ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อดีตขุนนางสาวโสดกับชีวิตโลดโผนผจญภัยเพื่อลูกสาวสุดน่ารัก

    ลำดับตอนที่ #4 : ไปยังกิลด์ผจญภัย

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.ย. 65


    Shirley ที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในตระกูลชั้นสูงในบ้านเกิดเธอ แน่นอนว่าเธอต้องรู้เรื่องระบบและกฎหมายที่หลากหลายในต่างประเทศด้วย

    ในหมู่บรรดารัฐบาลและเอกชนในโลกนี้ สำหรับเธอแล้วกิลด์นักผจญภัยถือว่าดีที่สุดเมื่อมาเป็นระบบราชการเช่นนี้

    ถึงแม้ว่ากฎหมายในราชอาณาจักรไม่ได้ห้ามคนเร่ร่อนและผู้ลี้ภัยมาเป็นพลเมือง โดยต้องการหนึ่งเหรียญทองต่อหัวเพื่อที่จะสามารถจดทะเบียนสำมะโนครัวได้

    สามเหรียญทองสำหรับสามคน โดยรวมแล้วก็เทียบกับคำร้องมือใหม่ที่สำเร็จภารกิจสักสองหรือสามอย่างจากกิลด์ผจญภัยนั่นแหละ

    จะเป็นใครหรือจะมาจากไหนก็ตาม เมื่อจ่ายค่าธรรมเนียมเพื่อจดทะเบียนสำมะโนครัวใหม่แล้ว จะได้รับการดูแลราวกับเป็นบุคคลใหม่

    ทว่า แค่จดทะเบียนไม่พอที่จะหางานได้ เพื่อที่จะเข้าใจความรู้ในสองร้อยปีที่ผ่านมา จะต้องพิสูจน์ว่าพวกเขาสามารถอ่านออกเขียนได้เพื่อที่จะหางานให้เหมาะสม

    และเพื่อเป็นการพิสูจน์ จะต้องเข้ารับการสอบ เข้าร่วมการสัมมนาสำหรับผู้ใหญ่ หรือเด็กจะต้องเข้าโรงเรียนระหว่างอายุ 9 และ 12 ปี

    แต่ ไม่ว่าจะเข้าร่วมสัมมนาหรือโรงเรียนเอกชนก็ตาม ต่างก็มีค่าใช้จ่ายทั้งคู่

    ปกติแล้ว ผู้ที่ยากจนจะได้รับประโยชน์มากที่สุดโดยประเทศเป็นผู้จ่ายให้กับผู้ที่ไม่สามารถจ่ายเพื่อเป็นค่าจดทะเบียนสำมะโนครัวหรือหลังจากที่เข้ารับการศึกษาแล้ว

    และเพราะถ้าพวกเขาไม่สามารถทำงานได้ พวกเขาจะต้องตายข้างถนนหรือ? กิลด์นักผจญภัยนั้นจะเป็นผู้ตอบคำถามนั้นให้

    ในขณะที่พวกเขาต้องอยู่กับความเสี่ยงในงานอันตรายแบบมืออาชีพที่ไม่ได้ครอบคลุมโดยผลประโยชน์รัฐบาลใดๆ ในทางกลับกันพวกเขาสามารถทำงานได้โดยที่ไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมใดๆหรือตรวจสอบพื้นหลัง

    ผลก็คือ ถึงแม้จะมีนักผจญภัยหลายคนที่เดินทางไปรอบโลกเพื่อแสวงโชคและชื่อเสียง ก็ยังมีอีกจำนวนที่คอยหาเงินมาจดทะเบียนสร้างครอบครัวใหม่และก็เป็นค่าเล่าเรียนด้วย

    อย่างไรก็ตาม ในการช่วยคนจรจัดเช่นนี้ กิลด์ได้ค้นพบตัวเองจากการต่อรองนโยบายรัฐบาล

    กิลด์กับราชอาณาจักรต่างก็เอานโยบายมาโต้เถียงเหนือปัญหาอยู่ตลอดมา แต่เมื่อไม่นานนี้ราชอาณาจักรเริ่มที่จะยอมรับกิลด์จากปัญหาการเงินไปโดยปริยาย

