อย่าพรากเธอไปจากฉัน - อย่าพรากเธอไปจากฉัน นิยาย อย่าพรากเธอไปจากฉัน : Dek-D.com - Writer

    อย่าพรากเธอไปจากฉัน

    อย่าพรากเธอไปจากฉัน

    ผู้เข้าชมรวม

    345

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    345

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  10 พ.ย. 50 / 11:10 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      หลายคืนมาแล้วที่บ้านหลังนั้นตกอยู่ในความมืดมิด มองเข้าไปทีไรให้เกิดความรู้สึกวังเวงในหัวใจชอบกล อะไรๆ ในนั้นดูมันหดหู่ไปเสียหมด ลานซีเมนต์ตรงหน้าบ้านก็รกเกลื่อนไปด้วยเศษใบจากต้นมะม่วงริมรั้วที่ปลิวร่วง บ้างก็กระจัดกระจายออกมานอกรั้วยามที่มีลมพัดพา ประตูหน้าต่างปิดสนิทราวกับไม่มีใครอยู่มาเป็นปี ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ มักจะเห็นคนเป็นเจ้าของบ้านออกมาเก็บกวาดเศษใบไม้อยู่เสมอ และพอใกล้เวลาตะวันจะตกดิน แสงไฟจากประตูรั้วบ้านจะถูกเปิดขึ้นทันทีพร้อมๆ กับไฟในตัวบ้าน แต่แปลกที่หลายคืนมานี้ กลับเงียบและมืดสนิทราวกับไม่มีใครอยู่เลย บ้านหลังนั้นมันอยู่เยื้องๆ ตรงข้ามกันกับบ้านของหล่อน คนเป็นเจ้าของบ้านก็เห็นหน้าค่าตากันบ่อยๆ เขาเป็นนักแต่งเพลง ประเภทเพลงลูกทุ่งอะไรนี่แหละ แม้หล่อนไม่ค่อยได้คุยกับเขาบ่อยนัก แต่ด้วยการที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกันก็มีบ้างที่เคยยิ้มทักทายกันเล็กๆ น้อยๆ ดูท่าทางเขาเป็นคนค่อนข้างเก็บตัว ไม่ชอบสุงสิงกับใคร เขาเป็นคนร่างสันทัด หน้าตาดูดีใช้ได้ แรกๆ หล่อนยังไม่อยากจะเชื่อว่าเขาเป็นนักแต่งเพลง เพราะหล่อนเข้าใจว่าคนแต่งเพลงโดยเฉพาะเพลงแนวลูกทุ่ง น่าจะดูมีอายุสักหน่อย ไม่เหมือนเขาที่ดูแล้วอายุคงประมาณสามสิบต้นๆ เท่านั้น หล่อนเห็นเขาอยู่บ้านเพียงลำพัง ไม่เคยเห็นว่ามีใครมาอยู่ด้วย และนานๆ ครั้งจึงจะเห็นว่ามีคนมาหาที่บ้าน ความจริงก่อนหน้านี้เขาก็เคยหายไปครั้งหนึ่ง กว่าจะกลับมาก็เกือบปีทีเดียว ครั้งนั้นแม้เขาจะทิ้งบ้านไปนานก็จริง แต่ดูแล้วไม่รกร้างและวังเวงเหมือนคราวนี้ หรือครั้งนี้เขาอาจจะไม่กลับมาอีกแล้ว หล่อนได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจลำพัง   
                 
