ตอนที่ 51 : ผูกไมตรีเพียงชั่วคราว
ท้องฟ้าทิศตะวันออกฉายแสง อากาศนับว่าเย็นรื่นชื่นใจไม่ถึงกับร้อนรุ่มและหนาวเหน็บ ท้องฟ้าแดนใต้วันนี้ปลอดโปร่งยิ่งนัก ยามเช้ามาถึงแล้วขณะที่ผู้คนเดินเข้าออกพลุกพล่าน ตามกำหนดการแล้ววันนี้จะเป็นวันลงนามสงบศึกของทั้งสองแคว้น ดังนั้นในเมืองถานเฟิ่งจึงมีกำลังพลจากทั้งทหารรักษาการณ์ภายในเมืองและทหารจากค่ายทักษิณมาช่วยเหลือตรวจตราดูแลความเรียบร้อยอย่างเคร่งครัด กระแสความคึกคักเหล่านั้นยังเผื่อแผ่มาถึงทหารของวังจวิ้นอ๋อง ข้านั่งมองใบหน้างามของหวงเทียนหยางอยู่หน้ากระจกทองเหลือง ปล่อยให้เหล่าไท่ช่วยผวีผมเพื่อแต่งตัวหลังล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย จากจุดที่นั่งอยู่ยังสามารถเห็นการจัดเวรยามที่เคร่งครัดผิดปกติกว่าทุกวัน
“เหล่าไท่ กำหนดการไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พวกเขายังลงนามสงบศึกกันที่จวนเจ้าเมืองใช่หรือไม่?” สบตากับผู้เฒ่าผ่านกระจกเบื้องหน้า ข้าอดปากถามไม่ได้เมื่อมองเห็นลักษณะการดูแลรักษาความปลอดภัยที่เคร่งครัดกว่าทุกวัน หรือเมื่อวานที่ข้าปฏิเสธไม่พบใคร ที่แท้มีคนคิดโยนหน้าที่ให้วังจวิ้นอ๋อง
“ใช่ขอรับ” ฟังเหล่าไท่ยืนยันข้ายิ่งต้องขมวดคิ้ว “แต่เห็นว่าท่านเขยกลับมาจัดการเรื่องเวรยามตั้งแต่เมื่อวาน ตำหนิว่าการรักษาความปลอดภัยหย่อนยานลงมาก วังจวิ้นอ๋องอยู่ไม่ห่างจากจวนเจ้าเมือง อาจมีผู้ใดคิดไม่ซื่ออาศัยจังหวะลอบเข้ามาได้”
“เป็นไปได้” ฟังคำตอบแล้วนึกถึงเรื่ององค์ชายเจ็ด ข้าพยักหน้าโดยพลัน ต้องพบเจอคนเช่นนั้น ระวังตัวไว้ยังจะดีกว่า ไม่นับว่าอาจมีมือที่สามหรือสี่ของรัชทายาทยื่นเข้ามา จุดอ่อนปิดได้ก็ควรจะปิด “อ่ะ---”
“นายน้อย! เจ็บหรือไม่?” เหล่าไท่ชะงักมือวูบแล้วร้อนรนเอ่ยถามทันทีเมื่อเผลอลงมือหวีหนักไป ฟังคำพูดและเห็นท่าทีร้อนรนของผู้เฒ่าแล้วข้ามีหรือจะกล้าออกปากตำหนิ ดังนั้นจึงยิ้มเหยแล้วส่ายหน้า ยกมือลูบหัวตัวเองที่เจ็บจี้ดและนึกถึงดวงตาที่เริ่มฟ้าฟางไปตามอายุของเหล่าไท่ มาใช้งานผู้เฒ่าวัยห้าสิบกว่าหวีผมให้ ถ้ายังจะหงุดหงิดอีกข้าไม่นับว่าเป็นตัวอะไรไปแล้ว
“ข้าไม่เป็นไร แต่มาใช้งานผู้ชราเช่นนี้ ลำบากเหล่าไท่แล้ว”
ข้ายกมือลูบเส้นผมนุ่มลื่นดกดำของคนงาม ที่จริงเรื่องเช่นนี้สมควรทำด้วยตัวเอง แต่บอกว่าหวีผมไหนเลยจะแค่นั่งให้ผู้อื่นหวีผมธรรมดา งานวันนี้ที่ข้าต้องเข้าร่วมเป็นสักขีพยานต้องแต่งตัวเต็มยศมิต่างกับยามเข้าเฝ้าหน้าพระพักตร์ จะทำอย่างลวกๆไม่ได้เพราะเกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของแคว้น ไหนเลยจะปล่อยผมยาวสยายแบบจอมยุทธ์ในหนังกำลังภายใน มีแต่ต้องมาถักเปียเกล้าผมสวมกวาน ทั้งหมดนั่นหากทำด้วยตัวเอง งานเช่นนี้คนไม่มีตาหลังยากจะทำจนเสร็จได้
“นายน้อยพูดอะไรเช่นนั้น..” เหล่าไท่ส่ายหน้าและถอนใจเบาๆ หยิบจับหวีที่ทำจากหยกมันปลาบมาเพื่อลงมือต่ออีกครั้ง “ผิดที่ข้าน้อยสายตาไม่ดีเอง แต่งานเช่นนี้มิอาจให้บ่าวไพร่ทั่วไปลงมือ ประเดี๋ยวข้าจะไปคัดเอาเด็กรับใช้ที่ไว้ใจได้..”
“ให้ข้าช่วยดีหรือไม่?”
สุ้มเสียงคุ้นหูแทรกขึ้นก่อนเหล่าไท่จะเอ่ยจนจบประโยค สุ้มเสียงดังขึ้นใกล้ประตูทำให้ข้าหันไปมอง สายตามองดูแล้วพบเงาร่างดำๆแสนคุ้นตาของสามียืนอยู่หลังประตูกระดาษสาเป็นเงาตะคุ่ม หลินจวินเจ๋อคงแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้ว่าเอาเวลาเตรียมตัวและพักผ่อนมาจากไหน ข้านึกถึงคนที่เมื่อคืนยืนเฝ้าประตูห้องอยู่แล้วถอนใจเล็กน้อย บุ้ยใบ้ให้เหล่าไท่ไปเปิดประตู
“มีธุระอะไรหรือ?”
