Journey of Run Dawn of Darkness:ปฐมบทอรุณมืด - นิยาย Journey of Run Dawn of Darkness:ปฐมบทอรุณมืด : Dek-D.com - Writer
×

    Journey of Run Dawn of Darkness:ปฐมบทอรุณมืด

    รุณ ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต เขาตื่นขึ้นในโลกไม่คุ้นตาและพบว่าไม่ได้มีแค่เขาที่มาที่นี้และต้องพัวพันกับคำทำนายแห่งความโกลาหล เขาต้องพิสูจน์ว่าเขาคือใครในเรื่องราวนี้ ผ่านการผจญภัยในโลกดาบและเวทมนตร์

    ผู้เข้าชมรวม

    63

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    11

    ผู้เข้าชมรวม


    63

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  แฟนตาซี
    จำนวนตอน :  1 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  13 พ.ย. 67 / 21:44 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      บทนำ ผู้มาเยือนทั้งสี่





         "หนาวจัง"รุณพูดขึ้น ร่างนอนแผ่หลาบนฟุตพาทอาบเลือดตัวเอง ลมหายใจรวยรินเต็มที เขาเพิ่งโดนรถชนอย่างแรง 

         "คุณลุง!"เสียงร้องของเด็กสาวดังขึ้น มืออุ่นๆสัมผัสมือของรุณ มือที่ค่อยๆเย็นลง



    1ชั่วโมงก่อน


         ณ กรุงโตเกียว เวลา19:43 สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นให้คนเดิน ผู้คนที่คับคั่งต่างเดินเข้าหากันจากถนนคนละฝั่ง หนึ่งในนั้นคือชายวัยสามสิบท่าทีดูร้อนรน เขาแทรกตัวผ่านผู้คนที่แออัดก่อนจะมาหยุดที่ริมถนนอีกฝั่ง เขาจ้ำอ้าวต่อผ่านสามช่วงตึกและหยุดรอสัญญาณไฟอีกครั้ง ถนนนี้เล็กลงจากครั้งก่อน เด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งมีท่าทีร้อนรนไม่ต่างจากเขา เธอหยุดฝีเท้าลงข้างตัวเขาและรอสัญญาณไฟ “ในเวลานี้ไม่น่าจะควรมีเด็กนักเรียนนิ แถมยังมีท่าทีรีบเร่งอีก” เขาคิดในใจ แต่เขาดันลืมตัวจนเผลอมองเธอนานเกินไป เธอมีผมสีดำ สั้น ดวงตาโตดูมีประกาย โดยรวมแล้วมีเสน่ห์


         “เออคือ…มีอะไรหรือเปล่าค่ะ”นักเรียนหญิงทักขึ้นเบาๆ 

         “ขอโทษ! พอดีคิดว่าทำเด็กนักเรียนถึงได้มาแถวนี้ในเวลานี้..น่ะ” เขาบอก

         “คาราโอเกะค่ะ”เธอยิ้ม

         “คารา…ที่ที่คนเข้าไปร้องเพลงใช้ไหม”

         เด็กสาวเลิกคิ้วพลางหัวเราะมุมปาก

         “นี้เธอหัวเราะอะไร”เขาถาม 

         “จะว่าไงดีล่ะ คุณลุงพูดเหมือนคาราโอเกะเพิ่งมีบนโลกไม่นานมานี้เลย”เธอใช้นิ้วปาดน้ำตา

         “ก็ใช่ว่าฉันจะไม่รู้จักซักหน่อย”

         “คุณลุงเนี่ยแปลกดีนะ”

         เขาสะดุ้งเล็กน้อย “คุณลุง”ช่างเป็นคำที่ทำร้ายจิตใจมากทั้งที่เพิ่งจะอายุสามสิบเองหรืออาจเพราะเขาลืมโกนหนวด “จะดีเหรอพูดแบบนี้กับคนที่เพิ่งรู้จักกันแถมฉันยังอายุเยอะกว่าอีก”

         “งั้นคุณลุง..หนูชื่อ นาโอมิ อากิโกะ น่ะฝากตัวด้วย”เธอยิ้มกว้าง “ว่าแต่คุณลุงละ”

          เขากระแอมเล็กน้อย “เรียกว่ารุณก็ได้ ที่จริงฉันเป็นคนต่างชาติ” รุณเหลือบมองไปที่นาโอมิ เธอมีใบหน้าตื่นเต้นขั้นมา

