ช่วงเวลามีรัก
การปรากฏตัวขึ้นของเด็กหนุ่มหน้าใส นอกจากจะทำให้หัวใจที่แห้งแล้ง ของเขากลับมาสดชื่นมีชีวิตชีวา แต่มันยังนำพาเรื่องราวในอดีตให้กลับมาอีกครั้ง.
ผู้เข้าชมรวม
86
ผู้เข้าชมเดือนนี้
22
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ตอนที่ 1 คนหน้าคล้าย
แสงจากอาทิตย์ยามเช้าที่สาดส่องลงมาที่หมู่บ้านเล็กๆ ที่เงียบสงบแห่งหนึ่งในต่างจังหวัด ปลุกให้ผู้คนตื่นมาดำเนินชีวิตตามกิจวัตรประจำวัน โดยเฉพาะวันนี้เป็นวันเปิดภาคเรียนที่1 ยิ่งทำให้บรรยากาศหน้าโรงเรียนของหมู่บ้านแห่งนี้ดูครึกครื้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งแม่ค้า พ่อขาย ที่มาตั้งร้านอยู่ริมกำแพงรั้วโรงเรียน เพื่อรอขายของให้กับเด็กนักเรียนที่พากันทยอยเดินมาโรงเรียน
ครูกร ครูสอนวิชาสังคม วัยสามสิบหกปี รูปร่างเล็ก ผิวขาว ที่อยู่ในชุดราชการสีกากี กำลังปั่นจักรยานเข้าสู่ประตูโรงเรียน เพื่อทำหน้าที่ครูประจำชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3 เป็นวันแรกของปีการศึกษา
“สวัสดีครับ ครูเอก” ครูกร ยกมือไหว้ ครูเอก ครูร่างท้วม ผมบาง ที่ยืนเวรหน้าประตูโรงเรียน ครูเอกเป็นครูที่โรงเรียนแห่งนี้ ตั้งแต่สมัย ครูกรยังเป็นนักเรียน จนปีนี้ อายุก็ปาเข้าไปห้าสิบสามปี อีกแค่สองปีครูเอกก็จะเกษียณแล้ว
“หวัดดี หวัดดี รีบๆ เข้าไปเถอะครู วันนี้เปิดเทอมวันแรก งานยุ่งแน่ๆ” ครูเอกบอกครูกรให้รู้ว่ากำลังจะเจอกับอะไรเพราะตัวเองไม่ต้องเป็นครูประจำชั้น แค่รับหน้าที่สอนคณิตศาสตร์เท่านั้น
เมื่อมาถึงห้องพักครู ครูกร ก็จัดเตรียมเอกสารการสอน ที่วางกองสูงอยู่บนโต๊ะ ของครูคนอื่นก็ดูจะไม่ต่างกัน เนื่องจากโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก ไม่ได้มีจำนวนนักเรียนมากมายเท่าไหร่นัก จำนวนครูก็มีเพียงไม่กี่คน ครูที่มีอยู่จึงต้องช่วยกันทำหลายหน้าที่
“ทำอารายยยเพื่อนนนน” ครูโจ้ ครูหนุ่มหน้ามนต์ กระซิบข้างหู และหัวเราะชอบใจที่ ครูกรสะดุ้งตกใจ
“เอ้า มึงนี่ แกล้งกูตั้งแต่วันเปิดเทอมเลยนะ ไอ้ครูโจ้” ครูกร อดขำในนิสัยชอบอำของครูโจ้ เพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาตั้งแต่มัธยมปลายไม่ได้
“มึงยังไม่เปลี่ยนทรงผมอีกเหรอ เดี๋ยวผู้อำนวยการเห็นเถอะมึง ได้โดนกล้อนผมเป็นเด็กนักเรียนแน่ๆ” ครูกรมองดูผมที่หยิกฟู ย้อมสีนํ้าตาลอ่อน ของครูโจ้
“กูไปถามมาแล้ว ผู้อำนวยการไม่อยู่ ยังติดสัมมนาอยู่ ขอกูหล่อต้อนรับเปิดเทอมก่อน” ครูโจ้ เอามือเสยผมหยิกๆ ถึงแม้จะเปลี่ยนทรงได้ยาก เพราะปมครูโจ้หยิกมาตั้งแต่เกิด แต่อย่างน้อยก็ขอทำสีเพิ่มความหล่อให้เขาสักหน่อยก็ยังดี
