงตัดสินใจลุกขึ้นแต่งตัวและตระเตรียมข้าวของที่ตั้งใจจะนำไปให้ใครบางคนหาคำตอบให้

    กระเป๋าสีดำที่ภายในบรรจุเสื้อผ้าอข้าวของของเพื่อนรักถูกเปิดออกอีกครั้งพร้อมการสำรวจความเรียบร้อย...ทุกอย่างยังอยู่ครบ

    หลังจากที่ทุกอย่างพร้อม เพียงหนึ่งชั่วโมงถัดมา นราและพาหนะคู่ใจก็มุ่งหน้าสู่จุดหมายบ้านสวนแถวนนทบุรี

    เสียงกริ่งที่ดังขึ้นหน้าประตูของเรือนไม้หลังใหญ่ในเนื้อที่อันร่มรื่นเกือบไร่ ทำให้เจ้าของบ้านที่กำลังอ่านตำราเล่มหนึ่งด้วยความเพลิดเพลิน เขม้นมองไปยังประตูบ้านด้วยความแปลกใจพร้อมคิดรำพึง...

    วันนี้เป็นวันหยุด ใครมาหาถึงบ้าน?

    บานประตูไม้ถูกเปิดออก อาจารย์หนุ่มวัย 45 จึงส่งยิ้มให้กับผู้ที่กำลังยืนรอ

    “ไงนรา ทำไมวันนี้มาหาถึงบ้านได้”

    อาจารย์หนุ่มใหญ่รับไหว้รุ่นน้องพร้อมทักทายอย่างอารมณ์ดี

    “ต้องขอโทษพี่นพด้วยนะครับที่มารบกวนแต่เช้าแบบนี้”

    นพศูรย์ชำเลืองมองกระเป๋าสีดำภายในมือนราแล้วพยักหน้าให้

    “เข้าบ้านก่อนดีกว่านรา หรือว่าจะนั่งที่ศาลาในสวนก็ได้นะ”

    “ในสวนดีกว่าครับพี่”

    นราเดินเคียงร่างสูงไปตามทางเดินที่ปูด้วยแผ่นศิลาแลงอย่างเป็นระเบียบ อากาศสดชื่นของบ้านสวนทำให้สิ่งที่อยู่ในใจของนราเริ่มผ่อนคลายลง

    “ไปรอผมที่ศาลาก่อนนะ เดี๋ยวจะหากาแฟมาให้”

    นราแยกจากทางเดินขนาดใหญ่เมื่อครู่ ลัดเลาะไปตามทางเดินเล็กๆที่สองฝั่งซ้ายขวาเขียวขจีไปด้วยไม้ประดับที่ปลูกไว้อย่างเป็นระเบียบ กระทั่งเข้าสู่เขตสวนอันร่มรื่นซึ่งอยู่ด้านข้างของตัวบ้านที่ถูกตกแต่งด้วยการปลูกไม้ดอกเป็นกลุ่มเป็นพุ่มกระจายอยู่ทั่วบริเวณของสวนที่จัดอย่างอิงธรรมชาติที่สุด

    ทุกครั้งที่นรามาที่นี่ ความสุขสงบเกิดขึ้นเสมอ แรกๆ นราเคยถามนพศูรย์ การอยู่บ้านสวนหลังใหญ่เพียงคนเดียวแบบนี้ไม่ทำให้เกิดความเหงาหรือ ตอนนั้นนราได้รับแต่รอยยิ้มของรุ่นพี่ 

    หากเวลานี้นราได้คำตอบ...ภายในบริเวณบ้านไม้หลังนี้ให้ความสุขสงบกับหัวใจเหลือเกิน

    กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นมาแต่ไกล ก่อนที่ร่างสูงจะก้าวผ่านซุ้มการเวกที่เลื้อยพันซุ้มเหล็กดัดโค้งด้านหน้าตัวศาลาไม้ที่ใช้แฝกมุงหลังคาให้ความเย็นชื่นแก่ทุกคนที่ได้เข้ามาอาศัยร่มเงา

    “วันนี้พี่นพไปธุระที่ไหนหรือเปล่าครับ”

    “เอ...ท่าทางนรามีธุระสำคัญ บ่ายๆ ผมตั้งใจว่าจะออกไปร้านหนังสือน่ะ ไม่ต้องห่วง ว่าธุระของนรามาก่อนเถอะ”