                 หล่อนเคยได้ยินคนในละแวกซอยพูดกันว่า ช่วงที่เขาหายไปคราวแรกนั้นเป็นเพราะเขาป่วยและไปรักษาตัวอยู่นาน ที่สำคัญ มันไม่ใช่การเจ็บไข้ได้ป่วยทางกาย หากแต่เป็นการป่วยทางจิต หล่อนเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องแบบนี้นัก เวลาได้ยินใครๆ พูดถึงเรื่องคนป่วยโรคจิต หล่อนก็มักจะนึกถึงแต่คนบ้าที่เคยเห็นตามท้องถนนหรือไม่ก็ในข่าวในโทรทัศน์ทุกที ตอนแรกที่ได้ยินเรื่องราวของเขา หล่อนเองยังไม่อยากจะเชื่อ มันไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะที่เคยเห็นกันมาก่อนหน้านี้ แม้เขาจะค่อนข้างเงียบขรึมและเก็บตัว แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าเขาจะเป็นบ้า อาชีพการงานของเขาก็ดูจะมีหน้ามีตา มองในมุมไหนก็มองไม่ออกถึงสาเหตุที่จะทำให้เขาต้องป่วยรุนแรงทางจิตถึงขนาดนั้น  การที่เขาเก็บตัวเงียบๆ มันก็ไม่น่าถึงขนาดที่จะทำให้เป็นบ้าไปได้ หล่อนคิดแล้วก็ได้แต่นึกสังเวชใจ ชีวิตคนนี่มันยิ่งกว่านิยายเสียอีก แต่เมื่อเพื่อนบ้านหลายคนในละแวกใกล้เคียงยืนยันอย่างหนักแน่น หล่อนก็เริ่มคล้อยตาม อีกทั้งยังสังเกตเห็นว่าช่วงหลังจากที่เขาหายไปนานแล้วกลับมานั้น เขาเก็บตัวมากกว่าเดิม ที่เคยเห็นออกมากวาดลานหน้าบ้านก็กลับไม่เห็น ที่เคยยิ้มๆ ทักทายอย่างก่อนนั้นก็กลับไม่มี  มีแต่ช่วงเช้าและเย็นเท่านั้นที่เห็นเขาออกมาจากตัวบ้าน ซึ่งนั่นเป็นเวลาที่ลูกสาวของหล่อนไปโรงเรียนและกลับบ้าน หล่อนสังเกตเห็นและแน่ใจว่าเขาคงตั้งใจออกมามองลูกสาวของหล่อน แต่ก่อนไม่เห็นว่าเขาจะเป็นเช่นนี้ มันทำให้หล่อนรู้สึกขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก บวกกับเรื่องที่ได้ยินมาว่าเขาป่วยทางจิตด้วยแล้ว มันก็กลายเป็นเหตุผลที่สนับสนุนให้หล่อนรู้สึกรังเกียจและไม่อยากจะกรายใกล้เขาเลยแม้แต่น้อย
                 