    ถึงแม้ว่ากิลด์สาธารณะกับรัฐบาลจะเห็นชอบด้วยแนวปฏิบัติและกฎหมาย และนั่นก็คือเมื่อไรที่คำร้องฉุกเฉินมาถึง จุดที่แตกต่างระหว่างปาร์ตี้สองกลุ่มหมายถึงกิลด์นั้นจะเป็นแหล่งรวมอาชญากรกับพวกไร้สัญชาติ

    Shirley กับลูกสาวของเธอ Sophie และ Tio เป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากช่องว่างในระบบนี้

    จริงๆแล้วเธอวางแผนตามงานนักผจญภัยเป็นการแก้ในระยะสั้น แต่กลับกลายเป็นได้ผลอย่างคาดไม่ถึงจนทำให้ Shirley นั้นใช้เวลาอยู่กับลูกสาวเธอหากทำงานปกติ การเก็บเงินอย่างเร็วช่วยให้เธอดูแล Sophie กับ Tio ได้ดีและเนื่องจากปีที่แล้วพวกเธอได้ถูกส่งเข้าไปยังโรงเรียนเอกชน เธอจึงยังไม่มีแผนใดๆที่จะเลิกในเร็วๆนี้

    “โอเค มาม๊า! แล้วเจอกันทีหลังนะคะ!”

    “หาวววว~ เจอกัน…”

    “ขอให้เป็นวันที่ดีนะ ทั้งสองคน”

    Sophie โบกมือขณะที่เธอหันไปมองข้างหลัง ในขณะที่ Tio ดูเหมือนเธออยากจะกลับไปนอน

    สมุดและกล่องดินสอใส่ไว้ในกระเป๋านักเรียนเล็กๆ สิ่งที่พอจะบอกพวกเธอได้โดยการมองไปยังที่ตาของพวกเธอและผมของพวกเธอ

    Sophie ที่พยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ ลักษณะผมเธอเป็นผมเปียเหมือนผู้ใหญ่ข้างเดียวที่วางไว้ข้างหน้า

    ตรงกันข้ามกับพี่สาวเธอตอนที่ต้องมาคอยดูและให้นั้น Tio สวมแค่ที่ติดผมเท่านั้น

    ถึงแม้จะไม่ยาวเท่ากับผมของ Shirley ที่ยาวไปถึงเอวก็ตาม ผมของพวกเธอก็ยังยาวเลยหัวไหล่สะท้อนประกายวับๆขณะที่พวกเธอเดิน

    “ฟู่… เอาล่ะ ไปกันเถอะ”

    “ค่า ขอให้เดินทางปลอดภัยนะ… นี่ฉันจะพูดยังไงดีเนี่ยถ้าเธอไม่ได้ทำให้เกิดเรื่องพิลึกในบ้านพักฉันล่ะ!”

    หลังจากที่เห็นลูกสาวเธอที่เป็นส่วนของชีวิตประจำวันแล้ว Shirley ก็หันกลับมาเห็น Martha อยู่ในท่าทางน่ากลัว

    “มีนักผจญภัยที่ไม่ได้สติประมาณ 20 คนในห้องรับประทานอาหาร บางคนก็มีน้ำลายฟูมปากออกมาด้วย! ถ้าเธอคิดว่าเธอจะไปที่ไหนโดยที่ไม่ช่วยล่ะก็…”

    “อือ…”

    Shirley ที่เผลอทำให้นักผจญภัยหลายคนสลบโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะไม่อาจควบคุมเวทออร่าตัวเองได้ เธอถึงกับไหล่ตกและเบ้ปากเลย

    ไม่เหมือนกับพวกนักผจญภัยที่หมดสติหรือเกือบจะหมดสติ Martha กับสามีเธอยังสบายดีอยู่ บางทีพวกเขาน่าจะโตพอที่จะใช้แต่ละอย่างจากการอยู่ของ Shirley ต่อไปอีกทั้งปีหรือ? ก็ดีแล้วที่ไม่คิดเรื่องนั้นให้มากนัก

    “ขอโทษค่า… ฉันก็แค่ไปคิดถึงพวกที่เข้ามายุ่งย่ามกับลูกเอง ฉัน…”

    “พวกนั้น…”

    เกี่ยวกับเพื่อนร่วมชั้นของลูกสาวเธอ Shirley อธิบายถึงพวกนั้นที่ชอบมากวนราวกับเป็นเรื่องปกติ

    “ถูกต้อง… เด็กพวกนั้น ตอนที่พวกเธอถูกพวกที่อายุไล่เลี่ยกันมา…”

    “ไม่อยากเชื่อเลย นั่นถึงขนาดต้องทำแบบนี้เลยหรือ? ถ้าเธอข่มขู่พวกนั้นมากไป โตมาพวกนั้นจะเกลียดเธอนะ”

    “ถ-ถึงแม้ว่าฉันดูเหมือนจะเอะอะไปบ้าง ฉันก็ยังคงเคารพในความอิสระของลูกสาวอยู่นะ…!”

