ปฐมบทสงครามสี่อาณาจักร ตอน เจ้าชายอาณาจักรป่า - ปฐมบทสงครามสี่อาณาจักร ตอน เจ้าชายอาณาจักรป่า นิยาย ปฐมบทสงครามสี่อาณาจักร ตอน เจ้าชายอาณาจักรป่า : Dek-D.com - Writer
NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง
  • มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด

    ปฐมบทสงครามสี่อาณาจักร ตอน เจ้าชายอาณาจักรป่า

    ปฐมบทหนึ่งในเรื่องราว ของเหล่าผู้สืบทอดวิชาจากปรมาจารย์ของสี่อาณาจักร การต่อสู้ และความลับต่างๆของต้นกำเนิดสี่ยอดปรมาจารย์ ที่นำพาโชคชะตาของพวกเขามาบรรจบกัน

    ผู้เข้าชมรวม

    190

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    190

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  3 ก.ค. 66 / 00:43 น.
    คำเตือนเนื้อหา NC

    มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง, มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ



    ข้อมูลเบื้องต้น

    ในสมัยอดีตที่สี่ยอดวรยุทธมีการถือกำเนิดขึ้น ทั้งสี่อาณาจักรต่างมีการเล่าขานเกี่ยวกับพลังปราน หากใครได้ครอบครองพลังผู้นั้นถือว่าได้อยู่สูงสุดของยุทธภพ

    โดยสี่วรยุทธนั้นมีบุคคลสี่คนที่ครอบครองอยู่ ซึ่งพวกเขาทั้งสี่ต่างได้รับการยอมรับนับถือจากชาวยุทธในใต้หล้า ว่าเป็นจุดสูงสุดของชาวยุทธ และได้ชื่อว่าสี่ปรมาจารย์ได้แก่ ปรมาจารย์อาณาจักรป่าชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในป่า ปรมาจารย์อาณาจักรทะเลชนเผ่าที่อาศัยในเกาะใต้น้ำ ปรมาจารย์อาณาจักรมนุษย์ที่อาศัยบนพื้นดิน และปรมาจารย์อาณาจักรเวหาชนเผ่าที่อาศัยบนเกาะลอยฟ้า

    ชาวยุทธทั้งหลายต่างพากันแข่งขันแย่งชิงกัน เพื่อเข้าเป็นศิษย์ของสี่ปรมาจารย์ทั้งสี่ที่ตนเลื่อมใสในทั้งสี่อานาจักร ซึ่งสี่ปรมาจารย์ได้ตกลงทำตามคำสอนของปรมาจารย์รุ่นแรก ของแต่ละอาณาจักรทั้งสี่เพื่อคอยถ่วงสมดุลซึ่งกันและกัน และเชื่อมสัมพันธ์ของแต่ละอาณาจักร เพราะศึกการแย่งชิงบัลลังภายในอาณาจักร และสงครามระหว่างอาณาจักรต่างๆ ทำให้ประชาชนแต่ละอาณาจักรต่างได้รับความลำบาก

    ท่ามกลางป่าที่มีใบไผ่พลิ้วลอยตกลงช้าๆ ก็ได้ปรากฏชายผู้หนึ่งสวมชุดที่มีลวดลายวิจิตรคล้ายคลื่นน้ำครามมังกรบนชุดสีดำ ชายผู้นั้นใช้วิชาตัวเบาได้อย่างคล่องแคล่วกำลังเหยียบใบไผ่ และหนีการตามล่าของกลุ่มนักฆ่าประมาณหลายสิบคน ที่สวมชุดดำปิดใบหน้าด้วยผ้าปิดหน้าสีดำพร้อมหมวกที่ถูกสารด้วยไม้หวาย และเอกลักษณ์การพกดาบด้วยการติดดาบไว้ด้านหลังเป็นแนวนอนทุกคน อีกทั้งความสามารถในการใช้วิชาตัวเบาที่ด้อยกว่าผู้ที่พวกเค้าตามล่าเพียงเล็กน้อย

    ในขณะที่พวกนักฆ่าใช้วิชาตัวเบาเหยียบใบไผ่ไล่ตามชายหนุ่มที่พวกเค้ากำลังไล่ล่า ทันใดนั้นชายหนุ่มที่พวกเค้าตามล่า ได้ใช้หลังปลายเท้าซ้ายเหยียบใบไผ่ที่กำลังลอย แล้วก็ใช้ปลายเท้าขวาแตะต้นไผ่ชักดาบม้วนตัวกลับไปหากลุ่มนักฆ่าแล้วตวัดดาบ เพียงพริบตาเดียวสองในสิบคนก็ถูกอานุภาพของปรานดาบโจมตี แม้นักฆ่าทั้งสองจะใช้ดาบกันไว้จนดาบหัก แต่นักฆ่าทั้งสองก็ไม่อาจรอดจากปรานดาบที่รุนแรงของชายผู้นั้นได้

    นักฆ่าที่เหลือจึงพร้อมใจชักดาบเข้าลงมือกระโจนเข้าไปพร้อมกัน แต่สุดท้ายเหล่านักฆ่าก็ไม่ใช่คู่มือของชายผู้นั้น ความว่องไวบวกกำลังภายในที่ลึกล้ำทำให้กลุ่มนักฆ่าที่เหลือสิ้นชีพกลางอากาศ

