ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Harry Potter] Little Loony Lovegood [George x Luna] [END]

    ลำดับตอนที่ #17 : 17 ll 20 Points

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.04K
      230
      6 ก.ย. 64


    17


    20 Points





              จอร์จคิดว่าเช้าวันแรกของการเรียนเริ่มต้นได้ดีทีเดียว ตารางเรียนของปีห้าส่งตรงจากศาสตราจารย์มักกอนนากัลถึงมือเขากับเฟร็ด

    ทันทีที่นั่งลงที่โต๊ะของกริฟฟินดอร์ในห้องโถงใหญ่ตอนช่วงเวลากินอาหารเช้า

                

              แม้วิชาแรกที่จะได้เรียนนั้นชวนหดหู่แค่ไหนก็ตาม อย่างวิชาปรุงยาของศาสตราจารย์สเนป แต่จอร์จก็ยังร่าเริงได้เสมอ 

    คนผมแดงเลิกสนใจตารางเรียนและเสียงโอดครวญของเฟร็ดกับลีเรื่องตารางเรียนใหม่แล้วหันไปสนใจเด็กสาวผมบลอนด์บ้านเรเวนคลอ

                

              เวลาได้มองอะไรแบบนี้ช่างชุ่มชื่นหัวใจเสียจริง! จอร์จใช้มือข้างขวาตักข้าวโอ๊ตผสมนมเข้าปาก อีกข้างยกขึ้นเท้าคางมองลูน่า 

    เด็กสาวกำลังนั่งให้มาเรียจัดการกับผมอันยุ่งเหยิงและยาวจรดเอวของเธอ ขณะที่แก้มขาวซีดของนังหนูบวมตุ่ยเพราะพุดดิ้ง เหมือนกับ

    กระต่ายสีขาวเวลามีอาหารเต็มปากและเคี้ยวตุ้ยๆ ชวนให้มันเขี้ยวจนอยากบีบแก้มแรงๆ สักที หรือไม่ก็ขอแค่ได้จิ้มแก้มเบาๆ ก็พอแล้ว...

                

              เพียงชั่วพริบตาเดียว ผมสีบลอนด์ที่ค่อนข้างดูรกรุงรังก็ดูเรียบร้อยทันตาเห็น มาเรียแบ่งผมหนาๆ ของลูน่าออกเป็นสองช่อซ้ายขวา

    และแบ่งแต่ละข้างเป็นสามช่อก่อนถักเปียยาวลงมาอย่างเป็นระเบียบแล้วรัดด้วยยางรัดผมสีฟ้า ใบหน้าเล็กๆ ของลูน่าดูเด่นและสดใสขึ้นมา

    เมื่อไม่มีผมมาบดบังอย่างที่เคยเป็น เด็กหนุ่มบ้านกริฟฟินดอร์อย่างเขาอยากจะร่ำไห้กับตัวเอง ลำพังปกติเขาก็แทบละสายตาจากคนตัวเล็ก

    ที่ดูล่องลอยนั่นไม่ได้อยู่แล้ว แต่ทำแบบนี้ก็เท่ากับว่านอกจากจะอยากนั่งมองให้นานที่สุด ก็ไม่เหลือทางเลือกอื่นให้ตัวเองอีกแล้ว

                

              ...เธอเอาฉันไปเป็นของเธอเลยเถอะ นังหนู!!

                

              ราวกับมีกระแสจิตส่งไปถึงลูน่า เธอเงยหน้าขึ้นจากชามข้าวโอ๊ตผสมนมที่กินหลังพุดดิ้งและดวงตากลมโตนั้นสบตากับจอร์จเข้าพอดี 

    เด็กสาวยิ้มแป้นเป็นการทักทายจากโต๊ะเรเวนคลอส่งถึงโต๊ะกริฟฟินดอร์ที่มีบ้านสลิธีรินคั่นกลางระหว่างพวกเขา

                

              จอร์จยิ้มตอบอย่างไม่ลังเล และค้างอยู่อย่างนั้นจนเฟร็ดหันมาเห็นเข้า แฝคคนพี่ชะโงกหน้ามองบ้าง เมื่อเห็นลูกศิษย์คนแรก

    และคนเดียวที่ช่วยชีวิตเขาไว้เมื่อคืน เฟร็ดก็โบกมือและยิ้มไปให้บ้าง ทำเอากลุ่มเด็กปีสามที่นั่งอยู่ข้างกันหันไปมองตาม

                

              “น่ารักดีนะ” เชมัสหันกลับมากระซิบกับพวกรอน แฮร์รี่แล้วก็เนวิลล์ “เธอดูแปลกๆ ก็จริง แต่ถ้าตัดเรื่องดูล่องลอยนั่น ฉันว่ามีคนตาม

    จีบหลายคนแน่”

                

              จอร์จหูผึ่งและเอียงตัวไปทางปีสามอย่างสนใจใคร่รู้ ต่อให้เสียงนั้นเบาจนดูเหมือนกระซิบแต่คนผมแดงก็ได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ        

                

              “ฉันว่าหนึ่งในนั้นก็ต้องมีนายด้วยแน่ๆ เชมัส” รอนโน้มตัวไปพูดและหยิบแซนด์วิชจากกลางโต๊ะมากินอีกชิ้น