สบตากับหลินจวินเจ๋อผ่านกระจก ท่านแม่ทัพใหญ่ชะงักเท้าและเปลี่ยนรอยยิ้มบนใบหน้ามาทำท่าทีประหนึ่งกำลังเข้าเยี่ยมญาติที่ป่วยใกล้เสียชีวิต เห็นใบหน้าที่เฉาลงทันตาแล้วข้าก็เมินเสีย เปลี่ยนมาเพ่งพินิจใบหน้างามของหวงเทียนหยางที่ไร้รอยช้ำ เห็นลำคอขาวๆไม่มีรอยบีบรอยกัดอันใดและไม่ต้องพันผ้าเดินไปมาแล้วก็นึกพึงใจ อย่างน้อยๆประโยชน์ของเรื่องไม่น่าอภิรมย์ทั้งหลายก็ยังมี หนึ่งคือทำให้ผิวของคนงามไร้รอยราคีน่าสัมผัส
“ข้ามารอรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน” อีกฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ดวงตาคู่นั้นที่มองข้าฉายแววลังเลคล้ายกลัวจะได้รับคำตอบเป็นอาการหงุดหงิดหรือด่าทอ หลินจวินเจ๋อเดินเข้ามาใกล้อีกเล็กน้อยแล้วจึงกระแอมอีกครั้ง “ให้ข้าช่วยเจ้าหวีผมเถอะ”
“ท่านทำเป็น?” ข้าเลิกคิ้วขึ้นช้าๆ ไม่ค่อยเชื่อว่าคนอย่างหลินจวินเจ๋อที่วันๆจับดาบออกรบจะมานั่งประดิษฐ์ทรงผมพิถีพิถันกับใครเขา
“แม้จะไม่เชี่ยวชาญนักก็ยังพอทำได้..” สามีรับปากแข็งขัน ร่างในชุดขุนนางบู้ขั้นหนึ่งสวมเสื้อคลุมลายพยัคฆ์ขยับเข้ามาใกล้อีกเล็กน้อย ใบหน้าปรากฏความกระตือรือร้นและอยากเอาใจเสียเจ็ดส่วน “ปรกติในเวลายุ่งยากข้าก็มักจัดการด้วยตัวเอง ไม่สวยงามมากแต่ก็ยังถือว่าถูกระเบียบ”
“นั่นสินะ ท่านไม่มีสาวใช้คอยดูแล” ข้าพยักหน้า นึกถึงงานเลี้ยงวันก่อนที่ตนเองเป็นฝ่ายลากหลินจวินเจ๋อมานั่งและบงการให้สาวใช้คนหนึ่งมาช่วยหวีผมให้อีกฝ่าย ท่านแม่ทัพแดนใต้ไม่ได้มีพื้นเพสูงส่งยิ่งใหญ่มาจากไหน ต้นตระกูลหรือก็แค่ชาวบ้านธรรมดาที่ไต่เต้ามาได้ด้วยความดีความชอบล้วนๆ เขาย่อมมิใช่คุณชายที่มีเด็กรับใช้ประจำตัวแน่นอน “อยากได้สักคนไหม?”
“อาซิ่น...” เสียงครางแผ่วนั้นมีผลแค่ทำให้ข้าเมินเฉยเขาอีกครั้ง ข้าเอื้อมมือจัดกระจกบานเล็กเบี่ยงทางไม่ให้มันสะท้อนใบหน้าที่ฉายแววเจ็บปวดของท่านแม่ทัพใหญ่เบื้องหลัง ไม่สนใจว่าคนจะโอดครวญไปทำไม แม้ให้สาวใช้ประจำตัวจะไม่ต่างกับมอบภรรยาน้อยให้สามีตัวเอง แต่จะลากนางขึ้นเตียงหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าตัว หากเขาไม่สนเสียอย่างแม้นางถอดเสื้อผ้าอยู่บนเตียงก็ไร้ผล คิดดังนั้นข้าจึงพ่นลมหายใจ กระพริบตาคู่งามจ้องมองใบหน้าเลิศล้ำเหนือผู้ใดในปฐพีเงียบๆ
“นายน้อย นี่จะสายแล้ว” เหล่าไท่กระแอมอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าแสงอาทิตย์เริ่มร้อนแรงขึ้น “ข้าน้อยขอตัวไปเตรียมสำรับกับข้าว ผู้เฒ่าแก่แล้วสายตาไม่ดี รบกวนท่านเขยด้วย”
ว่าแล้วผู้เฒ่าก็ยัดหวีหยกใส่มือเจ้าลูกเต่า โค้งให้ข้าและเดินออกไปจากห้องอย่างกระฉับกระเฉง อัปกริยารวดเร็วตัดสินใจเด็ดขาดอย่างไม่น่าเชื่อว่าเป็นผู้ชราตามคำกล่าวแม้แต่น้อย ทิ้งข้าให้กระพริบตาปริบๆกับกระจก ได้..ข้าทราบแล้วว่าเหล่าไท่กำลังตักเตือนว่าอย่ามัวเล่นละครงอนง้อของสามีภรรยา แม้อยากเอาปากกัดเต่าตัวนี้ให้เลือดโชกก็ไม่ควร ข้างี่เง่ามากพอแล้ว หยุดก็ได้
“ท่านทำได้ก็รีบมา ข้าเองก็หิวแล้ว ไว้กลับไปค่อยหาเด็กรับใช้ดีๆสักคน”
ข้าออกปากให้สามีที่อยากทำตัวเป็นเด็กรับใช้มาเริ่มงาน นึกไปถึงกวางน้อยรอบตัวที่มีแต่พิษภัยแล้วนึกปวดศีรษะขึ้นมาอีกรอบ คนที่ดูแลข้าได้ดีที่สุดอย่างเสี่ยวเฉียวก็จากไปแล้ว ตอนนี้หลิวหลีที่รออยู่ในวังจวิ้นอ๋องที่เมืองหลวงถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด อาหงเป็นคนคุ้มกัน เสี่ยวเจี๋ยวตอนนี้เส้าไป๋กำลังจับตาดู ส่วนลู่ซุน แม้ข้าเอ็นดูเขาเพียงไรก็มิอาจ...