    หลังสังหารกลุ่มนักฆ่าสิบกว่าคนเสร็จแล้ว ชายผู้นั้นครุ่นคิดครู่หนึ่ง ว่ายังมีนักฆ่าอีกจำนวนมากที่จะยังคงตามมา เพื่อหมายจะฆ่าเขา ตัวเขาจึงเร่งใช้วิชาตัวเบาพุ่งทะยานจนพ้นป่าไผ่

    หลังออกจากป่าไผ่มาได้ไกลพอสมควร เค้าก็ได้พบกับวัดร้างแห่งหนึ่งที่อยู่บริเวณใต้เนิ่นเขา เขาจึงตัดสินใจเดินเข้าไปภายในวัดร้างแห่งนั้นอย่างช้าๆ

    หลังก้าวพ้นประตูไม่กี่อึดใจ เค้าก็พบกับรูปปั้นพระพุทธรูปเก่าๆ องค์ใหญ่ เค้ายืนนิ่งเงียบหน้ารูปปั้นนั้น แสงแดดส่องผ่านดวงตาที่ขาวโพลนที่บอดสนิทของเค้า

    ในใจของเขาว้าวุ่นครุ่นคิดไปว่า แม้กำลังภายในของเค้าจะลึกล้ำมากแค่ไหน ถึงขึ้นใช้แทนดวงตาทั้งสองข้างที่บอดสนิทได้ แต่เขากลับมีความรู้สึกเศร้าใจในความละโมบของชาวยุทธในแต่ละอาณาจักร

    เค้าทำได้แต่ถอนหายใจ ก่อนนั้งลงขัดสมาธิกำหนดลมปราณ จนผ่านพบค่ำและราตรีในวันนั้นไป

    ย้อนกลับเมื่อไป 25 ปีก่อน อาณาจักรป่าได้ให้กำเนิดโอรสสามพระองค์ ได้แก่ คนที่หนึ่งองค์ชายใหญ่ จูกวง ผู้หวาดระแวงและหวาดกลัวเหล่าน้องๆ จะแย่งชิงบัลลังของตน คนที่สององค์ชายรอง จูเหว่ย ผู้มีใจรักสงบผู้ต้องการหลีกหนีจากการแก่งแย่งอำนาจและบัลลัง และคนที่สามองค์ชายเล็ก จูซวง ผู้มากไหวพริบและต้องการจะแย่งบัลลังจากพวกพี่ๆ

    ท่ามกลางการประทะกันขององค์ชายใหญ่ และองค์ชายเล็ก จูเหว่ยต้องวางแผนรับมือกับทั้งสองฝ่ายหลายต่อหลายครั้ง จนมาถึงวันหนึ่งในวันสำคัญประจำปีเทศกาลล่าสัตว์ ของอนาจักรป่าที่ถนัดการใช้อาวุธด้านธนู

    องค์ฮ่องเต้กับพระชายารวมทั้งทหารจำนวนหนึ่ง และเหล่าองค์ชายทั้งสามได้เข้าร่วมการล่าสัตว์ โดยองค์ฮ่องเต้ได้ประกาศแก่เหล่าองค์ชายทั้งสามว่าหากมีผู้ใดล่าสัตว์ได้คะแนนมากที่สุด จะให้ผู้นั้นขึ้นเป็นรัชทายาท ซึ่งจัดคะแนนเป็น หมีสิบคะแนน เสือสิบคะแนน กวางห้าคะแนน และหมาป่าห้าคะแนน

    สิ้นเสียงประกาศ องค์ฮ่องเต้จึงให้สัญญานแก่เหล่าองค์ชาย องค์ชายทั้งสามจึงต่างเร่งควบม้าทะยานเข้าไปในป่าด้วยความเร็วและความชำนาญ

    ทั้งสามต่างควบม้าได้สูสีกัน แต่ทันใดนั้นองค์ชายใหญ่ จึงได้เริ่มหยิบคันศรง้างลูกธนูหันมาทางองค์ชายรอง แล้วปล่อยลูกธนูพุ่งทยานเข้าหาองค์ชายรองอย่างรวดเร็ว ทางองค์ชายรองจึงก้มเอนตัวหลบ ลูกธนูวิ่งผ่านหลังพุงเข้าหาองค์ชายเล็กจูซวง

    ทางฝั่ง จูซวง ที่รออยู่แล้วพร้อมง้างคันศรยิงลูกธนูสวนกลับจนลูกธนูชนกันแตกหักกระเด็นตกลงพื้น ทั้งสองต่างฝ่ายต่างตอบโต้กัน ท่ามกลางการต่อสู้ของทั้งสอง องค์ชายรองจูเหว่ยหยุดม้าให้ทั้งสองไล่ตามห้ำหั่นกัน ส่วนตนบังคับม้าเลี้ยวไปอีกทางใกล้ขอบชานป่า

    หลังหยุดริมลำธารจูเหว่ยเหลือบไปเห็นเสือตัวหนึ่งจ้องมองมาที่เขาพอดี จูเหว่ยไม่รอช้าดึงลูกธนูขึ้นมาสามดอก แล้วไล่เรียงยิงทีละดอกตามลำดับอย่างชำนาญ โดยลูกแรกปักต้นไม้ด้านหลังและลูกที่สองปักด้านหน้าเสือทำให้มันตกใจยังไม่ขยับเขยื้อนไปไหน จนลูกที่สามพุ่งจะโดนเสือแล้ว