    ร่างสูงนั่งลงตรงข้ามนรา ชำเลืองมองกระเป๋าสีดำอีกครั้งก่อนถามอย่างคาดเดา

    “ธุระนราน่าจะอยู่ในนั้นนะ”

    นราเพียงพยักหน้ารับ แล้วเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาไป

    “เมื่อคืนผมเพิ่งเดินทางกลับจากดอยเต่าครับพี่”

    “ยินดีด้วยนะนรา ที่เพื่อนรักของคุณได้กลับมาคนหนึ่งแล้ว ว่าแต่อีกสองคนล่ะไม่ได้ร่องรอยอะไรเลยเหรอ?”

    “ยังเลยครับพี่”

    “แล้วคนที่กลับมาได้ เขาเป็นไงบ้างล่ะ”

    “ไม่เป็นอะไรมากแล้วครับพี่ ตอนนี้มารักษาตัวที่กรุงเทพแล้ว แต่...”

    ประโยคที่ชะงักค้างไว้ทำให้นพศูรย์มองรุ่นน้องอย่างงงๆ เพราะในความเป็นจริง การที่เพื่อนรักของนราคนนั้นกลับมาได้อย่างปลอดภัยก็น่าจะเป็นสิ่งที่นราควรยินดี แต่นี่ดูจากสีหน้านราขณะนี้กลับเหมือนมีความวิตกกังวลอยู่อย่างมากมาย

    “แต่อะไรนรา หรือว่าเพื่อนนรากลับมาด้วยอาการที่ผิดปกติ”

    นพศูรย์คาดเดาไปเองตามความคิดของตน ขณะคนถูกถามไม่ได้ตอบคำ หากหยิบกระเป๋าใบสีดำที่วางอยู่ใกล้ๆ มาวางตรงหน้ารุ่นพี่ก่อนบอก

    “พี่นพลองดูอะไรในกระเป๋าใบนี้ก่อนสิครับ”

    กระเป๋าหนังสีดำถูกเปิดออกด้วยอาการงงๆ แต่เมื่อสิ่งที่อยู่ภายในปรากฏแก่สายตา ทำให้หัวคิ้วของอาจารย์วัยหนุ่มใหญ่ขมวดมุ่น

    “เอ๊ะ! นราไปได้ของพวกนี้มาจากไหน อย่าบอกนะว่าจาก...”

    นพศูรย์เงยหน้าขึ้นสบตานรานิ่ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะพยักหน้าให้พร้อมย้ำ

    “ใช่ครับพี่ ผมได้จากเพื่อนของผมที่หายตัวไปสองสัปดาห์เต็มๆ นั่นแหละ”

    นพศูรย์เอื้อมมือหยิบของชิ้นแรกที่ถูกพับเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบ มันเป็นชุดเสื้อผ้าที่แปลกตาเหลือเกิน ยิ่งเมื่อคลี่ทั้งเสื้อและกางเกงออก ยิ่งทำให้นพศูรย์ประหลาดใจยิ่งขึ้น

    “นรา ผ้าทอมือทอแน่นและปักลวดลายแบบนี้ ผมไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลยนะ”

    อาจารย์หนุ่มใหญ่ค่อยๆ กวาดสายตาพิจารณาแต่ละส่วนของตัวเสื้อพื้นสีดำ หากปักลวดลายที่ปลายแขนและตามชายเสื้อรอบตัวด้วยเส้นฝ้ายย้อมสีแดงสด

    “ผ้าฝ้ายทอมือน่ะเรามักจะเห็นพวกชาวเขานิยมถักทอกันนะ แต่ลวดลายแปลกๆ ตานี่สิ ไม่คุ้นเลยว่าเผ่าพันธุ์ไหนจะใช้กัน นราดูสิ ผ้าทอทอได้แน่นมาก ส่วนลวดลายการปักที่ฝังเม็ดรัตนชาติพวกนี้ไว้มันไม่คุ้นตาเลยจริงๆ”

    นพศูรย์ชี้ลงไปยังปลายแขนและชายเสื้อที่มีลวดลายแปลกตาคั่นด้วยการฝังรัตนชาติหลากสีไว้ในลวดลายนั้น