“มึงว่างเหรอ ไม่เตรียมสอนรึไงวะ” ครูกร อดสงสัยที่ครูโจ้ มีเวลามาทักทายตนไม่ได้
“แหม มึง กูจะสนใจงาน มากกว่าเพื่อนได้ไงวะ”
“กูรู้ทันมึงหรอก จะให้กูช่วยทำเอกสารละสิ ไม่มีทาง” ครูกร หันหน้าหนีอย่างไร้เยื่อใย
“เออ ไอ้เพื่อนใจดำาาา” แล้วครูโจ้ ก็รีบวิ่งกลับไปที่โต๊ะทำงาน ท่าทางยุ่งเหยิงกับเอกสารกองโตที่วางอยู่ ครูกรได้แต่มองตามแล้วอดหัวเราะเพื่อนไม่ได้
หลังจากครูเอกที่จัดการปิดประตูโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว เดินเข้ามาที่โต๊ะทำงาน เมื่อเดินผ่านโต๊ะครูกร จึงนึกขึ้นมาได้เรื่องนึง
“อ่อ ครูกร ห้องครูมีนักเรียนย้ายมาใหม่ คนนึงนะ มาจากกรุงเทพ ฝากครูดูแลด้วยล่ะ”
“ได้ครับครู” ครูกร ควานหาเอกสาร รายชื่อนักเรียนที่กองปะปนกันบนโต๊ะทำงาน
“เห็นว่าเป็นเด็กเกเร พ่อแม่เค้าที่เป็นญาติกับ ผู้อำนวยการ เลยส่งมาดัดนิสัยทีนี่แหละ” ครูเอก พูดตามที่ผู้อำนวยการฝากฝังมา ครูกร หาใบรายชื่อนักเรียนประจำปีการศึกษาล่าสุดจนเจอ นทีวงศ์สุข คือชื่อล่าสุดที่ถูกเพิ่มเข้ามา
ช่วงการเข้าแถวหน้าเสาธง เคารพธงชาติ ครูกร พยายามมองหานักเรียนใหม่ของเขา แต่ก็ยังไม่พบ หลังจากผู้ช่วยผู้อำนวยการกล่าวโอวาทเสร็จสิ้น นักเรียนทั้งหลายจึงทยอยเดินขึ้นชั้นเรียน และแยกย้ายกันเข้าห้องโฮมรูม ครูกรออกมาแนะนำตัวบรรดาลูกศิษย์ที่คุ้นเคยกันอย่างดีอยู่แล้ว ที่หน้าชั้นเรียนหลังจากที่แนะนำตัวเสร็จ ครูกรก็เริ่มทำการเช็คชื่อ จนเกือบครบทุกคน ขาดแต่เพียงรายชื่อเดียว
“นที วงศ์สุข มารึยัง” ก็ยังไม่มีเสียงตอบ
“นที วงศ์สุข ขาดเรียนตั้งแต่วันแรกเลยเหรอเด็กใหม่” ครูกร บ่นพึมพำ และกำลังจะติ๊กชื่อในช่องขาดเรียน
“มาค้าบบบ” เสียงดังมาจากทางหน้าประตูห้องเรียน ก่อนที่เจ้าของเสียงจะรีบวิ่งพรวดพราดเข้ามายืนหอบแฮ่กๆ ตรงหน้า ครูกร จ้องมองเด็กหนุ่มหน้าใส ผมรองทรงปกหน้าผาก ดวงตากลมโต แต่นัยน์ตาดูมีความเศร้า รูปร่างสูงโปร่ง ที่ยืนหอบอยู่ต่อหน้า และได้สบตากับครูกร วินาทีนั้นเอง ครูกร แทบจะล้มทั้งยืน เพราะเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ ช่างหน้าตาละม้ายคล้ายกับคนในความทรงจำ ที่คุ้นเคย และผูกพันธ์ ยิ่งมองหน้า นที ครูกร ยิ่งรู้สึกว่า ความทรงจำทั้งหลายมันประดังประเด ถาโถมเข้ามามากมาย
…วินาทีนั้นภาพความทรงจำของ ครูกรก็แว่บขึ้นมาในทันที ถึงความทรงจำวันแรกที่เขามาเรียนที่นี่
“ขอโทษครับครู ผมพึ่งย้ายบ้านมา ยังไม่ค่อยคุ้นทางครับ” กร ในวัยมัธยมศึกษาปีที่หก ขอโทษครูเอก ที่มาเข้าชั้นเรียนสาย พลางยกมือไหว้
“แหมมม มุกยอดนิยมจริงๆ เลยนะ ไอ้ที่ว่าพึ่งย้ายบ้านมาใหม่ ยังไม่คุ้นทางเนี่ยะ “ครูเอก ในวัยสามสิบสาม ที่ผมยังคงดกดำ พูดพลางทำหน้าเหมือนไม่ค่อยอยากเชื่อ