    แต่เหนือความคาดหมายเสือตัวนั้นกลับหมอบหลบ ทำให้พุ่งผ่านเสือไป เสียงธนูกระทบเหล็กดังสนั่น แสงสเก็ดสีเหลืองของการกระทบกันของหัวลูกธนูและดาบกระจายออก พร้อมเปิดเผยโฉมหน้าผู้บุกรุกผืนป่าทั้งห้าคน หนึ่งในห้าคนไม่รีรอ ตวัดดาบตัดคอเสือขาดก่อนใช้วิชาตัวเบากระโดดข้ามลำธาร พุ่งตรงเข้าหาองค์ชายเผ่าป่า

    ฝั่งจูเหว่ย ทราบถึงสถานะผู้บุกรุกที่เป็นเผ่ามนุษย์ จึงรีบหยิบลูกธนูขึ้นมาอีกสามดอก พร้อมยิงออกไปตามลำดับอีกครั้ง ก่อนใช้วิชาตัวเบาเหยียบหลังม้ากระโดดสวนพุ่งเข้าหาผู้มาเยือนทั้งสาม เพื่อเพิ่มระยะความแม่นยำของลูกธนู ด้วยความสามารถที่อยู่ในขั้นยอดฝีมือ ธนูลูกแรกเข้าปักกลางศีรษะผู้บุกรุกเต็มๆ โดยที่ผู้บุกรุกไม่สามารถง้างดาบปัดป้องทัน

    ระหว่างที่จูเหว่ยอยู่กลางอากาศจึงปล่อยธนูลูกที่สองออกไป ในขณะเดียวกันทางผู้บุกรุกทั้งสองคนต่างหลบเข้าหลังต้นไม้ ในขณะที่อีกคนขว้างดาบสวน ส่วนอีกคนรวมพลังปราณเตรียมตั้งรับ ก่อนลงถึงฝั่งผู้บุกรุก จูเหว่ยจึงปล่อยลูกธนูดอกที่สาม

    แต่ถว่าทางฝั่งผู้บุกรุกไม่ทันสังเกตเห็นว่า ลูกธนูดอกนี้เป็นหัวลูกธนูชนิดพิเศษของเผ่าป่า ทำให้ลูกธนูทะลวงพลังปรานฝ่ายเผ่ามนุษย์ที่ตั้งรับ และตายไปอีกหนึ่งคน ส่วนอีกคนที่ขว้างมีดออกไปได้ใช้กำลังภายในดึงดาบกลับมา ทันทีที่จูเหว่ยเห็นเข้า จึงอุทานออกมาอย่างตกใจ

    “ขั้นอวดตน แย่แล้ว” สองคนที่เหลือที่หลบหลังต้นไม้ก็รวมพลังปราณ ประสานซ้ายขวาฟันเข้าหาจูเหว่ยพร้อมกัน จูเหว่ยที่ลอยถึงฝั่งที่ผู้มาเยือนอยู่ ด้วยความที่จู่เหว่ยยังคงลอยบนกลางอากาศเท้ายังไม่ถึงพื้น ทำให้ตัวองค์ชายเผ่าป่าที่พบผู้บุกรุกด้วยตัวคนเดียวรับมือลำบาก อีกทั้งดาบที่ถูกกำลังภายในดึงกลับมาก็อยู่ด้านหลัง

    เค้าจึงตัดสินในตีลังกาหลบสองดาบหน้าให้พ้นดาบหลัง แต่ถว่าพลังปรานของเขายังอยู่เพียงขั้นยอดฝีมือ แม้เขาจะสามารถหลบดาบที่ฟันสวนกันบนล่างได้ แต่ก็ไม่พ้นดาบที่ลอยกลับมาจากพลังปราณ จึงทำให้พลังปรานของดาบที่บินกลับมาของผู้บุกรุกเผ่ามนุษย์ ทำลายดวงตาของเค้าและได้รับบาดเจ็บ ก่อนร่วงตกลงไปในลำธาร

    ซึ่งลำธารนี้เป็นแม่น้ำที่เชื่อมต่อกับทั้งสี่อานาจักร ตัวจูเหว่ยถูกกระแสน้ำพัดไปทั้งที่บาดเจ็บ ทำให้จมน้ำหมดสติ

    เวลาผ่านเลยไป จูเหว่ยก็ได้ฟื้นขึ้นมาภายในถ้ำแห่งหนึ่ง เขาจึงตะโกนถามออกไปด้วยเสียงที่อ่อนล้า

    “ ใครกันที่ช่วยข้า เปิดเผยตัวมาเดี๋ยวนี้ ” สิ้นเสียงจูเหว่ย ก็ได้ยินเสียงของหญิงคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่สุขุม

    “เปิดเผยอะไรกัน ตาเจ้ามืดบอด มีอะไรที่ข้าต้องปกปิดกัน ”  จูเหว่ยใช้แรงที่ยังพอมีอยู่อันน้อยนิดพยุงตัวเองขึ้นนั้ง พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม พร้อมความรู้สึกหงุดหงิดกับคำตอบของผู้ที่ช่วยชีวิตเล็กน้อย

    “ต้องขออภัยแม่นางด้วย ข้าต้องขอบคุณที่ท่านช่วยชีวิตข้า แต่ข้าขอบังอาจถามได้หรือไม่ ว่าท่านเป็นผู้ใด ” หญิงสาวสวมชุดผ้าป่านที่แสนธรรมดา เดินถือถ้วยยาตรงมาที่จูเหว่ย พร้อมพูดขึ้นมาด้วยเสียงเรียบนิ่ง

    “ข้าชื่อ เย่ฟาน เป็นศิษย์ของหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ ” หลังหญิงสาวพูดจบ ตัวจูเหว่ยตกใจมาก เขาจึงถามต่อไปด้วยน้ำเสียงที่สงสัย

