ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อดีตขุนนางสาวโสดกับชีวิตโลดโผนผจญภัยเพื่อลูกสาวสุดน่ารัก

    ลำดับตอนที่ #57 : นกวิญญาณ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 897
      63
      23 ต.ค. 65

    ในขณะที่ Shirley ออกไปผจญภัยในวันนั้น Sophie กับ Tio ก็อยู่ที่โรงเรียน

    “ว้าว… พวกนั้นตัวใหญ่ขึ้นหรือ?”

    “ใช่ หม่าม้าบอกว่ามันต้องเป็นนกที่โตไวเลยล่ะ”

    มีอาคารใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นหลังโรงเรียนและหนึ่งในนั้นก็คือเขตพื้นที่ฝึกในน้ำที่กว้างขวางที่ออกแบบโดยแม่มดสีทอง… ก็คือสระว่ายน้ำขนาดใหญ่เองแหละ

    สำหรับครูฝึกนั้น แม่มดที่อยู่นอกเหนือสิ่งใดก็ได้คอยบริการผู้ชายด้วยหุ่นเชิดมือและเท้า กึ่งมนุษย์และกึ่งเงือกที่มีร่างกายติดกัน ต้องขอบคุณประสบการณ์และการสอนที่มีประสิทธิภาพ ทำให้เด็กชายและเด็กหญิงจึงมีเวลาว่างในการเล่นน้ำถึงสิบห้านาทีตอนที่หมดคาบ

    และถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้คาดการณ์เอาไว้ Sophie กับ Tio ที่มีผมขาวที่เปียกชื้นจนสะท้อนแสงออกมาจนกลายเป็นที่ดึงดูดความสนใจต่อเพื่อนร่วมชั้นโดยไม่มีการแบ่งเพศ

    แต่เดิมแล้ว Shirley หวังว่าชุดว่ายน้ำนั้นน่าจะพอที่จะปกปิดผิวกายของลูกสาวฝาแฝดที่สวยงามนั้น อย่างไรก็ตามเด็กบางคนเริ่มที่จะรู้ถึงความแตกต่างระหว่างเด็กชายกับเด็กหญิงเป็นครั้งแรกในชีวิตขณะที่พวกเขาเห็นพวกเด็กสาวที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยชุดว่ายน้ำที่รัดรูปพวกเธอ

    “ว้าว… สองคนนั่นน่ารักจัง…”

    “เดี๋ยว… นั่นมัน… พวกนั้นยังเด็กอยู่จริงๆหรือ?”

    มองเห็นเรือนร่างที่โค้งเว้ากว่าปกติที่มีเส้นผมเปล่งประกายออกมา ทำให้พวกนั้นเหมือนจะมองเห็นอีกด้านของเด็กสาวไปเลย

    พวกเด็กชายที่มองเห็นแขนขาที่ไม่ได้ปกปิดของพวกแฝดสาวเป็นครั้งแรกที่ไม่อาจฉีกสายตาออกไปจากพวกเธอได้ ในขณะที่พวกเด็กสาวที่เห็นพวกนั้นเปลี่ยนท่าออกกำลังกายอีกนับครั้งไม่ถ้วนพบว่าพวกนั้นหลงเสน่ห์โดยบรรยากาศอื่นที่อยู่รอบๆตัวพวกเธอทั้งสองคน

    เด็กแต่ละคนต่างก็นึกภาพแม่ของเด็กสาวที่พวกนั้นเห็นในวันที่เยี่ยมโรงเรียนของผู้ปกครอง ถึงแม้พวกเธอจะยังอายุน้อย มันก็ดูเหมือนเริ่มจะแสดงสิ่งที่มีเสน่ห์น่าจับตามองจากที่แม่มีแล้ว

    “ฉันเป็นห่วงถึงพวกนั้นมาตั้งแต่วันที่พวกนั้นติดหัวเธอแล้ว เนื่องจากเราไม่ได้เห็นเธอมาตั้งแต่นั้น เรานึกว่าเธอกับ Tio อาจจะพลอยลำบากไปด้วยเสียอีก”

    “? เรามัวยุ่งกับการสร้างบ้านนกและคอยดูแลพวกนั้น และก็ฝึกฝนว่ายน้ำนะ มีอะไรที่ทำให้พวกเธอทั้งสามเป็นห่วงหรือ?”