“จริงๆ ครับครู ผมตื่นสาย เพราะช่วยแม่จัดของจนดึก แต่ผมก็รีบมาสุดๆ แล้วครับ “กรยังไม่ลดความพยายาม ครูเอก มองดูสมุดรายชื่อนักเรียน
“นาย กร บุญมา ไม่คุ้นชื่อจริงๆ แหละ แต่ว่า ครูไม่รู้ด้วยหรอกนะ มาสายก็ต้องโดนทำโทษ ยื่นมือออกมาเลย “ครูเอก ทำเสียงเข้ม กร เห็นท่าว่า วันนี้คงจะไม่พ้นโดนไม้เรียวแน่ๆ จึงได้แต่ทำหน้ายิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือออกไป
“ไม่ต้องตีหรอกครับครู เขาพึ่งย้ายมา แค่ให้ช่วยทำเวรก็พอแล้ว ภูผา ที่นั่งมอง กร ตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้ามาในห้องเรียน ลุกขึ้นพูดแทน ภูผา มัธยมศึกษาปีที่หก หน้าตาสดใส แววตาเป็นประกาย ที่มุมปากมีรอยยิ้มอยู่ตลอด
“เอางั้นเหรอ ภูผา ครูว่าเธออยากได้เพื่อนช่วยทำเวรมากกว่ามั้ง เจ้าเล่ห์นักนะเธอเนี่ยะ งั้นเอาตามที่เธอว่าก็ได้ ไปนั่งที่ไป “ครูเอกพยักหน้า
กร หันมาพยักหน้าขอบคุณ ภูผาที่ช่วยพูดให้
“เอ้า แล้วไม่ไปนั่งที่ละ “ครูเอกหันมาถาม เพราะเห็น กรยืนนิ่งอยู่
“ผมไม่รู้จะนั่งตรงไหนครับครู กร ยิ้มอ่อน เกาหัวแบบงงๆ
“โอ้ย ตรงไหนมันว่าง ไม่มีคนนั่งก็ไปนั่งเถอะ”
“ครับครู งั้นผมขอนั่งริมหน้าต่างหลังสุดนะครับ “
กร เดินผ่าน ภูผา ก่อนหันมาส่งยิ้มขอบคุณ ที่ช่วยให้เขารอดพ้นจากไม้เรียว ของครูเอก คงเป็นเพราะรอยยิ้มนี้เองกระมัง ที่ทำให้ทั้งสองคนต้องใกล้ชิดกันจนเกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย
“ครูเป็นอะไรมั้ยครับ “ความคิดในหัวของครูกรหยุดลง ครูกรจ้องมองใบหน้าเด็กหนุ่มอีกครั้งอย่างใกล้ชิด
“เหมือนมากเลย” ครูกรพยายามพินิจพิเคราะห์ใบหน้าเด็กหนุ่มน้อย
“ขอบใจๆ ครูไม่เป็นไรแล้ว เธอไปนั่งที่เถอะ” นที ยังคงยืนนิ่งเฉยอยู่ ไม่ขยับ
“ไปนั่งที่เถอะ ครูไม่เป็นไรแล้ว “
“ป่าวครับครู แต่ให้ผมนั่งไหนอ่ะ”
“ตรงไหนว่างก็ไปนั่งได้หมดแหละ”
“งั้นผมขอนั่งริมหน้าต่างนะครับ”
ครูกร ถึงกับหยุดชะงัก
“อ่อ ได้สิ” ก่อนจะมองนที ที่เดินไปนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่าง
… สาวๆ ยังจับกลุ่มพูดคุยกันเบาๆ ถึงเด็กหนุ่มหน้าใส ที่พึ่งย้ายมาใหม่ อาจเป็นเพราะ รูปร่างที่สูงใหญ่กว่าเด็กรุ่นเดียวกัน อีกทั้งหน้าตา ที่โดดเด่น ตากลมโต ถึงแม้จะมีนัยน์ตาที่ดูแล้วเศร้า ราวกับว่ามีเรื่องมากมายอยู่ในใจ แต่ก็ยังดึงดูดไม่ใช่แค่สาวๆ ที่ยังสนใจเด็กหนุ่มคนนี้ ครูกรเองก็แทบไม่มีสมาธิในการสอน ครูกร ยังนั่งมองดูท่าทางเด็กหนุ่มคนนี้อยู่ตลอดเวลา มีบางครั้งที่ นที ก็หันมาสบตา จนครูกรต้องเป็นฝ่ายหลบตาเสียเอง