                

              “นายคิดงั้นเหรอ”

                

              “ฮื่อ” รอนส่งเสียงตอบในลำคอระหว่างที่ในปากเต็มไปด้วยแซนด์วิชคำโตที่กัดไป

                

              เชมัสยักคิ้วแล้วยิ้มมุมปาก “ก็คงอย่างนั้นมั้ง”

                

              มันเป็นเรื่องปกติก็จริง ที่นักเรียนชายจะพูดถึงนักหญิงต่างบ้าน ว่าน่ารักบ้างล่ะ สวยบ้างล่ะ หรือดูมีเสน่ห์จนอยากจีบ หรือแม้กระทั่ง

    ผู้หญิงเองก็มีพูดถึงฝ่ายชายด้วยเหมือนกัน แต่มันจะไม่ปกติก็ตรงที่คนถูกพูดถึงคือ ลูน่า ที่จอร์จตามประคบประหงมมาเป็นปีเนี่ยแหละ 

    เจ้าเด็กพวกนี้จะพูดถึงใครก็ได้แต่ต้องไม่ใช่นังหนูของเขา! (ถึงจะคิดเอาเองว่าเธอเป็นของเขาก็ตาม)

                

              จอร์จแอบหยิบไม้กายสิทธิ์จากกระเป๋าเสื้อคลุม ชี้ไปยังแก้วน้ำของเชมัสพร้อมขยับปากร่ายคาถาพึมพำเบาๆ และที่แก้วของรอน

    อีกแก้วด้วยความเอ็นดูก่อนหันมาสนใจกับชามตรงหน้าแล้วต่อด้วยไข่ดาวอีกหนึ่งฟอง

                

              หลังจากนั้นเพียงไม่ถึงหนึ่งนาที

                

              “แหวะ!!” เชมัสและรอนที่ยกแก้วขึ้นดื่มพร้อมกันพ่นน้ำสีดำกระเด็นออกมาเต็มโต๊ะ ทำเอาเด็กนักเรียนที่อยู่รอบข้างลุกหนีกันไปหมด 

    แฮร์รี่ไหวตัวทันยกชามของตัวเองหลบออกมาได้อย่างหวุดหวิด ขณะที่ชามของเนวิลล์กับดีนยังวางอยู่ที่เดิมและรับน้ำจากปากเชมัสเข้าไป

    เต็มๆ

                

              “อย่างกับน้ำโคลนแน่ะ!” รอนขมวดคิ้วจ้องเข้าไปในแก้วที่ไม่เหลือเค้านมจืดสีขาวอีกแล้ว คนผมแดงหันมองรอบทิศอย่างจับผิดว่าใคร

    เป็นคนทำ คนคนนั้นจะต้องกำลังแอบหัวเราะอยู่แน่ๆ แต่แล้วก็ไม่เจอสักคน แม้กระทั่งมัลฟอยคู่ปรับก็ดูจะสนุกสนานไปกับการโม้ของตัวเอง

    ที่โต๊ะสลิธีรินอยู่ “อยากเตะสักป้าบใจจะขาด อย่าให้รู้นะว่าใครแอบเสกใส่แก้วของฉัน”



              ระหว่างช่วงพักคาบเช้า ลูน่าเดินมารอจินนี่ตรงระเบียงทางเดินเพื่อเดินไปเรียนวิชาสมุนไพรศาสตร์ในคาบต่อไปด้วยกัน 

    นักเรียนเรเวนคลอปีสามในปีนี้ส่วนใหญ่จะเรียนกับกริฟฟินดอร์ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีไม่น้อย

                

              เด็กสาวผมบลอนด์ยืนเกาะระเบียงเหม่อมองทะเลสาบและท้องฟ้าสีฟ้าสดใสอย่างฝันๆ ราวกับตัวเองกำลังโผบินไปอย่างอิสระ

                

              ในตอนนั้นเอง สัตว์ตัวใหญ่รูปร่างประหลาดสีเทาโผบินข้ามทะเลสาบผ่านเข้ามาในสายตาด้วยท่าทางสง่างาม ทั้งลำตัว ขาหลังและ

    หางเหมือนกับม้า แต่มีขาหน้า ปีก กับหัวเหมือนนกอินทรียักษ์ ก่อนลูน่าจะสังเกตเห็นว่าบนหลังของมันมีคนนั่งอยู่และรู้ได้ในทันทีว่าเป็น

    แฮร์รี่   


              “สวยจัง...” ลูน่าตกอยู่ในห้วงความฝัน สายตาไล่มองตามฮิปโปกริฟฟ์บินผ่านจากหน้าต่างฝั่งนี้ไปยังอีกฟากหนึ่ง


              “ร้ายกาจ” น้ำเสียงแฝงความขี้เล่นดังขึ้นจากฝั่งซ้ายของเธอ “นั่นแฮร์รี่ใช่ไหม” เฟร็ดหันไปถามน้องชายฝาแฝดของเขา 

    แต่ก็ไม่ได้คำตอบกลับมา


              จอร์จเข้ามายืนประกบทางฝั่งขวาของเด็กสาว “พวกฉันยังไม่เคยขี่มันเลยสักครั้ง” เขาบอกพลางมองตามด้วยความอิจฉาเล็กๆ

