คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ยามเช้าของแม่กับลูกสาว
หิมะได้ละลายไปแล้ว ฤดูใบไม้ผลิก็มายังราชอาณาจักร
แม้แต่ในเมืองชายแดนก็ยังต้องคอยต่อสู้กับสัตว์ป่าดุร้ายอยู่ ดอกไม้แรกที่ผลิบานในฤดูกาลนั้นได้ถูกบังคับให้มันทะลุผ่านผืนดินแห้งๆเพื่อเริ่มที่จะบานออกมา
บ้านพักที่พวกนักผจญภัยอยู่ก็ไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่ก็บรรจุไปด้วยห้องอาบน้ำกับห้องกินข้าวและก็ห้องส่วนตัวที่กว้างพอ Shirley ที่เพิ่งจะตื่นขึ้นมาชำเลืองมองลงไปยังเด็กสาวสองคนที่เกาะหน้าอกเธอ
“…จริงๆเลย พวกเธอมีเตียงตัวเองแท้ๆ ทำไมถึงได้มาเกาะของฉันอยู่ทุกคืนเลย?”
พวกเธอมายังตรงนี้ด้วยอาการกึ่งหลับหรือว่าจงใจทำกันแน่? เธอถอนหายใจกับเด็กสาวสิบขวบที่หลับบนตัวของเธอ
อย่างไรก็ตาม ตรงข้ามกับคำพูดของเธอ ก็ไม่ได้มองตาด้วยความโกรธใดๆ ดูแล้วน่าอ่อนโยนมากกว่า
“เอาล่ะนะ”
ตะวันโผล่ขึ้นมาและแสงก็ลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่าน
เธอพยายามที่จะไม่ทำให้ทั้งสองตื่นขึ้นมา Shirley ค่อยๆขยับลงจากเตียงแล้วดึงผ้าห่มกลับมาให้พวกเธอ แล้วก็ลูบผมขาวที่คล้ายๆกับของตัวเอง
สองคนนั้นคล้ายกับตัวเธอยกเว้นแต่ดวงตาที่ซ่อนอยู่ใต้เปลือกตา Shirley ยืดเส้นอยู่สักพักก่อนที่จะเริ่มกิจวัตรยามเช้า เปลี่ยนชุดนอนและก็ล้างหน้า แล้วเธอก็เดินมายังที่ห้องรับประทานอาหาร
“'รุณสวัสดิ์ Shirley!”
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณ Martha”
ผู้หญิงผมน้ำตาลอายุวัยกลางคนยกเว้นร่างกายที่ต้อนรับเธอด้วยรอยยิ้มกระปี้กระเปร่านั้นคือ Martha ที่คอยดูแลบ้านพักกับสามีเธอ
ปีนี้เธอเพิ่งจะขึ้นสี่สิบเอ็ด เมื่อสิบปีก่อน Martha ไม่สนใจคำพูดซื่อๆของหญิงสาวคนนั้นแล้วก็ยังทำหน้าดุร้ายใส่ Shirley ที่ตอนนี้กำลังผูกผ้ากันเปื้อนรอบเอวอยู่
“จะเป็นไรมั้ยถ้าฉันขอยืมห้องครัวมาใช้สักพัก?”
“ไม่มีปัญหา”
เรือนทาโอเร่เป็นบ้านพักที่เล็กและสวยงามสำหรับนักเดินทางผจญภัยและก็ยังประสบความสำเร็จแม้เพียงแค่ชื่อ
ตรงมุมของห้องครัวนั้นก็มีคนนั่งอยู่เงียบๆนั่นคือปู่ของสามีของ Martha… เขาน่าจะเป็นจอมประชดตัวยงตอนที่เขาตั้งชื่อสถานที่ตรงนี้ฐานะผู้ก่อตั้ง
อาหารของบ้านพักมีไว้สำหรับนักผจญภัยที่ไม่ได้อยู่อย่างถาวรในเมืองเป็นเดือนและจะคิดค่าอาหารเพิ่มเติมด้วย นักผจญภัยที่ไม่สามารถหาเงินมาจ่ายค่าอาหารได้จะให้ใช้ห้องครัวที่ว่างมาเตรียมอาหารของพวกเขาเอง
“ถึงจะเป็นเธอ แต่ก็ไม่เหนื่อยบ้างเลยหรือ? เมื่อวานเธอเอาแต่ไปถล่มรังก็อบลินเป็นว่าเล่นเลย เธอน่าจะกินกับเราสักครั้งนะ”
“ไม่หรอก ฉันไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้น ก็แค่ตามวันปกติเอง”
“นั่นสินะ ฉันว่าเธอน่าจะรู้ดีที่สุดล่ะนะ”