                 หล่อนมีลูกสาวเพียงคนเดียวชื่อแก้ว แก้วเป็นเด็กสาววัยรุ่นที่กำลังเติบโต หน้าตาสะสวยน่ารักสมวัย ไม่เพียงแต่หล่อนผู้เป็นแม่เท่านั้นที่คิดเช่นนี้ ใครๆ ในซอยก็พูดกันทั้งนั้นว่าหล่อนโชคดีที่มีลูกสาวที่เรียนเก่งและสวยอย่างกับดาราหนัง ยิ่งยามที่ใครบอกว่าสวยเหมือนแม่ด้วยแล้ว หล่อนก็จะยิ่งยิ้มอย่างภูมิใจจนแทบจะเก็บอาการปลื้มใจนั้นไว้ไม่อยู่ และความสวยของแก้วก็คงต้องตาต้องใจพ่อนักแต่งเพลงนั่นแน่ หล่อนคิดเช่นนั้น หลังจากที่เริ่มสังเกตุเห็นเวลาแก้วไปโรงเรียนตอนเช้า เขาจะออกมานั่งตรงม้านั่งใกล้รั้วแล้วมองแก้วเดินผ่านไป เมื่อแก้วลับตา เขาก็กลับหายเข้าไปในบ้านทั้งวัน ครั้นพอใกล้เวลาที่แก้ว จะเลิกเรียนเขาก็จะออกมานั่งตรงที่เดิมราวกับจะรอแก้วกลับมา อันที่จริงหากเขาไม่เคยป่วยอะไรอย่างนั้นหล่อนคงไม่คิดมากนัก แต่เมื่อหล่อนรับรู้และเชื่อแล้วว่าเขาป่วยจริงๆ ไม่ว่าจะหายหรือไม่หายก็เถอะ หล่อนคิดว่าคนเช่นนี้ไม่ปลอดภัยกับใครทั้งสิ้น เขาอาจจะทำอะไรอย่างที่ไม่คาดคิดก็เป็นได้ อาการของเขาอาจจะกำเริบขึ้นมาเมื่อไหร่ใครจะรู้ ยิ่งอ่านตามข่าวหนังสือพิมพ์ที่คนบ้าทำร้ายร่างกายผู้คนแล้วหล่อนก็ยิ่งรู้สึกหวั่นกลัว กลัวว่าเขาจะมาทำร้ายลูกของหล่อนเหมือนอย่างในข่าว แม้ไม่เห็นว่าเขาจะทำอะไรมากไปกว่าการจ้องมอง แต่หล่อนก็พร่ำเตือนลูกสาวอยู่เสมอว่าให้ระวังและบอกให้หลบเลี่ยงอย่าได้ไปมองตอบหรือข้องแวะด้วยเด็ดขาด ซึ่งแก้วก็เชื่อฟังด้วยดี
                  แต่ตอนนี้หล่อนคงไม่ต้องวิตกหรือเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนักเพราะหล่อนเพิ่งส่งลูกสาวไปเรียนต่อที่อเมริกา รู้สึกเบาใจขึ้นมากที่แก้วไม่ต้องมากรายใกล้ผู้ชายที่ไม่ปกติทางจิตอย่างเขา แม้ลึกๆ ในใจหล่อนไม่อยากให้แก้วจากไปไหนไกลๆ ช่วงหลังมานี้หล่อนมีเพียงลูกสาวคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ด้วยกันมาตลอด สามีของหล่อนได้หย่าขาดจากกันไปเมื่อสามปีก่อน การที่ต้องมาพลัดพรากจากลูกสาวเพียงคนเดียวอีก มันทำให้หล่อนอ้างว้างยิ่งนัก แก้วเพิ่งเดินทางไปได้ไม่นาน แต่หล่อนก็คิดถึงลูกจนแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ นับเวลาดูแล้วก็เพิ่งเดือนเดียวนี่เอง แต่ในความรู้สึกของหล่อนเหมือนมันยาวนานกว่านั้น ช่วงแรกๆ ที่แก้วไม่อยู่ หล่อนยังคงเห็นเขาออกมาคอยมองอย่างเคย แต่พอนานวันเข้า เมื่อแก้วไม่ปรากฏให้เขาเห็นอีก เขาก็หลบเร้นหายหน้าไปเลย เงียบหายไปเสียเฉยๆ มาสังเกตดูอีกที บ้านของเขาทั้งหลังก็เงียบเชียบราวกับเป็นบ้านร้างไปแล้ว
                  ตั้งแต่ที่บ้านของชายนักแต่งเพลงนั่นเงียบและมืดสนิทลงไปโดยเฉพาะในยามค่ำคืน ทีแรกหล่อนเข้าใจว่าเขาอาจจะหายไปเหมือนคราวก่อน อาจไปรักษาตัวหรืออาจย้ายไปอยู่ที่อื่นก็เป็นได้ แต่ความคิดเช่นนั้นก็ถูกลบเลือนด้วยการที่หล่อนได้ยินเสียงเปียโนดังแว่วมาจากบ้านของเขา มันทำให้หล่อนสงสัยจนต้องแกล้งออกมาเก็บกวาดตรงบริเวณรั้วหน้าบ้าน ลอบมองเข้าไป ดูอย่างไรก็เหมือนไม่มีคนอยู่ เสียงกรอบแกรบของเศษใบไม้ตรงรั้วบ้านของเขา ยามปลิวเรี่ยเกลี่ยถนนจากลมกลางคืนกับเสียงของเปียโนที่ดังแว่วมาผสม มันวังเวงเสียจนขนลุกซู่ขึ้นมาไม่รู้ตัว แต่ก็ยังแปลกใจว่า ถ้าเขาไม่อยู่ในบ้านแล้วเสียงเปียโนที่ได้ยินนั่นมันดังมาได้อย่างไร เขาต้องอยู่ในบ้านนั่นแหละ หล่อนคิด บางทีอาการป่วยของเขาอาจกำเริบขึ้นมาอีกก็เป็นได้ คนบ้าก็คงเป็นเช่นนี้ เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เขาคงเป็นบ้าอย่างที่ใครๆ ว่ากันจริงๆ  ไม่อย่างนั้นคงไม่ปิดไฟเล่นเปียโนในบ้านมืดๆ แบบนั้น คนดีๆ ที่ไหนจะอยู่เงียบๆ ในบ้านโดยไม่โผล่หน้าออกมาเลย กลางวันก็เงียบ กลางคืนก็มืดวังเวง มันทำให้หล่อนรู้สึกสะท้านกลัว จนที่สุดก็ไม่กล้ามองเข้าไปในบ้านนั้นอีกเลย
                 