“พวกเด็กๆจากหน่วยธงดำดีหรือไม่?” เส้นผมถูกจัดสางและหวีอย่างเบามือไม่ต่างกับวาจาผู้กล่าว หากข้าฟังแล้วขมวดคิ้ว
“จะเลือกลูกๆมาเป็นเด็กรับใช้ได้อย่างไร พวกเขาฝึกอยู่ในค่ายก็ปล่อยให้ฝึกไปเถิด”
ปฏิเสธทันควันแล้วนึกไปถึงเด็กๆเหล่านั้น ‘ธงดำ’ คือชื่อของทหารกองหนึ่งที่อยู่ในค่ายทหารทักษิณ แหล่งเพาะพันธ์ยอดฝีมือที่จะเติบใหญ่เป็นทหารในอาณัติของวังจวิ้นอ๋อง หวงเทียนหยางเป็นพ่อค้า คนสกุลหวงไหนเลยยอมทำการค้าขาดทุน การอุปการะดูแลเด็กๆในฐานะบุตรบุญธรรมมิได้สิ้นเปลืองเงินทองอันใดมากมายแต่เมื่อใช้ประโยชน์ได้ไยต้องปล่อย เมื่อรับเด็กกำพร้าลูกทหารมาเลี้ยงดูหลังเด็กหนุ่มเหล่านี้อายุสิบสองคนที่พอใจจะเป็นทหารจะถูกส่งตัวมาที่ค่ายทักษิณเมืองถานเฟิ่ง เข้าฝึกฝนเพื่อกลายเป็นยอดฝีมือต่อไปและจะได้กลับมาเป็นทหารในกองกำลังส่วนตัวของวังจวิ้นอ๋องในอนาคต
ส่วนเส้าไป๋ ฐานะเด็กคนนี้ไม่เหมือนคนอื่น เขามิใช่แค่บุญชายบุญธรรมหรือคนโปรด แต่เป็นคนที่หวงเทียนหยางวางตัวเอาไว้แล้วว่าจะเป็นบุตรผู้สืบทอดกิจการทั้งหมดในอนาคต เรื่องบรรดาศักดิ์จวิ้นอ๋องจะยังได้รับหรือไม่ขึ้นอยู่กับฮ่องเต้พิจารณา แต่การได้เป็นเจ้าของกิจการทรัพย์สินที่นาในชื่อหวงเทียนหยางทำให้เด็กน้อยผู้นี้ถูกดูแลสั่งสอนอย่างเข้มงวดจากบรรดาคณาจารย์ที่ข้าและหลินจวินเจ๋อเสาะหามา และอยู่ในวังจวิ้นอ๋องกับข้าในฐานะบุตรชายที่ทุกคนทราบกันทั่ว
“เจ้าไม่มียอดฝีมืออยู่ข้างกาย ข้าเป็นห่วง” แรงหวีไม่หนักไม่เบาชวนเคลิ้มหลับไม่น้อย แต่คำว่าห่วงทำให้นึกอยากหัวเราะ อยากจะกัดเจ้าตัวสักประโยคให้จมเลือด แต่เพราะคิด’วาง’ ลงแล้ว หาเรื่องต่อก็จะเป็นการวิวาทไม่รู้จักจบสิ้น ข้าจึงเงียบเสีย หรุบตามองเงาตนเองบนกระจกอย่างใจจดใจจ่อ คิดถึงข้อนี้แล้วนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้
“องครักษ์เงา...”
“จะไม่ใช้ ข้ารู้”
หา? ครานี้ข้าอยากอุทานเช่นนั้นมากกว่า เมื่อหลินจวินเจ๋อพูดคุยถึงเรื่องนี้จึงทำให้นึกถึงบางเรื่องที่คาใจขึ้นมาได้ ฉู่เหวินมีองครักษ์เงา หวงไท่หยางก็คงจะมีคนของตน เหล่าราชนิกูลมีกองกำลังส่วนตัวกันเป็นเรื่องปกติ แต่ทหารดูแลวังจวิ้นอ๋อง หน่วยธงดำ กับองครักษ์เงาแยกจากกัน ข้ากำลังสงสัยว่าทำไมข้าถึงไม่มี ไม่ใช่ว่าจำไม่ได้ แต่เหมือนจะไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนั้น..
“ข้าจำไม่ได้” กล่าวอย่างรวบรัดแล้วจึงหมุนกระจกอีกครั้ง ครานี้ข้าสบตาหลินจวินเจ๋อผ่านแผ่นกระจกทองเหลืองขัดมันเงาวับ จ้องมองแววตาที่แข็งค้างไปครู่หนึ่งของสามีที่กำลังลงมือถักเปียให้ แม่ทัพแดนใต้ร้องอืมเบาๆครู่หนึ่ง
“ตอนนี้เจ้าต้องการไหม?”
“ข้าอยากรู้ว่าทำไมข้าถึงไม่มีความทรงจำใดๆเกี่ยวกับองครักษ์เงามากกว่า หากมู่เซินผู้นั้นไม่เผยตัวว่าเป็นองครักษ์เงาของฉู่เหวิน ข้าคงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ” กล่าวพลางจ้องมองหลินจวินเจ๋ออย่างจับผิด ข้าคิดว่าเขาต้องรู้เห็นบางอย่างแน่ดังนั้นจึงไม่คิดปล่อยมือ
“มู่เซินคือองครักษ์เงาของฉู่เหวินงั้นหรือ?” หลินจวินเจ๋อเลิกคิ้วขึ้นช้าๆ อืม เรื่องนี้ข้าเหมือนจะไม่เคยเล่าให้เขาฟัง
“หน้าตาเหมือนกันเสียเก้าส่วน เสียงก็ยังคล้าย ต่างกันตรงที่ฉู่เหวินมีตาสีฟ้า และบนใบหน้ามีรอยแผลไฟไหม้เท่านั้น” ข้าอธิบายช้าๆ คิดไปถึงเมื่อครั้งที่ตนเองสับสนเรื่องของฉู่เหวินและมู่เซินไปด้วย
“เขาถอดหน้ากากให้เจ้าดู?”