ไข่ดาวบนขนมปังปิ้งกับสลัดปลาย่าง ถือว่าเป็นอาหารเช้าตามแบบเลย ตอนที่เธอเริ่มทำอาหารครั้งแรก เธอน่าจะได้รับบาดเจ็บอยู่เสมอ แต่หลังจากผ่านประสบการณ์ไปสิบปี เธอก็พอที่จะทำเองได้แล้วล่ะ
“ในการที่จะต้องออกไปต่อสู้อยู่ทุกวัน ฉันขอชมที่เธออุตส่าห์หาเวลาทำอาหารให้กับทั้งสองคนนั้นได้นะ รู้มั้ย มันไม่ใช่ลักษณะตามปกติที่เธอทำจากนักผจญภัยเลยนะ”
วันที่ต้องออกไปสู้ วันแล้ววันเล่าที่ต้องสู้ทั้งมอนสเตอร์และคนร้าย มีนักผจญภัยไม่มากนักที่จะทำแบบนั้นได้โดยที่สภาพร่างกายและจิตใจไม่อ่อนล้าจากการทำงาน
ก็อย่างที่ Martha พูดมานั่นแหละ นักผจญภัยปกติมักจะหาเรื่องอู้งานและก็ไปพักผ่อนในโรงอาหารโดยอ้างเหตุผลว่าตอนนี้ไม่ได้ทำงานอยู่ จึงไม่ได้ทำอาหารให้กับพวกนั้นมากนัก
ที่จริงแล้ว ในบรรดาผู้อยู่อาศัยทั้งหมด Shirley เป็นเพียงคนเดียวที่ใช้ห้องครัวนี้ และจะเป็นวันที่หาดูได้ยากที่เธอไม่ได้ใช้มัน
“…เพราะชีวิตของเรานั้นแขวนอยู่บนเส้นด้ายทุกวัน”
Shirley พึมพำขณะที่ยังจ้องตาไปกับงานของเธอ
“ในโลกเช่นนี้ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักผจญภัยหรือบุคคลธรรมดา คุณไม่มีทางรู้ว่าเมื่อไรเวลาของคุณจะมาถึง ฉันจึงอยากทำให้ดีที่สุดเท่าที่ยังมีเวลาอยู่”
เธอถึงกับหน้าแดงออกมาเล็กน้อยเพราะมันอายที่จะพูด แต่นั่นแหละคือความรู้สึกที่ซื่อตรงของเธอ
ความจริงนั้นยังมีงานอีกมากที่ปลอดภัยกว่างานที่เธอทำในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความก้าวหน้าในแรงค์มือใหม่ เธอจึงมีรายได้มากพอที่จะเลี้ยงดูครอบครัวได้อย่างสบายเมื่อเทียบกับบ้านอื่น
ปัญหานั้นไม่ใช่แค่เธออาจจะหาเงินมาน้อยเท่านั้น แต่โดยธรรมชาติของงานนักผจญภัยแล้ว เมื่อชั่งน้ำหนักกับความปลอดภัยแล้ว เธอจะเลือกชั่วโมงงานของตัวเองได้ จึงสามารถเอาเวลาไปใช้อยู่กับลูกสาวได้มากกว่า
และยิ่งกว่านั้น Shirley ยังถูกหมายจับในจักรวรรดิด้วย โชคดีที่ไม่มีสนธิสัญญาการส่งตัวข้ามแดนระหว่างจักรวรรดิกับราชอาณาจักร แต่ผู้หญิงพเนจรที่ไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัวตนในอดีตไม่อาจยินดีที่จะถูกว่าจ้างได้อย่างแน่นอน
(ฉันท่าจะคำนวณผิดไปหน่อยไม่ใช่หรือ?)
เมื่อลงทะเบียนเป็นนักผจญภัยแล้ว ก็ไม่มีการสอบถามข้อมูลถึงประวัติบุคคล คนจรจัดหรืออาชญากรรมเลย และอย่างนั้นแหละจึงได้เปิดทางเป็นนักผจญภัยให้กับ Shirley จากเริ่มต้น
อย่างไรก็ตาม เธอตั้งใจที่จะหยุดอยู่ที่แรงค์ B เนื่องจากเธอเป็นห่วงว่าชื่อของเธอจะเริ่มแพร่กระจายมากเกินไป
(ต่อให้น่าภูมิใจ สำหรับฉันแล้วมันเป็นปัญหาใหญ่จริงๆ)
Martha ยิ้มกับคำตอบเธอ
ในช่วงเก้าปี Shirley กับ Martha ต่างก็รู้จักกันดี Shirley ที่ดูเหมือนจะไม่เข้ากับอายุสักเท่าไร ส่วน Martha นั้นดูเหมือนว่าเธอจะเป็นแม่ในขณะนั้นมากกว่า
“หม่าม้า คุณ Martha อรุณสวัสดิ์ค่ะ~”
“อ๊ะ! อรุณสวัสดิ์ Sophie!”