               เมื่อคืนก่อนแก้วโทรมาตอนราวๆ ห้าทุ่ม เวลาที่นั่นคงใกล้เที่ยงวัน หล่อนดีใจที่ได้รับรู้เรื่องราวของลูกสาว แก้วโทรมาเล่าให้ฟังถึงสภาพที่พักรวมทั้งความเป็นอยู่ตั้งแต่วันแรกที่ไป แม้ว่าแก้วจะยังไม่ได้เริ่มเรียน แต่หล่อนก็รู้สึกว่าลูกสาวคงจะปรับตัวได้ในเร็ววัน สังเกตจากน้ำเสียงอันแจ่มใสที่ยังเป็นเหมือนยามปกติตอนอยู่เมืองไทย เพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ทำให้หล่อนรู้สึกไม่ค่อยดีก็คือ แก้วบอกว่า แก้วฝันเห็นเขา ชายนักแต่งเพลงคนนั้น ฝันว่าเขามาเล่นเปียโนให้ฟังและร้องเพลงให้ฟังด้วย มันไพเราะจับใจแก้วมาก แก้วบอกว่าจำได้ประโยคเดียวในเพลงที่เขาร้องในฝันที่ว่า “อย่าพรากเธอไปจากฉัน” คำบอกเล่าของลูกสาวทำให้หล่อนหวั่นวิตกและกังวลมากถึงขนาดคิดไปว่า เขาอาจจะชอบแก้วมาก มากเสียจนตามไปหาที่อเมริกา แต่พอคิดอีกทีว่าเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าแก้วอยู่ที่ไหน ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นไปได้ และอีกอย่างเขาคงไม่ได้ไปไหนแน่ เพราะก่อนหน้าที่แก้วจะโทรมา หล่อนได้ยินเสียงเปียโนดังมาจากบ้านของเขาอีกครั้ง แต่คราวนี้มันดังกว่าครั้งก่อนและได้ยินชัดเจนยิ่งกว่าเดิม ท่วงทำนองอันเนิบช้าที่ดังล่องลอยมาให้ได้ยินนั้นมันเศร้าวังเวงเสียจนหล่อนต้องเร่งเสียงโทรทัศน์กลบ หล่อนรู้สึกกลัว กลัวว่าเขาจะเข้ามาทำร้าย คนบ้ามักจะก่อเหตุโดยไม่คาดคิดเสมอ หล่อนกังวล แต่ก็พยายามข่มใจบอกกับตัวเองว่า คงไม่มีอะไร สิ่งที่แก้วบอกก็แค่ฝัน ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะฝันเห็นใครที่เพียงแค่เคยเห็นหน้า ไม่ว่าเราจะรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม หล่อนเองก็เคยฝันเห็นคนที่ไม่เคยรู้จัก หล่อนพยายามไม่คิดถึงเรื่องของเขาและข่มตาตัวเองให้หลับ
                 
