ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Nameless king of the Zodiac [ราชานิรนามแห่งจักรราศี] (รับสมัครตัวละคร)

    ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 2 ค้นหาข้อมูล

    • อัปเดตล่าสุด 6 ธ.ค. 63


    บทที่ 2 ค้นหาข้อมูล

     

    หนึ่งวันต่อมา หลังจากที่ออร์เวลได้ออกมาโลกภายนอก

    ตอนนี้ชายหนุ่มกำลังบินสำรวจท้องทะเลแห่งนี้… ใช้แล้วเขากำลังบินอยู่ เนื่องจากเมื่อวานหลังจากที่เขาออกมายังโลกภายนอกแล้วพบว่าตัวเองกำลังลอยอยู่โดยไม่มีตัวช่วยอะไรเลย ทำให้เขาตกแล้วคิดว่าลอยขึ้น ร่างของเขาจึงได้ลอยขึ้นตามที่เขาคิด

    หลังจากนั้นออร์เวลก็พบว่าตัวเขาสามารถที่จะลอยไปไหนมาไหนก็ได้ตามที่ต้องการ และชายหนุ่มยังพบอีกว่าร่างของเขาสามารถที่จะทะลุผ่านสิ่งของรวมถึงการที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดสัมผัสหรือมองเห็นเขาได้ เมื่อรวมกับร่างกายจางๆของเขา ก็ทำให้ชายหนุ่มฉุดคิดว่าตัวเขาตอนนี้แทบไม่ต่างไปจากวิญญาณที่เคยได้ยินมาเลยซักนิด

    ออร์เวลที่ตั้งสติได้แล้วก็ไม่รู้สึกแปลกใจอะไร เพราะนี่มันคือความฝัน… ที่สามารถทำให้คนเราเจอกับเรื่องแปลกๆที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เสมอ

    แล้วออร์เวลได้ตัดสินใจบินสำรวจโลกภายนอกนี้ แต่ไม่ว่าเขาจะไปทางไหนเจอแต่ทะเล ไม่เจอสิ่งมีชีวิตหรืออารยธรรมของสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา ถึงยังงั้นออร์เวลเลือกที่จะค้นหาต่อไปจนเมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดเขาได้ตัดสินใจที่จะกลับไปยังดินแดนพิศวง

    แต่ก่อนหน้านั้นเขากลับได้เห็นเรือใบลำหนึ่งที่มีสัญลักษณ์รูปปูสีฟ้าใส่มงกุฎที่ก้ามถือสามง่ามเอาไว้บนใบเรือ โดยเรือลำนั้นกำลังล่องเรือไปยังทิศทางหนึ่ง

    ซึ่งออร์เวลก็เลือกที่จะไม่ตามไป เพราะฟ้ามืดแล้วและเขากลัวว่าจะมีอะไรทำให้เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝันที่เขาต้องการฝันมาตลอด บางทีถ้าเขาตื่นขึ้นมาเขาอาจจะไม่ได้ฝันอีกแล้วก็ได้ เขาจึงอยากเก็บตวงความรู้สึกที่เขาได้ฝันเอาไว้ให้นานที่สุด ตอนนี้ชายหนุ่มจึงทำเพียงจำทิศทางที่เรือลำนั้นมุ่งไป และกลับไปยังดินแดนพิศวง

    ออร์เวลที่ได้กลับนั่งบนบัลลังก์สีดำในแดนพิศวงอีกครั้ง พบว่าท้องฟ้าของดินแดนพิศวงที่ถูกปลกคลุมไปด้วยเมฆสีน้ำตาลได้แปรเปลี่ยนไปเป็นท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยเหล่าดวงดาวมากมายกำลังเปร่งแสงออกมา มันช่างงดงามในสายตาของชายหนุ่ม

    ออร์เวลได้หลับตาของตนลงเพื่อนอนหลับ แต่ปรากฏว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ชายหนุ่มก็ยังไม่หลับ… ไม่สิเขาไม่มีความรู้สึกง่วงเลยต่างหาก ออร์เวลสงสัยเพียงไม่นานเขาก็หัวเราะออกมา

    “ฮ่าๆๆ… ตอนนี้ก็นอนอยู่นี่นะ จะไปรู้สึกง่วงนอนอีกได้ยังไงกันเล่าตัวฉัน”

    ชายหนุ่มได้พูดประชดกับตัวเอง แล้วคิดว่าตัวเองจะทำอะไรในค่ำคืนนี้ดี ออร์เวลได้ลองมองไปรอบๆดินแดนพิศวง แล้วนึกได้ถึงสิ่งที่สามารถทำได้ในดินแดนแห่งนี้