    “พอจะหาคำตอบเกี่ยวกับรายละเอียดของเนื้อผ้าหรืออายุของรัตนชาติพวกนี้ได้มั้ยครับพี่”

    “อืม...นรารอผมสักครู่นะ”

    นพศูรย์เดินกลับไปยังตัวเรือนไม้ครู่ใหญ่แล้วกลับมาพร้อมกล้องส่องที่มักจะพกพาติดตัวไปไหนมาไหนอยู่เป็นประจำ

    นพศูรย์ใช้กล้องส่องรัตนชาติสีม่วงสามเม็ดใหญ่อยู่เพียงครู่แล้วเงยหน้าขึ้นอธิบายกับรุ่นน้อง

    “รัตนชาติพวกนี้แกะมาจากหินจำพวกเขี้ยวหนุมานน่ะแหละ และถ้าจะให้ผมกะประมาณอายุก็น่าจะไม่คลาดเคลื่อนนัก...”

    นราจับมองใบหน้ารุ่นพี่ด้วยความตื่นเต้น ค่อนข้างมั่นใจ เพราะนพศูรย์เป็นอาจารย์ทางโบราณคดี และมุ่งมั่นกับการศึกษาเรื่องโบราณหลายแขนง กับคำตอบจากรุ่นพี่ผู้นี้ นราค่อนข้างมั่นใจ มันจะเป็นคำตอบที่ใกล้เคียงความเป็นจริงอย่างแน่นอน

    “อายุรัตนชาติพวกนี้น่ะประมาณกี่ปีครับพี่”

    นพศูรย์แตะมือลงบนหินสีม่วงเข้มเม็ดหนึ่งที่ปักไว้ตรงกึ่งกลางลายซึ่งแวดล้อมด้วยหินเม็ดขนาดเล็กสีเหลืองประกายแวววาว ก่อนส่งคำตอบให้นรา

    “น่าจะประมาณเจ็ดร้อยถึงพันปี ก็อยู่ในช่วงอายุเดียวกับที่เคยขุดค้นพบที่อำเภอฮอด เชียงใหม่ แต่ที่เราดูอยู่นี่ผมว่ามีความละเอียดสวยงามกว่าอยู่นะนรา”

    “เจ็ดร้อยถึงพันปี...”

    นราทวนคำแผ่วเบา แล้วรีบคว้าสิ่งต่อมาในกระเป๋ายื่นส่งให้แก่นพศูรย์

    “แล้วสร้อยเส้นนี้ละครับพี่”

    นราวางสร้อยลงบนเสื้อพื้นดำตรงหน้านพศูรย์ ขณะอีกฝ่ายแตะแผ่วเบาไปตามสร้อยเส้นนั้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น

    “สามเม็ดใหญ่ที่เรียงกันนี่เป็นหินเขี้ยวหนุมานที่หายากมากๆ”

    นพศูรย์ชี้ลงบนรัตนชาติสามเม็ดสีม่วงสดที่มีเส้นเงินและทองอยู่ภายในก่อนจะอธิบายต่อ

    “ส่วนที่คั่นนี่เป็นพวกหินสี สีฟ้าน้ำทะเลนี่คืออความารีน ส่วนเขียวอ่อนๆ เรียกว่าทูมารีน  รัตนชาติพวกนี้มีอายุเก่าแก่ และมีค่าเฉียดๆ พวกพลอยเนื้อดีเลยนะนรา”

    คนฟังได้แต่นิ่งเงียบ เพราะบัดนี้ภายในใจมีแต่คำถาม สิ่งที่ได้รับฟังอยู่จากรุ่นพี่ขณะนี้ตนเชื่อว่าเป็นความจริง...

    ถ้าเช่นนั้น ปิยะนัฐเพื่อนรักของตนไปพบเจอกับสิ่งใดมา?

    “นรา...”

    เสียงเรียกของนพศูรย์ทำให้นราหลุดจากภวังค์อันเลื่อนลอย

    “ครับพี่”

    “รัตนชาติพวกนี้ ถ้าเราจะพบในยุคปัจจุบันก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นักหรอก เพราะยังพอ  มีอยู่ แต่ลักษณะเนื้องานและอายุของรันตชาติพวกนี้นะสิเป็นสิ่งที่หายากและมีราคาสูง ยิ่งสามเม็ด สีม่วงที่มีเส้นเงินเส้นทองอยู่ภายในนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง หาได้ยากมากๆ แล้วยิ่งอุปกรณ์ที่ใช้ร้อย   รัตนชาติพวกนี้ยิ่งน่าแปลกใหญ่เลยนรา...”