“คิดว่าคนผู้นั้นบีบคอข้าเพราะอะไรเล่า” ข้าเมินเฉยไม่สนใจน้ำเสียงเคร่งขรึมและแฝงกลิ่นน้ำส้มของหลินจวินเจ๋อ กล่าวตอบอย่างเอื่อยเฉื่อย “แต่หน้าตาก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร แค่สีตาแตกต่าง คนไห่เยี่ยนขวัญอ่อนยิ่งนัก”
“คงเพราะหน้าตาคล้ายมู่เซินกระมังเจ้าจึงไม่กลัว”
“เกี่ยวอันใดกับเจ้า” วาจาที่มีนัยยะหึงหวง หากความสัมพันธ์ยังเป็นปกติถึงว่าไม่แปลกอันใด แต่เนื่องจากคนมีคดีร้ายแรงติดตัวข้าจึงไม่คิดถนอมน้ำใจใดๆทั้งสิ้น คำพูดของข้าทำให้หลินจวินเจ๋ออึ้งชักสีหน้าอยู่วูบหนึ่ง เขาหยุดมือแต่สุดท้ายก็หรุบตาลง เริ่มกระทำสีหน้าเป็นคนถูกรังแกและเจียมเนื้อเจียมตัวดั่งสะใภ้ถูกแม่สามีกดขี่ข่มเหง
“ข้าเพียงคิดว่า..พวกเราเก็บเชื้อไฟแห่งความวิบัติไว้”
เชื้อไฟแห่งความวิบัติ คิดแล้วก็ถูกต้องเช่นที่หลินจวินเจ๋อกล่าว ผู้นำทัพอย่างฉู่เหวินก็นับเป็นเชื่อไฟแห่งหายนะจริงๆ มีเขาคุมขายแดนอยู่แม้สงบศึก แต่พ้นวันเวลาแล้วก็ย่อมต้องต่อตีกันอีก ตอนนี้ที่มีแรงรบต่อ ไม่ว่าใครก็ย่อมอยากลงมือสะสางให้จบสิ้น ข้าก็ใช่จะไม่เข้าใจ ทหารแดนใต้รบรากับไห่เยี่ยนมาทุกห้าปีสิบปี ถูกรุกรานชายแดนอยู่เป็นระยะมิได้ขาด เทียบกันแล้วใครจะชังทหารไห่เยี่ยนมากกว่าพวกเขา ครานี้ก็ทำได้เพียงขับออกจากชายแดนเพราะเบื้องบนสั่งให้เจรจา แค้นที่รองแม่ทัพเหลียงถูกบั่นคอสังหารยังมิได้ขจัด จะขัดข้องใจบ้างก็เป็นเรื่องปกติ
“ท่านก็ทราบดีว่านี่คือการผูกไมตรีชั่วคราวเท่านั้น”
“ข้าทราบ” แต่คนยังมีสีหน้าไม่ยินยอม
“ไห่เยี่ยนแม้จะมีสงครามภายใน แต่ก็ใช่จะดูถูกได้ เทียบกันแล้วเทียนจิ้นเราช่วงนี้ผจญศึกใหญ่ติดกันแทบทุกปี ห้าปีก่อนที่เมืองถานเฟิ่ง สามปีก่อนที่ทะเลหนันไห่ สองปีก่อนก็ทะเลตงไห่ มาครั้งนี้ก็ชายแดนใต้ ท้องพระคลังว่างเปล่าเกินไปแล้ว..” คิดไปถึงยามถูกบีบให้บริจาคเงินกลางท้องพระโรงแล้วข้าก็ถอนหายใจ “เล่าเรื่ององครักษ์เงาของข้าต่อเถอะ”
“คนทั้งหมดของเจ้าถูกกวาดล้างโดยฝีมือองค์รัชทายาท”
หลังฟังข้าพูดเรื่องการศึกจนจบ หลินจวินเจ๋อเงียบไปอึดใจจึงกล่าวขึ้น คำตอบที่ดังขึ้นรวบรัดที่สุดและเข้าใจชัดเจนที่สุด เป็นผลให้หนาววูบขึ้นมา ข้าสูดหายใจเฮือก เกร็งร่างยามรับรู้ถึงอารมณ์สั่นไหวอย่างแปลกประหลาดจากร่างของคนงาม ข้ากลืนน้ำลายลงคอพยายามระงับอารมณ์พลุ้งพล่านแปลกๆที่ตนมิอาจควบคุม นี่หากเดาไม่ผิด มันเกี่ยวกับเรื่องที่เขาหายไปเป็นสัปดาห์นั้นใช่หรือไม่
“เรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่มีผู้ใดทราบอย่างเคยบอกเจ้าไปแล้ว แต่องครักษ์เงาทั้งหมดยี่สิบชีวิตของเจ้าถูกกำจัดด้วยฝีมือองค์รัชทายาท เรื่องนี้เจ้าเป็นคนพูดออกมาจากปากเอง และสั่งห้ามไม่ให้ทุกคนเอ่ยถึงอีก และประกาศว่าจะไม่จัดตั้งองครักษ์เงาของตนเองขึ้นมาใหม่ เจ้าไม่ต้องการให้มีผู้ใดคอยคุ้มครองในที่ลับ” หลินจวินเจ๋อสบตาข้า กล่าวอย่างจริงจังและเคร่งขรึมอย่างยิ่ง “ไม่มีผู้ใดเอ่ยปากถึง เพราะนี่เป็นเรื่องหนักหนายิ่งกว่าราชโองการของฝ่าบาท องครักษ์เงาทั้งยี่สิบ ยอดฝีมือที่เติบโตมากับเจ้า ป้ายวิญญาณของพวกเขาถูกตั้งไว้ในสุสานของวังจวิ้นอ๋อง...เพราะร่างมิอาจหาพบ”
เพราะเหตุผลนี้นี่เอง..