    เขาได้ยื่นมือไปข้างหน้า และหงายฝ่ามือขึ้นพร้อมคิดถึงสิ่งที่เขาต้องการ ชั่วอึดใจบนฝ่ามือของเขาก็ได้ปรากฎละอองแสงสีขาวมารวมกันในฝ่ามือและกลายเป็นดาบเล่มหนึ่งอย่างน่าอัศจรรย์ ออร์เวลได้ลองเหวี่ยงฟันนิดหน่อยแล้วได้คิดว่าให้มันหายไปดาบที่เขาถือก็สลายหายกลายเป็นละอองแสงหายไปในอากาศ

    หลังจากนั้นออร์เวลได้ลองทำหลายๆสิ่งที่เขาสามารถทำได้ในดินแดนพิศวงแห่งนี้เพื่อแก้เบื่อยามค่ำคืนที่โดดเดียวท่ามกลางเหล่าดวงดาวที่เปร่งประกาย

    ณ เวลาปัจจุบัน

    เมื่อเช้าแล้วออร์เวลได้ออกมาจากดินแดนพิศวงแล้วบินไปยังทิศทางของเรือที่เขาเห็นเมื่อคืน บินมาเพียงไม่นานเขาก็ได้เจอกับเรือใบมากมายกำลังมุ่งหน้าไปยังทิศทางเดียวกับที่ชายหนุ่มมุ่งหน้าไป

    เห็นยังงั้นออร์เวลก็รู้ว่าเขามาถูกทางแล้ว ชายหนุ่มจึงได้บินไปทางนั้นอย่างไม่หยุดยั้ง เพียงไม่นานเขาได้มาถึงเมืองชายฝั่งที่มีเรือมากมายกำลังจอดเทียบเรือกับท่าเรืออยู่ เรือบางลำก็เป็นเรือขนส่งสินค้า บางลำก็เป็นเรือโดยสาร

    ออร์เวลที่ได้มาถึงก็เริ่มมองสำรวจเมืองแห่งนี้ เขาได้เห็นคนเผ่าพันธุ์มนุษย์มากมายรวมถึงเผ่าพันธุ์อื่นๆอีกนิดหน่อยกำลังเดินกันให้ขวักบางเพื่อส่งหนังสือพิมพ์ บางเพื่อจับจ่ายใช้สอย หรือถ่ายโอนสินค้า

    ออร์เวลบินสำรวจมาเรื่อยๆ จนพบว่าเมืองชายฝั่งแห่งนี้ต่างเป็นไปด้วยธงที่บนธงเป็นรูปปูสีฟ้าใส่มงกุฎที่ก้ามถือสามง่าม สัญลักษณ์เดียวกับที่เขาเคยเจอบนใบเรือของเรือที่เขาเจอเมื่อวันก่อน

    ชายหนุ่มรู้สึกสงสัยได้บินลงไปข้างล่างเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับสัญลักษณ์นั้น โดยการแอบฟังที่คนอื่นๆ แล้วก็มีชายสองคนกำลังพูดเรื่องบางอย่างที่น่าสนใจ

    “ข้าได้ข่าวว่าอาณาจักรจ้าวสมุทรได้เข้าปะทะกับพวกแมงป่องนักฆ่าเมื่ออาทิตย์ก่อนนะ”

    “หะ! อะไรนะ เรื่องเป็นมายังไงเล่ามาสิ แล้วใครชนะ”

    “เรื่องเป็นมายังไงข้าก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่จากแหล่งข่าวคาดว่าทั้งสองฝ่ายกำลังแย่งสมบัติวิเศษโบราณบนเกาะลับแลแห่งหนึ่งในทะเลอยู่นะ ส่วนใครชนะก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”

    “งั้นรึ… คงกำลังหาของสมบัติวิเศษเพิ่มพูนกำลังของฝ่ายตนเองเพื่อมาสู้ในกิแกนโทมาเคียครั้งนี้สินะ”

    “ใช่ คนอื่นๆก็คาดกันว่ากิแกนโทมาเคียครั้งนี้จะเป็นครั้งที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่เริ่มต้นยุคที่สี่มาเลยละ”

    “น่ากลัวเป็นบ้า แล้วคนธรรมดาอย่างพวกเราไม่โดนลูกหลงไปด้วยเหรอไง”

    “พวกเราคงทำได้เพียงภาวนาให้เหล่าผู้วิเศษของฝ่ายกฎระเบียบได้รับชัยชนะเท่านั้น”

    “นั้นสิ… แต่ตอนนี้พวกเราไปทำงานต่อเถอะ ไม่งั้นเดี๋ยวโดนหัวหน้าลดเงินค้าจ้างแน่”

    “จริงด้วย! รีบไปดีกว่า”

    ชายสองคนที่กำลังบ่านเมื่อกี้ก็รีบกลับไปทำงานของพวกเขาตามเดิม โดยไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนกำลังแอบฟังเรื่องที่พวกเขาคุยกันอยู่