    “แปลกยังไงครับพี่”

    “มันไม่ใช่เส้นลวดหรือเส้นเอ็นอย่างที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน และถ้าหากผมสันนิษฐานไม่ผิด มันน่าจะทำมาจากเอ็นของสัตว์นะ”

    นรานิ่งอึ้ง...เอ็นของสัตว์...

    หากสร้อยเส้นนี้ถูกร้อยด้วยเอ็นของสัตว์ นั่นย่อมแสดงว่าอายุของมันจะไม่คลาดเคลื่อนจากที่นพศูรย์บอกเล่ากับตนเลย

    “แล้วในถุงสีดำนั่นเป็นอะไรหรือนรา”

    นพศูรย์ละสายตาจากสร้อยโบราณเส้นนั้นไปจับนิ่งอยู่ที่ถุงสีดำภายในกระเป๋าที่นรานำใส่ข้าวของมา

    “เป็นรองเท้าน่ะครับพี่”

    นราค่อยๆ เปิดถุงใบนั้นออก หากเมื่อวางสิ่งที่อยู่ภายในลงตรงหน้านพศูรย์ อาจารย์ผู้มีความชำนาญในด้านโบราณคดีก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง

    “มีอะไรหรือครับพี่?”

    นพศูรย์ไม่ได้ตอบในทันที หากหยิบรองเท้าที่ทำจากหนังสัตว์ ตัดพอเป็นรูปเป็นร่างให้เหมาะกับขนาดของเท้า ถักรัดหุ้มข้อเท้าขึ้นมาความยาวเกือบถึงครึ่งแข้ง ตามช่องของหนังสัตว์ที่ถูกตัดร้อยพันด้วยด้ายฝั้นอย่างแน่นหนา ส่วนปลายด้านบนสุด มีด้ายฝั้นเส้นใหญ่อีกเส้นร้อยไว้เพื่อผูกส่วนบนไม่ให้หลุดจากเท้าในยามที่ต้องใช้งาน พิจารณาอยู่เช่นนั้นครู่ใหญ่ นพศูรย์จึงหันไปบอกรุ่นน้องด้วยสีหน้าครุ่นคิด

    “นรา ถ้าสิ่งเหล่านี้เพื่อนคุณได้มาจริง มันไม่ธรรมดาเสียแล้วล่ะ รองเท้าแบบนี้ ถ้าจะมีก็ต้องเป็นของพวกนักรบโบราณที่ต้องย้อนเวลาไปหลายๆ ร้อยปีเท่านั้นแหละ”

    “แต่ผมยืนยันนะครับพี่ เพราะสิ่งของเหล่านี้ผมเป็นคนเอามาจากหมอที่ทำการรักษาเพื่อนผมเอง แต่ยังมีอีกอย่างนะครับ ผมลืมบอกพี่ไป เพื่อนผมถูกทำร้ายมา...”

    “ถูกทำร้าย?”

    “ครับ...”

    นราหยิบบางอย่างจากถุงผ้ายื่นส่งให้รุ่นพี่

    “ดอกธนู...หมายความว่าเพื่อนคุณถูกทำร้ายด้วยธนูดอกนี้เหรอ?”

    “ครับพี่ แผลเจ้านัฐมันสาหัสอยู่เหมือนกัน”

    นพศูรย์จับดอกธนูปลายแหลมที่ทำขึ้นอย่างหยาบๆ มิได้มีการตีอย่างประณีตเหมือนอย่างเช่นดอกธนูทั่วๆ ไป ที่สำคัญ...สิ่งที่ใช้ทำดอกธนูมิใช่เหล็กอย่างที่นพศูรย์เคยพบเห็น หากมันกลับเป็นสำริด ซึ่งจะว่าไปยุคสมัยที่ใช้ก็ไม่แตกต่างไปจากอายุของสร้อยและรองเท้าคู่นั้นเลย

    “เป็นไงครับพี่ ธนูดอกนี้เก่าแก่แค่ไหน”

    เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบไปนาน ผู้ที่รอฟังจึงอดจะสอบถามไม่ได้

    “นรา ข้าวของที่คุณนำมานี้ ถ้าจะไม่แน่ใจก็เรื่องอายุของเสื้อผ้า แต่ผมพอจะมีเพื่อนที่ชำนาญด้านนี้อยู่ คงต้องให้เขาช่วยตรวจสอบให้ แต่สามอย่างนี่ ดอกธนู สร้อย และรองเท้า ผมมั่นใจนะว่ามุมมองไม่คลาดเคลื่อน สามอย่างนี้อยู่ในยุคสมัยเดียวกัน ราวๆ เจ็ดร้อยถึงพันปีนั่นล่ะนรา”

    ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบกันไป ในขณะที่นพศูรย์แปลกใจเป็นล้นพ้น เพื่อนของนราได้ข้าวของเหล่านี้มาอย่างไร นรากลับทอดความคิดความห่วงใยไปยังเพื่อน...

    นรายังจำได้เมื่อตอนที่ปิยะนัฐฟื้นขึ้นมา เพื่อนมีท่าทางทุรนทุราย ราวมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง และสิ่งหนึ่งที่ยังค้างคาอยู่ในใจนรา คือประโยคหนึ่งที่เพื่อนรักเพ้อออกมาก่อนจะรู้สึกตัว...“เจ้านางน้อย...เจ้านางน้อยหนีไป...”

    ประโยคนั้นแว่วขึ้นในมโนนึก พร้อมๆ กับที่นราบอกลาเพื่อนรุ่นพี่ด้วยอาการเร่งรีบ

    “ผมขอบคุณพี่นพมากนะครับ ยังไง ผมจะทิ้งเสื้อผ้าชุดนี้ไว้ก่อนนะครับ ส่วนอีกสามชิ้นผมขอนำไปคืนเจ้านัฐก่อน”

    นพศูรย์พยักหน้าให้รุ่นน้องพร้อมกับตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ “นรา ถ้ามีอะไรให้ช่วย บอกผมได้เลยนะ ที่สำคัญ ถ้าหากเพื่อนของคุณพูดอะไรก็ฟังๆ เขาไว้ก่อน อย่าเพิ่งไปบอกอะไรเขานะ”

    นรายกมือไหว้ลารุ่นพี่แล้วเดินตรงไปยังรถที่จอดอยู่หน้าประตูบ้าน ขณะผู้ที่เดินตามมาส่งยืนรอส่งจนรถของรุ่นน้องแล่นลับออกไปจากสายตา หลังจากนั้นเสื้อผ้าชุดแปลกๆ ที่นรานำมาให้ดูก็ถูกสำรวจตรวจตราอย่างละเอียดอีกครั้งท่ามกลางความแปลกประหลาดใจของผู้ชำนาญทางด้านโบราณคดี

     

    แม้เมื่อคืนที่ผ่านคุณเบญจวรรณและคุณไพศาลจะกลับไปพักผ่อนที่บ้านในเวลาดึกดื่นค่อนคืน หากเช้านี้สองสามีภรรยาก็เดินทางมาถึงโรงพยาบาลแต่เช้าตรู่

    ประตูห้องพักพิเศษของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังถูกผลักแผ่วเบา แล้วเท้าของสองสามีภรรยาก็ชะงักนิ่ง ภาพที่เห็นทำให้คุณไพศาลโอบไหล่ภรรยาแทนคำปลอบ

    บนเตียงผู้ป่วย บัดนี้ร่างของลูกชายเพียงคนเดียวกำลังเอนพิงหมอนใบใหญ่ราวกับยังไม่

    รับรู้ถึงการมาของพ่อและแม่ แม้ใบหน้าจะเต็มไปด้วยความอิดโรย หากร่างสูงยังคงเอนอยู่ในท่านั้นสงบนิ่ง สายตาคมทอดมองฝ่าบานกระจกหนาออกสู่เบื้องนอกอย่างเลื่อนลอย

    “นัฐ...ยังเช้าอยู่เลย ทำไมไม่นอนพักล่ะลูก”

    คุณเบญจวรรณโอบร่างลูกชายพร้อมถามอย่างห่วงใย

    “ผมรู้สึกดีขึ้นแล้วครับแม่”