ข้าฟังแล้วจึงถอนหายใจเบาๆ ไม่แปลกแล้วว่าเพราะเหตุใดถึงจำไม่ได้ หากเรื่องราวเกี่ยวพันกับหวงไท่หยาง มันก็คงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคแพ้ไท่หยางนั่นกระมัง ลองคิดในแง่มุมขององครักษ์ที่ภักดีต่อนายยิ่งชีพ หากเจ้านายตนถูกพาตัวไป มีหรือจะไม่ทุ่มเทกำลังออกตามหา หากทราบดีว่ายอดฝีมือทั้งยี่สิบคนจะต้องบุกเข้าไปเพื่อนายตน หวงไท่หยางไม่ขุดหลุมพราง วางกับดักเอาไว้ล่วงหน้าถือว่าโง่เง่าสิ้นดี
“...พวกข้าทะเลาะอะไรกัน” คิดถึงตรงนี้แล้วข้าก็ถอนใจอีกครั้ง เรื่องราวคงง่ายกว่ามากหากข้าจะจำทุกอย่างได้ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับอสรพิษแซ่หวง รึว่าพวกเขามีเรื่องทะเลาะอะไรกัน ผิดใจเรื่องใด ใครขวางทางใคร ข้าไม่เชื่อว่าหวงไท่หยางจะมีเรื่องกับจวิ้นอ๋องเพราะแค่คำว่า’เทียน’ที่มาจากเทียนจิ้น หรือแค่เพราะวังจวิ้นอ๋องบังเอิญมาเงินทองเยอะกว่าคลังหลวง คิดดูแล้วหวงเทียนหยางก็มิได้สนับสนุนองค์ชายคนอื่นขึ้นมาเป็นศัตรูกับเขา..หรือว่าทำ?
“ข้าไม่ได้สนิทสนมกับองค์ชายสี่หวงฟู่หลิว หรือองค์ชายห้า หวงจิ่งหาน ใช่หรือไม่?” ในรายนามผู้มีสิทธิ์ชิงบัลลังก์จากหวงไท่หยาง สองคนนี้ถือว่ามีโอกาสสูงสุดด้วยฝีไม้ลายมือและตระกูลฝั่งมารดาที่มีอิทธิพลไม่น้อย
“นอกจากของขวัญตามเทศกาลก็ไม่มีเรื่องราวใด” หลินจวินเจ๋อถักเปียเรียบร้อยแล้ว กำลังรวบผมข้ามามัดเพื่อครอบกวานให้ “แต่เรื่องราวเหล่านี้ข้าไม่ทราบละเอียดนัก เจ้าต้องถามเหล่าไท่ น่าจะมีบันทึกการส่งของขวัญอยู่ ส่วนเรื่องราวลึกลงไปกว่านั้นข้าเองก็ไม่ทราบ”
ข้าฟังแล้วพยักหน้า เคาะปลายนิ้วลงกับโต๊ะไม้หวงหลีเบาๆ พลางมองกำไลหยกที่กระทบไม้ดังก๊อกแก๊ก เรื่องราวเช่นนี้สมควรสอบถามเหล่าไท่จริงๆ หลินจวินเจ๋อเพิ่งเข้ามาในแวดวงข้าราชการไม่นาน สิ่งที่เขากล่าวเป็นแค่ความจริงผิวเผินเท่านั้น หากอยากทราบเส้นสนกลใน อาจจะต้องสืบเสาะจากผู้ที่อยู่มานาน รวมถึงตรวจสอบเรื่องให้แน่ชัด อย่างน้อยก็ควรรู้ว่าหวงไท่หยางคิดจัดการจวิ้นอ๋องเพราะเรื่องอะไร แม้ตอนนี้เหตุผลจะชี้นำไปถึงเรื่องเกี่ยวกับราชสำนักและราชบัลลังก์เสียแปดส่วน แต่สองส่วนที่เหลืออาจซ่อนอะไรไว้ก็ได้
นึกถึงเรื่องที่คนจากไปทิ้งไว้ให้สะสางข้าก็ลอบส่ายหน้า คิดดูแล้วที่ข้ามาอยู่ในร่างคนงามมันเป็นการมาใช้กรรมชัดๆ ทั้งเรื่องน่าปวดหัวสารพัด ทั้งดงอสรพิษรอบกาย หนุ่มน้อยหนุ่มหล่อมีก็กินไม่ได้ ใครบอกว่าได้เป็นท่านอ๋องแล้วสบาย กลับไปตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้!
“เสร็จแล้ว”
น้ำเสียงใสกระจ่างราวกับรอคอยคำชมของหลินจวินเจ๋อดังแทรกเข้ามาในห้วงคิด ข้าเงยหน้าขึ้นมองกระจกอีกครั้ง เห็นเงาสะท้อนภาพตนเองรวบผมเรียบร้อยเหลือแค่สวมกวานประดับตามยศศักดิ์และใบหน้ายิ้มแย้มของสามีเบื้องหลังก็นึกพอใจ ทว่าด้วยความเหม็นรอยยิ้มนั่นเหลือใจจึงเบี่ยงหน้าซ้ายขวา มองสำรวจจงใจหาอะไรติ
“ขอบคุณ” นึกขึ้นมาได้ว่าตนเองกำลังทำตัวแบบนางร้ายในนิยาย แม้ข้าไม่ใช่ตัวดีแต่การแกล้งคนเล่นแบบนี้ออกจะทุเรศไปหน่อย อีกทั้งนี่ก็จวนถึงเวลาที่ต้องไปทานอาหารและเตรียมตัวออกไปร่วมในพิธีลงนามสงบศึก ข้าจึงเอ่ยปากขอบคุณเขาเบาๆ ขณะที่หลินจวินเจ๋อยิ้มหน้าบาน ทำตนเป็นผู้รับใช้อันรอบรู้ หยิบกวานสวมศีรษะมาช่วยสวมให้ข้าอย่างรวดเร็วจนแล้วเสร็จ
“พวกเราไปทานอาหารกันเถิด เหล่าไท่คงรอคอยแล้ว” หลินจวินเจ๋อเอ่ยปากชักชวนและยิ้มให้อย่างติดประจบและเอาใจอย่างถึงที่สุด ข้าทราบดีว่าเขากำลังคิดทำดีพิสูจน์ตนเองหลังจากเรื่องที่ผ่านมา ดังนั้นจึงไม่คิดอ้าปากขัดอันใดอีก เรื่องที่สมควรทำก็ต้องทำไปตามกำหนดการณ์ ส่วนวิธีการของบุรุษเบื้องหน้า เขาอยากจะทำก็ปล่อยให้เขาทำไป มาตะบึงตะบอนหาเรื่องไม่จบไม่สิ้นไยมิใช่เด็กอมมือ ใจยังขุ่นเคืองแต่ไม่จำเป็นต้องแสดงออกต่อหน้า เป่าหนวดถลึงตาไปเรื่อยๆยิ่งเหมือนคนบ้าไร้สาระ