    อาณาจักรจ้าวสมุทร… แมงป่องนักฆ่า… สมบัติวิเศษ… ฝ่ายกฎระเบียบ…ผู้วิเศษ…กิแกนโทมาเคีย นี่เรากำลังฝันถึงโลกแนวแฟนตาซีอยู่เรอะเนี่ย ไม่สิมันก็แฟนตาซีตั้งแต่ดินแดนพิศวงแล้วนี่นะ ออร์เวลได้ขบคิดถึงสิ่งที่ได้ยิน โดยเขาคิดว่าอาณาจักรจ้าวสมุทรกับแมงป่องสังหารน่าจะเป็นชื่อขององค์กรที่มีอำนาจในโลกใบนี้ สมบัติวิเศษคงเป็นแนวไอเท็มเวทมนตร์ที่คล้ายๆนิยายแฟนตาซีหลายๆเรื่อง ผู้วิเศษก็คงเป็นชื่อเรียกของผู้ใช้ความสามารถเหนือธรรมชาติหรือเวทมนตร์ในโลกนี้

    แต่ผู้วิเศษเหรอ… เหมือนเคยได้ยินแฮะ… ออร์เวลพยายามนึกย้อนว่าเขาเคยได้ยินคำว่าผู้วิเศษมาจากที่ไหน จนเมื่อนึกย้อนไปก่อนที่เขาจะรู้สึกตัวในดินแดนพิศวง จริงสิเสียงที่ดังขึ้นในหัวนั้นก่อนที่จะรู้ตัวในดินแดนพิศวงไง

    ถึงจะนึกออกว่าเคยได้ยินมาจากไหนแต่เขาก็ไม่รู้ถึงความสามารถหรือสิ่งต่างๆของผู้วิเศษอยู่ดี ออร์เวลจึงพับเก็บเรื่องนี้ แล้วไปสนใจกับกิแกนโทมาเคีย คำว่ากิแกนโทมาเคียหมายถึงสงครามยักษาในตำนานกรีก ทำให้ชายหนุ่มคิดว่าคำนี้น่าจะหมายถึงการทำสงครามของฝ่ายกฎระเบียบที่เขาบังเอิญได้ยินมา กับฝ่ายหนึ่งที่เป็นศัตรู

    ออร์เวลก็ไม่กังวลกับสงครามมากนัก เพราะแต่ไม่ว่าจะเป็นยังไงมันก็เป็นเพียงความฝันที่เขากำลังฝันอยู่เท่านั้น หลังจากที่ย่อยข้อมูลที่ได้รับชายหนุ่มได้ออกตามหาความหมายของสัญลักษณ์รูปปูสีฟ้าต่อไป

    ชายหนุ่มได้บินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาได้เจอกับเรือใบที่มีสัญลักษณ์ปูสีฟ้าตรงใบเรือเช่นเดียวกับเรือที่เขาเคยเห็นเมื่อรวมกับลักษณะต่างๆของเรือที่เขาพอจำได้ ออร์เวลก็สรุปว่านี่คือเรือใบลำเดียวกับที่เขาเห็นเมื่อตอนเย็นวันก่อนไม่ผิดแน่

    เห็นเช่นนั้นออร์เวลจึงเลือกบินเข้าไปใกล้เรือลำนั้นเพื่อหาข้อมูล เพราะการหาข้อมูลที่ดีที่สุดคือการหาจากเจ้าตัวซะเลย

    เมื่อเข้ามาใกล้ออร์เวลก็เห็นร่าวของชายสองคนกำลังคุยอะไรบางอย่างตรงกาบขวาเรือ จึงเข้าไปใกล้เพื่อแอบฟังทันที

    ด้านชายทั้งสองที่กำลังคุยกันอยู่นั้น คนหนึ่งคือชายที่ดูเป็นผู้ใหญ่ สวมชุดกะลาสีบนศีรษะมีหมวกปีกกว้างที่มีประดับด้วยขนนกสีขาว ตรงไหล่มีผ้าคลุมสีแดงติดเอาไว้และคาดดาบเล่มหนึ่งเอาไว้ตรงเอว

    ส่วนชายอีกคนสูงสองเมตร สวมชุดเกราะสีขาวเอาไว้ทั้งตัวที่ไหล่ขวาของชุดมีลักษณะเป็นหัวหมาป่า บนใบหน้าสวมทับด้วยหน้ากากสีขาว เขามีผมสีขาวที่มัดเป็นหางม้า ตรงเอวคาดดาบคาตานะปลอกสีขาวเอาไว้

    โดยชายสวมหมวกปีกกว้างบ่นถึงการเดินเรือครั้งนี้ของพวกเขาให้ชายสวมชุดเกราะสีขาวฟัง

    “ดวงไม่ดีชะมัด… กำลังจะกลับฝั่งมาเติมเสบียงและพักผ่อนให้สบายใจแท้ๆ กับมาเจอพวก[เมอร์ล็อค]ระหว่างกลับเสียได้ว่าไหม… ซานาดีน