    ถ้า Shirley อยู่ตรงนั้น พวกเด็กชายทุกคนก็คงจะหนีจากความกระหายเลือดไปแล้ว แต่ Sophie กับ Tio ก็ไม่ได้ทราบถึงจุดสนใจที่พวกเธอมี ขณะที่ Lisa ที่อยู่ข้างสระได้พูดขึ้นมา

    “นี่ เธอจะไปช่วยงานเทศกาลศรีษมายันใช่มั้ย? พ่อฉันกำลังจะลงงานใหญ่ที่สุดในปีนี้นะ”

    “อ๊ะ จริงด้วย เกือบจะถึงเวลานั้นแล้วสินะ?”

    เทศกาลศรีษมายันคือการอุทิศแก่เทพ โดยขอพรให้เก็บเกี่ยวผลไม้และพืชผลให้มากๆ ซึ่งจัดในราชอาณาจักรทุกปีในฤดูใบไม้ร่วงระหว่างปิดเทอมฤดูร้อน

    ในการ ‘ขอพรจากเทพีเพื่อการเก็บเกี่ยวดีๆ’ นั้น มันก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าตอนที่มายังเมืองชายแดนนี้ เหตุผลจริงๆที่ทำไมเทศกาลศรีษมายันเป็นที่โด่งดังในเมืองนักผจญภัยนั้น เทียบกับพิธีกรรมอย่างเป็นทางการในเมืองแล้ว มันยิ่งกว่าข้ออ้างที่จะจัดงานปาร์ตี้ใหญ่เสียอีก

    “ปีนี้เราจะจัดบาร์ซาร์กันข้างนอก พวกเธอมาช่วยเราหน่อย โอเคนะ?”

    สำหรับเด็กที่สูญเสียพ่อแม่จากการผจญภัย หรือเพื่อที่จะสร้างความทรงจำดีๆต่อครอบครัวให้เด็กที่อาจจะสูญเสียพวกเขาไปในวันหนึ่ง เทศกาลนี้มีเป้าหมายเพื่อความสนุกสนาน

    ครอบครัว Lisa ที่เป็นเจ้าของบาร์ ได้ร่วมมือกับบาร์และร้านอาหารอื่นๆมาจัดตลาดใหญ่นอกร้าน ในขณะที่สถานรับเลี้ยงเด็กที่ Chelsea อาศัยอยู่ก็อาสาที่จะช่วยผู้หญิงในเมืองเพื่อเปิดแผงขายเสื้อผ้าที่ทำด้วยมือ

    มันอาจจะเทียบไม่ได้กับเทศกาลใหญ่ในเมืองใหญ่ๆของราชอาณาจักรหรือดยุคที่อลังการกว่าทุกปี แต่มันก็ยังคงเป็นประสบการณ์ที่สบายใจในแบบดั้งเดิมมาทุกปี

    “จะว่าไป ฉันจะต้องไปทำงานที่บาร์ซาร์กับแม่นะ ฉันจะยุ่งมากนะ”

    “อืม ฉันเองก็ยุ่งเหมือนกัน”

    เนื่องจากเป็นสถานที่พักของคนหลายๆคน
    เรือนทาโอเร่ก็จะเปิดไม่ว่าจะมีเทศกาลหรือไม่ ส่วน Shirley นั้น… เนื่องจากเธอพอใจกับทุกร้านที่มี Sophie กับ Tio อยู่ข้างเคียงเมื่อปีที่แล้ว ครั้งนี้ทั้งสามคนจึงไม่มีเวลาว่างนัก