ข้ากล่าวว่าที่ไห่เยี่ยนกับเทียนจิ้นร่างสัญญาสงบศึกเพียงสามปีนี้คือการผูกไมตรีเพียงชั่วคราว แค่ต่างฝ่ายต่างกลับไปบำรุงกำลังผู้คนจนเต็มที่แล้วจึงเตรียมลงมือตบตีกันต่อ ที่ตนเองปฏิบัติกับหลินจวินเจ๋อไยมิใช่เช่นกัน เวลาตัดสินใจหรือเล่นงานตอบโต้ยังมีอีกมากมาย วางลงไปแล้วเมื่อถึงทีค่อยหยิบมาถือแล้วฟาดหวดทีหลัง ข้าเป็นคนเหนียวหนี้ ย่อมตระหนี่ไม่ยอมลืมง่ายๆอยู่แล้ว
สวมเสื้อคลุมสีแดงเข้มลายกิเลน ห้อยหยกพกแสดงฐานะแล้วจึงเดินออกไปจากห้องพร้อมกับหลินจวินเจ๋อ ในห้องโถงมีเหล่าไท่รออยู่แล้วพร้อมนำข้ารับใช้วางอาหารเช้ามาให้ ข้าจับตะเกียบนั่งรับประทานอาหาร หลินจวินเจ๋อเองก็นั่งอยู่ด้วยกัน สนทนากันเบาๆดั่งไม่มีเรื่องราวอันใด สภาพภายนอกเรียบร้อยอย่างยิ่ง จะมีก็แต่เพียงข้าและเขาที่ทราบดีอยู่ว่าระหว่างพวกเราเกิดห้วงเหวลึกหลายร้อยจั้งที่อยากจะข้ามสายหนึ่งขึ้นมา
เปล่าประโยชน์จะคร่ำครวญต่อ ข้าใช้เวลาสองวันอย่างสิ้นเปลืองไปแล้ว ดังนั้นเมื่อตัดสินใจวางก็ควรหันมาต่อตีกับศัตรูภายนอกแทน
ฤกษ์งามยามดีคือยามซื่อ(09.00-10.59) ขบวนของผู้คนสองแขวนมาพบปะกันที่หน้าจวนเจ้าเมือง เนื่องจากข้าเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นอ๋อง ดังนั้นจึงไม่ต้องลำบากออกไปยืนต้อนรับคนของไห่เยี่ยนที่หน้าประตูเมืองเช่นเหล่าขุนนางทั้งหลาย กระนั้นก็ยังต้องยืนข้างรัชทายาท ยิ้มแย้มประสานมือทักทายอย่างมากไมตรีอยู่หน้าจวนเจ้าเมือง ท่ามกลางสายตาผู้คนบนถนนสายหลักของเมืองถานเฟิ่งที่เต็มไปด้วยทหารรักษาการณ์แน่นขนัดจนแทบไม่มีช่องว่างให้แทรกตัวเข้าไป
ราชนิกูลผู้เป็นตัวแทนในครั้งนี้คือองค์ชายเจ็ดและองค์ชายสาม ส่วนทางเทียนจิ้นก็เป็นองค์รัชทายาทและจวิ้นอ๋อง ต่างถูกวางตัวเป็นบุคคลสำคัญในงานครั้งนี้ แต่แม้วางท่าเคร่งครัด พิธีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการนี้ยังไม่แล้วเสร็จ เนื่องจากไม่มีรอยตราประทับขององค์ฮ่องเต้ แม้หวงไท่หยางในฐานะว่าที่เจ้าแผ่นดินจะลงนามด้วยตัวเองแต่ยังต้องส่งไปยังวังหลวงอีกหนึ่งชั้น รวมทั้งต้องมีตัวแทนของไห่เยี่ยนร่วมเดินทางไปด้วย เพื่อตกลงเจรจาทั้งเรื่องการสงบศึกและเรื่ององค์หญิงองค์ชายที่จะทำการอภิเษกเชื่อมสัมพันธ์ เพียงแต่เมื่อได้ลงนามแล้วก็ถือว่าชาวไห่เยี่ยนเหล่านี้เป็นแขกของเทียนจิ้น ไม่อาจกระทำตัวเสียมารยาทได้อีกแล้ว
ข้ามองเหล่าขุนศึกที่มาร่วมงานแต่ยังออกอาการฮึดฮัดจ้องมององค์ชายเจ็ดและคนสนิทอย่างศัตรูคู่อาฆาตแล้วก็ได้แต่ยิ้มอย่างเข้าอกเข้าใจ กระทั่งข้ารู้สึกอยากทุบตีบางอย่างอยู่ไม่น้อยเมื่อทางไห่เยี่ยนประกาศว่าคนที่ไปเป็นตัวแทนในการเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในเมืองหลวงคือองค์ชายฉู่เหวิน เพียงคาดว่าการเดินทางกลับเมืองหลวงจะพ่วงไปด้วยองค์ชายหน้าหนาคนนี้ก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมา
การพูดจาหลังจากนั้นยืดยาวหากแต่ไร้ความน่าสนใจ เป็นแค่ความพยายามของเหล่าขุนนางที่คิดหาเรื่องมาพูดคุยให้ผู้คนผ่อนคลายก่อนจะเริ่มงานเลี้ยงในยามบ่าย ข้ายกถ้วยชาขึ้นจิบ กำลังคิดจะถอนตัวโดยอ้างอาการป่วย เพียงแต่สายตาของหวงไท่หยางที่แปะประทับอยู่บนตัวซ้อนด้วยสายตาของฉู่เหวินทำให้เอ่ยปากยากอยู่บ้าง
“ทราบมาว่าเมื่อวานจวิ้นอ๋องล้มป่วย วันนี้อาการดีขึ้นแล้วหรือไม่?”