          “Where are you from?(คุณมาจากที่ไหนค่ะ)” นาโอมิถาม

          “ประเทศไทยนะ แล้วทำไมอยู่ดีๆก็พูดอังกฤษขึ้นมา”

          “หนูกำลังฝึกอังกฤษอยู่ ถ้าได้คุยกับคนต่างชาติล่ะก็ต้องพัฒนาได้เร็วแน่”

          “ก็จริงแหละ”

          “คุณลุงพูดอังกฤษได้หรือเปล่า”

          “ได้สิ แต่ทำไมยังเรียกลุงอยู่ล่ะ”


         ทั้งสองยืนพูดคุยกันสักพักใหญ่ สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนสีแล้วเปลี่ยนสีอีกจนกระทั่ง เมื่อคนข้ามถนนน้อยลงแล้วโทรศัพท์ของนาโอมิดังพวกเขาจึงได้รู้ว่าเวลาผ่านไปมากกว่ายี่สิบนาที

         

          “เพื่อนหนูโทรตามแล้ว ต้องไปแล้วคะ”

          “อือ”เขาพูดสั้น

          “อะไรกันล่ะนั่น” นาโอมิคิ้วขมวด

          “ทำไมล่ะ”รุณถาม

          “คุณต้องพูดว่า ไว้เจอกันพรุ่งหรือไว้เจอกันคราวหน้า”เธอชี้

          รุณไม่ตอบกลับแต่มีเพียงรอยยิ้มบางๆบนใบหน้า

           “อะไรกันล่ะค่ะนั่น”เธอเอียงคอสงสัย

           “เธอทำให้ฉันนึกถึงลูกสาวน่ะ”

           “งั้นเหรอ ลูกสาวคุณลุงอยู่โรงเรียนอะไรเหรอคะแล้วอยู่ชั้นไหน”เธอถามด้วยท่าทีดีอกดีใจ

           “ไม่รู้หรอกเพราะเธอไม่อยู่กับฉันแล้ว”เขาตอบอย่างนิ่งเฉย

           “ฉันขอโทษนะคะ”เธอก้มศีรษะลง

           “ไม่ ไม่”เขาโบกมือเพื่อบอกว่าไม่เป็นไร “คือฉันเป็นคนพูดขึ้นมาเอง มันไม่เกี่ยวกับเธอหรอก”เขายิ้มเพื่อให้เธอสะบายใจ

           “งั้นเหรอคะ คุณลุงเนี่ยใจกว่าที่คิดอีกนะคะ” 

           “อือ” เขาตอบ

           “เอาอีกแล้ว อือเนี่ย”เธอถอดหายใจ

           “ไม่ใช่ว่าเธอรีบหรอกเหรอ”เขาชี้

           “จริงด้วย!” เธอดูเวลาปรากฏว่าเลยเวลามาสามสิบนาทีแล้ว “ไปก่อนนะคุณลุง ไม่สิคุณรุณ”เธอโบกมือด้วยท่าทีร่าเริงก่อนจะก้าวออกไปเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยน รุณโบกมือตอบรับเขาเองก็ต้องรีบไปเหมือนกัน เอกสารที่หัวหน้าสั่งให้กลับมาเอาไม่งั้นต้องถูกดุอีก เขาหลับตาลงเพื่อตั้งสติ โลกมืดลงชั่วคราว ความมืดนี้ทำให้เขาสงบใจและผ่อนคลาย แต่แล้วแสงสว่างก็สาดใส่ใบหน้าเขา เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นรถยนต์กำลังวิ่งมาด้วยความเร็วสูงและไม่มีท่าทีจะหยุด คนขับเมาเหล้าอย่างเห็นได้ชัด ภาพบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว มันเป็นภาพที่เขาพยายามลืมมัน ภาพของเลือดและรถยนต์ที่ถูกอัดกับต้นไม้ 


