ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วุ่นรัก สลับใจ ตีพิพม์ในชื่อ ตรวนร้ายวิวาห์ลวง

    ลำดับตอนที่ #2 : การพบหน้า ด้วยความไม่ตั้งใจ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 781
      3
      28 ส.ค. 58

    2

    การพบหน้า ด้วยความไม่ตั้งใจ

    แสงแดดที่แผดเผาดูจะเร่าร้อนพอๆ กับคนที่กำลังอารมณ์ขุ่น โดยเฉพาะยามที่คุณนายแม่เดินจิกฝีเท้าพร้อมหญิงรับใช้ที่กำลังถือร่มให้กับนาง ตามติดทุกฝีก้าวแล้วเอาแต่พร่ำพรรณนาถึงสรรพคุณผู้หญิงที่ตั้งความหวังจะให้ลูกชายจับมาทำเมีย

                “เรารู้มั้ยว่าหนูเพชรเนี่ยสวยยังกับนางฟ้า ผิวงี้ขาวเป็นยองใย ยิ่งความรู้การศึกษาไม่ต้องพูดถึง จบจากมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งไม่พอยังจะมีความสามารถด้านภาษาใครได้มาเป็นเมียมีแต่ได้หน้า แล้วแบบนี้แกยังจะกล้าปฏิเสธได้ลงคออีกหรือตาอิฐ”

                “กล้าครับ และผมก็ไม่สนใจด้วยว่าแม่นางฟ้านางตานีของแม่จะวิเศษวิโสมาจากไหน ผมยืนยันว่าผมไม่มีความสนใจที่จะแต่งงานกับคนที่ไม่เคยเห็นหน้าหรือรู้จักกันมาก่อน”

                “ก็เพราะอย่างนี้ไง แม่เลยชวนให้หนูเพชรมาพักที่บ้านของเรา ลูกทั้งสองจะได้ทำความรู้จักกันให้มากขึ้นก่อนที่จะตกลงปลงใจแต่งงานกัน”

                ร่างสูงที่กำลังเดินไปตามทางแคบๆ เพื่อเช็คสภาพผลองุ่น จำต้องกระแทกลมหายใจแล้วหยุดฝีเท้าเพื่อหันมาทางคนเป็นแม่ หรือก็คือคุณนายสุโกศลที่ไม่รู้ไปควานหาผู้หญิงที่ไหนมาให้เขา ซ้ำยังตั้งใจจะมัดมือชกจับคลุมถุงชนกัน

                “เรื่องนั้นผมยิ่งไม่เห็นด้วยเข้าไปใหญ่ ผมไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน มันทำให้ผมรู้สึกไม่เป็นส่วนตัว เรื่องนี้คุณแม่เองก็น่าจะทราบดี”

                ครั้นลูกชายหันมาทำเสียงเข้ม คุณนายสุโกศลที่ยืนถือพัดแล้วโบกเป็นระวิงก็ยิ่งเพิ่มอัดตราความเร็วของมือไม้แสร้งทำหน้างออย่างน้อยใจ

                “สรุปแม่ทำอะไรก็ผิดไปหมดเลยใช่มั้ย การที่แม่อยากให้ลูกตัวเองได้เป็นฝั่งเป็นฝากับผู้หญิงที่ดีที่สุด ที่ไม่ใช่ยายจิ๊บซี่ลูกสาวกำนันเขียง หรือผู้หญิงที่แกแอบงุบงิบไล่กินตับจนแทบจะทั่วอำเภอ มันผิดมากนักเลยใช่มั้ย”

                คนเป็นลูกชะงักจากหน้าที่การงานเมื่อเจอคำพูดนี้ แน่ที่เดียวอิทธิฤทธิ์ ภูวดิษฐ์ยศรินทร์ ไม่ได้มีดีแค่ความรู้ความชำนาญในด้านการเพาะปลูกด้วยเทคนิคที่ทันสมัย แต่ยังมีดีตรงที่ดันเนื้อหอม คุณสมบัติเพียบพร้อมมีสาวๆ มารุมตอม ส่วนเจ้าตัวก็ใช่ย่อย ยังไม่เคยคิดจริงจังกับสาวคนไหนเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่เคยปฏิเสธที่จะร่วมเตียง เล่นจ้ำจี้กับใครด้วยเหมือนกัน

                “เอาเป็นว่าสิ่งที่แม่ทำไม่ผิดแต่ผมไม่ชอบ และถ้าแม่ให้ผู้หญิงคนนั้นมาอยู่ในบ้านของเรา ผมจะจับปล้ำให้สมใจแม่ ก่อนเขี่ยทิ้งเหมือนผู้หญิงรายก่อนๆ ที่ผมเคยทำ ขอตัวนะครับ”

                เสียงทุ้มเปล่งกร้าวไม่ยอมปรานีปราศรัย ซ้ำประกาศเจตนาที่เล่นเอาคนเป็นแม่และเหล่าคนงานโดยรอบพากันใจหายวาบแล้วจึงค่อยเดินหน้าเข้มจากไป วินาทีนั้นคุณนายสุโกศลรู้ทันทีว่าแผนเรียกร้องความเห็นใจจากลูกชายไม่ได้ผลอีกตามเคย

                “ดูท่าคุณอิฐจะไม่ยอมมีเมียง่ายๆ เลยนะคะคุณนาย แบบนี้เราจะทำยังไงกันดี”

                หญิงรับใช้อายุห้าสิบต้นๆ เอ่ยถาม ด้วยเห็นใจคุณนายที่เป็นหม้ายมานานจึงย่อมหวังจะเห็นลูกชายเพียงคนเดียวเป็นฝั่งเป็นฝากับหญิงสาวที่ถูกใจ ดีกว่าปล่อยให้ไปเสี่ยงทำผู้หญิงที่ไหนไม่รู้ท้องทั่วอำเภอ