    ถึงเธอจะไม่ยอมรับ มันก็ง่ายที่จะบอกโดยน้อยกว่าพูดโน้มน้าวใจแล้วก็ทำหน้าเศร้าจน Martha โดยเข้าเต็มตา

    “ฉันก็แค่… คิดว่ายังเร็วเกินไปสำหรับพวกนั้นที่จะถูกพามาให้ทำเรื่องอย่างโรแมนติกนั่น ถ้าเรายังเป็นชนชั้นสูงอันนั้นก็เข้าใจเพราะเหตุผลของนโยบาย แต่…”

    “บ้า ถ้าหากมีเด็กชายอยู่หนึ่งหรือสองคนมาสารภาพก็มากเกินแล้ว! ด้วยความงามที่พวกนั้นมี มันน่าจะมีสักยี่สิบคนที่เรียงแถวเข้ามาบอกรักทุกวันเลย!”

    “ยี่สิบเหรอ!?”

    หลังจากที่อยู่มาสองในสามของชีวิตเธอเป็นชนชั้นสูง Shirley ก็ได้อุทิศทุกอย่างไปกับการอยู่กับลูกสาวเธอ

    หนึ่งหรือสองคนหรือ? เธอเกลียดความคิดนี้ แต่เธออาจจะได้รู้ที่จะอยู่กับมัน แต่ความคิดที่มีผู้ชายมาเกาะกลุ่มรอบๆเพื่อหวังแทะโลมลูกสาวได้รบกวนเธอเป็นอย่างมากจนเธอเอื้อมไปจับดาบโดยที่ไม่รู้ตัว

    “เดี๋ยวๆๆๆ! ทำไมจู่ๆถึงเอาดาบมาถือไว้ล่ะ!?”

    “เป็นหน้าที่ของแม่…! ที่ต้องไปปกป้องลูกจากอันตราย… และถ้าจำเป็นต้องทำ… การกำจัดให้หมด…!”

    “ปัดโธ่! ใจเย็นก่อน! เธอกะจะไปยังกิลด์แล้วเธอ 'ยัง' ไม่ได้มาช่วยพวกนักผจญภัยที่เธอเกือบจะ 'ทำการ' กำจัดด้วยนะ!”

    “อูว….”

    Shirley ที่หยุดวิ่งไปยังโรงเรียนถึงกับแข็งทื่อที่ได้ยินแบบนั้นไป

    เธอรู้จัก Martha มาเกือบสิบปีแล้ว ถึงแม้ว่าในช่วงต้น เธอไม่อยากเอาตัวเองไปยุ่งเกี่ยวใคร Martha บังคับให้เธอไปอยู่กับพวกออกสังคมด้วย ยิ่งกว่านั้น Shirley ไม่เคยเถียงชนะกับผู้หญิงคนนั้นเลยสักครั้ง

    “อย่าห่วงเด็กนั่นที่โรงเรียนให้มากนัก พวกคุณครูต่างก็มองดูพวกเขาอยู่ นอกจากนี้เด็กพวกนั้นต้องเรียนให้เพียงพอที่จะคอยดูแลกันเองได้ ฉันไม่อยากให้ความเห็นแก่ตัวไปขัดขวางเส้นทางของพวกเขาในโรงเรียนหรอก ฉันพูดชัดเจนมั้ย?”

    “ข-เข้าใจแล้ว… ฉันจะทำตามที่เธอบอก …ขอโทษที่ทำให้วุ่นวายนะ…”

    “ดี พอๆกับที่เธอเข้าใจ เธอมีแผนที่จะทำอะไร?”

