ใต้เงามนตรา ตอน1 - นิยาย ใต้เงามนตรา ตอน1 : Dek-D.com - Writer
×

    ใต้เงามนตรา ตอน1

    หนึ่งชีวิต...ครองความเป็นใหญ่ หนึ่งชีวิต...ความตายเป็นผู้พลัดพราก หนึ่งชีวิต...ต้องจากเทพศิลานครไปตลอดกาล นี่คือชะตากรรมของสามบุรุษผู้ล่วงผ่านมิติเวลา!

    ผู้เข้าชมรวม

    32

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    32

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  4 ส.ค. 66 / 11:21 น.

    อีบุ๊กจากนิยาย ดูรายการอีบุ๊กทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ใต้เงามนตรา บท1

     

    สองสัปดาห์เต็มๆ ที่หัวข้อข่าวของแทบทุกสำนักติดตามข่าวเครื่องบินตกเหนือเขื่อนภูมิพล จังหวัดตากอย่างต่อเนื่อง ยิ่งขณะนี้หนึ่งในสามของผู้สูญหายปรากฏตัว ยิ่งทำให้กระแสข่าวยิ่งกระพือมากขึ้น 

    ที่สำคัญ...การหายตัวไปสองสัปดาห์กับการกลับมาในจุดที่มีการค้นหามาแล้วอย่างละเอียดยิบ และพบเพียงตัวเครื่องบินเล็กที่ยังคงอยู่ในสภาพที่แทบจะไม่ได้บุบสลายแต่ประการใด หากไร้ซึ่งวี่แววของสามผู้สูญหายสร้างความประหลาดใจให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไปตามๆ กัน 

    หากความประหลาดใจที่พบชายหนุ่มในจุดเดิมนั้น ยังไม่อาจเทียบได้กับความประหลาดใจในสภาพที่เขากลับมา...

    จากวันแรกที่เกิดอุบัติเหตุ ผู้คนต่างรับรู้ ภายในเครื่องบินลำเล็กมีสองนักธุรกิจหนุ่มซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในวงสังคม หนึ่งคือ หะริน นิติธาดา ทายาทตระกูลที่ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อีกหนึ่งคือ ปิยะนัฐ โชติวงศ์ ทายาทเพียงคนเดียวของคุณไพศาล โชติวงศ์ ที่ดำเนินธุรกิจส่งออกในด้านอัญมณีรายใหญ่ของประเทศ ส่วนผู้ที่ทำหน้าที่ควบคุมบังคับเครื่องบินเล็กคือ นต.ภูวดล ภูมิธรรม นักบินหนุ่มฝีมือดีแห่งกองทัพอากาศ

    การกลับมาเพียงหนึ่ง แม้จะสร้างความเศร้าโศกเสียใจให้แก่สองครอบครัว หากอีกครอบครัว...ทั้งสามีและภรรยากลับรู้สึกราวตายแล้วเกิดใหม่ เมื่อได้รับข่าวการกลับมาของลูกชายเพียงคนเดียว

    “นรา...ว่าอะไรนะลูก!” น้ำเสียงนั้นตะโกนผ่านเครื่องโทรศัพท์มือถือด้วยความตื่นเต้นยินดี

    “พูดอีกครั้งสินรา ตอนนี้พ่อกับแม่อยู่ที่สิงคโปร์ลูก มีงานจัดโชว์สินค้าอัญมณีครั้งสำคัญ”

    “มีคนพบนัฐแล้วครับ ข่าวด่วนออกเมื่อตอนหัวค่ำนี่เอง ตอนนี้นัฐปลอดภัยดี และถูกนำไป รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลอำเภอดอยเต่าครับคุณพ่อ”

    “แล้วตอนนี้นราอยู่ไหนลูก”

    “ผมกำลังเตรียมตัวจะออกเดินทางไปหานัฐครับ”

    “ไปยังไงลูก”

    “รถทัวร์น่ะครับคุณพ่อ เช้าๆ คงถึง”