“เอาล่ะ เดี๋ยวครูจะแจกแบบทดสอบ วัดประเมินผลก่อนเรียนนะ” ครูกร สังเกตท่าทาง นที เหมือนไม่สนใจกับการทดสอบครั้งนี้เท่าไหร่นัก “หมดเวลาแล้ว ถ้าผลทดสอบออกเมื่อไหร่ ครูจะเอามาแจ้งอีกทีนะ” เด็กพากันส่งเสียงพึมพำ เหมือนไม่ค่อยอยากรู้ผลสอบของตนนัก
…ท่ามกลางเสียงดังอื้ออึงของโรงอาหาร ครูโจ้ จะมากินอาหารกลางวันด้วยกันกับครูกรเป็นประจำ
“เฮ้ย คิดอะไรอยู่วะ กร” ครูโจ้เห็นเพื่อนเหมือนคนกำลังใช้ความคิด
“โจ้ มึงจำ ภูผา ได้ป่ะ”
“ภูผา..อ๋อ จำได้ดิ ใครจะลืมได้วะ แล้ว…” ครูโจ้ รีบตักไข่พะโล้เข้าปากคำใหญ่ เผื่ออาจจะต้องคุยกันยาว เพราะเรื่องราวของ ภูผา ในตอนนั้น เป็นเรื่องที่ค่อนข้างเป็นที่สนใจของคนในหมู่บ้าน เพียงแต่ว่ามันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว เขาเองก็ลืมรายละเอียดไปแล้วเหมือนกัน
“ก็วันนี้ มันมีเด็กคนนึง เพิ่งย้ายมาเรียนวันแรก หน้าเด็กคนนี้เหมือน ภูผา มาก “
“หืม จริงเหรอวะ กูก็จำหน้ามันไม่ค่อยได้แล้ว เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้วนะ ก็คงมีแต่มึงแหละมั้งที่ยังจำมันได้อยู่ “ครูโจ้ชักเริ่มสนใจ ในความแปลกๆ ของเรื่องที่ ครูกรเล่า
“นั่นไง เดินมาโน่นแล้ว มึงว่าเหมือนมั้ยละ “ครูกรพยักหน้าให้ครูโจ้มองตาม นที ที่กำลังเดินกวาดสายตามองหาทีนั่ง
“นั่น มิงดูสิ ชอบกินข้าวมันไก่เหมือนกันอีก มึงว่ามันแปลกไหมล่ะ” ครูกรพยายามชี้ให้เห็นถึงความเหมือนของทั้งสองคน
“เออ เหมือนจริงด้วยว่ะ แต่ใครก็ชอบกินข้าวมันไก่ปะวะ แต่ว่าพอเห็นหน้าเด็กคนนี้แล้ว กูนึกถึงหน้า ไอ้ภูผาออกเลย “ครูโจ้พยักหน้างึกงัก สายตาของครูทั้งสองยังคงมองไปที่ นที
“ว่าแต่ มึงจำได้ด้วยเหรอ ว่าไอ้ภูผามันชอบ กินข้าวมันไก่ มึงนี่สุดยอดเลย” ครูโจ้ทำหน้าเหมือนเพื่อนเป็นคนหมกมุ่น ครูกรก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ความจริงแล้วบางที ครูกรแทบจะรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับภูผาเลยกระมัง
“นี่ นักเรียน มานั่งนี่ได้นะ” ครูโจ้ ยกมือเรียก นที ทำเอาครู กร ตกใจแต่จะดึงมือเพื่อนก็คงไม่ทัน
“มึงจะเรียกมันมาทำไม” ครูกร อยากจะทุบเพื่อนสักหนึ่งตุบ
“เอ้า ก็มึงสงสัยไง มึงจะได้ถามต่อหน้าเลย” ครูโจ้ รีบกวักมือ ให้เดินมาเร็วๆ
นที มองเห็นครูสองคนกระซิบกระซาบกัน แต่ก็เดินมานั่งตรงข้ามกับครูกร
“ขอบคุณนะครับครู”
“อือ กินกันหลายคน อร่อยดี อร่อยกว่ากินคนเดียว เนอะครูกร” ครูโจ้พูดพลางเอาศอกดันให้ครูกรเห็นด้วยกับตน
นที ทำไมเธอหน้าเหมือน ภูผา จังเลย ใจจริงครูกร คงอยากถามออกไปแบบนั้น แต่มันคงฟังดูแปลกพิลึก ที่ถามเด็กนักเรียนใหม่ ถึงใครอีกคนก็ไม่รู้