                อาจเป็นเพราะการคิดมากหรือเพราะข่มตาอยู่นานกว่าจะหลับก็เป็นได้ ทำให้เช้าวันต่อมาหล่อนตื่นสายกว่าทุกวัน แต่ครั้นตื่นมาก็ได้ยินเสียงอื้ออึงของผู้คนคุยกันดังมาจากหน้าบ้าน เสียงรถยนต์ เสียงไซเรนเหมือนของรถตำรวจหรือรถพยาบาลยามมีเหตุฉุกเฉิน มันทำให้หล่อนตกใจและรีบก้าวออกมาดูในทันที มองเห็นรถตำรวจและรถพยาบาลจอดอยู่หน้าบ้าน กลุ่มคนจำนวนหนึ่งยืนมุงดูและส่งเสียงจอแจวุ่นวายอยู่ตรงหน้าบ้านของชายนักแต่งเพลงคนนั้น หล่อนก้าวออกไปหาและไม่รีรอที่จะถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับกลุ่มคนเหล่านั้น คำตอบที่ได้รับทำให้หล่อนแทบช็อค ชายนักแต่งเพลงที่หล่อนเคยสงสัยในตัวเขานั้น บัดนี้ ได้เสียชีวิตแล้ว จากคำบอกเล่าก็คือ เขาผูกคอตาย คนพูดกันว่าเขาคงจะปีนเปียโนขึ้นไปผูกคอกับขื่อ แม้ไม่เห็นกับตาแต่หล่อนก็นึกเดาภาพร่างของเขาที่ผูกคออยู่กับขื่อแล้วทิ้งร่างลอยเคว้งอยู่เหนือตัวเปียโนได้ คิดแล้วให้เสียวสะทกในใจ ขนลุกชันเกือบตลอดเวลา นึกถึงสิ่งที่แก้วเล่าว่าฝันเห็นเขามาเล่นเปียโนให้ฟังและที่ตัวเองได้ยินด้วยแล้ว มันทำให้หล่อนยิ่งรู้สึกหวั่นผวายิ่งนัก เรื่องเกี่ยวกับผีหรือจิตวิญญาณที่เคยได้ยินได้ฟังมานั้น ไม่นึกเลยว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเองได้จริงๆ แม้ไม่อยากจะนึกถึงแต่เสียงเปียโนอันวังเวงเศร้าสร้อยที่เคยได้ยินนั้นมันกลับตามมาหลอกหลอนในสำนึกไม่วางวาย หล่อนคงไม่กล้าอยู่คนเดียวแน่  โทรเรียกน้องสาวมาอยู่ด้วยสักพักคงดี เมื่อเรื่องทุกอย่างซาลงหล่อนก็คงจะลืมเลือนไปได้เอง หล่อนหวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น
                 
                 คราวนี้กลับกลายเป็นหล่อนเองที่เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน หล่อนรู้สึกหวาดผวาและหวั่นกลัวเป็นอย่างมาก ยังดีที่มีน้องสาวมาอยู่เป็นเพื่อน สองสามวันมาแล้วที่น้องมาอยู่ด้วยและหล่อนขอร้องให้อยู่ต่ออีกสักพัก ความกลัวยังไม่คลี่คลายไปจากจิตใจ นับแต่วันที่รู้ว่าเขาผูกคอตาย หล่อนไม่กล้าแม้แต่จะคิดหรือสงสัยอะไรในตัวของชายนักแต่งเพลงนั่นอีกเลย ทั้งยังกำชับกับน้องสาวตัวเองด้วยว่าอย่าได้บอกให้แก้วรู้เด็ดขาด แต่แม้จะไม่อยากคิดอะไรก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมแก้วจึงฝันเห็นเขา ซ้ำยังมาพ้องกับที่หล่อนได้ยินเสียงเปียโนจากบ้านเขาอีก มันน่าขนลุกก็ตรงที่รู้ว่า เขาผูกคอตายมาตั้งแต่วันที่บ้านของเขาเงียบวังเวงไปเมื่อหลายคืนที่ผ่านมา ก่อนที่หล่อนจะได้ยินเสียงเปียโนนั่นและก่อนที่แก้วจะฝันเห็น แม้จะพยายามข่มใจไม่ให้คิดแต่มันก็กลับผ่านเข้ามาในสำนึกได้เอง ภาพของคนผูกคอตายที่เคยเห็นในภาพยนตร์บ้างในหน้าหนังสือพิมพ์บ้าง ล่องลอยวนเวียนอยู่ในหัว และไม่อาจบังคับจิตสำนึกของตัวเองให้เลิกคิดถึงได้เลย น้องสาวก็ได้แต่ปลอบ แต่หล่อนก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้น บางทีก็นึกอยากจะไปให้พ้นๆ เสียจากบ้านที่อยู่ แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้หากย้ายออกไป ได้แต่บอกตัวเองว่านานๆ ไปเดี๋ยวก็คงลืมเลือนไปได้เอง แต่ดูท่าว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อมีเสียงกริ่งประตูรั้วดังขึ้น หล่อนจึงออกไปดูและเห็นตำรวจหนุ่มในชุดเครื่องแบบเต็มยศ ดูจากดาวที่บ่าแสดงว่าเป็นร้อยเอก
                 