    “นรา...พ่อฝากนัฐด้วยนะ พ่อกับแม่จะรีบกลับเมืองไทยแล้วตามไปที่โรงพยาบาลพรุ่งนี้”

    ร่างสูงโปร่งของผู้ที่กำลังนั่งสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้าคนเจ็บตื่นจากภวังค์คิด ดวงตาในกรอบแว่นสีทองจับมองใบหน้าเพื่อนรักด้วยแววสงสัยเป็นอย่างยิ่ง กับสภาพของปิยะนัฐเมื่อชั่วโมงก่อนหน้านี้ที่นราได้มาเห็นกับตาตัวเอง ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างภายในใจรู้สึกหนักอึ้ง

    บ่อยครั้งที่นราเฝ้าคาดเดาไปต่างๆ นานา ถึงสาเหตุที่เพื่อนถูกทำร้าย หากสุดท้ายความคิดก็วกกลับมาหยุดอยู่ที่คำพูดของนายแพทย์วัยกลางคนผู้รับผิดชอบ...

    “คุณปิยะนัฐถูกทำร้ายมาน่ะครับ แต่ร่องรอยของบาดแผลนี่สิที่ทำให้ผมเองก็อดสงสัยไม่ได้”

    หลายประโยคของนายแพทย์วสันต์แว่วเข้ามาในความคิดนรา

    “ถ้าบาดแผลเกิดจากมีด ดาบ หรือกระสุนปืน มันก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่นี่คุณนราคิดดูสิครับ บาดแผลคุณนัฐเกิดจากธนู”

    ธนู...คำนั้นทำให้นรานิ่งอึ้ง ในยุคสมัยนี้ และบนดอยม่วงคำตรงจุดเกิดเหตุ...ใครที่ไหนจะใช้ธนูมาทำร้ายเพื่อนรักของตน

    ดวงตาในกรอบแว่นสีทองละจากร่างที่ยังคงนอนสงบนิ่งไปยังตู้ไม้เพียงใบเดียวภายในห้องพักของผู้ป่วยแล้วลุกก้าวไปยังตู้ใบนั้นด้วยอาการราวจะลังเล

    “นอกจากบาดแผลที่สร้างความแปลกใจให้ผมแล้ว ยังมีอีกอย่างหนึ่งครับคุณนรา...”

    ประโยคของนายแพทย์วสันต์ยังคงแว่วเข้ามา

    “เสื้อผ้าชุดที่คุณปิยะนัฐสวมใส่ตอนที่มาถึงโรงพยาบาลน่ะครับ คุณก็ได้เห็นแล้ว มันดูแปลกๆ เหลือเกิน แต่อันนี้ก็คงต้องรอสอบถามรายละเอียดจากคุณปิยะนัฐอีกครั้ง”

    นราเปิดตู้ไม้ออกเบาๆ หากก็ยังไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อมมือไปสัมผัสเสื้อผ้าและข้าวของที่ติดตัวเพื่อนรักมา ได้แต่จ้องมองพร้อมอาการทอดถอนใจ นรายังจดจำได้ในหลายๆ ประโยคที่ตนได้สอบซักจากนายแพทย์วสันต์ก่อนที่ท่านจะขอตัวออกจากห้องไป

    “คุณหมอครับ แถบดอยม่วงคำมีชาวบ้านหรือพวกชาวเขาอาศัยอยู่บ้างหรือเปล่าครับ”

    “เอ...ผมเองก็ไม่เคยเดินทางไปแถวๆ นั้นเหมือนกันนะครับ แต่เท่าที่รู้มา รัศมีรอบๆดอยม่วงคำประมาณห้าถึงหกกิโลเมตรจะไม่มีผู้คนอาศัยอยู่หรอกครับ แต่ถ้าเลยไปจากดอยแห่งนั้นก็จะมีพวกชาวเขาเผ่ามูเซอและม้ง และก่อนจะถึงจุดที่เครื่องบินตกประมาณห้ากิโลจะมีหมู่บ้านแก่ง    ผางามเป็นชุมชนชาวแพที่ลุงอินทาคนที่พบคุณปิยะนัฐแกอาศัยอยู่น่ะแหละครับ ”

    “ถ้าเป็นอย่างนั้น นัฐไปได้เสื้อผ้าแปลกๆ จากไหนมา...”