                

              เวลาฮิปโปกริฟฟ์บินโฉบไปทางไหน ดวงตาทั้งสามคู่ก็เลื่อนมองตามไปในทิศทางเดียวกันจนดูคล้ายกับแมวเวลาจ้องของเล่น

    ที่มันล่อตาล่อใจให้เข้าไปตะปบ

                

              เมื่อฮิปโปกริฟฟ์บินกลับเข้าไปในป่าก็หมดเวลาแห่งความตื่นตาตื่นใจ ทว่าทั้งสามกลับยังยืนอ้อยอิ่งราวกับว่าจะมีตัวอื่นบินมาอีก 

    แต่ต่อให้ผ่านไปอีกหลายนาทีก็ไม่มีตัวอะไรโผล่มาอีกเลย จะมีก็แต่เสียงโหวกเหวกโวยวายของเด็กนักเรียนชายคนหนึ่งที่ดังมาแต่ไกล...

                

              พวกเขาละสายตาจากทะเลสาบกลับมามองระเบียงทางเดินในปราสาท เห็นแฮกริดอุ้มใครบางคนที่สวมเสื้อคลุมบ้านสลิธีริน

    กับมีผมสีบลอนด์เดินเข้ามา

                

              “โอ้ย! ฉันต้องตายแน่ๆ คอยดูนะ --แกกับเจ้าไก่ยักษ์อัปลักษณ์บ้าเลือดนั่นต้องเจอดีแน่” แฮกริดทำเป็นหูทวนลมไม่ฟังคนที่อุ้มมา 

    เมื่อเดินผ่านตรงที่พวกลูน่ายืนอยู่ เสียงโอดครวญนั้นเงียบลงทันที เขาบอกให้แฮกริดปล่อยตัวเขาลงเพราะอยากเดินไปห้องพยาบาลเอง 

    ขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปก็ยังไม่วายหันมาหาเด็กสาวบ้านเรเวนคลอ “มองอะไรเลิฟกู๊ด!” ก่อนจะเดินหายเข้าไปที่ห้องพยาบาล  

        

              “เกิดอะไรขึ้นเหรอแฮกริด” เฟร็ดถามแฮกริดที่เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

                

              “มัลฟอยถูกฮิปโปกริฟข่วนเพราะไปดูถูกมันน่ะ ขอย้ำ --แค่ข่วน ตอนแรกฉันตกใจแทบแย่เลย รู้ไหม แต่ก็เห็นกันอยู่โต้งๆ ว่าสำออย 

    เมื่อกี้ตอนเดินมายังโอดโอยอย่างกับจะตายอยู่แท้ๆ สงสัยคงมีใครที่ไม่อยากให้เห็นว่าตัวเองอ่อนแอล่ะมั้ง ดีๆ จะได้มีคนเชื่อฉันบ้างว่าบัคบีค

    ไม่ได้คิดจะฆ่าเขา ...บัคบีคคือชื่อของฮิปโปกริฟฟ์ตัวนั้นน่ะ”


              แฮกริดบอกลาก่อนเดินตามเข้าไปในห้องพยาบาลเพื่อคอยยืนกำกับไม่ให้มัลฟอยบอกเกินจริง ไม่งั้นมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โต

                

              กว่าจินนี่จะเดินมาถึงก็มีเสียงระฆังดังขึ้นพอดี บอกให้รู้ว่าพวกที่กำลังเดินเอ้อระเหยอยู่ตามระเบียงทางเดินกำลังจะไปเข้าเรียนสาย 

    เด็กสาวสองคนบอกลาฝาแฝดผมแดงและออกวิ่งให้เร็วที่สุดเพราะพวกเธอต้องวิ่งไปเรียนวิชาสมุนไพรศาสตร์ตรงเรือนกระจกที่อยู่นอก

    ปราสาท

                

              วันนี้นักเรียนปีสามบ้านกริฟฟินดอร์และเรเวนคลอได้เรียนวิธีการย้ายกระถางให้ต้นแมนเดรกด้วยภาคปฏิบัติ

                

              ลูน่ามีความสุขไม่น้อย ระหว่างเปลี่ยนกระถาง เธอดึงมันขึ้นมา ชูเอาไว้อย่างนั้นและพูดคุยกับเจ้าแมนเดรกตัวน้อยอย่างสนุกสนาน

    ราวกับสื่อสารกันรู้เรื่อง และเธอก็เสร็จเป็นคนสุดท้ายในชั้นเรียน ขณะที่คนอื่นเปลี่ยนกระถางให้เสร็จหมดแล้ว เพราะเธอมัวแต่ถามไถ่

    ถึงสภาพความเป็นอยู่ในกระถางเก่ากับแมนเดรกในมือแม้ว่าจะไม่ได้ยินอะไรเลยเพราะใส่ที่ปิดหูเอาไว้

                

              เมื่อหมดคาบ ลูน่าถูกศาสตราจารย์สเปราต์เรียกให้ไปหา ไม่ใช่เพื่อต่อว่าแต่เป็นการวานให้เด็กสาวเอายาไปให้มาดามพอมฟรีย์