    ผู้เป็นแม่ได้แต่พยักหน้า ทั้งๆ ที่ในใจปรารถนาให้ลูกพักผ่อน เพราะดูจากสีหน้าของลูกขณะนี้ แม้อาการทั่วไปจะดูดีขึ้นจากเมื่อวาน หากความเคร่งเครียดในสีหน้าของลูกก็ยังมีอยู่ไม่น้อย

    “นัฐ แล้วนี่ลุงทองไปไหนล่ะ”

    คุณไพศาลดึงเก้าอี้บุนวมมานั่งลงใกล้ๆ ลูก ถามหาคนเฝ้าไข้ที่ท่านมอบหมายให้ลุงทองคนสนิทมาดูแลลูกชายเพียงคนเดียว

    “คงจะลงไปหากาแฟทานมั้งครับพ่อ เพิ่งออกไปก่อนหน้าที่พ่อกับแม่จะมาถึงนี่เอง”

    “แล้วเป็นไงลูก ยังเจ็บแผลอยู่มั้ย”

    คุณเบญจวรรณแตะแผ่วเบาที่ต้นขาของลูก

    “ยังรู้สึกระบมอยู่ครับ ว่าแต่พ่อกับแม่ได้เก็บของของผมไว้หรือเปล่าครับ”

    คำถามนั้นทำให้สองสามีภรรยาสบตากัน ลูกยังมีอาการบาดเจ็บ แถมตัวยังมีไข้รุมๆ แล้วทำไมท่าทางของลูกราวไม่ใส่ใจกับตัวเองเช่นนี้

    “ของ...ของอะไรลูก?”

    ครั้งนี้ปิยะนัฐชะงักคำ ความคิดประหวัดไปถึงนรา

    ใช่...ตอนที่ตนตื่นขึ้นมาตนได้พบนราเป็นคนแรก

    “ว่าไงลูก ของอะไร?”

    คุณไพศาลถามย้ำ

    “ก็หลายอย่างครับ นราคงเก็บไว้”

    ทั้งคุณไพศาลและคุณเบญจวรรณพยักหน้า แม้จะติดใจกับการที่ลูกถามหาข้าวของ แต่ท่านก็ไม่ได้ปริปากถาม

    “นัฐ อาการของนัฐดีขึ้นบ้างแล้ว พอที่จะให้พ่อกับแม่ถามอะไรได้มั้ยลูก”

    ปิยะนัฐสบตาผู้เป็นพ่อแล้วพยักหน้าให้ท่าน

    “นัฐไปอยู่ที่ไหนมา แล้วใครทำร้ายลูก”

    ปิยะนัฐมองใบหน้าพ่อและแม่สลับอยู่ไปมาราวชั่งใจ

    “นัฐ ไม่ว่าลูกจะพบเจอสิ่งเลวร้ายอะไรมาก็เล่ามาเถอะลูก ตอนนี้นัฐปลอดภัยแล้ว แม่อยากรู้แค่ว่านัฐหายไปไหนมาตั้งสองอาทิตย์เต็มๆ”

    “ผมไปในดินแดนต่างมิติมาครับแม่”

    ประโยคนั้นทำให้ทั้งคุณไพศาลและคุณเบญจวรรณสะดุ้งสุดตัว โดยเฉพาะคุณเบญจวรรณ 

    เธอดึงร่างของลูกชายมากอดไว้แน่น

    “นัฐ ไม่เอาลูก อย่าล้อเล่นกับพ่อแม่แบบนี้”

    “ผมไม่ได้ล้อหรือพูดเล่นนะครับแม่ ผมพูดเรื่องจริง ผมห่วงเจ้ารินกับภูมันเหลือเกิน ป่านนี้สองคนนั่นจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”

    ครั้งนี้คุณเบญจวรรณน้ำตาไหลพราก หากคุณไพศาลกลับมองหน้าลูกอย่างจับสังเกต

    “นัฐ ค่อยๆ คิด ค่อยๆ พูดนะลูก”

    “พ่อครับ ในวันเกิดเหตุพ่อก็รู้ว่าผม ริน และก็ภู เราสามคนไปฝึกบินที่ตาก แต่ภูมันพาบินเลยขึ้นไปตามทะเลสาบเหนือเขื่อนภูมิพล จนถึงดอยม่วงคำ และเหตุการณ์ประหลาดมันเกิดขึ้นกับพวกเราที่บริเวณนั้นครับ”