    ประโยคสุดท้ายนราไม่ได้ปรารถนาในคำตอบจากอีกฝ่าย

    “คุณนราครับ ผมต้องขอตัวสักครู่ อีกสองชั่วโมงคุณปิยะนัฐคงจะฟื้น”

    นราพยักหน้าให้ หากไม่ลืมที่จะขอร้องเรื่องหนึ่งกับนายแพทย์วสันต์

    “คุณหมอครับ อีกไม่นานคุณพ่อคุณแม่ของนัฐคงเดินทางมาถึงที่นี่ ผมมีบางอย่างจะขอร้องคุณหมอครับ”

    นายแพทย์ประจำโรงพยาบาลอำเภอดอยเต่าสบสายตาในกรอบแว่นสีทองเพียงครู่ก่อนจะพยักหน้าพร้อมส่งคำถาม “คุณนราจะให้ผมช่วยเหลืออะไรหรือครับ”

    “เรื่องบาดแผล เสื้อผ้าและข้าวของที่เราได้จากตัวนัฐน่ะครับ ผมไม่อยากให้คุณพ่อคุณแม่ท่านตกใจ ถ้าหากท่านสอบถามเกี่ยวกับสองเรื่องนี้ คุณหมอพอจะมีวิธีเลี่ยงๆ เพื่อไม่ให้ท่านต้องกังวลได้มั้ยครับ”

    “ได้ครับคุณนรา ว่าก็ว่าเถอะ ในเรื่องบาดแผลที่เกิดจากธนู ผมเองก็แทบไม่อยากจะเชื่อ ยังงงๆ อยู่เหมือนกัน ยุคสมัยนี้จะมีใครที่ไหนทำร้ายกันด้วยดอกธนู ยังไงถ้าคุณแม่คุณพ่อของคุณ      ปิยะนัฐสอบถามเรื่องบาดแผล ผมคงพอตอบท่านแบบสันนิษฐานไปได้ ส่วนเรื่องเสื้อผ้าและข้าวของที่ติดตัวคุณปิยะนัฐมา เพียงแค่คุณนราเก็บข้าวของและเสื้อผ้าเหล่านั้นไว้ไม่ให้คุณพ่อคุณแม่ของคุณปิยะนัฐเห็นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะครับ”

    “ขอบคุณคุณหมอมากนะครับ ผมเองก็แค่ไม่อยากให้ท่านทั้งสองเป็นกังวลในตอนนี้ และคิดว่าผมคงขออนุญาตคุณหมอเก็บเสื้อผ้า ดอกธนู และข้าวของของนัฐไว้เอง ต่อไปถ้าจำเป็นผมจะเป็นคนชี้แจงกับคุณพ่อคุณแม่ท่านเองครับ”

     

    ภวังค์คิดของนราถูกหยุดลงด้วยเสียงประตูที่ถูกผลักเข้าอย่างเร่งร้อน หากชายหนุ่มก็เร็วพอที่จะงับบานตู้ไม้ไว้อย่างเบามือได้ทันท่วงที

    “นรา นัฐเป็นยังไงบ้างลูก”

    ร่างบางในอาภรณ์ที่บ่งบอกถึงฐานะก้าวเข้ามาในห้องพร้อมถามนราขึ้น หากก็ไม่ได้รอฟังคำตอบ เพียงยกมือรับไหว้นราแล้วถลาไปยังเตียงผู้ป่วยที่บัดนี้ร่างของลูกชายยังคงไม่ไหวติง

    “คุณวรรณ นราก็โทรไปบอกแล้วนี่ หมอเขาก็ยืนยัน นัฐปลอดภัยแล้ว”