กำลังคิดวางถ้วยชาและเอ่ยปาก เสียงของฉู่เหวินแห่งไห่เยี่ยนกลับทำให้ข้าต้องเปลี่ยนความตั้งใจ ข้าหันไปมองเขาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโดยมีโต๊ะตัวหนึ่งคั่นกลางช้าๆ เลิกคิ้วและยิ้มพรายด้วยกริยางามตา แต่ในใจกำลังคิดลากตัวสายลับของไห่เยี่ยนออกมาให้ได้และถลกหนังมันเสียที
“เรียนองค์ชาย สุขภาพของข้าแข็งแรงขึ้นมากแล้ว” เนื่องจากอยู่ในที่สาธารณะ ข้าจึงกล่าววาจามากมารยาท จะอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นแขกของโฮรสสวรรค์แล้ว ข้าไม่เหยียบเท้าฮ่องเต้เพิ่มจะดีกว่า
“ได้ยินท่านอ๋องกล่าววาจามากมารยาทเช่นนี้ ข้าไม่ค่อยชินนัก” ฉู่เหวินหัวเราะเบาๆ ด้วยท่าทีอารมณ์ดีหากดวงตาสีฟ้าเข้มจัดคู่นั้นกลับจับจ้องไม่เลิกรา และหาได้สนใจแววตาที่สว่างวาบขึ้นครู่หนึ่งของหวงไท่หยางเมื่อเขากล่าวประโยคถัดไป “เรื่องสุขภาพของท่านอ๋องเป็นสิ่งสำคัญ เด็กรับใช้ของท่านอ๋องผู้นั้น..เขามีวิชาแพทย์น่าจะช่วยเหลืออันใดได้บ้าง”
“เด็กน้อยผู้นั้นยังไม่หายป่วยดี” ข้าจ้องมองฉู่เหวินด้วยรอยยิ้มหวานหากแววตาขุ่นมัว นึกถึงลู่ซุนแล้วก็คิดถึงความพ่ายแพ้ของตนเอง ดังนั้นสีหน้าจึงยิ่งยิ้มกว้างมากขึ้น “พูดถึงข้อนี้ ไม่ทราบว่าคนสนิทขององค์ชายผู้นั้นอาการเป็นเช่นไรบ้าง องค์รัชทายาทอุตส่าห์ให้ผู้คนไปกำกับดูแล เขายังคงค่อยยังชั่วขึ้นแล้วกระมัง”
“เรื่องนี้ต้องขอบคุณองค์รัชทายาทและจวิ้นอ๋องแล้ว” ฉู่เหวินแค่นเสียงและยกจอกชาแสดงความนับถือมาทางพวกเรา หากแววตาที่จ้องมองหวงไท่หยางค่อนข้างดุดัน บ่งชัดว่าคนของรัชทายาทค่อนข้างดูแลมู่เซินดีเป็นพิเศษ
“องค์ชายเจ็ดอย่าได้เกรงใจ เรายังต้องพบหน้าสนทนาและเดินทางร่วมกันอีกนาน สนิทสนมกันไว้ย่อมดีกว่า” หวงไท่หยางยกมุมปากเผยเขี้ยวคมๆ ให้เห็น คนยิ้มด้วยท่าทีจริงใจอย่างยิ่งแต่ข้าทราบดีแก่ใจว่าเคลือบไปด้วยพิษร้ายชวนขนลุก แต่ในบ้านแม้วิวาทขัดแย้ง นอกบ้านยังคงจับมือกันต่อตีผู้อื่น อย่างน้อยหวงไท่หยางก็ไม่กัดข้าต่อหน้าคนต่างแคว้น ถือว่าไว้หน้ากันอยู่บ้าง
“วาจาขององค์รัชทายาทถือเป็นเกียรติต่อข้ายิ่งนัก”
หน้าตาคนได้รับเกียรติแม้ยิ้มแต่ยังมองออกว่าหงุดหงิด ในที่นี้ไม่ได้มีแค่ข้าที่ยิ้มแย้มแต่ซ่อนคมมีดเพียงผู้เดียว ทำเอานึกเมื่อยแก้มขึ้นมา ระดับคมมีดของข้ายังเป็นได้แค่มีดทำครัว อย่างฉู่เหวินอาจเป็นมีดฆ่าโค แต่มีดที่ร้ายกาจที่สุดไยมิใช่ใบมีดอาบยาพิษของหวงไท่หยาง ชวนให้ผู้คนขนลุกนึกอยากเดินหนีจริงๆ
“กล่าวถึงอาการป่วยของท่านอ๋อง ท่านแม่ทัพหลินกล่าวว่าอยากขอความช่วยเหลือจากข้า จวิ้นอ๋องขัดข้องหรือไม่?”
คิดว่าเอ่ยวาจากันไปคนละคำสองคำก็จบแล้ว คาดไม่ถึงว่าฉู่เหวินยังคิดต่อความอีก ข้าฟังเขากล่าวถึงหลินจวินเจ๋อแล้วเลิกคิ้วขึ้น หรือครานี้ฉู่เหวินได้ทราบเรื่องอาการป่วยของข้าจากคำพูดของเจ้าลูกเต่า ?