    แทนเธอที่ต้องอยู่ตรวจดูแต่ละกระถางว่านักเรียนใส่ดินเพื่อให้ความอบอุ่นกับแมนเดรกอันแสนมีค่าของเธอดีพอไหม

                

              ลูน่าเดินเข้าห้องพยาบาลมาคนเดียวและรู้ได้ในทันทีว่ายาในมือนี้จะใช้กับใคร

                

              “คุณเลิฟกู๊ด ช่วยประคองแขนคุณมัลฟอยเอาไว้ทีได้ไหม ฉันต้องไปผสมยานี่ก่อน”

                

              ไม่มีเวลาให้คนผมบลอนด์ได้ปฏิเสธ มาดามพอมฟรีย์จับมือลูน่าให้ช่วยประคองแขนเด็กชายแล้วเธอก็เดินหายออกไปจากห้อง

                

              ลูน่ายอมทำตามที่เธอบอก แค่ช่วยประคอง และเธอไม่ได้มีหน้าที่ถามไถ่อาการคนที่หัวเราะเยาะเธอกับพ่อตรงชานชาลาเมื่อวานนี้ 

    เลยยืนเงียบไม่ปริปากพูดอะไร

                

              “ไม่มีเรียนรึไง เวลานี้ต้องอยู่ในห้องเรียนนี่” มัลฟอยถามลูน่าด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย

                

              “อันที่จริงมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น ถ้าศาสตราจารย์สเปราต์ไม่บอกให้ฉันเอายามาให้มาดามพอมฟรีย์ที่นี่”

                

              “เหอะ! งั้นเหรอ ตอนนี้เธอเอายามาแล้วก็ปล่อยแขนฉันซะสิ ฉันไม่อยากติดเชื้อเพี้ยนเหมือนเธอหรอกนะ”


              ได้ยินมัลฟอยพูดอย่างนั้นลูน่าก็ไม่อยากขัดใจเขา และมาดามพอมฟรีย์ก็ได้ยินด้วยทุกคำ เธอพยักหน้าให้ ลูน่าเลยปล่อยแขน

    ที่ช่วยประคองอย่างไม่ใส่ใจนักและไม่ได้สนใจด้วยว่าเขาจะแสร้งทำว่าเจ็บมากก็ตาม

                

              “เธอไปเรียนเถอะ ทางนี้ฉันจัดการต่อเอง” มาดามพอมฟรีย์วางยาลงบนโต๊ะข้างเตียง พลางหันมองมัลฟอยอย่างเหนื่อยหน่ายใจ



              “มันสวยมากเลย ฮิปโปกริฟฟ์น่ะ” ลูน่าพูดอย่างตื่นเต้นกับแฮร์รี่แถวๆ โต๊ะกริฟฟินดอร์ในช่วงเวลาพักกลางวัน 

    และฟังเขาเล่าประสบการณ์แสนวิเศษตอนที่ได้ขี่หลังบัคบีคอย่างมีความสุขเหมือนกับตอนที่เขาได้ขี่ไม้กวาดในการแข่งขันควิดดิช


              ยามที่ได้ฟังแฮร์รี่เล่า ดวงตากลมโตก็เป็นประกายเหมือนมีดวงดาวระยิบระยับในนั้น


              ขณะที่แววตาจอร์จนั้นไม่ได้มีความอิจฉาแฮร์รี่ที่ได้ขี่ฮิปโปกริฟฟ์อีกแล้ว มีเพียงความเอ็นดูที่มีให้ลูน่า เขาเข้าใจดีว่านังหนูจะตาเป็น

    ประกายทุกครั้งที่ได้พูดถึงสัตว์วิเศษ เมื่อแฮร์รี่หันไปคุยกับคอลิน ลูน่าก็หันมาพูดกับจอร์จต่อราวกับติดลมและหยุดพูดถึงฮิปโปกริฟฟ์ไม่ได้ 

    ซึ่งเขาทำหน้าที่ผู้ฟังได้อย่างไม่ติดขัดแถมยังตื่นเต้นไปด้วยกันกับเธอยิ่งทำให้ลูน่ารู้สึกสนุกที่ได้พูดกับเขาและยิ้มกว้างมากขึ้นไปอีก



              ใกล้หมดช่วงพักกลางวัน ลูน่าเดินออกจากห้องโถงใหญ่พร้อมกับมาเรีย และจินนี่เพราะมีเรียนด้วยกันอีกหนึ่งคาบในตอนบ่าย


              “ดูเหมาะสมกันดีนี่ คนชอบก่อปัญหากับคนเพี้ยน”


              มัลฟอยเดินออกจากห้องว่างห้องหนึ่งพร้อมกับแครบและกอยล์ที่เดินตามออกมาอย่างกับเป็นองครักษ์ประจำตัวเขา ที่แขนข้างขวา

    ของเขาปิดผ้าผันแผลเต็มทั้งแขนและมีผ้าสีขาวห้อยคล้องคอไว้ ทว่าคนที่เขาพูดด้วยกลับเมินและไม่แม้แต่จะมองเขาสักนิด

              มัลฟอยเดาะลิ้นอย่างขัดใจที่เห็นลูน่าเดินผ่านเขาไป “ฉันพูดกับเธออยู่นะเลิฟกู๊ด หูหนวกหรือไง!”