    “หนึ่งในสี่!!ท่านเป็นศิษย์ของปรมาจารย์เผ่าใด เหตุใดถึงช่วยข้า ” หญิงสาวตักยาป้อนองค์ชายจูเหว่ย พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

    ” เจ้าดื่มยาก่อนเถอะ สี่ปรมาจารย์รักสันโดษ ไม่เข้าร่วมสงครามสี่เผ่า และพยามสร้างสมดุลลดความขัดแย้ง ด้วยการช่วยเหลือคนที่ประสบภัยจากสงคราม การช่วยเหลือเจ้าก็หาได้มีสิ่งใดผิดแปลกไม่ ”

    องค์ชายจูเหว่ยได้ยินเช่นนั้น จึงครุ่นคิดอยู่นานแล้วเกิดใจที่เลื่อมใสในการวางตัวและอุดมการณ์ของสี่ปรมาจารย์ จึงกล่าวกับหญิงสาวที่รักษาตน ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนน้อม

    “หากตัวข้ามีใจรักสันโดษพร้อมช่วยเหลือ ไม่คิดร่วมสงครามสี่เผ่า ไม่ทราบท่านปรมาจารย์จะยอมรับข้าเป็นศิษย์ได้หรือไม่ ” หญิงสาวลุกขึ้นพรางตอบเพื่อแก้ความเข้าใจผิดของจู่เหว่ย

    “อาจารย์พวกข้าลาโลกไปนานแล้ว เหลือเพียงศิษย์รุ่นสู่รุ่น นอกจากข้าและศิษย์พี่ข้าทั้งสอง ก็หาได้มีคนอื่นที่รู้เคล็ดวิชาของเรา ”

    จูเหว่ยครุ่นคิดและรู้สึกไม่เข้าใจเล็กน้อย แต่สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจว่ายังไงเขาก็พิการตาบอดแล้ว ไม่หญิงที่ช่วยตนไว้จะใช่ปรมาจารย์หรือไม่ เขาก็จะอยู่ฝึกวิชาปลีกตัวสันโดดกับนางเพราะน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

     เค้าจึงตัดสินใจขอให้นางรับเป็นศิษย์ หญิงสาวจึงทำการใช้พลังปราณชีพจรทองตรวจสอบคุณสมบัติผู้เป็นศิษย์ และพบว่าคนที่ตนช่วยเหลือมาผ่านคุณสมบัตินี้ จึงได้รับเข้าเป็นศิษย์

    ตัวจูเหว่ยในวัยสิบห้า ที่ฝึกวิชาของเผ่าป่าถึงขั้นยอดฝีมือ จำต้องทำลายพลังภายในเผ่าตัวเองเพื่อฝึกพลังของสุดยอดวิชา

    ด้วยการถูกฝึกฝนจาก เย่ฟาน ที่เป็นหนึ่งในศิษย์ของสี่ปรมาจารย์ พลังปราณของเขาที่ได้รับจึงเป็นปราณทะเลแท้ และด้วยความอัจฉริยะ เขาจึงสามารถสำเร็จขั้นบรรลุสมบูรณ์ ซึ่งเป็นขั้นที่ต่ำกว่าขั้นปรมาจารย์เพียงขั้นเดียว ด้วยระยะเวลาแค่ห้าปี

    เขาสามารใช้พลังปราณรับรู้สิ่งของหรือแม้แต่สีของวัตถุ หรือสิ่งของได้จนแทบจะเหมือนคนที่ตาปกติทั่วไป เย่ฟาน เดินเข้ามากล่าวทักทายพร้อมถามคำถามต่อจูเหว่ยด้วยน้ำเสียงที่สุขุม

    “ศิษย์ข้า เจ้าไม่คิดถึงบ้าน หรือเผ่าของเจ้าบ้างเลยหรือ “ จูเหว่ยพลางยิ้มและตอบอาจารย์ของตนกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง

    “สถานที่ช่วงชิงแก่งแย่ง ควรค่าอะไรให้ศิษย์คิดถึง แต่ตอนนี้ศิษย์คิดอยากท่องทั่วหล้าช่วยเหลือเผ่าต่างๆ ที่ประสบภัยจากสงครามของสี่เผ่า ท่านอาจารย์คิดเห็นว่าเช่นไร “เย่ฟานยิ้ม พร้อมตอบศิษย์ไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

    “ไปเถอะ ตัวข้าในวัยเยาว์ ก็ไม่ต่างอะไรจากเจ้าในวันนี้ หากเจ้าเจอคนที่เหมาะสม ก็จงถ่ายทอดวิชาให้เขา บัดนี้หมดช่วงรุ่นของข้าแล้ว “ หลังพูดจบ เย่ฟานก็สะบัดชายผ้ามือไขว้หลัง ใช้วิชาตัวเบาพุงทะยานออกจากถ้ำเหยียบผิวน้ำจากจูเหว่ยไป

    จูเหว่ยประสานมือคำนับอาจารย์ของตน ก่อนใช้วิชาตัวเบาทะยานแตะผิวน้ำพุ่งไปยังทิศตรงข้ามของอาจารย์ของตน

    หลังจากเดินทางช่วยเหลือชาวบ้านผู้ประสบภัย เค้าต้องปะทะกับยอดฝีมือของเผ่าต่างๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ชาวยุทธที่ต้องการห้ำหั่นคนต่างเผ่า ไม่ได้ฝึกวรยุทธแท้ของสีปรมาจารย์ จึงทำให้ไม่มีไครที่มีฝีมือทัดเทียมเขา ทำให้การช่วยเหลือมักผ่านไปด้วยดีและประสบความสำเร็จทุกครั้ง