    ชายสวมหมวกปีกกว้างได้ถามกับชายสวมชุดเกราะสีขาวที่มีชื่อว่าซานาดีน ซานาดีนก็ได้ตอบคำถามของผู้มีศักดิ์เป็นรุ่นพี่ของเขาไป

    “มันคือความเสี่ยงที่ต้องเจอเมื่อเลือกที่จะผจญภัยในท้องทะเลอันกว้างใหญ่และลี้ลับ นั้นคือสิ่งที่คุณบอกผมเองรุ่นพี่เอมัน

    เอมันที่ได้ยินคำตอบของซานาดีนก็ไม่ว่าอะไรนอกจากยิ้มออกมา แล้วยืนยันคำตอบของเขา

    “ใช่… ความเสี่ยงของผู้ที่เลือกผจญภัยในท้องทะเลอันกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยสิ่งลี้ลับมากมาย โดยเฉพาะสำหรับผู้วิเศษอย่างพวกเรา…”

    ผู้วิเศษ คือชื่อเรียกของเหล่าบุคคลที่สามารถควบคุมพลังเหนือธรรมชาติได้ โดยพวกเขาได้แบ่งแยกพลังออกเป็นสิบสองเส้นทางตามชื่อของจักรราศี เส้นทางแต่ละเส้นทางจะมีพลังที่แตกต่างกัน ทำให้เหล่าผู้ที่ต้องการกลายเป็นผู้วิเศษต้องเลือกเส้นทางที่เหมาะสมกับตัวเอง เพราะการเลือกเส้นทางก็ไม่ต่างกับกำหนดอนาคตของพวกเขาไว้แล้วนั้นเอง

    สำหรับในยุคที่สี่ ผู้วิเศษเปรียบเสมือนกับผู้พิทักษ์ที่คอยปกป้องสิ่งที่พวกเขาเชื่อมั่น และพวกเขายังเป็นเหล่าผู้น่าสงสารที่ต้องคอยต่อสู้กับความโหดร้ายของโชคชะตา

    “…แต่พวกเราก็จะไม่ยอมแพ้ ต่อให้โชคชะตาจะโหดร้ายเพียงใด พวกเราจะมุ่งหน้าต่อไปเพื่อสิ่งที่พวกเราต่างเชื่อมั่น”

    ซานาดีนพูดต่อถึงสิ่งที่เอมันพูดค้างเอาไว้ ทำให้เอมันหมันใส้จึงพูดสวนกลับไป

    “เหอะ… ทำเป็นพูดดีผู้วิเศษราศีมีนอย่างนายเป็นพวกที่ตายเยอะสุดเลยนะเฟ้ย”

    ซานาดีนไม่ได้พูดกลับไปอะไร สิ่งที่เอมันพึ่งเอ่ยออกมาคือความจริงที่ปฎิเสธไม่ได้ ผู้วิเศษเส้นทางราศีมีนนั้น เป็นเส้นทางที่มีอัตราการตายเยอะที่สุดในเส้นทางทั้งสิบสอง เพราะความสามารถพิเศษของพวกเขา ‘หนึ่งมีความสามารถในการเดินทางและเอาตัวรอดทุกพื้นที่ และสองสัญชาตญาณแห่งสมบัติที่เมื่อมีสมบัติอยู่ใกล้จะทำให้สัมผัสได้ด้วยสัญชาตญาณต่อให้สมบัตินั้นจะไม่สามารถเอามาได้ก็ตาม’

    สำหรับเหล่าราศีมีนสิ่งที่พวกเขาต้องต่อสู้ไม่ใช่เพียงแค่โชคชะตาที่โหดร้ายเท่านั้น พวกเขายังต้องคอยต่อสู้กับความโลภของตนเอง ทำให้ส่วนมากเหล่าผู้วิเศษเส้นทางราศีมีนจะตายเพราะความโลภของตนเอง ผู้วิเศษระดับสูงในเส้นทางนี้จึงมีน้อยมาก เส้นทางนี้จึงเป็นเส้นทางที่มีโอกาสเกิดเทพจักรราศีต่ำที่สุดจากเส้นทางทั้งสิบสอง

    ซานาดีนเห็นด้วยกับสิ่งที่เอมันพูดออกมาอย่างเงียบๆ โดยไม่พูดโต้ตอบอะไร ผ่านไปซักพักหนึ่งเอมันที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบหาเรื่องอะไรมาพูดปลอบซานาดีน

    “ถึงยังงั้นก็เถอะ เส้นทางราศีมีนยังคงเป็นเส้นทางเดียวที่สามารถผจญภัยไปได้ทุกที่ซึ่งเส้นทางอื่นไม่สามารถทำได้นี่นะ สุดยอดจะตายไป ฮ่าๆๆๆ”