                   “ไม่ต้องตกใจนะครับ ผมแค่มีอะไรบางอย่างมาขอปรึกษาครับ” คำพูดของเขาที่สุภาพอ่อนโยน ทำให้หล่อนวางใจและอนุญาตให้เขาเข้ามาคุยในบ้าน เมื่อพร้อมหน้ากันในห้องรับแขก คนเป็นตำรวจก็เอ่ยขึ้น

                    “คือเรื่องคดีผูกคอตายที่บ้านใกล้ๆ นี่ สรุปจากหลักฐานพอฟังเป็นที่ชัดเจนได้ว่า เขาฆ่าตัวตายจริงๆ” คนเป็นตำรวจบอก มองดูหล่อนและน้องสาวที่นั่งอยู่ติดกัน เมื่อไม่มีใครพูดอะไรเขาจึงว่าต่อ

                     “ความจริงมันก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณพี่หรอกนะครับ แต่ที่ผมเก็บรวบรวมหลักฐานมาได้ทั้งหมดน่าจะมีสิ่งหนึ่งที่คนตายคงอยากจะฝากไว้ให้ เอ่อ” เขาหยุดอย่างครุ่นคิดแล้วว่า   “ฝากไว้ให้ลูกสาวของคุณพี่น่ะครับ” 

                      “ฝากให้แก้ว” หล่อนประหลาดใจ หันไปมองน้องสาวเหมือนขอความเห็น แต่น้องสาวนิ่งเงียบคล้ายยังงงกับสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง หล่อนจึงเอ่ยต่อ “คงไม่รับไว้ดีกว่านะคะ คุณตำรวจเก็บไว้เป็นหลักฐานเถอะค่ะ”

                       “ไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่คิดหรอกครับ” ตำรวจว่า “คือผมคิดว่าเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผู้ตายอยากจะขอร้อง บางทีอาจช่วยให้เขาไปสู่สุคติก็ได้ มันเป็นโน้ตเพลง” ยื่นสิ่งที่พูดถึงให้ดู หล่อนหันหน้าไปมองน้องสาวตัวเองอีกครั้งด้วยทีท่าหวั่นๆ และเป็นน้องสาวของหล่อนที่ยื่นมือไปรับมาดู มันเป็นกระดาษเขียนโน้ตเพลง ที่มีทั้งตัวโน้ตและเนื้อเพลง

                        “ผมลองเอาไปให้เพื่อนที่เป็นนักดนตรีเล่นแล้ว เขาบอกว่า มันไพเราะมาก และเศร้าจนแทบน้ำตาไหล” เขาบอก หล่อนได้แต่นิ่งฟังพลางนึกถึงคำพูดที่แก้วเคยเล่า ทั้งเสียงเปียโนที่เคยได้ยินก็เริ่มล่องลอยเข้าสู่มโนสำนึกอีกครั้ง เมื่อคนเป็นตำรวจเห็นว่าทั้งหล่อนและน้องสาวยังมีทีท่าไม่วางใจจึงพูดขึ้นอีก