           ก่อนที่รุณจะตั้งสติได้อีกครั้งอีกไม่นานมันจะชนนาโอมิเธอเพิ่งก้าวออกไปได้แค่ครึ่งถนน ในชัวพริบตานั้นโลกราวกับหมุนช้าลงทั้งที่มันควรเป็นเสี้ยววินาทีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วแต่ความคิดของรุณเร็วกว่า “ฉันควรช่วยเธอดีไหม”ความคิดแรกที่ปรากฏในหัว “ถ้าเข้าไปช่วยฉันเองนี้แหละจะถูกรถชนแทน” ความกลัวแทรกซึมไปทั่วร่างแต่แล้วความกลัวเปลี่ยนเป็นความสงสัย “ฉันยังมีค่าอีกเหรอ ชีวิตก่อนหน้าไม่มีสิ่งไหนบอกว่าฉันควรมีชีวิตต่อ…แต่ก็กลัวอยู่ดี….ใครก็ได้ ใครก็ได้ช่วยเธอที” รอบข้างของรุณมีครอบครัวพ่อ แม่ ลูกอยู่และอีกฝั่งของถนนยังมีนักเรียนอีกสองคน “ใช่แล้ว ฉันเข้าใจแล้ว”ในเสี้ยววินั้นเขาก็ตระหนักได้ “ทุกคนในที่นี้ก็ต่างมีอนาคตที่ต้องดูแล ใช่แล้วพวกเขากำลังคิดเหมือนฉัน(ใครก็ได้ ใครก็ได้ช่วยเธอที)งั้นคนที่ต้องทำมันคือฉัน นี่แหละคือคำตอบที่ถูกต้อง”


         สิ้นสุดความคิดขาทั้งสองข้างผลักตัวเขาไปอยู่กลางถนนรุณผลักนาโอมิไปข้างหน้าให้พ้นระยะ ส่วนตัวเขาก็กระโดดถอยหลังเพื่อให้พ้นเช่นกันแต่เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดเมื่อคนขับตื่นตกใจพวกเขาแล้วหักพวงมาลัยมาทางรุณ “โครม!” ร่างรุณกระเด้นจนไปถึงฟุตพาท


         ร่างอาบไปด้วยเลือดนอนแน่นิ่ง“เจ็บ..เจ็บจัง นี่เราจะรอดหรือเปล่า” แขนและขาหักเกือบทุกท่อนซี่โครงหักแทงทะลุปอดเลือดคั่งในสมอง “ถึงรอดไปได้ก็ต้องเสียค่ารักษามาก ฉันจ่ายไม่ไหว”เขาคิด ภาพรอบๆเริ่มพร่ามัวเขากำลังจะตาย ภาพในอดีตถาโถมเข้าหา ว่ากันว่ามันเป็นเพราะสมองกำลังหาวิธีรอดจากสถานการณ์ถึงตาย 

    .

    .

    .

    .

         ตั้งแต่จำความได้คุณก็อยู่กับเพียงลำพัง แม่ต้องเลี้ยงดูเขาด้วยตัวเอง เขาจบการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาต้น ต้องออกมาหางานเพราะแม่อายุมากแล้ว เขาได้มาทำงานต่อที่ประเทศญี่ปุ่นด้วยวุฒิการศึกษาแค่นี้ย่อมหางานยากเป็นธรรมดา แต่เพราะทักษะภาษาอังกฤษทำให้เขาได้งานในที่สุด นั้นคือบริษัทเอกชน ณ กรุงโตเกียว เงินที่ได้ก็มีพอจะไม่ให้แม่ทำงานอีก “มันคงดีที่สุดแล้ว”เขาคิด แต่เมื่ออายุยี่สิบสี่ก็ได้ยินข่าวร้าย แม่ของเขาเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ เกิดจากการพักผ่อนไม่พอและความเครียดสะสม ค่ารักษาแพงเกิดกว่าที่เงินเพียงเท่านี้จะช่วยได้ เขาแบ่งเงินให้แม่มากกว่าเดิม ให้ตัวเองมีค่ากินค่าอยู่ก็พอ เขาทำทุกอย่างเพื่อเงินที่มากขึ้นเพียงสักนิดก็ยังดี เมื่อวันที่สิบสี่เดือนกันยายนโรคร้ายก็พรากแม่ไป รุณมารู้ทีหลังว่าแม่กลับไปทำงานเพื่อให้มีเงินมากพอไม่ให้ลูกชายต้องส่งมามากจนตัวเองลำบาก มันช่วงที่หนักหน่วงเกินไปสำหรับเขา รุณไม่เคยมีเพื่อน ไม่มีญาติ ไม่มีคนสำคัญ ไม่เคยมีเป้าหมายในชีวิต ไม่ พูดแบบนั้นก็ไม่ถูกเป้าหมายในการใช้ชีวิตของเขาได้ตายไปแล้ว “ฉันไม่จำเป็นต้องพยายามอีกต่อไปแล้ว ฉันเหนื่อย เหนื่อยมากๆ”