    เวลาผ่านไปสองปี ในวันหนึ่งเขาพบกับกลุ่มเผ่าเวหาที่เป็นโจรค้าทาสต่างเผ่า จูเหว่ยไม่รีรอบุกเข้าไปเพื่อช่วยทาสเหล่านั้น และได้พบเจอหญิงเผ่ามนุษย์คนหนึ่ง หลังจากหญิงคนนั้นถูกช่วยเหลือ นางจึงเกิดความประทับใจในความเก่งและมีคุณธรรมของจูเหว่ย ท่ามกลางเหล่าทาสนางจึงเค้นเสียงตะโกนถามด้วยความหวัง

    “ท่านจอมยุทธ ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่าอะไร “จูเหว่ยใช้ปราณค้นหา และหันไปตามต้นทางของเสียงแล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่สงสัยเล็กน้อย

    “แค่คนที่ผ่านทางมา ไม่ทราบว่าแม่นางมีอะไรหรือไม่ “

    หลังจูเหว่ยพูดจบ หลีเซี่ยก็คุกเข่าคำนับจูเหว่ยพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นกับจูเหว่ย

    “ท่านจอมยุทธ จากเหตุสงครามชนเผ่าข้าที่อยู่เขตบริเวณชายแดน ถูกโจมตีปล้นฆ่า บัดนี้ครอบครัวข้าเหลือเพียงข้าคนเดียว ตัวข้าไร้ซึ่งที่ไป ได้โปรดท่านรับข้าเป็นศิษย์ด้วย “หลังหลีเซี่ยพูดจบจูเหว่ยเดินเข้ามาหานาง พร้อมจับมือและกล่าวด้วยความสงสัยเล็กน้อย

    “ให้ข้ารับศิษย์ เจ้าต้องการศึกษาวรยุทธ์ไปแก้แค้นใช่หรือไม่ “ จูเหว่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจรังกับหลีเซี่ย

    หญิงสาวค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจองมองจูเหว่ยพร้อมตอบด้วยสายตาที่มุ่งมั่น

    “หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ตัวข้าประทับใจและ ซาบซึ้งในการช่วยเหลือของท่าน อีกทั้งตัวข้าไม่มีที่ไป ข้าหาได้สนการล้างแค้นอื่นใด ข้าหวังเพียงติดตามท่าน ช่วยเหลือผู้คนที่ต้องประสบภัยเฉกเช่นตัวข้า ขอท่านจอมยุทธเมตตาข้าด้วย ” จูเหว่ยรับรู้ได้ถึงปรานที่สงบนิ่งจริงใจ แต่ด้วยความลังเลสงสัยจึงตัดสินใจทดสอบด้วยการถามหญิงสาวนั้นกลับด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง

    “หมู่บ้านถูกเผาครอบครัวถูกฆ่า เจ้าปลอยวางได้ง่ายดายขนาดนั้นเชียวหรือ “จูเหว่ยเอ่ยถามพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย

    หญิงสาวน้ำตาคลอเล็กน้อยพร้อมพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “ข้าเห็นท่านสู้ชนะได้แม้ไม่ได้ลงมือฆ่าผู้ใดเลย จริงอยู่ที่แค้นนี้ไม่อาจปลอยวางได้ง่ายๆ แต่ข้ากลัวเลือด หากแต่เพียงเรียนรู้เพื่อป้องกันตนเอง และช่วยเหลือผู้คน หาได้ตั้งใจฝึกไว้เพื่อฆ่าไคร ได้โปรดท่านจอมยุทธไตร่ตรองด้วย “

    จูเหว่ยครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงเอ่ยถามกับนางว่าด้วยน้ำเสียงสุขุม  “เจ้าชื่ออะไร “

    หญิงสาวปาดน้ำตาก่อนตอบด้วยเสียงที่ดีใจ “ข้าชื่อหลีเซี่ย ท่านจอมยุทธ ยินดีให้ข้าติดตามแล้วใช่หรือไม่ “

    จูเหว่ยมือซ้ายไขว้หลังมือขวาสะบัดชายเสื้อ เอียงหน้าไปทางซ้ายเล็กน้อยพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ดี หลีเซี่ย จากนี้ไปเจ้าคือศิษย์ของข้า จูเหว่ย “

    แม้จูเหว่ยไม่ได้ปราณชีพจรทองตรวจสอบโดยตรง และพลังชีพจรทองที่เขาใช้ตรวจจับวัตถุต่างๆ ก็เป็นเสมือนเครื่องตรวจให้ไปในตัวสิ้นเสียงจูเหว่ยหลีเซี่ยลุกขึ้น และติดตามจูเหว่ยไปฝึกฝนวรยุทธ์และพลังปราณ ตัวจูเหว่ยนั้นทั้งพร่ำฝึกฝนถ่ายทอดวรยุทธให้หลีเซี่ยไปด้วย พร้อมทั้งช่วยประชาชนเผ่าต่างๆไปด้วย

    โดยเขาใช้การณ์ต่อสู้จริงทดสอบความก้าวหน้าที่ตนสอนหลีเซี่ย ศิษย์อาจารย์ต่างฝ่ายต่างใช้เวลาร่วมกันจนผ่านไปเป็นปี จนทำให้หลีเซี่ยเกิดมีใจให้อาจารย์ และตัวจูเหว่ยก็รับรู้ได้ถึงปราณที่สั่นไหวของนางเวลาอยู่ใกล้ จึงทำให้จูเหว่ยก็แอบเผลอเปิดใจให้นางเช่นกัน