    “เหตุการณ์ประหลาด เล่าให้พ่อฟังสิลูก”

    คุณไพศาลยังสอบถามลูกอย่างใจเย็น ทั้งๆ ที่ภายในให้รุ่มร้อนเป็นนักหนา นี่แสดงว่าลูกได้รับความกระทบกระเทือนจนเลอะเลือนไปแล้วเช่นนั้นหรือ

    ความคิดของคุณไพศาลถูกค้านด้วยประโยคหนึ่งของนายแพทย์วสันต์ที่บอกย้ำกับท่าน  ก่อนลาจากมาเมื่อวาน

    “ท่านไม่ต้องห่วงนะครับ คุณปิยะนัฐไม่ได้เป็นอะไรมากทั้งทางสมองและร่างกาย”

    คุณไพศาลแตะมือลงบนไหล่ลูกชายแล้วบีบเบาๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าบอกถึงความอึดอัด

    “เอาเถอะลูก นัฐไปเจออะไรมาก็บอกพ่อกับแม่มาเถอะ”

    “วันนั้น ขณะที่ภูชะลอเครื่องลงบริเวณหนึ่งตรงดอยม่วงคำตามที่ผมขอร้องให้ดูสิ่งแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นบริเวณพื้นน้ำด้านล่าง อยู่ๆ เครื่องก็เกิดขัดข้อง เราสามคนตกใจมาก เพราะรู้สึก ได้ว่าเครื่องกำลังถูกแรงดึงดูดจากด้านล่าง หลังจากนั้นเราทั้งสามก็หมดความรู้สึก จำอะไรไม่ได้เลย มารู้สึกตัวอีกครั้ง ทุกอย่างรอบๆ ตัวพวกเราก็เปลี่ยนไป พ่อครับ พ่อจะเชื่อมั้ยถ้าผมจะบอกพ่อว่าเราสามคนไปฟื้นขึ้นในดินแดนต่างมิติ...”

    ประโยคยืดยาวของปิยะนัฐจบลงพร้อมเสียงสะอื้นของคุณเบญจวรรณ ขณะที่คุณไพศาลเองก็ได้แต่นิ่งงันไป

    “แล้วยังไงอีกลูก...”

    แม้ยากที่จะให้ทำใจเชื่อและยอมรับ หากคุณไพศาลก็ยังอยากสังเกตอาการของลูกชาย ท่านสอบซักด้วยอาการใจเย็น หากผู้ที่เป็นภรรยากลับมิได้เป็นเช่นเดียวกับท่าน

    “พอเถอะคุณ อย่าซักลูกอีกเลย”

    คุณเบญจวรรณยังคงกอดร่างของปิยะนัฐไว้แน่น ขณะลูกชายรับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าขณะนี้ผู้เป็นแม่กำลังตกใจและเสียใจขนาดไหน เพราะเป็นใครก็คงทำใจได้ยากที่จะให้มาเชื่อในเรื่องราวที่ตนกำลังบอกเล่า

    “นัฐ ทำใจให้สบาย พักเสียก่อนนะลูก”

    ปิยะนัฐทำตามคำขอของแม่อย่างว่าง่าย ร่างสูงเอนลงนอนโดยไม่เอ่ยคำใดกับพ่อและแม่ อีก เท่าที่สังเกต แม่กำลังตกใจมาก แต่พ่อ...ท่านดูสงบนิ่ง ถ้าหากปิยะนัฐนำสิ่งของที่ติดตัวมาให้พ่อดู ปิยะนัฐคิดว่าท่านอาจจะพอเข้าใจ แต่กับผู้เป็นแม่คงต้องใช้เวลาอธิบายและพิสูจน์หลายสิ่งหลายอย่างให้ท่านยอมรับพอสมควรทีเดียว

     

    คุณไพศาลและคุณเบญจวรรณนั่งเฝ้ามองอาการของลูกอยู่เช่นนั้น กระทั่งผู้เป็นลูกหลับตาลง และไม่นานเมื่อลุงทองผู้ได้รับหน้าที่ให้เฝ้าไข้ปิยะนัฐกลับมา คุณเบญจวรรณจึงฉุดรั้งผู้เป็นสามีให้ออกจากห้องพักพิเศษไป

    แม้มุมที่คุณเบญจวรรณฉุดรั้งสามีให้ไปนั่งกับเธอจะเป็นมุมที่สงบ หากไม่วายที่ผู้เดินผ่านไปมาจะส่งสายตามามอง แต่กับความเศร้าโศกเสียใจที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล ย่อมทำให้ผู้พบเห็นคิดไปในทางเดียว นั่นคือการสูญเสีย... 