“อรุณสวัสดิ์”
ขณะที่ Martha กำลังชื่นชม Shirley ด้วยสายตาอบอุ่น เด็กสาวผมขาวสองคนก็เข้ามาในห้องรับประทานอาหาร
ไม่เหมือนกับสายตา Shirley ที่แหลมคม คนแรกเป็นดวงตาสีน้ำเงินอ่อนโยน ฝาแฝดคนพี่ Sophie
ตรงนั้นเต็มไปด้วยเหล่านักผจญภัยในห้องอาหาร และแน่นอนว่าต่างก็หันไปมองกันหมดโดยเฉพาะผู้ชาย ถึงแม้ว่าพวกนั้นจะยังอายุน้อย แต่ด้วยความน่ารักไร้เดียงสาที่ได้มาจากแม่ก็ไม่ได้ลดลงเลย เพราะว่าพวกเธอยังเด็กสาวอยู่ จึงเป็นธรรมดาที่คนจะหันมามอง
“เดี๋ยวเหอะ Tio! หยุดพิงตัวฉันแล้วก็เดินเองสิ!”
“งึม… 'รุณสวัสดิ์ แม่”
“และก็อรุณสวัสดิ์กับลูกด้วยนะ Tio”
น้องสาวที่ถูกลากพาเข้ามาในห้องรับประทานอาหารโดย Sophie คือ Tio ที่ตื่นเช้ายากไปหน่อย
ถ้าเอาคนพี่ไปเปรียบเทียบกับนางฟ้าล่ะก็ เธอก็น่าจะเหมือนกับเทพธิดา ไม่เหมือนกับแม่และพี่สาวของเธอ ดวงตาสีแดงง่วงๆก็ไม่ได้โดดเด่นนัก แต่ในอีกมุมหนึ่ง เธอก็ไม่ได้แพ้พี่สาวในด้านเสน่ห์และความงดงามเลย อยู่กับเธอที่ท่าทางเงียบแล้ว เธอดูเหมือนตัวละครที่หลุดออกมาจากเทพนิยายเลยล่ะ
“กรุณารออีกสักหน่อย เดี๋ยวก็จะมาแล้ว”
“อ๊ะ งั้นหนูจะไปเอาจานมานะคะ!”
“อ๊ะ เชิญเลย”
เห็นลูกสาวสองคนเข้าไปช่วยงานแม่แล้ว Martha ก็ลูบหัวพวกเธอด้วยการให้กำลังใจ
“อ๊ะ พวกเธอทั้งสองน่าจะเป็นผู้ช่วยน้อยที่ดีเลยล่ะ! ขอบอกล่ะ ถ้าแค่ลูกสาวของฉันจะขอบทเรียนจากเธอนะ!”
Martha มีลูกชายสองคนกับลูกสาวสองคน ลูกชายทั้งสองเป็นอิสระและกำลังเก็บประสบการณ์เพื่อที่จะได้เทคโอเวอร์ห้องพักในวันหนึ่ง แต่ลูกสาวของเธอทั้งคู่กลับเอาเงินไปใช้จ่ายมากกว่าที่พวกนั้นมีเสียอีก
ขอบคุณที่มีลูกสาวเช่นนี้เลยนะ Martha กับสามีเธอหลงใหล Sophie กับ Tio อย่างไม่รู้จบ เนื่องจากพวกเธอก็รักทั้งคู่ด้วย Shirley จึงรู้สึกวางใจพวกเขาที่คอยดูแลให้ตลอดตอนที่เธอต้องไปทำงาน
“เปล่านี่ ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรอก รู้มั้ย”
“…มันน่าอายนะ…”
ขณะที่ Sophie กับ Tio ต่างก็ถูกชมนั้น Shirley ก็เกือบจะพ่นจมูกออกมา ต้องขอบคุณที่ไม่มีใครรู้ตัว
ถึงจะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย ก็ไม่มีแม่คนไหนที่จะไม่มีความสุขที่ได้เห็นลูกสาวถูกชม
ถึงจะมีบางคนที่คิดว่าเธอออกท่าทางเกินตัวไปหน่อยหรือทำอะไรบ้าๆออกมา เธอก็ไม่ได้สนใจ เธอก็แค่มีความสุขที่คนเห็นลูกสาวของเธอเป็นแบบนี้แหละ
อย่างที่ว่านั่นแหละ เธอไม่ได้เริ่มคุยโว ความพยายามที่จะรักษาเกียรติในฐานะของแม่ที่ดี Shirley ได้สู้กับฟันและจับใบหน้าเพื่อให้ทำหน้ายิ้มๆขณะที่เธอเตรียมอาหารเช้าเงียบๆ
“เอาล่ะนะ หยิบขึ้นมาได้”
“ค่า!”