           ในเวลาต่อมาเขาได้พบรักกับ อาคาเนะ ไอริ เธอเป็นพนักงานร้านสะดวกซื้อใกล้ๆกับที่ทำงานของเขา เธอเป็นคนใจดีและอ่อนโยน พวกเขาแต่งงานและมีลูกที่น่ารักชื่อ อาคาเนะ คาเร็น เราตัดสินใจใช้นามสกุลของฝั่งแม่ รุณเองก็เปลี่ยนเป็น อาคาเนะ รุณ กว่าจะยืนเรื่องสำเร็จก็ใช้เวลาพอสมควร 


           ตั้งแต่แม่เสียไป ไอริและคาเร็นคือเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้มีชีวิตต่อ แต่ราวกับชีวิตเล่นตลก ในวันที่ยี่สิบเดือนกันยายนเวลา20.35อุบัติเหตุพรากพวกเขาไป โดยตำรวจบอกว่ามีชายคนหนึ่งเมาแล้วขับ จึงไม่สามารถควบคุมรถได้ จึงพุ่งชนรถของไอริเข้ากับต้นไม้ โดยเธอเพิ่งจะพาคาเร็นไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้ๆ ส่วนคนเมาดั้งกล่าวก็เสียชีวิตเช่นกัน 


           และแล้วชีวิตก็กลับมาสู่หนทางเดิมหนทางแห่งความว่างเปล่า ในบ้านที่เคยอบอุ่นตอนนี้ไม่เหลือร่องรอยแห่งความรัก ความสุขอีกต่อไป เวลา21:34 รุณหยุดฝีเท้าลงบนดาดฟ้า หมายจะจมดิ่งแล้วหายไป ขณะปลายเท้าจดจ่อที่ขอบตึก หัวใจเต้นระรัวมือเท้าเย็นเฉียบ ลมแรงพัดเข้ากระทบร่างกายทำเอาเฉเล็กน้อยแต่นั้นก็เหมือนการเตือนสติของเขา หัวใจเต้นระรัวยิ่งขึ้นเมื่อเขาจ้องมองลงไปด้านล่าง ภาพของไอริในความทรงจำตอนนั้นเขากลับบ้านมาพร้อมสีหน้าเศร้าสร้อยเพราะเรื่องในที่ทำงานและทุกครั้งก็มีภรรยาค่อยใช้รอยยิ้มปลอบประโลมแต่ครั้งนี้มันเขาเศร้าสร้อยกว่าทุกครั้ง 

            “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”เธอถามอย่างกังวล

            “โทษที ไอริ ผมเหนื่อยนิดหน่อยน่ะ”เขาตอบ

            “ไม่ได้นะคะ คุณต้องพักผ่อนบ้าง คุณทำงานติดมาหลายวันแล้ว”เธอมีสีหน้ากังวลยิ่งกว่าเดิม

            “อีกนิดเดียวผมก็ได้เลื่อนขั้นแล้ว แล้วพวกเราจะได้อยู่อย่างสะบายยิ่งขึ้น”เขาตอบพลางยิ้ม

            มืออุ่นๆจับเข้าที่ใบหน้าของเขา น้ำตาของผู้เป็นภรรยาไหลอาบแก้ม “อย่าพูดแบบนั้นอีกนะ พวกเรามีความสุขกันอยู่แล้ว”เสียงของเธอสั่นเครือ “ถ้าคุณยังกลับมาบ้านพร้อมใบหน้าแบบนั้นอีก คาเร็น ก็จะไม่สะบายใจไปด้วยนะ” 

            ในที่สุดเขาก็ตาสว่าง กระเป๋าในมือหล่นลงพร้อมกับการโผเข้ากอดกัน 


            รุณถอยออกจากขอบตึก เขาจะอยู่ อยู่เพื่อจดจำเธอ ใช้ชีวิตแทนพวกเขา 

            “ฉันขอโทษ ไอริ ฉันขอโทษ”

    .

    .

    .

    .