    “ฉันว่าจะออกไปช้อปปิ้งอีกครั้ง แต่เนื่องจากจะมีนักผจญภัยมากกว่าปกติมาที่แผงร้าน พวกเขาต้องอยู่ประจำที่เอาไว้ คุณ Martha ก็เลยมีงานให้เราเยอะมากเลย”

    ถึงแม้ว่าจะเป็นร้านค้าทั่วไปเหมือนทุกที่ ที่จริงก็ต้องเข้าใจว่ามีคนเดินทางมายังที่เมืองชายแดนในช่วงวันเทศกาลด้วย

    ในอดีต เคยมีพวกหัวขโมยจำนวนมากแอบซ่อนตัวอยู่ในเมือง คอยขโมยอาหารและเสื้อผ้าที่วางอยู่ในตลาด เพื่อที่จะจัดการกับมัน กิลด์นักผจญภัยจะจ้างนักผจญภัยมาคอยสอดส่องโดยตั้งรางวัลในคำร้องเลย จึงมีพวกเขามาช่วยตรวจตราบนถนนที่วุ่นวายกว่าปกติ

    …จะว่าไปแล้ว เนื่องจากตัว Shirley ไม่มีความสามารถในการถักหรือทำเครื่องประดับเลยนี่ เธอจึงใช้คำร้องนี้มาเป็นข้ออ้างในอดีตเพื่อเลี่ยงการมีส่วนร่วมในบาร์ซาร์นี้… แน่นอนว่า มันเป็นความลับที่เธอได้ฝังเอาไว้

    “จะว่าไป พอนึกย้อนกลับไปแล้ว ตั้งแต่เราไม่ได้เห็นพวกนั้นมานาน เราน่าจะไปดูนกสักหน่อยมั้ย?”

    “ฉันเองก็สนใจที่จะเห็นบ้านที่พวกเธอทั้งสองสร้างในหีบสมบัตินั่นด้วย~”

    “อืม คิดว่าก็น่าจะดีนะ”


    “ว้าาาาว… ก็รู้อย่างที่ว่ามานั่นแหละ แต่นี่มันใหญ่กว่าที่คิดไว้อีกนะเนี่ย”

    หลังเลิกเรียน Lisa และคนอื่นๆที่ไปกับ Sophie และ Tio หลังจากที่พวกเธอมาถึงบ้านแล้ว ก็ทำท่าประหลาดใจเมื่อพวกเธอตามฝาแฝดสองคนลงบันไดไปยังกล่องเครื่องมือของผู้กล้า

    “นี่มันใหญ่มากจนดูเหมือนจะอยู่ข้างนอกเลยนะ… มันทำงานยังไงล่ะ?”

    “……ใครจะไปรู้? ดูเหมือนจะซับซ้อน ฉันจึงไม่คิดถึงเรื่องนั้นจริงๆหรอก”

    “อา ฉันเองก็เรียนรู้เรื่องนั้นมาบ้าง ก็เห็นแล้วนี่ ผนึกเวทมนตร์ที่ติดภายในหีบจะตอบสนองกับรอยเส้นเวทมนตร์ของเจ้าของที่จะสั่งให้――――”

    ขณะที่น้องสาวกับเพื่อนต่างก็แปลกใจกับหีบด้วยความสงสัย Sophie จึงถือโอกาสแสดงฐานะความเป็นพี่สาวและก็เป่าลมออกมาแล้วก็เริ่มขยับมือขณะที่เธออธิบาย

    ในขณะที่ Tio ซึ่งเก่งด้านพละ Sophie ก็เรียนรู้ได้ดีเยี่ยม ขณะที่เธอพยายามทำความเข้าใจแบบผ่านๆกับเวทมนตร์ยากๆที่อยู่หลังหีบถึงแม้จะไม่ได้ฝึกฝนเวทมนตร์เองก็ตาม