    ซานาดีนเลือกที่จะเงียบ และปล่อยให้เอมันหัวเราะต่อไปคนเดียว ซักพักเอมันก็หยุดหัวเราะและพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังผิดกับเมื่อกี้ลิบลับ

    “ซานาดีนนายรู้หรือยัง… อาณาจักรจ้าวสมุทธที่พวกเราสังกัดอยู่ ได้เรียกรวมพลผู้วิเศษส่วนหนึ่งไปรวมกันที่เกาะ[คธูลู]เพื่อค้นหาสมบัติวิเศษที่คาดว่าน่าจะสมบัติวิเศษจากยุคที่หนึ่งในอีกสองเดือนต่อจากนี้ ซึ่งพวกเราก็ต้องไปด้วยโดยให้ไปเป็นหน่วยสนับสนุน… ฟังแค่นี้นายก็คงรู้ถึงอันตรายที่จะเกิดต่อจากนี้แล้วสินะ”

    เอมันได้อธิบายถึงคำสั่งที่พวกเขาได้รับและหันไปถามถึงซานาดีนถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น ซานาดีนได้พยักหน้าและตอบกลับเอมัน

    “อืม… ถ้าไม่ใช่จากพวกสัตว์วิเศษในเกาะ[คธูลู] ก็คงเป็นพวกแมงป่องนักฆ่าสินะ”

    “ใช่… แต่ที่สายลับของเรารายงานมา ในฝ่ายโกลาหลจักรวรรดิอาลีเอลล่าจะส่งผู้วิเศษของพวกมันมาด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนโรงเรียนดวงดาวไม่ต้องห่วงพวกนั้นไม่ค่อยอยากเสียคนของตัวเองเท่าไหร่ทำให้พวกนั้นเลือกที่จะไม่ส่งคนมา ยกเว้นจะมีการปรับเปลี่ยนอะไรในภายหลัง”

    เอมันข้อมูลต่างๆที่เขารับรู้ให้แก่ซานาดีน ซานาดีสที่ได้รู้ถึงข้อมูลต่างๆแล้วจึงถามเอมัน

    “แล้วจะมีกำลังเสริมจากใครมาช่วยบ้าง”

    “ศาลแห่งความยุติธรรมจะส่งผู้วิเศษระดับ 6 มาช่วยหนึ่งคนพร้อมกับผู้วิเศษอีกจำนวนหนึ่ง ศาสนาผู้เลี้ยงแกะไม่ส่งคนมาโดยพวกเขาได้อ้างว่ากำลังคนไม่เพียงพอที่จะส่งไปนะ”

    เอมันไม่เชื่อในสิ่งที่ศาสนาผู้เลี้ยงแกะอ้างเลยซักนิด อย่างศาสนาผู้เลี้ยงแกะ องค์กรของเทพจักรราศีองค์แรกที่กำเนิดหลังจากที่ยุคที่หนึ่งล่มสลายไปเนี่ยนะจะมีกำลังคนไม่เพียงพอ การบอกเช่นนี้ถ้าไม่โง่เกินไปจนหลงเชื่อก็คงรู้แล้วว่านี่เป็นแค่ข้ออ้างที่จะไม่ส่งคนมาช่วยเท่านั้น

    ซึ่งอาณาจักรจ้าวสมุทรกับศาลแห่งความยุติธรรมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากมองข้ามเรื่องนี้ไป เพราะตอนนี้องค์กรทั้งสองยังไม่อาจตัดขาดกับศาสนาผู้เลี้ยงแกะได้นั้นเอง เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ได้ทำให้เอมันถอนหายใจออกมา

    “เฮ้อ… มีแต่เรื่องตอนนี้ก็ชั่งมันเถอะ ซานาดีนไปหาอะไรกินในเมืองดีกว่า”

    เอมันได้ชวนซานาดีนไปหาอะไรกิน ซานาดีนก็เลือกที่จะตกลงและตามเอมันไป โดยปล่อยร่างจางๆของคนๆหนึ่งยืนยอยู่เพียงลำพัง

    ได้ข้อมูลต่างๆมาเยอะเลยแฮะ แต่ผู้วิเศษราศีมีนงั้นเหรอ… ไม่ทันที่ออร์เวลจะคิดจบ รอบๆร่างของเขาก็ได้มีละอองแสงปรากฎขึ้น และรวมตัวกันกลายเป็นดวงแสงสีขาวที่มีสัญลักษณ์รูปปลาคู่ของราศีมีน แล้วมันได้พุ่งเข้าไปยังร่างของซานาดีนอย่างรวดเร็วก่อนที่ออร์เวลจะได้ทำอะไร

    “ชิบละไง… ”

    ออร์เวลร้องเสียงหลง แล้วรีบลอยไปดูซานาดีนที่กำลังเดินเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชายหนุ่มดูร่างชายสวมเกราะสีขาวตรงหน้าว่าเป็นอะไรหรือปล่าว เมื่อเห็นว่าซานาดีนไม่ได้เป็นอะไรออร์เวลจึงตัดสินกลับไปยังดินแดนพิศวง