“ถ้าไม่มีที่นั่ง ก็มานั่งกินกับครูไปก่อนนะ เธอเพิ่งมาใหม่คงยังไม่รู้จักใคร” ครูกร โล่งใจที่กล้าพูดออกไป การชวนคนที่หน้าตาคล้ายคนที่ตัวเองเคยชอบ มากินข้าวด้วยกัน ก็เป็นเรื่องที่ยากอยู่ไม่น้อย
“ได้ครับครู ขอบคุณครับ” นํ้าเสียงของนที ช่างเรียบเฉยและเย็นชา ครูโจ้ ที่มองดูทั้งสองคนคุยกัน กลัวว่าสถานการณ์จะอึดอัดจนเกินไปจึงพยายามช่วย
“นที เธอมีแฟนรึยังอ่ะ” ครูโจ้ ยิงคำถาม ที่คิดว่าช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น จนครูกรแทบจะสำลักข้าว “เฮ้ย ไอ้ครูโจ้ นี่นักเรียนนะมึง” ครูกรหันมาทำตาเขียว
“นี่แบบนี้เค้าเรียกว่า ละลายพฤติกรรม ก็กูเห็น ทั้งสองคน เอาแต่ก้มหน้ากินข้าว ไม่พูดไม่จา แบบนี้ดีขึ้นเยอะ” ครูโจ้ เหลือบตามอง นที ที่ยังสีหน้าเรียบเฉย
“ผมยังไม่มีแฟนครับ” ใบหน้าเรียบเฉยของนที เหมือนจะแดงขึ้นเล็กน้อย
“พอได้แล้ว รีบกินเถอะ” ครูกรเองก็หน้าแดง ไม่แพ้นทีเหมือนกัน ครูโจ้ ที่มองดูทั้งสองคนกลับรู้สึกว่า ถึงจะเพิ่งเจอกัน แต่ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะเข้ากันได้ง่ายกว่าที่คิด ครูกรที่ก้มหน้าก้มตากินอาหารพลันก็นึกถึง เหตุการณ์ในวันก่อน
… ตึ่ง ตึ้ง ตึงงง เสียงกริ่งหมดคาบเรียนดังขึ้น นักเรียนพากันเก็บสมุดหนังสือและอุปกรณ์การเรียน
“นาย” เสียงเรียกแผ่วๆ มาจากด้านข้างโต๊ะของ กร
“หืม ว่าไงเหรอ “กร ในวัยสิบเจ็ดแหงนหน้ามองเจ้าของเสียง เป็น ภูผา ที่ไม่รู้มายืนข้างโต๊ะตั้งแต่เมื่อไหร่
ภูผา ผู้ที่ดวงตาเป็นประกาย มองไปมองมาก็คล้ายแมวน้อยอยู่เหมือนกัน
“พักกลางวันแล้ว ไปกินข้าวกัน นายเพิ่งย้ายมานี่ เดี๋ยวเราไปเป็นเพื่อน” ภูผา ยิ้มกว้าง
“อ่อ ได้สิ ขอเก็บของแป๊บนึงนะ” กรแอบดีใจ ที่ได้เพื่อนใหม่เร็วกว่าที่คิด
ภูผาเดินนำหน้ากรไปยังโรงอาหาร ระหว่างทางก็แนะนำสิ่งต่างๆ มากมาย ราวกับว่าเป็นคนนำเที่ยวทีเดียว ท่าทางของภูผา ทำให้กรแทบละสายตาไม่ได้เลย เด็กหนุ่มตัวสูง ผมรองทรงสูง ใบหน้าที่มีรอยยิ้มอยู่ตลอด เผลอแป๊บเดียวทั้งคู่ก็มาถึงโรงอาหาร
“กินไรอ่ะ เดี๋ยวเราเลี้ยงเอง แทนคำขอบคุณที่ช่วยเรา” กร พยามผูกมิตรกับเพื่อนใหม่
“ขอบคุณนะ งั้นเราเอา ข้าวมันไก่ ละกัน” ภูผา บอกเมนูที่เขาชอบกินที่สุด
ทั้งสองคนนั่งกินข้าวตรงข้ามกัน กร ก็แอบเขินอยู่เหมือนกัน ที่ได้นั่งกินข้าวตรงข้ามกับเด็กหนุ่มหน้าตาดีขนาดนี้
“เพิ่งย้ายมาเหรอ “ภูผาเริ่มตั้งคำถามกับเพื่อนใหม่
“อ่อ ใช่ ย้ายตามแม่มาน่ะ แม่มาทำงานที่นี่” กร ตอบแบบหลบๆ สายตา เพราะกลัวว่า ถ้ามองตาตรงๆ ตัวเองคงจะพูดติดๆ ขัดๆ
“เหมือนกัน เราก็อยู่กับแม่แค่สองคน ถ้ามีอะไรก็บอกกันได้นะ” ภูผาส่งยิ้มให้กร