         “หนาวจัง”เขาคิด ลมหายใจเบาบางลงทุกขณะความเจ็บปวดเริ่มจางหายไปพร้อมสติ ร่างกายชา 

         “โตขึ้นลูกอยากเป็นอะไรรุณ”เสียงของแม่ในความทรงจำดังขึ้น

         “ผมอยากเป็นฮีโร่ปกป้องโลก”เสียงเด็กน้อยไร้เดียงสากล่าวขึ้น

         “ฮ่า ฮา ฮ่า” แม่หัวเราะสนั่น

         “แม่! อะ หัวเราะอะไร”

         “เปล่าๆ” เธอเช็ดน้ำตาพลางหายให้ทัน “แม่แต่ภูมิใจ”แต่เมื่อสิ้นสุดคำเธอก็หัวเราะร่าอีก

         “ผมเกลียดแม่ที่สุดเลย”เขาพูด 

         มือของแม่วางบนหัวของรุณ สีหน้าของเธออ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“แม่เชื่อนะ ว่าลูกเป็นได้ทุกอย่างแม้กระทั่งฮีโร่”เสียงที่อ่อนโยนเริ่มเลือนลางไป 

         “ฮีโร่…มันจะมีของแบบนั้นได้ไง”เขาคิด ก่อนที่สติจะหายสมบูรณ์ เขาได้เห็นนาโอมิร้องไห้ข้างตัวของเขา กอดตัวของเขาและหลั่งน้ำตา“เธอปลอดภัย ดีแล้ว….”

    .

    .

    .

    .

           ความมืดปกคลุมเสียงรอบตัวเงียบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ฉันตายแล้ว”เขาคิด “แต่ทำไม

    …น่าพิกล ฉันได้กลิ่นอะไรบ้างอย่าง….หินเหรอ ไม่สิ ทำไมล่ะ”ความแปลกประหลายยากจะอธิบาย มันไม่ควรเป็นแบบนี้ มือและเท้าเริ่มขยับได้ทีละน้อย ดวงตายังคงมืดบอด เขาเริ่มรู้สึกได้ถึงสิ่งต่างๆรอบตัว อากาศเย็น กลิ่นของหินปูน เขากำลังนอนอยู่บนพื้นหินหยาบๆเขารู้สึกได้ ดวงตาเริ่มชัดเจนภาพแรกที่เห็นคือเพดานสูงของห้องโถงขนาดใหญ่ บนนั้นมีภาพวาดฝาผนังรูปคล้ายคนคนหนึ่งชูดาบที่ส่องแสงประกายบนร่างของอะไรบ้างอย่าง ดูไม่ใช่มนุษย์ มีตัวสีดำรูปร่างผิดแปลกราวกับปีศาจ 

           เมื่อขยับตัวได้รุณลุกขึ้นยืนแต่ก็ล้มลงนั่งอีกครั้ง ขาของเขาอ่อนแรง มึนหัวเหมือนโดนของใหญ่ๆทุบเข้า แสงจันทร์ลอดผ่านหน้าต่างและส่องสว่างผ่านกระจกสีคล้ายในโบสถ์ แสงดังกล่าวทำให้เขาได้รู้ว่าตัวเขาอยู่ใต้เงาของอะไรบางอย่าง เมื่อหันหลังไปมองก็ได้เห็นวัตถุทรงกลมสีดำขนาดเกือบเท่าลูกบอล มีวงแหวนซ้อนทับกันอยู่ห้าวงโดยรวมแล้วมันสูงถึงสิบสี่ฟุตเลยทีเดียว 

           “นี้มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ”เสียงหนึ่งพูดขึ้น

           รุณมองไปแล้วจึงได้รู้ว่าไม่ได้มีเพียงแค่เขา มีอีกสามคน คนแรกคือชายที่พูดออกมาก่อนหน้า เขามีผมสีแดงเข้ม ใบหน้าดูดุร้าย แต่ก็หล่อเหลา เขาสวมเสื้อกันหนาวยาวสีดำ คนที่สองดูเด็กกว่า เขามีผมสีดำ สวมแว่นหนาเตอะ ดูผอมแห้งแรงน้อย สวมเครื่องแบบนักเรียนญี่ปุ่น คนสุดท้ายเป็นผู้หญิงในวัยทำงาน ผมยุ่งเหยิงสีน้ำตาล หน้าตกกระ 