     

    ดินแดนพิศวง บัลลังก์สีดำ

    ตอนนี้ออร์เวลได้กลับมานั่งยังบัลลังก์สีดำอีกครั้ง โดยชายหนุ่มกำลังนั่งอ่านกระดาษใบหนึ่งอยู่ ซึ่งกระดาษใบนี้คือกระดาษที่บันทึกข้อมูลต่างๆที่เขาได้ยินแล้วดึงออกมาจากความทรงจำแปรเปลี่ยนเป็นตัวหนังสือในกระดาษเพื่อให้เขาอ่านได้ง่ายๆ

    นี่คือหนึ่งในสิ่งที่เขาสามารถทำได้ในดินแดนพิศวงการดึงความทรงจำส่วนต่างๆออกมาและแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นรูปลักษณะที่ต้องการ แต่การทำอย่างงี้ได้ต้องให้เจ้าของความทรงจำอนุญาติ และต้องอยู่ในดินแดนพิศวงเท่านั้น สำหรับออร์เวลนี่ก็เป็นเงื่อนไขที่ดีเพราะไม่งั้นเขาคงรวบรวมข้อมูลต่างๆของโลกในความฝันนี้ได้ง่ายๆแล้วและคงรู้สึกน่าเบื่อแน่ๆ

    โดยหลังจากที่อ่านข้อมูลต่างๆ ออร์เวลก็รู้สึกมหัศจรรย์เกี่ยวกับโลกใบนี้และอยากรู้เรื่องต่างๆอีกมากมายบนโลกใบนี้

    แต่ตอนนี้เขาคงอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องดวงแสงที่ลอยเข้าไปในตัวซานาดีนที่สุดว่ามันคืออะไรกันแน่ ชายหนุ่มมองไปยังเหล่าบัลลังก์ที่อยู่ข้างโต๊ะกลม จนไปหยุดอยู่ที่บัลลังก์ที่มีสัญลักษณ์ของราศีมีนซึ่งอยู่ตรงข้ามกับบัลลังก์ของเขาพอดี

    ออร์เวลจึงลองกำหนดจิตของตนไปบนบัลลังก์ราศีมีน ทันใดนั้นเขาในสายตาของเขาก็พล่าเลือนและมองเห็นซานาดีนกำลังนั่งวาดภาพอยู่ มองเพียงไม่นานออร์เวลจึงถอนจิตของตนออกมา

    เมื่อกี้มันคืออะไรกัน… หรือนี่คือความสามารถที่เกิดจากดวงแสงนั่น… ไม่ใช่แค่นั้นเรารู้สึกว่าสามารถอนุญาติบางอย่างให้กับเขาได้อีกด้วย… แต่นั้นคืออะไรกันละ ออร์เวลเลือกนั่งเท้าคางแล้วหลับตาลงเพื่อคุ้นคิดถึงการอนุญาตินั้นว่ามันคืออะไรกัน ซักพักชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้นเขาตัดสินใจได้แล้ว ถ้านี่คือความฝัน… ลองเสี่ยงซักครั้งจะเป็นไรไป

    ออร์เวลได้ยอมแพ้ต่อความอยากรู้อยากเห็นของตน ถึงแม้ความอยากรู้อยากเห็นนั้นจะนำพาความพินาศมากมายมาให้แก่มนุษย์ แต่บางครั้งมันก็นำพาโชคลาภมาเช่นกัน

    ออร์เวลได้กำหนดจิตไปทางบัลลังก์ราศีมีนแล้วเลือกอนุญาติแต่-

    -“ไม่เห็นมีอะไรเลยไม่ใช่รึไง! แล้วฉันจะนั่งคิดมาเพื่ออะไรฟะ”

    ออร์เวลคร่ำครวญกับตัวเองถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น แต่เขาไม่ยอมแพ้จึงได้อีกครั้งลองอนุญาติอีกครั้งแต่ก็ไม่มีอะไรขึ้นเหมือรเดิม

    “หรืออันนี้มันเสียละเนี่ย… ถ้าลองอีกอันหนึ่งละ”

    ยังบ่นไม่ทันไรรอบตัวของออร์เวลก็ปรากฏละอองแสงสีขาวขึ้นอีกครั้ง แล้วมันได้รวมตัวกันเป็นดวงแสงสีขาวที่มีสัญลักษณ์รูปแกะของราศีเมษ มันได้พุ่งหายไปจากการมองเห็นของออร์เวลอย่างรวดเร็ว ซึ่งชายหนุ่มก็ทำได้เพียงกุมขมับของตัวเองเอาไว้

    “ชักจะเกลียดความแฟนตาซีของความฝันนี่ซะแล้วซิ”

     