    คุณไพศาลแตะไหล่ผู้เป็นภรรยาเบาๆ ขณะที่หันไปถามเพื่อนรักของลูกชาย

    “นรา แล้วหมอว่าไงบ้างลูกเกี่ยวกับอาการของนัฐ”

    “นัฐมีบาดแผลที่หนักหน่อยก็ตรงโคนขาซ้ายน่ะครับคุณพ่อ ส่วนที่อื่นๆ มีแผลเล็กๆ น้อยๆ”

    “เอ...นัฐถูกใครทำร้ายเอานะ แล้วรินกับภูล่ะ ป่านนี้เป็นยังไง”

    ครั้งนี้คุณไพศาลสีหน้าเครียด เมื่อความคิดประหวัดไปถึงเพื่อนรักอีกสองคนของลูกชายที่ท่านเองก็ให้ความรักความเอ็นดูประหนึ่งลูกชายของท่านเอง

    “เจ้าหน้าที่ที่ได้รับแจ้งจากชาวบ้านที่พบนัฐยืนยันว่าไม่พบร่องรอยของรินกับภูเลยครับ”

    ภายในห้องเงียบกริบลงในบัดดล มีเพียงเสียงสะอื้นเบาๆ ของคุณเบญจวรรณเท่านั้นที่แทรกความเงียบขึ้น

    “แล้วตอนที่นัฐตื่นขึ้นมา นัฐพูดอะไรกับนราบ้างล่ะลูก”

    คำถามนั้นทำให้นรานิ่งไปเป็นครู่ ก่อนจะสลัดความกังวลในใจทิ้งแล้วตอบคำถามของคุณเบญจวรรณ

    “เอ่อ...ยังเลยครับคุณแม่ ร่างกายนัฐอ่อนเพลียมาก ตื่นขึ้นมาแป๊บเดียวหมอก็ให้ยานอนหลับเพื่อให้พักผ่อนเสียก่อน อีกราวสองชั่วโมงก็คงตื่นครับ”

    แม้ปรารถนาจะบอกเล่าความจริง หากประโยคต่างๆ ที่เพื่อนรักพูดออกมาเมื่อราวๆ ครึ่งชั่วโมงที่ผ่าน ทำให้นราจำต้องสะกดกลั้น ไม่กล้าจะบอกเล่าผู้เป็นพ่อและแม่ของเพื่อน ทั้งๆ ที่มีประโยคมากมายผ่านออกมาจากปากปิยะนัฐ หากเหล่านั้นก็ทำให้นรางงงันอยู่จนถึงขณะนี้ โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายก่อนที่นายแพทย์วสันต์จะสั่งพยาบาลให้ฉีดยานอนหลับให้ชายหนุ่ม มันยังคงชัดเจนอยู่ในสมองของนราเหลือเกิน...

    “เจ้านางน้อย...เจ้านางน้อยหนีไป...”

    ‘เจ้านางน้อย’ นราได้แต่ขบคิดถึงคำนั้น 

    สองสัปดาห์ของการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของเพื่อน อะไรเกิดขึ้นกับเพื่อนทั้งสามของตนกันแน่?

    หรือว่า...ประโยคแปลกๆ เหล่านั้นจะเกิดจากอาการประสาทหลอน?

    แต่ถ้าหากเป็นอาการประสาทหลอน ทำไมนายแพทย์วสันต์ท่านจึงยืนยัน...ว่าเพื่อนไม่มีอาการใดน่าเป็นห่วง แผลทางกายที่หนักหน่อยก็มีเพียงที่โคนขาข้างซ้าย นอกจากนั้นไม่มีอะไรให้ต้องกังวล 

    โดยเฉพาะทางสมอง ไม่ได้มีการกระทบกระเทือนเลย

    “นรา หกโมงเย็นพ่อจะย้ายนัฐเข้าไปรักษาตัวในกรุงเทพ ยังไงนราเดินทางกลับพร้อมกับเรานะลูก”