    เป็นเช้าอีกวันที่ศิษย์อาจารย์ได้ออกไปช่วยเหลือชาวบ้าน ซึ่งครั้งนี้เป็นการช่วยเหลือเผ่าป่าที่ถูกจับเป็นทาสจากเผ่ามนุษย์ หลังจากทั้งสองยืนมือเข้าช่วยเหล่าทาสเผ่าป่าที่ถูกมนุษย์จับมา ระหว่างที่ประทะฝีมือกัน จูเหว่ยรู้สึกประหลาดใจที่หนึ่งในกลุ่มโจร มีการพกดาบที่ผิดปกติด้วย

    ซึ่งใช้วิธีการติดดาบแนวนอนไว้ข้างหลัง ในขณะที่โจรส่วนใหญ่หากไม่ถือฝักดาบ ก็ติดไว้ข้างเอวหรือสะพายไขว้หลัง อีกทั้งฝีมือคนที่พกดาบแนวนอน กลับมีฝีมือสูงผิดปกติถึงขั้นอวดตน

    ระหว่างที่สู้ไปไม่ทันระวัง หลีเซี่ยก็ถูกกลุ่มคนที่พกดาบแนวนอนจับตัวไป จูเหว่ยระหว่างสู้หันมองซ้ายขวา เห็นหลีเซี่ยพลาดท่าถูกตีท้ายทอยสลบ และกำลังถูกอุ้มไปจึงเร่งเข้าขัดขวาง

    ทันใดก็ปรากฏชายที่พกดาบแนวนอนคล้ายกันเข้าขัดขวาง จู่เหว่ยรวมพลังปราณซัดฝ่ามือระเบิดพลังเปิดทาง เร่งใช้วิชาตัวเบาตามกลุ่มคนที่จับนางไป

    หลังไล่ตามจนถึงประตูเมืองของเผ่ามนุษย์จึงถูกทหารเผ่ามนุษย์ล้อมไว้ จูเหว่ยรวมพลังปราณสร้างพายุคลื่นพลังซัดฝ่ามือทลายประตูและกำแพงเกิดเป็นรูขนาดใหญ่

    เขาเร่งใช้วิชาตัวเบาพุงเข้าไปในเมืองมนุษย์ ทันใดมองไปเห็นศิษย์ตนที่โดนอุ้มทะยานบนหลังคาบ้าน จูเหว่ยจึงพุงทะยานขึ้นหลังคาตามไป แต่กลับปรากฏตัวกลุ่มคนชุดดำ สะพายดาบแนวนอนร้อยกว่าคนขึ้นบนหลังคา

    ชายที่อุ้มศิษย์ของเค้าชะลอวิชาตัวเบา และหยุดยืนหันมาทางจูเหว่ย ตัวจูเหว่ยจึงชะลอวิชาตัวเบาหยุดยืนบนหลังคาเช่นกัน เสียงผู้คนด้านล่างชี้ขึ้นมาที่จูเหว่ย พร้อมแอะอะเสียงดัง

    เค้ากวาดตาไปโดยรอบ มองเหล่ากลุ่มคนชุดดำสวมหมวกไม้หวาย สะพายดาบแนวนอนติดหลัง นับร้อยบนหลังคาที่ล้อมเค้าอยู่ จูเหว่ยด้วยความทะนงตัวว่า ไม่มีผู้ใดสามารถต่อกรกับเค้าได้ จึงตัดสินใจระเบิดกำลังภายในทำให้บ้านเรือนนับร้อยพัง ผู้คนและเหล่าทหารกระเด็นล้มกันคนละทิศละทาง

    ในช่วงเวลานั้น ก็ปรากฏชายผู้หนึ่ง ที่กำลังใช่วิชาตัวเบาพุ่งเข้ามาหาจูเหว่ย พร้อมแบกกล่องไม้ปริศนาซัดฝ่ามือเข้าใส่จูเหว่ย จูเหว่ยจึงรวมพลังปราณซัดฝ่ามือกลับ แรงปะทะของสองผู้มีพลังปราณสูงทำให้เกิดพลังสะเทือนบริเวณรอบๆ พังเสียหาย บ้านเรือนใกล้เคียงเหล่าทหารและชาวบ้านด้านล่าง กระเด็นไปคนละทิศละทางเพราะแรงระเบิด

    ชายที่แบกกล่องไม้ถูกแรงกระแทกของปราณจูเหว่ยซัดกระเด็นไปไกลมาก แต่เค้าก็ม้วนตัวกลับใช้วิชาตัวเบาเหยียบบนหลังคาบ้านที่ยังไม่พังพร้อมตะโกนออกไปด้วยกำลังภายใน

    “เหตุใดปรมาจารย์ถึงเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ของสี่เผ่า ลืมจุดมุ่งหมายเดิมของเหล่าปรมาจารย์ไปแล้วหรือ “

    หลังสิ้นเสียง จูเหว่ยจึงใช้พลังปราณตะโกนกลับไป “ตัวข้ามิเคยลืมจุดมุ่งหมายเดิมของเหล่าปรมาจารย์ ซ้ำยังคงยึดมั่นในอุดมการณ์ เพียงแต่พวกเจ้าคืนศิษย์ข้ามา แล้วข้าจะยอมจากไปแต่โดยดี “