           “พวกเราอยู่ที่ไหน”หญิงสาวถามขึ้นด้วยท่าทีตื่นกลัว

           “เหมือนห้องโถงในปราสาทเลย”ชายผมแดงกล่าวขณะพินิจพื้นที่รอบๆ “ฉันจำได้ว่าฉันตกลงไปในน้ำแล้วก็…” คำพูดทำเอารุณและคนอื่นแสดงหน้าคล้ายกันคืองุนงง

           "ฉันถูกแทงด้วยมีด..แล้วก็มาอยู่ที่นี้แล้ว"หญิงสาวพูดเสริม

           "ผมตกจากที่สูง.."เด็กชายผมดำพูดอย่างหวาดๆ

           "ฉันถูกรถชน"รุณพูด

           "ว้าว..เราตายแล้วมาอยู่ในห้องโถงแปลกๆ"ชายผมแดงพูดพลางกางแขนอย่างประชดประชัน

           “พวกเราอาจจะอยู่ต่างโลก”เด็กชายผมดำกล่าวขึ้น

           “มันคืออะไร”หญิงสาวถาม

           “โลกแห่งเวทมนตร์โลกแฟนตาซีเหมือนในการ์ตูน มังงะไง” เขากล่าวด้วยท่าทีตื่นเต้น

           “เป็นไปไม่ได้”ชายผมแดงพูดท่าทีไม่เชื่อ"ของแบบนั้นจะไปมีจริงได้ไง"

           เด็กชายผมดำพยักไหล่ตอบ

           "เราคงไม่ได้อยู่ในรายการทีวีอะไรหรอกนะ"หญิงสาวถาม

           "ผมว่าเป็นไปได้ยาก ผมถูกรถชนปางตายแต่ตอนนี้ไร้บาดแผล"รุณตอบ"นี้อาจเป็น..โลกหลังความตายอะไรทำนองนั้นหรือเปล่า" ทุกคนมีท่าทีไม่เชื่อแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีมูล บัดนี้การบอกว่าถูกเอเลี่ยนจับตัวมาก็ยังมีโอกาสเป็นไปได้เช่นกัน ความเงียบปกคลุมห้องโถงทุกคนต่างมีวิธีหาข้อสรุปแตกต่างกัน แต่วิธีการคล้ายกันคือมองไปมาในห้องโถงเพื่อหาสิ่งที่สามารถอธิบายเรื่องบ้าๆนี้ได้

              

           ในขณะนั้นประตูของห้องโถงก็เปิดออก ร่างหนึ่งเดินเข้ามา ชายผิวดำ หัวโล้น ใบหน้าเต็มไปด้วยบาดแผล ใต้ชุดเกราะสีขาวลวดลายสีทองพร้อมผ้าคลุมสีแดงซึ่งปกคลุมดาบและปืนสั้นกระบอกหนึ่งเอาไว้ เขายกคบเพลิงขึ้น เงาทอดตัวผ่านพวกเขาทั้งสี่

           “นั้นใคร”เสียงของเขาสะท้อนก้องในห้องโถง ร่างเงาของทั้งสี่ดูจะชัดเจนจากแสงไฟ "พวกแกเป็นใคร"เสียงดูดุร้าย

           "เดี๋ยวก่อน"ชายผมแดงพูดขึ้นพลางยกมือทั้งสองให้เห็น"พวกเราไม่ใช่คนไม่ดี"

           "เรื่องนั้นฉันจะตัดสินเอง"เขาพูดเสียงดังขณะย่างก้าวเข้าหาพวกเขา แสงไฟจากคบเพลิงสาดส่องใส่ตาจนต้องยกมือขึ้นปิด

           "พวกเราไม่มีอาวุธ"รุณพูดเสียงอ่อนนุ่มราวอ้อนวอน

           "เข้ามาในนี้ได้ไง"อัศวินเกราะขาวเอ่ยถาม

           "เราไม่รู้"ชายพูดแดงตอบ"อยู่ตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี้แล้ว"

           "โกหกหน้าด้านๆ"อัศวินเกราะขาวชักดาบออกจากฝัก"พวกหัวขโมย"เขาพูดเสียงกริ้ว ดาบในมือยกขึ้นสูง รุณและคนอื่นๆถอยไปข้างหลังพร้อมกัน

            "หยุดก่อน!"เสียงตะโกนดังสนั่นไปทั่วห้องโถงในขณะที่ประตูเปิดออก


     

                                                                                    





    โปรดติดตามบทต่อไป

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น