    นรายิ้มเจื่อนๆ ส่งให้คุณไพศาลก่อนจะบอกท่านด้วยสีหน้าขัดเขิน

    “ผมคิดว่าจะกลับเองดีกว่าครับคุณพ่อ”

    “กลับเอง...กลับยังไงล่ะลูก แล้วทำไมไม่กลับไปพร้อมๆ กัน หกโมงรถของสนามบินจะรับเรากลับไปที่สนามบินเชียงใหม่ ที่นั่นพ่อติดต่อเหมาเครื่องบินเล็กไว้แล้ว”

    “ผมว่าจะกลับรถทัวร์น่ะครับคุณพ่อ จากดอยเต่าถึงกรุงเทพ เย็นๆ จะมีรถ ความจริงผมก็อยากกลับพร้อมๆ กับคุณพ่อคุณแม่และเจ้านัฐน่ะแหละครับ แต่ผมกลัวความสูง ในวันที่เกิดอุบัติเหตุ วันนั้นทั้งสามคนก็คะยั้นคะยอให้ผมไปด้วย แต่ไม่สำเร็จ”

    คุณไพศาลส่งยิ้มให้ชายหนุ่มเพื่อนรักของลูกด้วยสายตาเอ็นดู

    “แหม...พ่อก็คิดว่าอะไรเสียอีก ถ้างั้นไม่เป็นไร ไปเจอกันที่กรุงเทพก็แล้วกันนะลูก”

     “แล้วคุณพ่อติดต่อทางโรงพยาบาลเรื่องย้ายนัฐเข้ากรุงเทพแล้วหรือครับ”

    “ใช่ ก็ติดต่อระหว่างที่นั่งรถมานี่ล่ะ คุณหมอที่รับผิดชอบนัฐก็ยืนยันว่าย้ายได้”

    นราพยักหน้ารับ หากไม่ลืมคิดถึงบางสิ่งบางอย่าง

    “ถ้างั้นอีกราวชั่วโมงผมจะออกไปจองตั๋วและรอขึ้นรถทัวร์นะครับ ตอนนี้นัฐยังไม่ฟื้น คุณพ่อคุณแม่พบคุณหมอที่ดูแลรับผิดชอบนัฐหรือยังครับ”

    “ยังเลยนรา พ่อกับแม่ก็ตั้งใจจะไปสอบถามอาการของนัฐจากปากคุณหมออีกครั้งเหมือนกัน”

    คุณไพศาลพยักหน้าไปยังภรรยาเป็นเชิงเรียก ขณะที่นราลุ้นอยู่เงียบๆ ให้สองสามีภรรยาได้เปิดโอกาสให้ตนได้อยู่ในห้องนี้เพียงลำพัง เพื่อจะได้จัดการกับบางสิ่งบางอย่างได้โดยสะดวก

    “แม่ฝากนัฐสักครู่นะจ๊ะ”

    “ครับ คุณแม่ไม่ต้องห่วงครับ”

    ร่างของคุณไพศาลและคุณเบญจวรรณลับไปเพียงครู่ นราก็จัดการกับเสื้อผ้าข้าวของของเพื่อนรักอย่างเร่งรีบ 

    บัดนี้ เสื้อผ้าชุดแปลกๆ พร้อมข้าวของที่ติดตัวปิยะนัฐมาถูกบรรจุลงกระเป๋านราเป็นที่เรียบร้อย

    อีกไม่นาน...ความสงสัยของนราคงได้รับความกระจ่างบ้างเป็นแน่ ถ้าหากเสื้อผ้าชุดนี้กับข้าวของทุกชิ้นไปถึงมืออาจารย์นพศูรย์ เพื่อนรุ่นพี่ผู้มีความชำนาญทางด้านโบราณคดี ซึ่งเป็นอาจารย์ร่วมสถาบันเดียวกับตน

     

    ร่างที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงผู้ป่วยค่อยๆเผยอเปลือกตาขึ้นพร้อมกวาดมองทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัว

    ไม่มีเสียงของการต่อสู้

    ไม่มีภาพความโกลาหลของผู้คนที่ตนนำมา

    ปิยะนัฐปิดเปลือกตาลง ในหัวใจเยียบเย็น ในที่สุด ตนก็จำต้องยอมรับความจริง 

    จากครั้งแรกที่ฟื้นขึ้นมา ปิยะนัฐจดจำได้ว่ามีนรานั่งอยู่ใกล้ๆ ยังไม่ทันที่ความสงสัยของตนจะได้รับคำตอบ ตนก็ต้องผล็อยหลับไปด้วยฤทธิ์ของยานอนหลับ

    บัดนี้ ตนได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ในสภาพแวดล้อมที่ยังคงเดิม

    “เจ้านางน้อย...” ชื่อนั้นแผ่วผ่านออกมาเบาๆ หากในหัวใจกระตุกอย่างรุนแรง

    ที่นี่...คือโลกปัจจุบัน

    ที่นี่...ไม่ใช่ดินแดนต่างมิติแห่งนั้นอีกแล้ว

    “เจ้าภู...”

    ครั้งนี้ขอบตาปิยะนัฐร้อนผ่าว เมื่อภาพสุดท้ายในดินแดนแห่งนั้นรุมเร้าเข้ามา ปิยะนัฐจดจำได้ดีว่าก่อนที่ภาพของเทพศิลานครและผู้คนจะเลือนหายไป ภาพสุดท้ายและบุคคลสุดท้ายที่เคียงข้างตนคือภูวดล

    “เข้าเมืองไปนัฐ...เข้าเมือง...”

    ประโยคสุดท้ายของเพื่อนรักยังก้องอยู่ในโสต ก่อนที่ความปวดแปลบที่โคนขาซ้ายจะบังเกิด

    “จบแล้ว...ทุกอย่างจบลงแล้ว...”

    ปิยะนัฐบอกตัวเองได้เพียงประโยคเดียว ไม่กล้าแม้แต่จะเปิดเปลือกตาขึ้นพบกับความเป็นจริง

    “นัฐ เจ็บแผลเหรอลูก”

    มือบางวางแผ่วเบาลงบนแขนของลูกเมื่อเห็นน้ำตาหยดหนึ่งเกาะอยู่ที่หางตา ส่วนปิยะนัฐแม้จะยินดีนักหนาที่ได้ยินเสียงของแม่ หากก็ยากเย็นเหลือเกินกับการที่จะลืมตาขึ้นมารับกับความจริง

    “นัฐ...รู้สึกตัวแล้วใช่มั้ยลูก”

    ประโยคของผู้เป็นพ่อไม่อาจทำให้ปิยะนัฐนิ่งเฉยได้อีกต่อไป ดวงตาคมค่อยๆ เผยอเปิดขึ้น ขณะที่คุณเบญจวรรณซบหน้าลงกับแผ่นอกของลูก

    “หมดเคราะห์หมดโศกเสียทีนะลูกนะ”

    หญิงวัยกลางคนพูดออกมาพร้อมหยาดน้ำตาของความยินดี

    “นราล่ะครับคุณพ่อ”

    เป็นประโยคแรกที่ออกจากปากของปิยะนัฐ

    “เดินทางล่วงหน้าไปแล้วล่ะลูก นราน่ะมาถึงนี่ตั้งแต่เช้า ออกเดินทางจากกรุงเทพทันทีที่เห็นข่าวของนัฐนั่นแหละ เฝ้าอยู่ค่อนวัน เพิ่งออกไปเมื่อครู่นี่เอง พ่อบอกให้กลับด้วยกัน นราก็บอกว่ากลัวความสูง ไม่กล้าขึ้นเครื่อง อีกเดี๋ยวเราก็จะเดินทางกลับเหมือนกันนะลูก คุณหมอยืนยันแล้วว่านัฐไม่เป็นอะไรมาก ย้ายไปรักษาตัวต่อที่กรุงเทพได้”