“ขอบคุณสำหรับอาหารนะคะ”
มันก็เป็นฉากอย่างที่เห็นในบ้านพักเช่นนั้นแหละ
บางครั้งก็เรียกว่าห้องรับประทานอาหารของบ้านพักที่เรียบง่าย แต่คนจะเรียกกันตรงๆมากกว่าว่าถ่อมตัวและธรรมดา ทุกๆเช้า ที่มุมเดิมของห้อง จะมีสามสาวงามที่มีผมขาวเข้าไปทำอาหารเช้าแล้วก็วาดสายตาไปยังนักผจญภัยทุกคนในห้อง
คนที่ไม่เข้าใจนิสัยของพวกเธอนั้น สายตาของทั้งสามจะทำให้อาหารรู้สึกน่าทานมากขึ้น
ถึงจะเป็นแค่ตอนกินข้าวเช้า ความงดงามของทั้งสามก็ทำให้ผู้หญิงจ้องมาอย่างอิจฉาและผู้ชายจ้องมาอย่างน่าชม
ด้วยโต๊ะอาหารที่อาบไปด้วยแสงไฟจากหน้าต่างที่อยู่ข้างบน มันก็ดูเหมือนภาพวาดที่สร้างโดยศิลปินชั้นครู เรื่องราวที่อ่อนหวานดำเนินมาถึงเรื่องของ Tio
“จริงสิ นักเรียนชายในห้องที่เข้าไปสารภาพกับ Sophie เมื่อวานนี้ เธอได้ไปเดทกับเขาแล้วหรือ?”
“ฟุเอ๊ะ!?”
ตอนนั้นเอง ในห้องรับประทานอาหารนี้… ไม่สิ ทั้งบ้านพักนี้ถูกลากเข้าไปร่วมกับจิตสังหารเลือดเย็นและโกรธอย่างรุนแรง
มองกลับไปยังห้องนี้ นักผจญภัยที่อยู่ในอาคารนี้ก็ยังรู้สึกกดดันเหมือนกับพวกเขาไปสู้กับศัตรูที่โหดร้ายมากๆ
พวกนั้นยังสะดุ้งโหยงไปถึงปลายเท้าทันที่รู้สึกได้ ขณะที่นักผจญภัยก็พยายามจะหามาให้ได้ว่ามันมาจากทางไหนโดยที่ไม่คิดชีวิตเลย
มีอยู่ที่เดียวที่พวกเขาไม่ได้เคยคิดว่าจิตสังหารนั้นมันแผ่ลอดออกมาจากตึกที่มาจากบนโต๊ะอาหารที่เงียบสงบในมุมนั้น
“ท-ท-ท-ทำไมถึงรู้เรื่องนั้นได้ล่ะ!?”
“ก็บังเอิญนะ ฉันไปเห็นมันเข้า นึกว่าไม่มีใครกลับมายังที่โรงเรียนก็เลยเข้าใจว่าแบบนั้นไปนะ”
“…หืมมมมมม… งั้นหรอกเหรอ…?”
ต้นตอของจิตสังหารนั้น คือคนที่แกล้งพึมพำเบาๆจนเสียงนั้นเหมือนจะมาจากนรกขุมลึก ไม่มีใครเลยนอกจาก Shirley
แม้แต่นักผจญภัยเองก็ยังเสียวสันหลังวาบภายใต้ความกดดัน ส่วนเด็กสาวทั้งสองนั้นไม่ได้รับผลใดๆ
พยายามรู้ให้ได้ว่าทำไมเธอถึงได้โกรธ นักผจญภัยที่กล้าหาญเอาหูมาผึ่งออกแล้วก็แนบฟัง
“ฉันบอกว่าไม่ใช่ไง ฉันไม่ได้รู้จักนักเรียนชายคนนั้นเลยจริงๆนะ…”
“หืมม… ฉันนึกว่าอาจจะต้องเข้าไปขัดขวางสักหน่อยถ้าฉันอยู่ตรงนั้น งั้นก็ขอตัวล่ะ แต่ฉันก็เป็นห่วงเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องซะได้”
“…..เฮ้ออ”
จิตสังหารหายไปทันที
สงสัยว่าถ้าหากอสูรดาบสีขาวใจเย็นลง แล้วพวกนักผจญภัยจะพยายามลอบชำเมืองมองสินะ
“จะว่าไปแล้ว Tio ฉันเองก็เห็นเธอได้รับจดหมายรักมาด้วยนี่! ทีเธอแล้วนะ ใช่มั้ยล่ะ?”