              ลูน่าไม่ได้มีท่าทีตกใจกับเสียงตะคอกที่จงใจหาเรื่องนั่น เธอทำเพียงหันกลับมามองช้าๆ แล้วถามเสียงเรียบ


              “คุณมีอะไรกับฉันงั้นเหรอ?”

                

              มัลฟอยแสยะยิ้มพลางก้าวเข้าหาเธอ “เปล่า แค่อยากชื่นชมที่เธอหาแฟนได้เหมาะกับเธอดี จอร์จ วีสลีย์นั่นน่ะ”

                

              “เราไม่ได้เป็นแฟนกัน”

                

            “งั้นเธอก็ชอบเขาล่ะสิ -- ไม่ยักรู้ว่าคนฉลาดบ้านเรเวนคลอจะมีรสนิยมชอบยาจก” มัลฟอยพูดถากถางพลางเอามือข้างซ้ายล้วงกระเป๋า

    กางเกงอย่างวางมาด 

                

              จินนี่หน้าแดงจัดด้วยความโกรธ เธออ้าปากจะเถียงมัลฟอยที่กำลังพูดถึงครอบครัวของเธออยู่ แต่ลูน่ากลับเถียงแทนซะก่อน

                

              “อย่าพูดถึงเขาแบบนั้นนะ” ดวงตาสีฟ้าซีดจ้องเด็กบ้านสลิธีรินเขม็ง

                

              “ดูสิ เธอโกรธแทนด้วย เห็นๆ กันอยู่ว่าเธอชอบ” ดวงตามัลฟอยหรี่ลงอย่างเจ้าเล่ห์ “เอ๊ะ หรือว่าคำที่บอกว่าเรเวนคลอฉลาดเป็นแค่

    นิทานหลอกเด็ก ว่าไหมแครบ กอยล์”


              “ฉันไม่รู้ว่าคุณมีปัญหาอะไรกับฉัน แต่ถึงฉันจะรู้สึกอะไรยังไงกับใครมันก็เรื่องของฉันและถึงฉันจะชอบคุณวีสลีย์แล้วคุณเดือดร้อน

    อะไรอย่างนั้นหรือ?”

                

              “เธอชอบลูน่าล่ะสิ ถึงได้มายุ่งกับลูน่านัก” จินนี่ได้ทีก็พูดเสริมลูน่าด้วยอีกคน แต่เป็นประโยคที่ลูน่าไม่เคยคาดคิดเอาไว้เลยสักนิด

                

              “ไม่มีใครขอความเห็นเธอยัยผมแดง หรือเธอจะปฏิเสธว่าครอบครัวของเธอไม่ใช่ยาจก? -- แล้วก็ขอให้เข้าใจใหม่ด้วย อย่างฉันน่ะหรือ

    จะชอบยัยเด็กเพี้ยนนี่ ไม่มีวันซะหรอก พวกเรเวนคลอนี่มีแต่เพี้ยนๆ กันทั้งนั้น -- กริฟฟินดอร์นี่ก็เหมือนกัน ...กล้าหาญงั้นเหรอ เฮอะ! 

    ฉันว่าอ่อนปวกเปียกล่ะสิไม่ว่า”         

                

              พูดถึงกริฟฟินดอร์ กลุ่มนักเรียนบ้านนี้ก็เดินมาทางด้านหลังของมัลฟอยพอดี และบังเอิญเป็นคู่ปรับตลอดกาลตั้งแต่ปีหนึ่งซะด้วย

    แถมพวกนั้นได้ยินชัดเจนทุกคำที่ออกจากปากเด็กบ้านสลิธีริน

                

              แฮร์รี่ เชมัส ดีน และเนวิลล์ กำลังจะเข้ามาถามว่า ‘มีปัญหาอะไรกับกริฟฟินดอร์นักหรือไง’ ส่วนรอนจะเข้ามาถามว่า

    เป็นวีสลีย์แล้วมันหนักจมูกนายหรือ?’ แต่ก็ถูกประธานนักเรียนอย่างเพอร์ซี่ยกแขนเข้ามาขวางเอาไว้     

                

              “ในฐานะประธาน ฉันขอสั่งให้ทุกคนไม่เข้าไปยุ่งตรงนั้น”

                

              รอนหันไปหาพี่ชายตัวเอง “นายเรียนเยอะจนสมองเบลอลืมว่าตัวเองนามสกุลวีสลีย์ไปแล้วหรือไง มัลฟอยกำลังว่ากริฟฟินดอร์ 

    ว่าพวกเราอยู่นะ”

                

              “ใช่” เชมัสรีบเสริม “เรื่องอะไรจะให้ผู้หญิงเรเวนคลอตัวเล็กๆ รับหน้าคนเดียว”

                

              “เราไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ก็ได้ แค่มือเปล่าก็พอถมถืด”

                

              “ฉันบอกว่ายังไงก็ช่วยทำตามด้วย ในฐานะพี่ชายของนาย และประธานนักเรียน” เขาย้ำอีกครั้ง “ลืมไปแล้วเหรอว่าเด็กคนนั้น

    อยู่กับใครบ่อยสุด”

                