    ตอนนี้ ถึงแม้จะรู้สึกเสียให้กับ Tio ไปเยอะมากในที่ผ่านมา เธอก็ได้ถือโอกาสฟื้นฟูความเป็นพี่สาวอันภาคภูมิใจ เธอจึงพยายามอธิบายส่วนที่ยากที่สุดออกมา แต่ถึงแม้เธอจะทำการอธิบายให้มันง่ายเท่าที่จะทำได้ก็ตาม――――

    “――――ทั้งโครงสร้างและการทำงานของตัวอักษรรูนนี้ มันจะใช้เวทช่องว่างสร้างโลกอีกมิติหนึ่งภายในกล่องนี้นะ”

    “อืมๆ ฉันเข้าใจแล้วล่ะ”

    Chelsea ลูบคางและพยักหน้าอย่างสุขุม แล้วก็หันไปยัง Tio กับ Lisa พวกเธอต่างก็พึมพำออกมาเบาๆพร้อมกัน

    “ “ “พอจะเข้าใจอะไรบ้างมั้ย?” ” ”

    “หวา!?”

    “…จะว่าไป พวกเธออยากจะเห็นตัว Rubeus มั้ย? ตามฉันมาที่ประตูนี้เลย”

    (อูวว….. พวกนั้นไม่ฟังเลย นึกว่าฉันอธิบายได้ดีแล้วนะเนี่ย…)

    ถึงแม้เธอจะพยายามทีให้มันง่ายเท่าที่ทำได้แล้วก็ตาม… อย่างที่คาดเลย การอธิบายเวทช่องว่างนั้นมันซับซ้อนเกินกว่าที่เด็กสิบขวบสามคนที่เรียนไม่ดีจะเข้าใจได้ แทนที่จะได้เป็นพี่สาวดั่งที่เธอได้วางแผนไว้ ดูเหมือนว่าจะพลิกไปคนละอย่างอีกแล้ว คนอื่นๆจึงเดินตาม Tio ไป

    “จิ๊บ!”

    “อืม กลับมาแล้วล่ะ”

    “หวา!? พวกมันใหญ่กว่าเดิมจริงๆด้วย!”

    พอพวกเธอเข้าไปในห้องว่างที่ Shirley อนุญาตให้เข้าไปได้ปุ๊บ นกวิญญาณก็ร้องจิ๊บๆอย่างมีความสุขขณะที่เจ้าของกลับมา

    ขณะที่ Tio กำลังเติมอาหารนกด้วยถุงเมล็ดที่เธอเอามา Chelsea ก็ร้องขึ้นมาด้วยความอยากรู้

    “นี่ๆ ขอฉันป้อนได้มั้ย?”

    “แน่นอน เอาสิ”

    คนที่ไม่เคยเลี้ยงสัตว์เป็นคนที่ตื่นเต้นที่สุดในการมาดูแลสัตว์อยู่บ่อยๆ

    ต๊อกๆๆๆๆๆ! ขณะที่พวกเธอป้อนอาหารให้นกที่กินจุไม่หยุดจากมือพวกเธอนั้น มันก็ก้มหัวจิกอย่างที่ทำ Mira รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง

    “หืมม? สองตัวนั่นมันไม่ใหญ่กว่าเดิมเมื่อกี้นี้หรือ?”

    “…อืม ฉันว่าเธอพูดถูกแล้วล่ะ”

    พวกมันตัวใหญ่กว่าตอนที่เข้ามาในห้องนั้น มันไม่เหมือนว่าท้องนั้นจะป่องออกมาจากการกินอาหารที่มากเกินไป มันเป็นราวกับร่างกายจะโตขึ้นจริงๆ ทั้งกระดูกกับกล้ามเนื้อต่างก็ยืดออกมา

    “ที่จริงแล้ว ไม่ใช่ว่าพวกมันจะใหญ่ขึ้นจริงๆหรือ!?”