“อื๋ยย… เห็นแล้วหรือ…”
แล้วก็กลับไปยังอิหรอบเดิม
เรือนทาโอเร่จึงจมอยู่กับจิตสังหารพิโรธพอที่จะทำให้อาคารพังถล่มได้อีกครั้ง คราวนี้ผู้อาศัยที่ถูกเหลือบมองด้วยสายตาภัยพิบัติสีขาวแวบเดียวและพร้อมที่จะฟันทุกคนที่อยู่ตรงนี้ ถึงกับเริ่มผวาออกมา
“นั่นสิน้า? แล้วเป็นใครกันล่ะ?”
“Kevin ชั้น ป.1 นะ”
“โหหห! เขาเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆเลยนะ! แล้วเธอคบกับเขาแล้วหรือ…?”
“ฉันยังไม่ได้ตอบกลับไปเลยนะ”
สีหน้าโหดเลือดเดือดเริ่มหนักกว่าเรื่องที่ว่ามาอีก นักผจญภัยกว่าครึ่งหนึ่งถึงกับสลบเหมือดไปเลย
“…เข้าใจแล้ว เป็นเด็กนักเรียนชายสินะ? ในฐานะผู้ใหญ่ จะต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว”
เสียงพึมพำนั้นน่ากลัวในหลายๆความหมาย
ลูกสาวของเธอนั้นน่ารักที่สุดในโลก พอที่จะทำให้รู้สึกเป็นที่นิยมในหมู่เด็กๆ และอยากจะมีความสัมพันธ์พิเศษด้วย
เมื่อมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น พ่อเองก็น่าต่อต้านตามปกติในขณะที่แม่ก็น่าจะอยากมองดูความสัมพันธ์ด้วยสายตาอ่อนโยน
( ( ( แต่พ่อแบบนั้นไม่เห็นจะมีอะไรดีตรงไหนเลย ! ? ) ) )
อย่างไรก็ตาม ในกรณีของแม่คนนี้ดูเหมือนว่าจะอยู่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
พวกนักผจญภัยต่างก็รีบกินอาหารให้เสร็จอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วก็เผ่นหนีไป แต่อาหารกลับต้องมาติดคอพวกเขาเสียนี่
ในที่สุด ตอนสุดท้าย มีนักผจญภัยบางคนที่เริ่มจะสวดภาวนาแล้ว แต่ตอนจบของดราม่านี้ก็มาเร็วพอๆกับที่มันเพิ่งจะเริ่มต้น
“ฉันขอปฏิเสธ ฉันไม่คิดกับใครแบบนั้นจริงๆนะ สำหรับฉันแล้วก็มีแต่แม่เท่านั้นแหละ”
“ฮิๆๆ หนูด้วย!”
ขณะที่ทั้งสองเข้าไปกอดแขน Shirley จากคนละด้านนั้น จิตสังหารก็หายไป แต่ถูกแทนที่ด้วยรังสีแห่งความสุขที่ขวยเขินอย่างรื่นรมย์
“อ๊ะ พวกเธอ หยุดนะ! บนโต๊ะนี้ไม่ได้นะ!”
““ค่าาา!””
ถึงเธอจะบอกด้วยเสียงที่เข้มงวดอย่างสง่างามก็ตาม คำพูดนั้นมันก็ออกมาด้วยเสียงที่อายๆอยู่ดีนั่นแหละ
ปีศาจที่อยู่ในสายตาของนักผจญภัยที่ดูเหมือนว่าเธอจะกลืนทั้งโลกถูกแทนที่ด้วยแม่ติงต๊องที่ยิ้มแป้นกับลูกสาวตัวเอง
หลังจากนั้น ข่าวลือก็กระจายไปทั่วทั้งผู้อยู่อาศัยในเรือนทาโอเร่ว่าเกิดรังสีอำมหิตที่ไม่อาจต่อต้านได้อย่างอธิบายไม่ได้ แต่นั่นก็คงจะเป็นอีกเรื่องราวหนึ่งในเวลาข้างหน้า
ความคิดเห็น