    “พ่อครับ แล้วผมกลับมาคนเดียวเหรอครับ”

    ปิยะนัฐถามพร้อมสะกดใจรอฟัง เพราะแม้เหตุการณ์ต่างๆ จะยังกระจ่างอยู่ในความทรงจำ หากปิยะนัฐก็ยังหวัง...ตนกลับมายังปัจจุบันได้ ภูวดลซึ่งอยู่กับตนเป็นคนสุดท้ายก็น่าจะกลับมาได้เช่นกัน 

    ปิยะนัฐยังหวัง ทั้งๆ ที่ภาพสุดท้ายของเพื่อนรักทำให้ความรู้สึกสั่นคลอน

    “เอ่อ...นัฐ...คือ...”

    คำอึกอักของผู้เป็นพ่อ ทำให้ความหวังเพียงริบหรี่ดับวูบ ยิ่งประโยคต่อมาของพ่อ ยิ่งทำให้ปิยะนัฐปวดแปลบไปทั้งใจ

    “ชาวบ้านพบนัฐเพียงคนเดียวลูก เจ้าหน้าที่พยายามค้นหารินกับภู แต่ก็ยังไม่เจอร่องรอยเลย”

    ปิยะนัฐปิดเปลือกตาลงพร้อมกลืนก้อนแข็งๆที่แล่นขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ ขณะที่มือบางของ ผู้เป็นแม่แตะแผ่วเบาลงที่มือของลูกอย่างปลอบโยน

    “อย่าเพิ่งคิดมากนะลูก นัฐยังกลับมาได้ ไม่แน่นะ อีกไม่นานภูกับรินอาจจะกลับมา ว่า     แต่...”

    คุณเบญจวรรณต้องชะงักคำไว้แค่นั้น เมื่อผู้เป็นสามีแตะที่ไหล่เบาๆ พร้อมส่ายหน้าเป็นเชิงปราม เข้าใจความรู้สึกของภรรยาเป็นอย่างดี เพราะแม้แต่ท่านเองก็ปรารถนาจะสอบซักลูกให้มากกว่านี้ แต่คุณไพศาลจำต้องสะกดใจไว้ ดูจากสภาพของลูกเวลานี้ยังมีความสับสนปนเป รอให้ลูกรู้สึกดีขึ้นกว่านี้ค่อยสอบถามน่าจะเป็นการดีที่สุด

    “ทำใจให้สบายนะลูก อีกเดี๋ยวเราจะเดินทางกลับกรุงเทพ หากมีสิ่งใดที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับนัฐ ขอให้นัฐลืมมันเสียนะลูก”

    คุณไพศาลบีบไหล่ลูกชายเบาๆ เพราะในยามนี้คงไม่มีสิ่งใดดีไปกว่าคำพูดปลอบโยน แต่ที่ทั้งคุณไพศาลและคุณเบญจวรรณไม่มีทางรู้คือความคิดของปิยะนัฐ เพราะในยามนี้ ต่อให้พ่อแม่หรือใครๆ หาคำพูดมาปลอบโยน ตนหรือจะลืมเหตุการณ์มหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นได้ ในเมื่อความรู้สึกของตนผูกพันกับที่แห่งนั้นอย่างแน่นแฟ้น 

    ลืม...คำนั้นของพ่อทำให้ปิยะนัฐเจ็บแปลบอยู่ในอก

    รู้ยิ่งกว่ารู้...นับจากนี้เป็นต้นไป หัวใจของตนไม่มีวันจะสุขสงบได้อีกแล้ว

    และที่สำคัญ...จะให้ปิยะนัฐลืมสถานที่แห่งนั้นได้อย่างไร ในเมื่อปิยะนัฐกลับมาเพียงกาย หากหัวใจทิ้งไว้กับเธอคนนั้น ในดินแดนที่ปิยะนัฐเองก็ไม่อาจรู้ว่าตนไปพบเจอได้อย่างไร

     

     

     

     

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น