              เพอร์ซี่ชำเลืองตามองตามเสียงฝีเท้าสองสามคนที่กำลังวิ่งมาทางนี้ ไม่ถึงสิบวินาทีคนผมแดงสองคนก็โผล่มาจากตรงหัวมุม 

    พร้อมด้วยเด็กผู้ชายตัวเล็กที่ชื่อคอลินวิ่งตามมาด้วย ดูเหมือนคอลินจะดูหอบมากที่สุดคงเพราะเขานี่เองที่วิ่งไปบอกน้องชายฝาแฝด

    จอมแสบของเขา

                

              ลูน่าเหลือทนแล้ว เธอฟังคำพูดให้ร้ายของมัลฟอยที่พ่นออกมาไม่หยุด ทำให้เธออยากออกจากตรงนี้ไปให้พ้นๆ เด็กสาวดึงไม้กายสิทธิ์

    ที่เสียบไว้ข้างหู ชี้ไปทางมัลฟอยและร่ายคาถาใส่เขา “โลโคมอเตอร์ มอร์ติส

                

              ประธานนักเรียนพูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงล้มตึงลงไปกับพื้นก็ดังขึ้น ขาสองข้างของมัลฟอยแนบติดกันด้วยคำสาปผูกขา 

    เขาล้มหน้าคะมำลงไปกับพื้นโดยมีแครบและกอยล์มองอย่างอึ้งๆ


              ลูน่าหันหลังให้พวกเขา เตรียมตัวไปห้องเรียนของวิชาต่อไป

                

              “หยุดเดี๋ยวนี้นะยัยสติเฟื่อง!!” มัลฟอยตะโกนไล่ตามหลังมา “เธอมีสิทธิ์อะไรมาร่ายคาถาใส่ฉัน! ...โธ่เว้ย!” เขาพลิกตัวนอนหงาย

    ดิ้นเร่าๆ ให้แครบหรือกอยล์ช่วยแก้คำสาปให้เพราะอายที่นักเรียนคนอื่นเห็น แต่เพราะไม่มีใครรู้คาถาแก้คำสาปสักคน 

    แถมลูน่าก็ไม่สนใจเขาอีกเลยก็ยิ่งทำให้มัลฟอยโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ตวัดตามองพวกนักเรียนที่กำลังขำอยู่

                

              เพอร์ซี่ที่ยืนหันหลังให้ได้ยินเด็กสาวบ้านเรเวนคลอร่ายคาถาและรู้ว่าเป็นคาถาอะไร เพื่อให้พูดได้เต็มปากว่าเขามองไม่เห็นเหตุการณ์

    อะไรทั้งสิ้น เขาเลยไม่หันกลับไปมอง พลางต้อนนักเรียนให้เข้าห้องเรียนก่อนจะเดินลงบันไดไปยังคุกใต้ดินเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

                

              เนวิลล์เดินกล้าๆ กลัวๆ ไปหาคนที่ยังนอนอยู่ตรงพื้น ตอนนี้มัลฟอยแขนเจ็บแถมขาก็ติดกันด้วยคาถาที่มัลฟอยเคยใช้กับเขา

    ตอนปีหนึ่ง ซึ่งมันฝังใจเขามาจนถึงปีสาม เขาเดินไปยืนใกล้ๆ แล้วก้มลงพูดกับคนผมบลอนด์ “ไปนอนทำอะไรตรงนั้นล่ะ มัลฟอย”

                

              “รอให้ฉันหลุดออกไปได้ก่อนเถอะ เจ้าสมองกลวง!!” มัลฟอยตะคอกเสียงดังใส่เนวิลล์



              จินนี่เดินตามลูน่ามาเงียบๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นเพื่อนตัวเล็กคนนี้โมโห ทั้งที่ปกติต่อให้ใครว่าอะไร ลูน่าจะไม่เก็บมันมาใส่ใจ

    และร่าเริงได้เสมอ

                

              แต่แล้วเมื่อเดินผ่านห้องหนึ่ง เสียงโทนต่ำชวนขนลุกก็พูดขึ้น “เธอคงไม่มีข้อแก้ตัวสินะว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดกฎ มิสเลิฟกู๊ด” 

    ลูน่าหันมองต้นเสียงเห็นศาสตราจารย์สเนปส่งยิ้มเย็นมาให้ “เธอคงรู้กฎระเบียบของโรงเรียนนะ ว่าห้ามใช้เวทมนตร์ทุกประเภท

    ในบริเวณระเบียงทางเดิน แถมนี่ยังเป็นคำสาป”

                

              จินนี่เดินมายืนข้างลูน่าทันที “แต่ศาสตราจารย์คะ มัลฟอยเขา...” เธอคิดจะแย้งแทนเพื่อนแต่สเนปกลับไม่ฟังเธอสักนิด

                

              “หักคะแนนเรเวนคลอยี่สิบคะแนน” สเนปบอกด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “และถ้าเธอคิดจะช่วยให้เพื่อนพ้นผิดล่ะก็ฉันจะหักคะแนน

    กริฟฟินดอร์ด้วย”

                

              จินนี่อ้าปากค้าง คิดจะตอบโต้แต่กลับไม่มีเสียงออกมาเพราะแววตาแข็งกร้าวคู่นั้นกำลังจ้องมายังเธอและลูน่า

                