    “ถ้ามีใครเข้าไปหาลูกสาวฉัน ฉันจะเอาเทพแห่งความน่ากลัวใส่ไว้ในพวกนั้นด้วยรังสีเลือดกระหายล่ะ”

    “โหวว… งั้นฉันขอให้เธอทำแบบสันติจริงๆนะ แต่เธอจะต้องไม่ทำผิดกฎใดๆนะ ฉันว่ามันน่าจะไม่เป็นไรใช่มั้ย?”

    Shirley ช่วย Martha ปลุกนักผจญภัยที่หมดสติในห้องรับประทานอาหาร Martha ถึงกับถอนหายใจออกมาขณะที่นักผจญภัยแข็งแกร่งรายร้องอย่างขวัญผวาแล้วก็หนีออกจากห้องไปเลยขณะที่ Shirley จะไปช่วยตรงเท้าเขา

    “แล้วพวกนายยังเรียกตัวเองว่านักผจญภัยได้หรือ?”

    ถึงแม้ว่าแบบนี้มันจะเกิดขึ้นบางครั้งตอนที่เธอนึกภาพสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงที่คุกคามลูกสาวเธอก็ตาม นี่ก็เป็นอุบัติการณ์ที่แย่ที่สุด

    ในขณะที่ Martha ได้ภาวนาว่าลักษณะแบบนี้จะต้องไม่เกิดขึ้นใน
    บ้านพักอีก สามีเธอก็โผล่ออกมาจากห้องครัวพร้อมกับแท่นลูกกลิ้ง

    “แล้ว ไอ้บ้าคนไหนที่พยายามจะแทะโลม Sophie กับ Tio ล่ะ?”

    “นายก็พอๆกันเลย!?”

    Martha ถึงกับตบหัวสามีที่เอาแต่ใจไปสักเพี๊ยะ


    นักผจญภัยที่ต้องอยู่แถวหน้าตลอด ชุดเกราะคือสิ่งที่สำคัญมากที่สุด

    สิ่งที่มาเป็นชุดเกราะอย่างเช่น ถุงมือเกราะ, เกราะโซ่ถักและก็เกราะอก นักผจญภัยบางคนชอบสวมเครื่องป้องกันที่ทำมาจากวัสดุน้ำหนักเบา แต่การสวมชุดเกราะที่หนักกว่าจะสามารถหยุดความตายฉับพลันที่ถูกฟาดจากมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งได้

    อย่างไรก็ตาม การที่ไม่สั่งให้มันไปกั้นแขนกับขาเธอนั้น ทั้งหมดนั้นเป็นความภาคภูมิใจของกิลด์ “อสูรดาบสีขาว” เกราะตัวเธอนั้นมีเกราะโซ่ถักเป็นเสื้อแขนกุด

    นอกจากรองเท้าบู๊ตที่แข็งแกร่งแล้ว สิ่งที่เธอสวมนั้นก็มีเพียงแค่ชุดเสื้อผ้าผืนเดียวที่ใส่ทับเกราะโซ่ถักนั่นแหละ มองดูผิวเผินแล้ว เธอไม่น่าจะดูเหมือนนักผจญภัยเลย

    “เฮ้อออ…”

    ประตูไม้หนักๆของกิลด์ผจญภัยถูกเปิดออกแล้วก็มีนักผจญภัยร่างยักษ์ที่ใส่ชุดเกราะเต็มตัวที่ไม่ได้สตินั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างในหันมามองเธอ

    ตรงนั้นเป็นบาร์เหล้าเชื่อมต่อกับแผนกฝ่ายต้อนรับและดูเหมือนในช่วงสมัยก่อนจะเต็มไปด้วยนักรบกล้ามโตที่กินอาหารที่มีกระดูกติดมาและก็ดื่มเหล้าด้วย ชายพวกนั้นต่างก็หันไปมองผู้หญิงที่เพิ่งจะเดินเข้ามา

    เหวอ นั่นมันอสูรดาบนี่หว่า

    ถึงแม้ว่า Shirley จะมองไม่เห็นใครที่กำลังคุยถึงเธอในนี้ก็ตาม

    เมินเสียงกระซิบและสายตาที่จ้องมองมา Shirley พาตัวเองไปยังแผนกต้อนรับ

    “แล้วฉันตัดสินใจเข้าไปบุกยังรังโจรนั่นเลย! ในขณะที่ฉันได้จัดการกับพวกโจรทั้งหมดด้วยตัวเองแล้ว เพื่อนฉันก็โจมตีพวกนั้นจากข้างหลังด้วยเวทมนตร์! มันรุนแรงจริงๆเลยนะ!”