    “B-Beryl!? Rubeus ด้วย!? ด-เดี๋ยวก่อนนะ นี่มันอะไรกันเนี่ย!?”


    แล้วก็ตัดกลับมายังปัจจุบัน Shirley ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดจากลูกสาวแล้ว พยายามจะจับสถานการณ์ขณะที่เธอกอดอก

    “แล้ว พวกมันตัวใหญ่ขึ้นและก็ใหญ่ขึ้นต่อหน้า แล้วมันก็บินได้ด้วย”

    “อืม มันน่าตกใจจริงๆ”

    ขณะที่ Tio พูดด้วยท่าทางง่วงตามปกติจนดูไม่ค่อยจะตกใจสักเท่าไรนัก Rubeus ก็บินวนรอบหัวเธอ

    “แต่ หม่าม้า นี่มันจะโอเคจริงๆหรือคะ? นกธรรมดามันไม่ได้โตเร็วใช่มั้ยคะ?”

    ถึงแม้น้องสาวจะดูไม่ค่อยใส่ใจนัก Sophie ก็ออกท่าทางกังวล นกสีน้ำเงินบนหัว ถึงแม้จะแตกต่างจากตอนที่เห็นเมื่อเช้า ก็เป็นอะไรไม่ได้นอกจาก Beryl

    “….หืมม”

    Shirley จ้องไปยังนกสองตัวด้วยดวงตาสีแดงและน้ำเงินโดยใช้พลังเหนือธรรมชาติและประสบการณ์ทั้งหมดของนักผจญภัยค้นหาคำตอบของปรากฏการณ์อันฉับพลันนี้

    สิ่งแรกที่เห็นได้ชัดเจนกับนกก็คือปีกและลำตัวโตขึ้นอย่างน่าทึ่งพอที่จะบินได้ ขณะที่สายตาได้จับไปยังขนหางที่งอกออกมาใหม่

    ขนหางนั้นก็ยืดออกมาจนเกือบจะเท่าๆกับตัวเลย โดยขนของ Beryl เป็นสีเขียวสดใส ส่วนของ Rubeus เป็นสีม่วงเข้ม สีของพวกนั้นดูคล้ายกับนกกางเขน

    ขณะที่เธอครุ่นคิดถึงพลังเวทมนตร์ที่ล้นหลามยิ่งกว่าก่อนหน้าขณะที่มันโตขึ้นมาทันทีทันใดนั้น Shirley ก็พอจะสรุปได้อย่างหนึ่ง

    “นกพวกนี้ต้องเป็นอะไรยิ่งกว่ามอนสเตอร์ธรรมดา… บางทีน่าจะเป็นวิญญาณนะ?”

    “ “วิญญาณหรือ?” ”

    มีอยู่หลายอย่างในโลกที่อยู่นอกเหนือเหตุผลของมนุษย์ รวมถึงสิ่งที่ฝังใจและสำนึก

    ผู้หญิงที่อยู่ในทะเลสาป ผู้ชายที่สถิตในลาวา คอยปกครองอยู่ใต้ผืนโลก ภูติที่เต้นในสายลมและนักรบที่ฟาดฟันสายฟ้าในพายุ แม้แต่เรียกธาตุทั้งห้า ต่างก็เป็นความเชื่อที่อยู่ในตัวมันเองที่อยู่ในป่า ในพื้นดินที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง และแม้แต่ในดอกไม้ ถ้าหากมันเล็กพอ

    โดยการเคลื่อนย้ายเวทมนตร์ในอากาศขณะที่พวกมันป้อนเข้าไป มันจะสร้างบรรยากาศลึกลับในที่ๆพวกมันอาศัยอยู่ อย่างเช่น มันจะเป็นที่เคารพบูชามากๆ ถึงแม้ว่าหลายสิ่งที่มันนำพามาทั้งพรและคำสาปที่ขึ้นอยู่กับว่าพวกนั้นจะได้มาอย่างไร วิญญาณนั้นยังได้รับผลกระทบโดยการรับรู้ของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตที่มีความฉลาดสูง ทำให้บางครั้งก็ได้รับสิ่งที่เหลือเชื่อเข้ามาด้วย

    “ดูให้ดีๆสิ นกสองตัวนั่นไม่เคยขับถ่ายหรือทิ้งอะไรถึงแม้จะกินเยอะมากเลยใช่มั้ย?”