“ขอบใจๆ ถ้ามีอะไรจะรีบบอกนะ” กร รู้สึกดี กับนํ้าใจของภูผาที่มีให้
ตึ่ง ตึ่ง ตึ้งงง เสียงสัญญาณเลิกเรียนเด็กๆ พากันเก็บของใส่กระเป๋าเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน ในขณะที่ครูกร กำลังเอาจักรยาน ออกจากที่จอด นทีก็เดินผ่านไปพอดี ครูกรจึงค่อยๆ ปั่นจักรยานตามหลัง นที ไปห่างๆ นที เดินข้ามสะพานปูนหน้าโรงเรียน ครูกร มองดูแผ่นหลังของ นที ที่เหมือนกับภูผา คนคุ้นเคยในอดีต พลันก็ทำให้นึกถึง เรื่องในวันก่อน
... “ไหนบอกจะช่วยกันทำเวรไง” กร บ่นไปพลางลบกระดานดำไป
“เราเช็ดกระดานดำไม่ได้ เดี๋ยวสิวขึ้น” ภูผา ยังนั่งส่องกระจกสำรวจความหล่อเหลา ของตัวเอง
“งั้นก็เอานํ้าถูพื้นไปเททิ้ง” กร เริ่มจะหงุดหงิด
“ถ้าเอาไปเท แล้วมันกระเด็นโดนเสื้อ เราก็ถูกแม่ด่าอะดิ เอางี้ เราช่วยปิดประตูห้องให้ละกัน” พูดแล้ว ภูผาก็ออกไปรอปิดประตูหน้าห้อง
“ไอ้..” กร อดไม่ได้ที่จะสบถ
หลังจากเทนํ้าถูพื้นเสร็จ กร ก็รีบเดินกลับ โดยไม่รอภูผา ที่ยังยืนคุยกับสาวๆ หน้าห้อง กร รีบเดินอย่างหงุดหงิด ที่เขาหลงแอบคิดไปว่า เขาอาจจะมีความพิเศษต่อ ภูผา กรคิดก็ยิ่งโกรธ รีบเดินจํ้าอ้าวหนีภูผา จนต้องหยุดเพราะมีลูกหมาสีดำสนิททั้งตัวยืนขวางอยู่บนสะพานไม้หน้าโรงเรียน มันขู่เบาๆ ในลำคอ กร หยุดนิ่ง สำรวจรอบๆ เพราะลำพังลูกหมานี่คงไม่เท่าไหร่ แต่ว่า ถ้ามีแม่หมาอยู่แถวนี้ด้วย เค้าจะได้วิ่งได้ทัน ในขณะที่ยืนกรกำลังใช้ความคิด
“โฮ่งงงงงง” ภูผา ที่เดินตามมาแกล้งตะโกนใส่หูกร แล้วเอามือทำเหมือนหมางับไปที่น่องขาของกร
“ไอ้บ้าเอ้ย” กร จากที่กำลังใจลอย กลายเป็นโกรธจนหน้าเขียว ยิ่งเห็น ภูผาหัวเราะชอบใจ ยิ่งรู้สึกได้ว่าเหมือนมี ลมออกหู แล้วในตอนนี้
“อย่าบอกนะ ว่ากลัวลูกหมาตัวแค่นี้อ่ะ” ภูผายังหัวเราะไม่หยุด กรไม่ตอบ แล้วเดินผ่านภูผาไป
“เอ้าๆ ไม่กลัวแล้วเหรอ เดี๋ยวแม่มันกัดนะ แม่มันดุมากนะตัวนี้อ่ะ” พอได้ยินว่าแม่หมาตัวนี้ดุมาก กรจึงได้แต่ค่อยๆ เดินมองซ้าย มองขวา ภูผาเห็นดังนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้ จึงรีบวิ่งตามมาเดินข้างๆ กร
ภูผาพยายามชวนกรคุย แต่เหมือนกรจะเคืองจนไม่อยากคุยด้วย แต่พอมองหน้า ภูผาทีไร เหมือนความโกรธ มันจะลดลงไปทีละนิดทีละหน่อย ลูกหมาสีดำ ที่ยืนขวางอยู่เมื่อเห็นภูผา ก็กระดิกหาง แล้วรีบวิ่งเข้ามาหา ภูผา นั่งลง หยิบลูกชิ้นออกมาจากกระเป๋า แล้วยื่นให้ลูกหมาสีดำ ที่กระดิกหางรอกินอย่างหิวโซ
“มันชื่อ เฉาก๊วย หมาแถวนี้ล่ะ ไม่ต้องกลัว แม่มันโดนรถชนตายไปแล้ว” ภูผา หันมาส่งยิ้มให้กร กรเมื่อได้ฟัง รู้สึกสงสารเจ้าเฉาก๊วยอยู่ได้ครู่นึง ก็นึกขึ้นได้ว่า โดนภูผาหลอกเรื่องแม่เฉาก๊วยอีกแล้ว