              จอร์จกับเฟร็ดเข้ามายืนข้างหลัง จับบ่าจินนี่แล้วก้มลงพูดกับเธอแบบตั้งใจให้สเนปได้ยิน “แค่ยี่สิบคะแนน ให้เขาหักไปเถอะ จะได้รู้ว่า

    ความลำเอียงที่แท้จริงมันเป็นยังไง คะแนนแค่นั้นพี่ค่อยหาให้เธอใหม่ตอนแข่งควิดดิชยังได้”

                

              เกิดเสียงฮือฮาตามระเบียงทางเดิน เสียงนั้นมาจากเด็กบ้านกริฟฟินดอร์และเป็นไปในทางสนับสนุนฝาแฝดวีสลีย์


              สเนปตวาดสั่งให้เงียบ “หักกริฟฟินดอร์ยี่สิบห้าคะแนน” เขาพูดอย่างไม่มีความลังเลอยู่ในน้ำเสียงนั้น ก่อนสะบัดชายเสื้อคลุม

    เดินจากไป

                

              นักเรียนบ้านกริฟฟินดอร์ไม่เครียดอะไรอยู่แล้ว ต่อให้โดนหักคะแนนแต่แลกมาด้วยการเห็นมัลฟอยถูกคำสาปผูกขาก็ถือว่าคุ้มแล้ว 

    แม้กระทั่งเฮอร์ไมโอนี่ที่อยู่ในกฎระเบียบเสมอยังรู้สึกดีกับสิ่งที่ลูน่าทำไปด้วยซ้ำเพราะคำว่า ‘เลือดสีโคลน’ ของเขายังคงฝังใจเธอมาถึง

    ทุกวันนี้

                

              แต่สำหรับบ้านเรเวนคลอนั้นไม่ใช่ ลูน่าแอบกังวลอยู่ในใจที่เธอทำให้บ้านเสียคะแนนตั้งยี่สิบคะแนน แต่พอกลับถึงห้องนั่งเล่นรวม

    ที่หอคอย เธอกลับได้รับคำชมจากคนในบ้านและไม่มีใครคิดโทษเธอเลยสักนิดที่สาปมัลฟอย



              เช้าวันรุ่งขึ้น อันที่จริงวันนี้ไม่ควรจะมีเมลล์มาส่ง ทว่าในห้องโถงใหญ่กลับมีนกฮูกแคระสีขาวบินโฉบเข้ามาวนเวียนอยู่แถวโต๊ะเรเวนคลอ 

    ก่อนมันจะบินลงที่โต๊ะเรเวนคลอและใช้ขาป้อมๆ เดินมาหาเด็กสาวผมบลอนด์

                

              ลูน่ายื่นมือหยิบจดหมายสีม่วงออกจากจะงอยปากน้อยๆ ของนกฮูกด้วยอาการหวั่นวิตกอยู่ลึกๆ เพราะซองจดหมายไม่เหมือนกับที่

    พ่อของเธอใช้เป็นประจำ บวกกับท่าทีแปลกๆ ของฟลัฟฟี่ นกฮูกของเธอ ปกติมันจะเข้ามาคลอเคลียอย่างออดอ้อนแล้วบินออกไป 

    แต่วันนี้กลับยืนจ้องเธอนิ่งไม่ยอมขยับตัวราวกับอยากอยู่เพื่อให้กำลังใจ

                

              เธอรู้ดีว่าเมื่อวานนี้หลังเกิดเรื่อง นอกจากจะถูกหักคะแนนและถูกกักบริเวณ ศาสตราจารย์สเนปยังส่งจดหมายรายงานพฤติกรรม

    ของเธอไปที่บ้าน ทั้งที่ความผิดไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นและนั่นก็เป็นจดหมายฉบับแรกที่พ่อของเธอจะได้รับจากฮอกวอตส์   

         

              มีเสียงหัวเราะดังมาจากโต๊ะสลิธีริน ไม่พ้นพวกของมัลฟอยและพาร์กินสัน เด็กชายผมบลอนด์นั่งตัวตรงเพื่อที่จะได้เห็นเหตุการณ์

    สำคัญชัดๆ

                

              “พนันได้เลยว่าต้องเป็นจดหมายกัมปนาทจากพ่อของเธอแน่ๆ ยัยสติเฟื่อง!”  

                

              ในเวลานี้จุดสนใจในห้องโถงใหญ่คงหนีไม่พ้นเด็กสาวตัวเล็กบ้านเรเวนคลอ นักเรียนบ้านอื่นๆ ส่งสายตาเอาใจช่วยอยู่ห่างๆ 

    ไม่ได้คิดจะหัวเราะไปกับพวกมัลฟอย โดยเฉพาะกริฟฟินดอร์ที่พร้อมใจกันนั่งอยู่เฉยๆ และจะไม่หัวเราะเยาะหากลูน่าได้จดหมายกัมปนาท

                

              ในมือของจอร์จและเฟร็ดมีดอกไม้ไฟฟิลิบัสเตอร์อยู่หนึ่งกำมือใหญ่ๆ เตรียมพร้อมเอาไว้ ถ้าเธอได้จดหมายกัมปนาทจริงอย่างที่