    “….อ๊ะ จริงด้วย”

    พอนึกย้อนกลับไป ตั้งแต่พวกมันพบกับทั้งสองคน ก็ไม่เห็นว่านกจะขับถ่ายใดๆเลย ไม่มีมาตั้งแต่สร้างบ้านนกเลยด้วยซ้ำ

    ถึงแม้นกตัวเล็กๆที่ปล่อยลงมาจะสังเกตได้ยากก็ตาม โดยเฉพาะกลิ่นของมันแล้ว พอดูให้ใกล้ๆก็ไม่พบว่าจะมีร่องรอยอะไรที่สกปรกอยู่ตรงไหนเลย เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตธรรมดาแล้ว

    “ฉันได้ยินมาว่าวิญญาณสิ่งมีชีวิตกินเพื่อความเพลิดเพลินพอๆกับหล่อเลี้ยงพลังเวทมนตร์ของตัวเอง บางทีอาหารที่เราป้อนให้มันก็คงจะแปลงเป็นพลังงานเวทมนตร์ จึงเป็นไปได้ที่มันจะใช้พลังงานเวทในการเร่งการเจริญเติบโต พอจะรู้สึกบ้างมั้ยว่าพวกมันกินอาหารไปมากแค่ไหน”

    “อืม… มันกินได้ทุกอย่างที่เราป้อนเลย พวกมันคงอยากจะโตไวๆนะ”

    “นั่นก็เป็นสิ่งที่คิดไว้ แต่…”

    Beryl กับ Rubeus ยืนยันว่าอาหารนั้นไม่ว่างเปล่าและก็บินด้วยแรงโมเมนตัมที่ปล่อยออกมา จิกจนแห้งเพียงไม่กี่วินาทีด้วยจะงอยปากที่ดูดอย่างรุนแรง

    “…บางที มันก็แค่ตะกละเอง ฉันรู้สึกถึงบางอย่างได้”

    ที่จริงมันปรารถนาเพื่อพลังเวทที่เป็นแรงจูงใจหรือว่าแค่เอาแต่กินกันแน่เนี่ย? Shirley บอกไม่ได้ เธอบอกได้แค่ว่ามันเป็นวิญญาณที่มีตัวตนลึกลับที่สุดในโลก แต่ขณะที่เธอมองนกสองตัวนั้น เธอก็ยังไม่มั่นใจในข้อสรุปของเธอ

    (ว่าไปนั่น นี่มันสบายๆเลยนี่)

    ถ้าพวกมันเป็นแบบที่เธอคิดเอาไว้ งั้นวิญญาณประเภทนี้ก็ต้องเป็นภูติรับใช้ที่แข็งแรงที่สุดที่จอมเวทมีสิ นักผจญภัยหลายคนต่างก็มองหาวิญญาณมาทำพันธสัญญาเนื่องจากเป็นวิญญาณแรงค์ต่ำที่แข็งแกร่งมากและก็ยังง่ายต่อการฝึกและสื่อสารมากโดยเทียบกับภูติรับใช้ธรรมดา

    (นอกจากความแข็งแกร่งแล้ว มันก็ยังเป็นภูติรับใช้ที่สมบูรณ์แบบสำหรับทั้งสองคนนี่ด้วย บางทีฉันน่าจะทำพิธีกรรมภูติรับใช้ให้เร็วกว่านี้หน่อยมั้ย?)
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×