    เมือง[พาเดียล] โบสถ์แห่งศาสนาผู้เลี้ยงแกะ ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า 

    ตอนนี้ที่โบสถ์ได้มีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังทำพิธีเพื่อเข้าร่วมกับศาสนาผู้เลี้ยงแกะ โดยชายคนนั้นมีนามว่าดันเคล แอมเบิร์ต เด็กกำพร้าที่ถูกเลี้ยงดูโดยโบสถ์แห่งนี้เมื่อโตขึ้นเข้าจึงข่วมร่วมกับศาสนาผู้เลี้ยงแกะเพื่อตอบแทนบุญคุณที่เลี้ยงดูตนเองจนเติบใหญ่

    คันเคล เป็นชายหนุ่มรูปร่างดีผมดำ ดวงตาสีน้ำตาลหน้าตาดีระดับหนึ่ง ใส่ชุดดูเป็นทางการ พร้อมสวมถุงมือสีขาวเอาไว้ ตอนนี้เขากำลังสวดคำปฏิญาณเพื่อกลายเป็นคนของศาสนาผู้เลี้ยงแกะ

    เพียงไม่นานเขาก็สวดเสร็จและจะได้กลายเป็นคนของศาสนาผู้เลี้ยงแกะหลังจากนั้น แต่เขาก็ได้ถูกเหล่านักบวชที่อยู่รอบๆป้ายยาสลบใส่แล้วจึงเอาผ้าคลุมดำปิดศีรษะ จากนั้นก็พาร่างของดันเคลไปยังที่แห่งหนึ่ง
    .
    .
    .
              ณ ห้องลับแห่งหนึ่ง

    ร่างของคันเคลกำลังนอนไม่ได้สติอยู่ข้างในเพียงคนเดียว โดยบนตัวสวมเพียงชุดผ้าฝ้ายเอาไว้ ตรงมือได้ถูกใส่กุญแจมือ ผ่านไปซักพักได้มีร่างของคนสองคนเข้ามาในห้อง

    คนหนึ่งคือชายวัยกลางคน ผมสีแดงเข้มดั่งโลหิต บนใบหน้ามีเคราสีแดงนิดหน่อย สวมเชิ้ตดำ ทักซิโด้ดำ กางเกงขายาวสีดำและรองเท้าหนัง

    อีกคนคือเด็กชายอายุสิบสามปี ผมสีชมพู สวมชุดกันหนาวสีเดียวกัน และใส่กางเกงขายาว

    ทั้งสองได้เดินไปยังร่างของดันเคลที่นอนอยู่ ชายวัยกลางคนได้ส่งสัญญาณให้กับเด็กชายผมสีชมพู เด็กชายผมสีชมพูทำการเดินไปหยิบถังน้ำที่วางอยู่ขึ้นมาสาดใส่ร่างของดันเคลทันที

    ซ่าาาาา~

    “อ๊ะ… แค่กๆ”

    ดันเคลที่สลบนั้นอยู่เมื่อถูกน้ำสาดใส่จึงได้สำลักน้ำตื่นขึ้นมา เมื่อตื่นขึ้นมาชายหนุ่มก็พบว่าเขาได้ถูกใส่กุญแจมืออยู่ในห้องปิดซึ่งมีชายวัยกลางคนกับเด็กหนุ่มผมสีชมพูกำลังมองมาที่เขา

    “พวกคุณเป็นใครเหรอครับ?”

    คันเคลได้ถามออกไป แต่เด็กหนุ่มผมสีชมพูก็ทำการตบไปที่หน้าของเขา

    “ใครบอกให้พูดหะ!!! ไอ้สายลับ”

    หน้าของดันเคลสะบัดไปอีกทางเนื่องจากแรงตบ แต่ชายหนุ่มก็เลือกที่จะหันกลับไปพูดกับเด็กหนุ่มผมสีชมพูเหมือนเรื่องเมื่อกี้ไม่เคยเกิดขึ้น

    “สายลับ? ผมไม่ได้เป็นนะครับ แล้วพวกคุณเป็นใครกันแน่”

    ถึงดันเคลจะบอกยังงั้น แต่ชายวัยกลางคนผมสีแดงก็สวนกลับกลับสิ่งที่ดันเคลบอก

    “พวกเราคือผู้วิเศษแห่งศาสนาผู้เลี้ยงแกะที่คอยกำจัดผู้ที่จะมาเป็นภัยให้แก่ศาสนาผู้เลี้ยงแกะ โดยที่พวกเราต้องจับนายมาเพราะสายข่าวของเราได้มาบอกว่านายเป็นสายลับให้แก่องค์กรผู้วิเศษซักองค์กรหนึ่ง ซึ่งสายข่าวนี้ก็ไม่เคยพลาดเลยแม้แต่ข่าวเดียว เพราะงั้นนายอย่าปฎิเสธและยอมรับมาซะว่าทำงานให้กับองค์กรใด”

    ชายวัยกลางคนผมสีแดงทำการหยิบบุหรี่ขึ้มาจุด แล้วทำการเอามาคาบไว้ในปากเพื่อสูบ โดยสนใจดันเคลเลยว่ากำลังจะพยายามแก้ตัวยังไง

    “ผมนะ…ไม่ได้เป็นสายลับจริงๆนะครับ… โอ้ย!”