    “หวาาาาาา นั่นมันน่าจะสาหัสแล้วล่ะ”

    “คู่ปรับที่แห่กันเข้ามาหาฉันมีเป็นสิบเลย! แต่ก็ไม่เห็นจะเก่งตรงไหน แค่ดาบฉันก็มากพอที่จะจัดการไปได้เยอะแล้วโว้ย!”

    “งั้นเหรอ? จะว่าไปแล้วถ้านายไม่ขอโทษฉัน ฉันจะขอริบเอกสารคืนนะ…”

    พวกนักผจญภัยป้ายทองแดงได้แกว่งดาบผุๆไปบนแผ่นกระดาษที่เขียนเป้าหมายล่าสุดในบริเวณของแผนกต้อนรับที่มีผมสีบลอนด์ที่ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจอะไร

    ในที่ซ่อมซ่อและอยู่ห่างจากกิลด์เช่นนี้ จำนวนของชายที่พยายามเด็ดดอกไม้หายากในช่วงนั้นก็ไม่ใช่เล็กๆ

    แต่กับฝ่ายต้อนรับแล้ว มันก็แค่งานที่น่ารำคาญขณะที่เธอกำลังจะเตรียมคำร้องของวันนั่นแหละ

    “ขอโทษค่ะ ฉันกำลังยุ่งอยู่ ถ้าคุณเสร็จธุระแล้วก็ช่วยออกไปได้มั้ยคะ?”

    “อ๊ะ!? นั่นเธอนี่…”

    นักผจญภัยหน้าหื่นที่เพิ่งจะไปหว่านเสน่ห์ใส่พนักงานต้อนรับก่อนหน้านั้นถึงกับทำหน้าถมึงใส่สาวงามที่ยืนอยู่หน้าเขา

    “อะไรหรือ?”

    “…บ้า”

    ภายใต้สายตาแหลมคมในดวงตาสองสี นักผจญภัยที่ยืนขวางผู้หญิงถึงกับเดาะลิ้นแล้วเดินออกไปเลย

    พนักงานต้อนรับที่ทำหน้ายิ้มอย่างผิวเผินชัดเจน ในขณะที่แลบลิ้นใส่ชายคนนั้นกลับไป ก้มหัวให้กับผู้ช่วยชีวิตเธอ Shirley

    “ขอโทษที่ต้องมาให้ช่วยนะ”

    “ฉันก็แค่พูดเพราะฉันมีเหตุผล กิลด์เนี่ยมีอะไรบางอย่างที่พวกนั้นอยากจะปะทะคารมกับฉันถูกมั้ย?”

    “อ๊ะ ใช่ เธอพูดถูก แต่ฉันก็บอกไม่ได้ว่าเธออยู่ตรงนี้ กรุณาไปรอที่ห้องพักสักครู่นะคะ”

    หลังจากที่ Shirley ไปนั่งในห้องรับแขกที่อยู่หลังแผนกต้อนรับแล้ว พนักงานต้อนรับก็วิ่งลงไปยังที่ห้องเพื่อหาเอกสารที่เกี่ยวข้องออกมา แต่เมื่อเธอกลับมายังห้อง เธอก็หยุดชะงัก

    ถึงแม้ทั้งคู่จะเป็นผู้หญิง เธอก็ยังมีเสน่ห์ ถึงแม้จะดื่มชาที่มีราคาถูกๆบนโต๊ะไม้เก่าๆ เธอก็ยังทำท่าที่สง่างามและเรียบร้อยจนดูเหมือน Shirley จัดปาร์ตี้น้ำชาอย่างประณีตไว้สำหรับใครคนหนึ่ง

    “Yumina ไม่มานั่งหน่อยหรือ?”

    “อ๊ะ ค่ะ!”