    ชายแบกกล่องไม้สะบัดชายเสื้อพร้อมตะโกนกลับว่า “จะเป็นศิษย์ของท่านได้ยังไง ผู้คนต่างเห็นกันอยู่ว่านางคือคนเผ่ามนุษย์ “

    หลังพูดจบชายที่แบกกล่องไม้ล่วงมือดึงพลุส่งสัญญาน จุดยิงขึ้นฟ้าแสงพลุแดงกระจายออก สิ้นแสงสัญญานพลุเพียงครูเดียว ก็ปรากฏชายชุดดำหลายร้อยคน ที่ปิดหน้าสวมหมวกสารไม้หวาย

    จูเหว่ยมองไปรอบๆ บริเวณที่เคยมีบ้าน บัดนี้กลับพังยับกลายเป็นลานกว้างเพราะการปะทะของสองยอดยุทธ บริเวณลานปรากฏกลุ่มคนชุดดำเหล่านี้เต็มไปหมด จูเหว่ยสังเกตุพลังปราณจึงรับรู้ได้ว่า คนกลุ่มนี้ไม่มีไครฝีมือต่ำกว่าขั้นอวดตนเลย

    ทางฝั่งหลีเซี่ยจากแรงระเบิดการประทะกัน ของสองผู้มีพลังปรานสูง ทำให้กลุ่มคนที่อุ้มนางถูกแรงระเบิดกระเด็นไปคนละทาง หลีเซี่ยที่กระเด็นไปพร้อมกับพวกเค้าจึงฟื้นคืนสติจากแรงระเบิด

    หลีเซี่ยที่แม้บาดเจ็บแต่ด้วยความเป็นห่วงจูเหว่ย จึงไม่รอช้ารีบใช้วิชาตัวเบาพุ่งทะยานกลับไปหาจูเหว่ยด้วยใจที่รีบร้อน ทางฝั่งจูเหว่ยรวมพลังปรานเตรียมประทะในครั้งต่อไป ชายแบกกล่องไม้ไม่รีรอมือจับสายกล่องไม้ดึงขึ้นเหนือหัว ตะวัดมือจับหัวกล่องไม้ปลายนิ้วกดสัญลักษณ์ สีเหลี่ยมบนหัวกล่องก่อนกระแทกกล่องลงบนหลังคาที่ตนเหยียบ

    ตัวกล่องเปิดออกด้านข้างทั้งซ้ายและขวา สี่ดาบซ้ายขวาค่อยๆ เรียงออกมาให้เห็น จูเหว่ยจ้องมองจึงรับรู้ได้ ว่าที่แท้กล่องที่ชายคนนั้นสะพายอยู่ตลอดก็คือหีบดาบ เจ้าของหีบดาบดึงดาบในกล่องออกมาหนึ่งเล่ม พร้อมแตะหีบดาบลอยไปข้างหน้า ก่อนตะโกนสั่งการ กลุ่มคนบนลาน ขณะเดียวกันนั้นจูเหว่ยจึงเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงเรียบนิ่ง

    “ได้ยินชื่อเสียงลำลือมานาน หน่วยล่าสังหารเผ่ามนุษย์เคลื่อนไหวไม่มีผู้ใดรอด เห็นทีครั้งนี้ข้าคงต้องทุ่มสุดตัวแล้ว ที่แท้เจ้าคือ มู่ชิง หัวหน้าหน่วยล่าสังหารแดนมนุษย์นี่เอง “

    ทางมู่ชิงระหว่างที่ใช้วิชาตัวเบาพุ่งทะยานไปพร้อมหีบดาบ ก็ทำการดึงดาบแล้วโยนออกไปทีละเล่ม ทางฝั่งหลีเซี่ยที่มาถึงจุดที่ปะทะกันพอดี จึงเข้าปะทะหนึ่งในหน่วยล่าสังหาร และพุ่งเข้าปัดป้องดาบทั้งแปด

    แต่ด้วยพลังปราณที่ขั้นต่ำกว่าทำให้หลีเซี่ยถูกแรงปราณพลักกระเด็น ทางหัวหน้าหน่วยเผ่ามนุษย์มู่ชิง รวมพลังปราณบังคับดาบทั้งแปด ลอยบนอากาศเชือดเชือนทุกสรรพสิ่ง จูเหว่ยเห็นหลีเซี่ยได้บาดเจ็บจึงพุงเข้าไปช่วย จู่เหว่ยโผรับหลีเซี่ยกลางอาศค่อยๆ หมุนตัวลงพื้นอย่างช้าๆ

    ทางมู่ชิงบังคับดาบพลังปราณพุ่งเข้าหาหมายแทงจูเหว่ยและหลีเซี่ย อีกทั้งทางฝั่งนักฆ่าทั้งร้อยกว่าคนพุ่งเข้าหาทั้งสองอีก หลีเซี่ยจึงตัดสินใจพูดด้วยความรีบร้อน

    “ท่านจัดการหัวหน้า ที่เหลือข้าจะจัดการเอง “สิ้นเสียงหลีเซี่ย จูเหว่ยรีบตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เร่งรีบ “ได้ เจ้าห้ามตายนะ “

    ทั้งสองสิ้นไร้ไม้ตอกท่ามกลางเผ่ามนุษย์ หันหลังชนกันต่างรวมพลังปราณเตรียมปะทะ หลีเซี่ยเพราะพลังปราณยังไม่สูงพอซ้ำยังสู้กับผู้มีวรยุทธสูงนับร้อย รอยดาบบาดแผลเต็มตัว เลือดย้อมชุดสีฟ้าของนางจนกลายเป็นสีแดง