“สนุกมากนักใช่มั้ย”
“ฮ่า ฮ่า ถ้าไม่พูดแบบนั้น นายก็ไม่รอเราอะดิ” ภูผาพูด พลางมองดูเจ้าเฉาก๊วยกินลูกชิ้นของโปรดอย่าง เอร็ดอร่อย
“ไอ้กร มึงมาซื้ออะไรไปกินวะเย็นนี้” ครูโจ้ ส่งเสียงเรียกครูกรที่กำลังใจลอย
“เปล่าๆ กูกำลังจะกลับบ้าน” ครูกรพยายามมองหานที ที่ดูเหมือนจะเดินหายลับสายตาไปแล้ว
“กลับบ้านไรวะ กูเห็นมึงปั่นจักรยาน ตั้งแต่กูอยู่หน้าโรงเรียน กูเรียกก็ไม่จอด ว่าจะขอนั่งมาด้วยสะหน่อย” “เออ เอาไว้วันหลัง วันนี้กูยุ่ง” ครูกรพยามมองหานที
“ยุ่งอะไรวะ กูเห็นมึงปั่นจักรยาน ตามนทีใช่ปะ กูเห็นมึงก้มๆ เงยๆ เดี๋ยวปั่น เดี๋ยวจอด จนกูเดินมาทีหลังยังตามทันมึงแล้วเนี่ย” ครูโจ้อดขำเพื่อนตัวเองไม่ได้ ที่โกหกไม่เนียน
“เออ กูตามนทีอยู่ กูอยากรู้ว่ามันเป็นลูกเต้าเหล่าใคร พักอยู่ที่ไหน” ครูกรเห็นว่าคงปิดเพื่อนไม่สำเร็จ จึงเปิดปากตามตรงดีกว่า
“กู ไปก่อนนะ เดี๋ยวตามมันไม่ทัน” ครูกรรีบปั่นจักรยานพุ่งออกมา โดยไม่เปิดโอกาสให้พื่อนซักไซ้อีก
“เอ้า กูยังพูดไม่จบเลย ไอ้นี่”
…ครูกร ปั่นจักรยานไป ตาก็คอยมองหานที จากสองข้างทางถนน จนมาถึงหน้าห้องเช่าแห่งหนึ่ง ครูกรยังคงกวาดสายตา นทีก็เดินมาด้านหลัง สองมือถือถุงกับข้าว
“ครู ทำอะไรอยู่เหรอครับ”
“อ่อ นที ครูมาเยี่ยมบ้านนักเรียนใหม่น่ะ เอ่อ คือ.. ปะ..เป็นนโยบายของท่านผู้อำนวยการน่ะ” ครูกร โล่งใจที่เอาตัวรอดไปได้
“เหรอครับ แต่ผมอยู่คนเดียวนะ ป้าเช่าห้องนีัให้ผม” นทีชี้นิ้วไปยังชั้น2ของบ้านเช่า
“ยิ่งอยู่คนเดียวยิ่งต้องมาเยี่ยมไง มีอะไรจะได้” ครูกรต้องมาห้องของนทีให้ได้เพราะนี่คือโอกาสที่จะไปเยี่ยมดูสิว่า พ่อ แม่ นทีหน้าตาเป็นอย่างไร ทำไมถึงได้คล้ายกับภูผาขนาดนี้ จะเข้าห้องไปกับเด็กหนุ่มหน้าตาดีสองต่อสอง มันก็ยังไงยังไงอยู่นา แต่นี่คือนักเรียนของเรานะ ครูกรดึงสติกลับมาอีกที เห็นนทีกำลังไขกุญแจห้องแล้ว
เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไป ครูกรพบว่า กลางห้องมีโต๊ะญี่ปุ่นขนาดเล็กที่น่าจะเอาไว้ใช้ทั้งกินข้าว และอ่านหนังสือ ข้าวของยังถูกจัดเก็บไว้ในกล่องกระดาษลังสีนํ้าตาล มีเพียงบางกล่องที่เปิดออกเพื่อน่าจะเอาของใช้จำเป็นเท่านั้น
“ขอโทษนะครับครู ผมยังไม่ได้จัดห้องให้เรียบร้อยเลย” นทีพูดด้วยเสียงเรียบเฉย เมื่อเห็นครูกร กวาดสายตามองไปรอบๆ ห้อง
“อ๋อ ไม่เป็นไรหรอก งั้นครูนั่งรอตรงนี้แล้วกันนะ” ครูกรนั่งลงบนพื้น แต่สายตายังมองหา รูปถ่าย หรือ อะไรสักอย่างที่พอจะทำให้รู้ว่า พ่อแม่นทีหน้าตาเป็นยังไง คงต้องมีรูปถ่ายบ้างแหละน่า แต่ดูเหมือนว่า ข้าวของจะยังไม่ได้เอาออกมาจากกล่องมากนัก นทีที่กำลังเปลี่ยนเสื้อนักเรียนมาใส่เสื้อกล้าม ได้มองผ่านกระจก เห็นครูกรมองซ้าย ขวา เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง
“ครูมองหาอะไรเหรอครับ” นทีถามพลางวางแก้วนํ้าที่เทมาให้ครูกร ลงบนโต๊ะ
“ปะ ป่าวนี่ ครูก็มองไปเรื่อยแหละ ขอในกล่องนี่ให้ครูช่วยจัดมั้ย” ครูกรพยายามจะช่วยรื้อเอาของในกล่อง
“ไม่เป็นไรหรอกครับครู เดี๋ยวผมจัดการเอง” แล้วนทีก็นั่งลงบนเบาะรองพื้น แล้วเอาการบ้านขึ้นมานั่งทำ ข้างๆ ครูกร ครูกรเองก็รู้สึกว่าหัวใจตัวเองเต้นแรงขึ้น แรงขึ้น
นี่นักเรียนของเรานะ นักเรียนของเรา ไม่รู้ว่าสาเหตุที่ครูกรต้องหวั่นไหวเมื่ออยู่ใกล้นที เกิดจากการที่นทีมีใบหน้าคล้ายกับภูผาหรือเปล่า ครูกรแอบชำเลืองมองนทีตอนเผลอ ที่กำลังทำท่าใช้ความคิดกับการบ้านตรงหน้า ถึงแม้ว่าจะเป็นเด็กมัธยมปลายที่ตัวสูงใหญ่ แต่ก็มีบางมุมที่ยังเป็นเด็ก ถึงแม้ว่าเวลาปกตินทีพยายามจะแสดงออก เพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ แต่ความจริงเค้าก็ยังเป็นเด็กมัธยมปลาย อายุสิบเจ็ด
“นที พ่อแม่เธอ ชื่ออะไรเหรอ” ครูกรยิงคำถามในขณะที่นทียังไม่ทันตั้งตัว
“พ่อผมชื่อ สมหวัง แม่ชื่อ ปราณี ครับ” นทีหันมาตอบครูกรทันที
“อ่อ ยังงั้นเหรอ” ครูกรพยักหน้าคลายความสงสัย
“มีอะไรหรือป่าวครับครู”
“ป่าวๆ ไม่มีอะไรหรอก ครูเก็บข้อมูลน่ะ” ครูกรยังเอาตัวรอดไปได้
เวลาผ่านไปสักครู่ใหญ่ๆ ครูกรสำรวจห้องนทีจนพอใจแล้ว
“ ‘งั้น ครูกลับก่อนดีกว่า แล้วค่อยมาวันหลังละกันเนาะ” ครูกรได้คำตอบที่ต้องการแล้ว ว่าพ่อกับแม่ของนที ไม่ใช่คนที่เค้าคิด ครูกรเดินออกจากห้องเช่า เห็นเจ้าเฉาก๊วยนอนหลับหายใจเบาๆ
นทีที่อยู่บนห้องชั้นสอง ยืนมองผ่านหน้าต่างด้วยสีหน้าเรียบเฉย จนครูกรปั่นจักรยานพ้นสายตาไป
ครูกรปั่นจักรยานเลยบ้านตัวเอง ขึ้นไปบนเนินเขา แล้วจอดจักรยานพิงโคนต้นฉำฉาขนาดใหญ่ที่ขึ้นอยู่ริมหน้าผา แผ่กิ่งก้านสาขา จนร่มเงาปกคลุมบริเวณนั้น ดวงอาทิตย์ที่กำลังอัสดง ท้องฟ้าสีส้มเข้มกำลังถูกกลืนด้วยความมืด ครูกรเดินออกไป ยืนริมผา ดวงตาเพ่งมองออกไปยังความเวิ้งว้างเบื้องหน้าแล้วหลับตาลง
“ภูผา ภูผา” เสียงร้องเรียกของกร ที่เห็นภาพเบื้องหน้า คือมอเตอร์ไซค์ของภูผาที่ร่วงลงไปค้างอยู่บริเวณกอป่าหญ้าตรงปากหน้าผา กรยังคงพยายามร้องตะโกนเรียกต่อไป ชาวบ้านที่มามุงดูเหตุการณ์ต่างพากันพูดคุยกันไปต่างๆ นาๆ แสงไฟสีแดง สลับนํ้าเงินของรถฉุกเฉิน สว่างวาบไปทั่วบริเวณ กรก็ยังพยายามตะโกนต่อไปเรื่อยๆ จนหมดแรงแล้วทรุดลงนั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้น.
ผลงานอื่นๆ ของ Sincubus ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Sincubus
ความคิดเห็น