เขากำลังคิดอันใดอยู่ ข้าตวัดสายตามองหลินจวินเจ๋อที่นั่งสนทนาอยู่กับรองเสนาบดีกลาโหมที่ตามเสด็จในที่นั่งของขุนนางชั้นหนึ่งที่ห่างออกไป อีกฝ่ายกำลังคร่ำเคร่งกับบทสนทนาบางอย่างจึงไม่ได้หันมา ข้าชักสายตากลับ วางจอกชาในมือลงแล้วยิ้มแย้ม พยักหน้า
“หากองค์ชายจะช่วยเหลือด้วยการให้ข้าได้พบกับเทพโอสถแห่งไห่เยี่ยน”
“ข้ากล่าวว่าเทพโอสถปรุงยาตามใจตน รักษาคนตามใจตน แม้เป็นราชนิกูลก็ไม่อาจบังคับใจได้..” ดวงตาสีฟ้าวาววับ ฉายแววมากเล่ห์
“ขอเพียงข้าจวิ้นอ๋องได้มีโอกาสพบท่านเทพโอสถก็พอ” เรื่องโน้มน้าวตาเฒ่าผู้นั้น ข้าย่อมจัดการได้เอง ไม่ต้องเปลืองแรงผู้ใด
“ถ้าเช่นนั้นฉู่เหวินย่อมช่วยเหลือได้ แต่ความช่วยเหลือครั้งนี้ ไม่ทราบว่าองค์รัชทายาทแห่งเทียนจิ้นจะคิดเช่นไร?” คนกล่าววาจาเผยคมมีดออกมาแล้วทำให้ข้าหันไปมองหวงไท่หยางทันที ทราบแล้วว่าฉู่เหวินจงใจให้ข้าพูดเพื่อสร้างความไม่ไว้ใจแก่หวงไท่หยาง อ๋องผู้หนึ่งมีความสัมพันธ์ถึงขั้นตกลงช่วยเหลือกับองค์ชายต่างแคว้น นี่มิใช่ว่าน่าสงสัยหรอกหรือ ประกอบกับการที่ข้าถูกจับตัวไปและวาจาชักชวนแปรพันตร์ของฉู่เหวินก่อนหน้า นี่แทบจะยัดข้อหาสมคบคิดกับต่างแคว้นใส่มือข้าแล้วด้วยซ้ำ
ลอบสาปแช่งอุบายน่าตายขององค์ชายเจ็ด ขณะที่ข้ายิ้มเต็มใบหน้า สบตาหวงไท่หยางอย่างเยือกเย็น “ข้าเชื่อว่าด้วยใจเมตตาปรานีขององค์รัชทายาท ย่อมไม่ถือสาอันใด อีกอย่างข้าจวิ้นอ๋องเองก็มีความดีความชอบในการศึก จึงอยากคิดทูลขอรางวัลเป็นการเชิญหมอผู้หนึ่งมารักษาตัว”
ฉู่เหวินอาจทราบว่าข้าป่วย และอาจรู้ดีว่าราชสำนักระแวงจวิ้นอ๋อง แต่สิ่งหนึ่งที่เขายังไม่ทราบคืออนุภรรยาของรัชทายาทเป็นคนวางยาจวิ้นอ๋องเอง ดังนั้นหากข้าเอ่ยปากขอแล้วหวงไท่หยางปฏิเสธ ถ้าโดนเอาเรื่องเมียเจ้าคิดฆ่าข้าขึ้นมา ใครจะลงเหวก่อนกัน
“ของเช่นนี้นับเป็นรางวัลอันใด” หวงไท่หยางได้ยินแล้วหัวเราะแผ่วเบา สบตาข้าด้วยรอยยิ้มที่ไม่ไปถึงดวงตาอันลึกล้ำคู่นั้น “จวิ้นอ๋องทำความดีความชอบ ชื่อเสียงเกริกก้องดีงาม กระทั่งเอ็นร้อยหวายมังกรหากต้องการยังสามารถยื่นให้ได้ ให้รางวัลเป็นหมอคนเดียวได้อย่างไร นี่จึงถึงว่าเป็นน้ำใจของพี่น้องเถอะ เห็นเจ้าป่วยข้าไหนหรือจะเมินเฉย”
“ข้าหวงไท่หยางขอวอนองค์ชายอีกแรง เพื่อเห็นแก่ไมตรีของทั้งสองแคว้น โปรดช่วยแนะนำเทพโอสถแห่งไห่เยี่ยนมาช่วยรักษาจวิ้นอ๋องด้วย”
หวงไท่หยางกล่าวด้วยน้ำเสียงชัดเจนจนผู้คนได้ยินกันทั่ว คนเปลี่ยนจากเรื่องขอร้องส่วนตัวของข้าและฉู่เหวินเป็นเรื่องไมตรีระดับแคว้นอย่างรวดเร็ว เป็นเช่นนี้มีหรือจะปฏิเสธได้ หากส่ายหน้านี้มิใช่ว่าไห่เยี่ยนไม่จริงใจหรอกหรือ ฉู่เหวินฟังด้วยสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ส่วนข้าใช้หางตามองดูหลินจวินเจ๋อ พบว่าเขาฟังแล้วยิ้มด้วยท่าทีพออกพอใจ
แต่รัชทายาทหรือจะทำเพื่อข้า ได้ยินเขาขว้างวาจา ‘ชื่อเสียงเกริกก้องดีงาม กระทั่งเอ็นร้อยหวายมังกรหากต้องการยังสามารถยื่นให้ได้’ ใส่ตนแล้วหนาววูบในใจ มังกรตัวนี้จะหมายถึงใครได้ถ้าไม่ใช่่ฮ่องเต้ คนไม่คิดปล่อยข้าให้ลอยหน้าลอยตาต่อไปแล้วแน่แท้ จึงได้แต่คิดว่าขอรักษาตัวให้ได้ก่อนค่อยกลับไปรับมือกับราชสำนักแล้วกัน
+++++++++++++++
"กวาน冠" คือสิ่งที่ชนชั้นสูงชาวจีนในสมัยโบราณใช้สวมครอบบนศีรษะ เพื่อเป็นเครื่องบอกระดับประดับพระยศพระเกียรติ
การเดินทางจะไม่เปลี่ยวเหงา หากมีเราไปเป็นเพื่อน //โฆษณาให้ฉู่เหวินแบบคอนเซปต์รถทัวร์
เห็นมีทีมขันหมากไห่เยี่ยนด้วย ดีเลย--/เต่ากัด
ขายตรงเปิดจองนิยายเหมือนเดิมค่า สนใจดูรายละเอียดตรงนี้ได้เลย >> https://docs.google.com/document/d/1qKrLQhy14sUsIpxCO2m3mZIPhCcQDYTT5hmai_LgyL0/edit
เพจ FB : https://www.facebook.com/mywhynn/
ทวิต @Secrate_Wind
และเม้าท์นะยายแท็ก #จวิ้นอ๋อง นะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

องค์รักษ์เงา 20 คนเกลี้ยง แถมหาศพไม่เจอนี่มัน.... เกิดอะไรขึ้นหนอ
แล้วทำไมถึงลืมไปล่ะ ทำไมถึงจำไม่ได้เลย อันนี้น่าสงสัยจริงๆ
เจ้าลููกเต่าพยายามต่อไป ส่วนฉู่เหวิน น่าถีบเหมือนเดิม 55
ห้าสิบกว่าไม่น่าจะแก่ขนาดเรียก
ผู้เฒ่า ผู้ชรา สานตาฝ้าฟางนะ😭
ชีวิตของคนงามเหนื่อยยากจริงๆ หวังพึ่งใครไม่ได้เลย อาซิ่นมารับกรรมแท้ๆ
เอ แต่จิ้งเหยียนน่าจะฉลาดน้อยกว่าเจ้าเต่านิดนะ รายนั้นซื่อ(บื้อ)เหลือเกิน
#ทีมจิ้งเหยียนท่านซู /ผิดเรื่อง! แค่กๆ