    ทั้งๆ ในความเป็นจริง...สิ่งที่ทำให้คุณเบญจวรรณต้องปล่อยน้ำตาให้ไหลรินอยู่ในเวลานี้  มันไม่ได้หมายถึงการสูญเสียชีวิตของผู้ที่เป็นที่รักแต่อย่างใด หากเป็นเพราะเธอไม่อาจทำใจให้ยอมรับกับอาการของลูกได้เท่านั้นเอง

    “คุณคะ เราจะทำยังไงกันดี”

    น้ำเสียงถามสั่นเครือ ขณะผู้เป็นสามีดึงมือของเธอมาบีบเบาๆ

    “คุณต้องทำใจเย็นๆ ไว้นะ”

    “ใจเย็นหรือคะ ลูกกระทบกระเทือนทางสมองจนพูดจาเลอะเลือนแบบนี้แล้ว คุณยังจะให้ฉันใจเย็นได้อีกเหรอ”

    คุณไพศาลไม่ตอบ หากคิดถึงแววตาจริงจังยามที่ลูกชายบอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้น จะว่าไป ท่าทีของลูกไม่ได้ผิดปกติใดสักนิด แต่เรื่องที่เล่าออกมาต่างหาก ที่ทำให้ยากเหลือเกินที่จะให้คุณไพศาลทำใจยอมรับได้อย่างง่ายดาย

    “คุณวรรณ คุณจำไม่ได้เหรอ หมอวสันต์ยืนยันกับเราว่าสมองของนัฐปกติดีทุกอย่าง ไม่ได้รับความกระทบกระเทือนใดๆ เลย”

    คำนั้นถูกผู้เป็นภรรยาสวนออกมาทันที

    “คนปกติดีทุกอย่างนี่นะ จะพูดจาแบบนั้นออกมาได้”

    “โธ่...คุณ ใจเย็นๆ หน่อยสิ อีกอย่างเรายังฟังลูกเล่าไม่จบเลย ว่าเขาไปเจออะไรมาบ้าง”

    ครั้งนี้คุณเบญจวรรณแค่นเสียงหัวเราะประชดสามี ขณะน้ำตายังคงไหลพราก

    “ฟังให้จบเหรอคะ แค่นี้ฉันก็รับไม่ไหวแล้ว ยังจะให้ฟังให้จบอีกเหรอ”

    “คุณวรรณ...ลูกกลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว คุณไม่ได้สังเกตลูกบ้างเหรอ สีหน้าลูกยามที่บอกเล่าน่ะปกติทุกอย่าง แต่ผมก็ยอมรับนะว่าเรื่องที่ลูกเล่ามันแปลกประหลาดเกินกว่าที่จะให้ทำใจ

    ยอมรับได้ง่ายๆ จริงๆ”

    คำปลอบโยนของสามีทำให้คุณเบญจวรรณพอสงบใจลงได้บ้าง และเมื่อใคร่ครวญอยู่ครู่ใหญ่ ความคิดหนึ่งก็เกิดขึ้น...

    “คุณคะ แม้ว่าหมอวสันต์จะยืนยันว่าลูกไม่ได้รับความกระทบกระเทือนทางสมอง แต่เราก็ควรเช็กให้แน่ใจอีกครั้งดีกว่านะคะ ถ้าหากหมอที่นี่ยืนยันเช่นเดียวกับหมอวสันต์ เราคงต้องพาลูกไปรดน้ำมนต์แล้วล่ะค่ะ”

    แม้จะไม่เห็นด้วยกับประโยคหลังของผู้เป็นภรรยา แต่คุณไพศาลก็พยักหน้ารับแต่โดยดี เพราะในยามนี้ คงไม่มีอะไรดีไปกว่าเออออไปกับเธอ อย่างน้อย...มันอาจทำให้ความวิตกกังวลของเธอได้คลายลง

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น