    เธอเคารพนับถือผู้หญิงที่สง่างามคนนั้นที่แตกต่างจากนักผจญภัยคนอื่น เมื่อใดก็ตามที่ Shirley อยู่ที่โต๊ะต้อนรับ บางครั้งเธอก็จะรับคำของ่ายๆเพียงแค่สบตากับ Yumina เท่านั้น

    “ขอโทษเรื่องนั้นนะ …เอ่อ จะว่าไปแล้ว เหตุผลที่เราเรียกเธอมานี่ก็คือเรื่องของการสังหารก็อบลินในวันก่อนนะ”

    “…ถ้าหากจะมาสั่งสอนฉันไปยุ่งกับคำร้องของคนอื่นล่ะก็ ไม่ใช่ว่านโยบายกิลด์จะเข้าไปแทรกแซงการล่าก็อบลินโดยที่ไม่นับการทำแบบนั้นหรือ?”

    “ไม่ใช่ ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้น ปัญหาก็คือมีมังกรที่แอบซุ่มในจุดที่ควรจะมีแต่รังก็อบลินเท่านั้นค่ะ”

    Shirley เอียงหัวเธอ

    “แน่นอนว่า มังกรนั้นหาตัวยาก แต่มันก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไรที่มันจะอยู่กับก็อบลินด้วยกันได้ เนื่องจากพวกมันเป็นมอนสเตอร์สติปัญญาสูงเหมือนกัน ก็เลยทำให้มันอยู่ร่วมกันแบบนั้น”

    “นั่นก็ไม่ใช่ภาพรวมทั้งหมดนะ ไม่นานนี้ ก็มีมังกรอีกสามตัวที่เกิดขึ้นคล้ายๆกันโดยคอยนำทั้งก็อบลินและก็หมาป่าหายนะที่ทางกิลด์เราต้องขอให้มาปราบนะ”

    มังกร พูดได้ว่าเป็นมอนสเตอร์ที่จะนำมาซึ่งเกียรติยศแห่งการพิชิตถ้าปราบได้ และก็เป็นมอนสเตอร์ที่หายากทั้งมวลด้วย

    มันก็แปลกมากที่มังกรสี่ตัวจะเล็งมายังที่เดียวกันในสถานการณ์ที่คล้ายๆกัน

    “อย่างที่บอกไป นี่น่าจะเป็นความบังเอิญ แต่ถ้ามันมีปรากฏการณ์ใหญ่ถึงขนาดนั้นจริงๆ แล้วกิลด์ก็จะไม่มีทางเลือกใดๆนอกจากต้องรวบรวมนักผจญภัยแรงค์ A หรือสูงกว่านั้นมายังตรงนี้เพื่อรับคำสั่งการทั้งหมด เราไม่อาจปล่อยให้ใครต้องมาตายมากกว่านี้แล้วนะ”

    Shirley นึกถึงกลุ่มของนักผจญภัยวัยรุ่นที่ถูกทำลายเพราะการปรากฏตัวของมังกรเมื่อวันก่อน

    ถ้าหากมันเกิดขึ้นเหมือนเดิมอีกครั้งและอีกครั้ง มันอาจจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมไปได้ นักผจญภัยที่เชี่ยวชาญอาจจะถูกกวาดล้างในเขตนี้ได้

    “แล้วก็ คุณ Shirley”

    “ขอปฏิเสธ”

    “แต่ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะคะ!?”

    “นี่เธอกะจะให้เลื่อนเป็นแรงค์ A หรือ?”

    “อึก… ไม่ใช่อย่างนั้น แต่…”

    ทางกิลด์ได้คาดหวังเอาไว้ตั้งแต่เริ่มแล้ว โดยกฎของกิลด์ นักผจญภัยแรงค์ B ไม่มีข้อผูกมัดใดๆที่จะยอมรับคำร้องไม่ว่าจะเป็นเรื่องเร่งด่วนแค่ไหน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ลังเลที่อยากจะให้เธอเลื่อนเป็นแรงค์ A

    “แน่นอนว่ามันก็ดีที่คิดว่ามันเป็นเกียรติยศของแรงค์ A หรือ S นะ แต่มันก็โดดเด่นไปด้วย ปัญหาจริงๆก็คือทหารที่อยู่ในสภาวะฉุกเฉินนั่นต่างหาก ด้วยสภาวะของโลกแบบนั้น มันจะมีคำร้องฉุกเฉินหรือระดับภัยพิบัติที่จะมาในช่วงสัปดาห์นั้นได้ยังไงกัน?”