    มัลฟอยพูด พวกเขาจะจุดมันโยนไปทั่วห้องเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ทว่าจอร์ดันยื่นมือมาขวางไม้กายสิทธิ์ของทั้งสองเอาไว้

                

              “ฉันว่าสีไม่เหมือนจดหมายกัมปนาทนะ” 

                

              ภายในห้องโถงใหญ่เงียบกริบเมื่อเห็นควันกรุ่นออกมาแต่ลูน่ากลับได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ เด็กสาวกลั้นใจแกะครั่งสีแดง

    บนซองออก มีเสียงดังราวกับระเบิดออกจากจดหมายทำเอาเธอเผลอปล่อยมันหลุดมือ เมื่อกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง จดหมายก็เริ่มส่งเสียง

    ด้วยเสียงหัวเราะร่วนที่เธอจำได้แม่นว่าเป็นเสียงพ่อของเธอเอง


    .  .  .  .  .  .  .  .  .  .  .  .  .


                สมควรแล้วล่ะที่คนอย่างนั้นจะถูกสั่งสอนซะบ้าง แค่คำสาปผูกขายังน้อยไปด้วยซ้ำ หนูเก่งมากลูน่าลูกรัก ถ้ามีคนมาพูดจาไม่ดี

    ใส่ลูกหรือเพื่อนของลูกอีก พ่ออนุญาตให้สาปได้เลย! และจะไม่ว่าสักนิดต่อให้มีจดหมายตามมาอีกเป็นพรวนก็เถอะ 

    ใช้ชีวิตที่โรงเรียนให้สนุกสุดเหวี่ยงไปเลยนะลูก!!


    ปล.  อย่าให้ขนมปังกับเจ้าฟลัฟฟี่นะ ช่วงนี้มันท้องผูก


    .  .  .  .  . .  .  .  .  .  .  .  .


            แล้วจดหมายฉบับนี้ก็ทำลายตัวเองทิ้งด้วยการฉีกออกเป็นชิ้นๆ ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นกลีบดอกไม้สีชมพูอ่อนปลิวลงบนโต๊ะ

    อย่างแผ่วเบา

                

              ดวงตากลมโตเลื่อนมองฟลัฟฟี่ ที่แท้ต้นเหตุที่มีท่าทีแปลกไปก็เพราะแบบนี้เอง เจ้าก้อนขนสีขาวเขินม้วนจนตัวหดเล็กลงไปอีกที่รู้ว่า

    นักเรียนแถวนั้นได้ยินกันหมดแล้วว่ามันท้องผูก ลูน่าหยิบผักจากในจานของเธอชูขึ้น  

                

              “กินไหม”  

                

              ฟลัฟฟี่เดินเตาะแตะเข้ามาหาอย่างเคอะเขิน จะงอยปากน้อยๆ งับผักไปคาบไว้ในปากก่อนเอาหัวมาคลอเคลียมือเจ้าของ

    แล้วบินจากไป...

                

              ไม่มีอะไรสะใจไปกว่านี้อีกแล้ว สายตาทุกคนต่างจับจ้องไปที่มัลฟอย เขาโกรธจนหน้าแดงที่มันไม่ใช่อย่างที่เขาคิด จอร์จยิ้มที่ได้เห็น

    ภาพนี้ ไม่ใช่แค่เขาเพราะทั้งโต๊ะกริฟฟินดอร์ และนักเรียนบ้านอื่นที่เคยโดนมัลฟอยแกล้งหรือพูดจาร้ายๆ ใส่ต่างก็รู้สึกสะใจไม่แพ้กัน

                

           “เป็นพ่อที่เจ๋งชะมัด” รอนยังมองจดหมายที่กลายเป็นกลีบดอกไม้อยู่อย่างนั้นด้วยแววตาเลื่อมใส แฮร์รี่ ดีนและเนวิลล์พยักหน้าเห็นด้วย

                

              เชมัสตบบ่ารอนที่นั่งอยู่ข้างกัน “ขอบใจที่ชมพ่อตาในอนาคตของฉันนะ”

                

              และแล้วในเช้าวันนั้น เพราะคำพูดจากปากเชมัสก็เป็นอันทำให้เขาต้องดื่มน้ำมันพืช แทนที่จะได้ดื่มนม...


              “ใครทำฟะ!?!?”          



    - Talk -


              ตอนนี้เดรโกมีโจทก์เยอะไปหน่อย โดยเฉพาะน้องน้อยปีหนึ่งที่โดนแกล้งตั้งแต่วันแรก ยิ่งเดรโกว่ากระทบกริฟฟินดอร์กับเรเวนคลอ

    ด้วยแล้ว เลือดรักบ้านก็พุ่งพล่านไม่มีใครว่าเลยสักคนที่โดนหักคะแนน แถมยังได้รับคำชมอย่างล้นหลามอีกต่างหาก...


              ไม่ต้องบอกก็คงเดากันออกใช่มั้ยคะว่าใครเป็นคนทำให้เชมัสดื่มน้ำมันพืช? 555


    ปล. ขอถามอีกนิดสำหรับรีดที่กดติดตามนะคะ ว่าพอเราอัพแล้วมันขึ้นแจ้งเตือนมั้ย? หรือว่าเงียบกริบไม่มีแจ้งเตือนอะไรเลย

     

    T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×