    “ยังจะไม่ยอมรับอีกเหรอเจ้าสายลับ!”

    แต่ไม่ว่าจะแก้ตัวอีกกี่ครั้งเขาก็จะถูกเด็กชายผมสีชมพูตบหน้าเสมอ แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ที่บอกซึ่งความจริง ซึ่งสิ่งที่เขาเชื่อ

    “ผม…ไม่ใช่สายลับ…นะครับ”

    ดันเคลยังพยายามพูดต่อไปแม้เลือดจะกลบปากอยู่ก็ตาม แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าชายวัยกลางคนหรือเด็กชายจะเชื่อเลย แต่เขาก็ยังไม่ยอม

    “ผมนะ… คือลูกแกะ… ของโชคชะตา… แห่งเทพจักรราศีเมษ… ผู้ปกครองโชคชะตา… เจ้าปกครองเปลวเพลิงสีทอง… ผู้คอยนำทางดวงวิญญาณ… พระองค์จะคอยนำทางเหล่าแกะที่หลงทางของพระองค์… ไปสู่ดินแดนของพระองค์…”

    ชายวัยกลางคนที่ไม่สนใจดันเคลเลยก็เริ่มเพ่งความสนใจมาที่ดันเคล เด็กชายผมสีชมพูก็เลือกที่จะยืนนิ่งและปล่อยให้ดันเคลพูดต่อไปตามสัญญาณที่ชายวัยกลางคนส่งมาให้

    “เพราะฉะนั้นต่อให้จะไม่มีใครเชื่อ… ต่อให้ต้องตาย… แต่ไม่ว่ายังไง… ผมก็ไม่เกรงกลัว… เพราะสุดท้าย... ผมก็จะได้ไปอยู่ยังดินแดนของพระองค์… แต่อย่างน้อยก็ช่วยเชื่อซักนิด… ผมนะไม่ใช่สายลับ… ผมนะคือผู้ศรัทธาในพระองค์อย่างแท้จริง!!!”

    ดันเคลได้ตะโกนบอกถึงสิ่งที่เขาเชื่อมั่นทั้งหมดออกไป ชายวัยกลางได้ยิ้มออกมาเล็กน้อย และหันไปบอกกับเด็กชายผมสีชมพู

    “เจ้าโง่อาสการ์ดไปไขกุญแจทีสิ”

    เด็กชายผมสีชมพูหรืออาสการ์ดได้ทำตามสิ่งที่ชายวัยกลางคนพูดอย่างอิดออนแต่ก็ไม่วายหันไปเถียงกับชายวัยกลางคน

    “เจ้าบ้าทริสสั่งได้ทีเอาใหญ่เลยนะ! ฝากไว้ก่อนเถอะ!”

    “หุบปากแล้วไขกุญแจไปเถอะ เจ้าโง่”

    เมื่อไขกุญแจให้ดันเคลเสร็จ อาสการ์ดจึงถอยออกมาอยู่ข้างหลังทริส คันเคลที่กำลังตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยินก็ได้ถามออกไปอย่างตกตะลึง

    “นี่มันเรื่องอะไรกันครับ…”

    ทริสได้ทิ้งบุหรี่ที่เขาสูบลงพื้นแล้วใช้เท้าขยี้จากนั้นก็ตอบคำถามของดันเคล

    “ก็หมายความว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นคือคือบททดสอบเพื่อคัดเลือกคนที่จะกลายเป็นผู้วิเศษของศาสนาผู้เลี้ยงแกะอย่างไงละ ยินดีต้อนรับสู่โลกอันแสนอัศจรรย์และโหดร้าย ผู้วิเศษคนใหม่”

    ดันเคลย่อยสิ่งที่ทริสพูดออกมาซักพัก แล้วร้องออกมาสุดเสียง

    “หาาาา!!!!!!!!!!!”

     

    ท่าเทียบเรือเมืองชายฝั่ง

     

    เมอล็อค

     

    ซานาดีน

     

    เอมัน

     

    ดันเคล แอมเบิร์ต

     

    ทริส

     

    อาสการ์ด ดาร์เลย์

    ___________________________________

    เอาละก็จบไปแล้วละครับสำหรับตอนที่สอง ตอนนี้จะยาวหน่อยนะครับเนื่องจากเป็นตอนที่ยัดข้อมูลหลายๆอย่างของเรื่องเข้าไปทำให้มันยาวกว่าตอนแรกไปมาก สังเกตุง่ายๆเลยละ 555

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×