    สำหรับ Shirley เมื่อต้องตัดสินระหว่างรับคำร้องฉุกเฉินที่ไร้สิ้นสุดกับเอาเวลาไปอยู่กับลูกสาวแล้ว ตัวเลือกของเธอก็แน่นอน

    ไม่ต้องพูดถึงความกังวลที่เธอรู้สึกห่างเหินจากพวกเธอเป็นเวลานานๆได้เลย

    สำหรับคนที่เห็นลูกสาวมีค่ามากกว่าเกียรติยศจากการฆ่ามอสเตอร์ระดับสูงแล้ว ความผิดบาปของ Shirley อาจจะเผชิญหน้ากับการที่จะได้เป็นแรงค์ A อาจจะทำให้สูงเกินไป

    “ไม่มีทาง… กรุณาได้มองการเลื่อนขั้นด้วยการดูถูกแบบนั้น! คนเค้าจะว่ายังไงถ้าหากนักผจญภัยแรงค์สูงสุดนั้นติดแหงกที่แรงค์ B ตลอดไปน่ะ!?”

    “ฉันก็ไม่ได้รู้อะไรกับเรื่องนั้นมากอยู่แล้วนี่นา นอกจากนี้ฉันก็ไม่ได้กะจะทำเงื่อนไขเพื่อเลื่อนขึ้นเป็นแรงค์ A ด้วย ใช่มั้ยล่ะ?”

    “อึก…”

    ในเวลาวิกฤต นักผจญภัยควรที่จะสร้างกลุ่มเป็นคู่หูหรือปาร์ตี้เพื่อต่อกรกับศัตรูที่ยากลำบาก ผลลัพธ์และเลเวลของการร่วมมือด้วยกันจะได้รับพินิจฉัยให้สมควรแก่ที่จะได้เป็นนักผจญภัยแรงค์ A ได้

    อย่างเช่น นักผจญภัยที่มีความละเอียดครบถ้วนทำงานกันในทีมและไม่สร้างปัญหาให้กับสมาชิกปาร์ตี้อื่นใดอย่างเหมาะสม

    “ถึงแม้มันจะมากไปหน่อยที่จะพูดแบบนี้ เธอไม่คิดว่ามันจะหยาบคายกับนักผจญภัยคนอื่นที่พยายามอย่างหนักราวกับคนที่จะรับเอาคำร้องทุกอย่างเพียงคนเดียวเพื่อหวังจะได้เป็นแรงค์ A อย่างไม่ยุติธรรมล่ะ?”

    “ง-งั้น ทำไมถึงไม่เข้าร่วมปาร์ตี้ล่ะ~…”

    “ถ้าตรงนั้นมีนักผจญภัยอีกมากที่จะมาคอยสู้ข้างเคียงฉันได้นะ ฉันก็จะเข้าร่วมปาร์ตี้โดยไม่สนใจว่าจะเป็นแรงค์อะไร”

    มันก็อย่างที่พูดมาตรงๆว่า Shirley นั้นไม่ใช่ทั้งคนรังเกียจมนุษย์หรือเกลียดผู้ชาย

    แต่เพราะความสงสัยเบื้องลึกที่เธอไม่เหมือนใครที่ถูกหักหลังในอดีต เธอมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นคนเถรตรงใส่พวกหน้าใหม่และดูแลด้วยความรู้สึกเกลียดชังจากนักผจญภัยคนอื่นๆอีกมากเพราะแบบนี้แหละ

    ยิ่งกว่านั้น เธอเองก็ยังมีความแข็งแกร่งเกินกว่าที่จะเป็นแรงค์ B ใครที่จะไปทำคำขอร่วมกับเธออาจจะทำให้รู้สึกกลายเป็นคนอ่อนแอและไร้ประโยชน์ไป

    “ยังไงก็เถอะ ถ้าเธอต้องการให้ฉันไปตรวจสอบพื้นที่ให้เธอ ก็แค่ติดคำขอเอาไว้บนบอร์ด ถ้าถึงเวลาเหมาะสมเมื่อไร ฉันอาจจะรับมัน”

    “ถ้าสภาพนั้นเหมาะสมก็ดีสิ แต่ฉันไม่การันตีว่าพวกเขาจะ… อ๊า”

    Shirley จิบชาดำหยดสุดท้ายก่อนที่จะออกจากห้องรับแขกโดยไม่มีแม้แต่จะให้ Yumina ได้เหลือบตามองเพื่อตอบรับเลย
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×