                         “คืออย่างนี้ครับ” เขาว่า “ผมไปเปิดบันทึกที่ผู้ตายเขียนไว้ ไม่ใช่บันทึกก่อนตายหรอกครับ เป็นบันทึกที่เขาเขียนอยู่แล้วเป็นประจำ ในนั้นเขียนบรรยายถึงเด็กสาวคนหนึ่ง เธอชื่อแก้ว เขาเขียนบรรยายว่าเธอทำให้เขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อ เขายังไม่หายขาดจากโรคจิตเภทในกลุ่มโรคซึมเศร้า คือโรคทางจิตประเภทนี้มันก็ไม่ถึงกับบ้าหรือเสียสติอะไรหรอกนะครับ เป็นแต่เพียงว่า บางเวลาอาจมีอาการจิตหลอน และบางทีก็ควบคุมความรู้สึกตัวเองไม่ได้ต้องกินยาช่วยอยู่ตลอด เขาเขียนบรรยายในบันทึกว่าการได้เจอกับเด็กหญิงที่ชื่อแก้ว เหมือนเป็นกำลังใจให้สักวันหนึ่งเขาจะหายและกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง” มองดูหน้าฝ่ายหญิงทั้งสองที่นิ่งฟังไม่ปริปาก แล้วว่าต่อ

                           “แต่วันหนึ่งเด็กสาวหายไป เขารับรู้ว่า เอ่อ ผมว่าคงเป็นเพราะอาการทางจิตของเขาด้วยที่ทำให้คิดมากไปแบบนั้น เขาว่าการที่เธอหายไป เหมือนมีใครมาพรากเธอไปจากเขา เหมือนต้องการให้เขาต้องตายไปจากโลกนี้จริงๆ เขาก็เลยตัดสินใจผูกคอตาย” ว่าจบก็มองดูหล่อนและน้องสาว น้องสาวสีหน้านิ่งๆ แต่หล่อนนั้นมีน้ำรื้นๆ เอ่อคลออยู่ในหน่วยตา หยิบกระดาษที่เขียนเพลงขึ้นมาอ่านดู  หล่อนไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกเช่นไร ทุกอย่างมันสับสนปนเปไปหมดในความรู้สึก สงสารเขา หวาดกลัวเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น คิดถึงลูก หากแก้วรู้จะคิดหรือรู้สึกอย่างไร ทุกอย่างในสำนึกดูมันวนเวียนไปหมด หล่อนตอบตัวเองไม่ได้จริงๆ รู้แต่เพียงว่าน้ำตาเริ่มไหลรินและมันไม่อาจกลั้นหรือห้ามเอาไว้ได้เลยขณะมองดูเนื้อเพลง

      “อย่าพรากเธอไปจากฉัน”
                              ฉันมีชีวิตท่ามกลางความเศร้า กลางวันเงียบเหงา กลางคืนเปล่าเปลี่ยวเอกา

                              หลบหลีกสังคม เร้นห่างจากกาลเวลา ไร้สิ่งอันปรารถนา ชีวิตมีค่าแค่ลมหายใจ

                              แต่เหมือนสวรรค์จะมีอยู่จริง นำพายอดหญิง มาให้ฝันใฝ่หลงใหล

                              เธองามดั่งดาว ประดับบนฟ้ากว้างไกล อยากเอื้อมมือไป ไขว่คว้ามาแนบอุรา

                              ไม่อยากให้ใครมาพรากเธอไป ไม่อยากให้ใคร มาพรากเธอไปจากฉัน

                              ขอแค่ได้เห็น ได้คิดถึงทุกคืนวัน แก้วตาดวงใจของฉัน ได้โปรดอย่าพรากเธอไป

                              ถึงแม้ชีวิตฉันมันไร้ค่า ขอเพียงรู้ว่า เธอมีความหมายยิ่งใหญ่

                              ขออ้อนวอนฟ้า ขออย่าให้เธอจากไกล ฉันคงต้องตาย หากพรากเธอไปจากฉัน

                              อย่าพรากเธอไปจากฉัน อย่าพรากเธอไปจากฉัน อย่าพรากเธอไปจากฉัน


      *******************

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×