    ทางฝั่งจู่เหว่ยแม้รับมือกับมู่ชิงไม่ลำบากมาก แต่เพราะใจห่วงจึงคอยรวมพลังปราณซัดฝ่ามือช่วยหลีเซี่ย จึงทำให้การต่อสู้นี้ของจูเหว่ยลำบากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

    ในคณะที่ทั้งสองต่อสู้อย่างยากลำบาก ก็ปรากฏลาตัวหนึ่งและชายที่สวมชุดป่านเก่าๆ นอนบนลา หน้าคว่ำหันหัวไปทางหางลา พอถึงจุดที่มีการต่อสู้ลาตัวนั้นก็หยุดเดิน ชายที่นอนบนหลังลาหล่นกองกับพื้น กลุ่มควันคละคลุ้ง เค้าเดินกำลังภายในพลักตัวเองจากพื้น พร้อมตะโกนด้วยพลังปราณดังลั่น

    “ หากเจ้ายังรังแกเผ่ามนุษย์ ไม่สนกฏเกณฑ์ของเหล่าปรมาจารย์ในการก่อน ข้าคงมิอาจนิ่งเฉยได้ “

    หลังสิ้นเสียง ชายคนนั้นก็รวมพลังปราณใช้วิชาตัวเบา พุ่งทะยานเข้าหาจูเหว่ย พร้อมซัดฝ่ามือเข้าหา ตัวจูเหว่ยจึงรวมพลังปราณละการป้องกันหลีเซี่ย ซัดฝ่ามือซ้ายป้องกันมู่ชิง ฝ่ามือขวาป้องกันผู้มาเยือนอีกคน

    แต่พลังปราณผู้มาเยือนอีกคนสูงมาก จนแทบรับมือด้วยพลังฝ่ามือเพียงข้างเดียวไม่ไหว จูเหว่ยจึงละการป้องกันฝั่งมู่ชิงมาป้องกันชายผู้มาเยือนคนใหม่แทน

    ทางหลีเซี่ยเห็นท่าไม่ดี จึงรีบพุ่งเข้าไปหาจู่เหว่ย จนไม่สามารถปัดป้องดาบได้ทั้งหมด จึงโดนแทงเข้าไหล่ซ้ายหนึ่งแล่ม หลังท้องขวาอีกหนึ่งแล่ม พอหลีเซี่ยถึงตัวจูเหว่ยปราณดาบของมู่ชิงก็พุ่งถึงพอดี หลีเซี่ยรีบรวมพลังปราณที่เหลืออยู่ปัดป้องดาบทั้งแปด

    ทำให้ดาบทั้งหมดไม่สามรถทะลุร่างของหลีเซี่ยเข้าถึงตัวจูเหว่ยได้ ทางจูเหว่ยที่ฝีมือทัดเทียมกับผู้มาเยือน ทั้งสองต่างถูกแรงกระแทกของพลังพลักถอยหลัง ในขณะที่หันไปเห็นหลีเซี่ยที่ร่างกายถูกปักเต็มไปด้วยดาบ จูเหว่ยความคิดหลุดลอยในหัวขาวโพลน โผกอดร่างหลีเซี่ยประคองนาง

    ในใจสิ้นหวังหลุดลอย ทันใดนั้นขั้นพลังของจูเหว่ยก็ทะลุขั้นปรมาจารย์ จูเหว่ยระเบิดพลังปราณเกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง กลุ่มนักฆ่ากระเด็นกันไปคนละทิศละทาง มู่ชิงและผู้มาเยือนถูกแรงกระแทกของพลังผลักกระเด็น ระหว่างนั้นมู่ชิงลอยอยู่กลางอากาศ จึงใช้พลังปราณดึงดาบออกจากร่างหลีเซี่ย เพื่อเก็บเข้าหีบดาบ พื้นปูนบริเวณโดยรอบถูกพลังของจูเหว่ยบดละเอียดเกิดควันคละคลุ้ง

    จูเหว่ยรวมพลังปราณใช้วิชาตัวเบา อุ้มร่างไร้วิญญาณหลีเซี่ยออกจากเมืองของเผ่ามนุษย์ และได้ตัดสินใจฝังหลีเซี่ยไว้ใกล้ลำธาร ภูเขาและป่าไม้ ณ เชิงเขาซุ่ยจือ จูเหว่ยขุดหลุมทำป้ายศพให้หลีเซี่ย เสร็จแล้วยืนจ้องมองป้ายชื่อด้วยใจที่แหลกสลายพลางพูดด้วยเสียงแผ่วเบา

    “เจ้าหลับให้สบายเถอะนะ เจ้าไม่ต้องเร่ร่อนติดตามข้าแล้ว หากชาติหน้าเราเกิดในดินแดนที่ไร้ซึ่งความขัดแย้ง พวกเราอาจเคียงคู่กันในสถานะอื่นก็ได้ หลีเซี่ย..ข้าก็รักเจ้า “

    สิ้นความเสียใจยังไม่นาน หน่วยล่าสังหารเผ่ามนุษย์ก็ปรากฏตัว จูเหว่ยเลือกที่จะไม่ปะทะและล้างแค้น เขาตัดสินใจใช้วิชาตัวเบาเหยียบผิวน้ำยอดหญ้าพุ่งจากไปจนถึงป่าไผ่ แต่หน่วยล่าสังหารเผ่ามนุษย์ยังคงใช้วิชาตัวเบาเหยียบผิวน้ำยอดหญ้าไล่ติดตามจนถึงป่าไผ่

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×