                “ถึงยังไงฉันก็ไม่ยอมเปลี่ยนความตั้งใจแน่ๆ ฉันจะต้องให้ตาอิฐได้หนูเพชรมาเป็นเมีย และจะให้หนูเพชรมาอยู่ที่นี่ ต่อให้ไอ้ลูกชายตัวดีมันขู่ว่าจะปล้ำหนูเพชรแล้วทิ้งฉันก็จะทำ”

                คุณนายสุโกศลเร่งฝีเท้าเดินออกไปจากไร่องุ่นด้วยสีหน้าที่มุ่งมั่น แม้จะเห็นแล้วว่าลูกชายไม่ยินยอมพร้อมใจต่อความปรารถนาของนางเลย นางกำไลที่ติดตามปรนิบัติรับใช้คุณนายมานานก็ได้แต่ส่ายศีรษะ ลูกก็ดื้อแม่ก็รั้นหัวแข็งพอๆ กันแบบนี้ตอนที่หญิงสาวที่คุณนายว่าปรากฏตัว ผลจะออกมาอีท่าไหนนางยังไม่กล้าแม้แต่จะคิดเลย

     

                วันเวลาผ่านเลยไปจากหนึ่งเป็นสองสัปดาห์ ด้วยความที่เพชรไพลินไม่ได้ไปเยี่ยมพ่อกับน้องสาวมานาน ทำให้หล่อนไม่รู้ว่าพัฒนาการของน้องสาวปัจจุบันเป็นเช่นไร ดังนั้นจากตอนแรกที่คิดจะใช้เวลาเทรนน้องสาวให้กลายเป็นเพชรจึงต้องบวกเวลาเพิ่ม หล่อนต้องคอยยกข้ออ้างสารพัดมาแก้ตัวกับคนเป็นแม่และคุณนายสุโกศลที่โทรมาเร่งยิกๆ ไม่เว้นแต่ละวัน ท้ายที่สุดคอร์สชุบอีกากลายเป็นหงส์ฉบับเร่งด่วนก็จำต้องปิดตัวลงเอาสัปดาห์ที่สอง เมื่อเพชรไพลินหมดมุขที่จะใช้เป็นข้ออ้างได้อีกต่อไป

                เพชรไพลินเลือกที่จะร้องขอต่อคนเป็นแม่ว่าจะเดินทางไปที่ไร่ด้วยตัวของหล่อนเอง โดยโกหกว่าเพื่อนสนิทที่สุดจะเป็นคนขับรถมาส่งจนถึงที่ แต่แท้จริงคือหล่อนต้องการมาส่งน้องสาว หวังใช้ระยะเวลาในการเดินทางช่วงสุดท้ายเพื่อขัดเกลาทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ และกันท่าไม่ให้พลอยชมพูหนีทันทีที่นึกเปลี่ยนใจขึ้นมา

                “ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย ไม่เห็นกันแค่สามสี่เดือนพอมาเจออีกทีสภาพเธอจะเยินจนฉันไม่กล้ามอง ผมนี่ทั้งยาวทั้งยุ่ง มือหยาบยังกับเท้า โอ้แม่เจ้า...ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเราจะเป็นฝาแฝดกัน”

                พลอยชมพูนั่งกรอกตาไปมาอย่างรำคาญ นี่ถือเป็นครั้งที่ร้อยแล้วที่พี่สาวของเธอวิพากษ์วิจารณ์กับสารรูปของเธอนับตั้งแต่เส้นผม ผิวพรรณ เสื้อผ้าการแต่งกายทุกอย่าง แถมยังไปขนบรรดาเพื่อนสนิทมิตรสหาย สไตล์ลิสต์ส่วนตัวมารุมซักซ้อมการเดินเหินและแต่งกาย รวมไปถึงจับเธอขัดสีฉวีวรรณทำผมใหม่ แต่ละขั้นตอนใช้เวลาเป็นวันๆ เธอนั่งอยู่กับที่จนเมื่อยก้น หาวแล้วหาวอีกก็ยังไม่เสร็จ ถือเป็นช่วงเวลาที่ทรมานที่สุดในชีวิต ดังนั้นตอนนี้จึงดีใจมากที่หลุดพ้นออกมาจากกลุ่มคนที่เห็นเธอครั้งแรกก็ทำท่าตกใจอ้าปากค้าง มองเธอกับพี่สาวสลับกันไปมา พร้อมสารพัดคำพูดที่เหมือนดังกับว่าเธอคือความวิบัติของวงการแฟชั่นแห่งประเทศไทย

                “หยุดพูดสักทีได้มั้ย พลอยก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว อย่าลืมสิว่าวันๆ นึงพลอยต้องช่วยพ่อดูแสสวนกับคนงาน ไหนยังจะฟาร์มน้องหมาของพลอยอีก จะให้มานุ่งกระโปรงสั้นๆ ใส่รองเท้าส้นสูงหัวเข็มหมุดแบบพี่ได้ยังไง”

                หญิงสาวพูดไปพลางนั่งกอดอกทำหน้างอ ขาข้างหนึ่งยกขึ้นมาพาดบนหัวเข่า เห็นแล้วเพชรไพลินก็แทบเพลีย ออกอาการรับไม่ได้อย่างรุนแรง

                “จะเหตุผลอะไรของเธอก็ช่างแต่ฉันขอ...เลิกนั่งท่านั้นสักทีเห็นแล้วมันเหมือนกับภาพสะท้อนในกระจก แม้ไม่ใช่ฉันแต่หน้าตาเธอน่ะเหมือนฉัน อย่าทำอะไรทุเรศแบบนั้นอีกฉันรับไม่ได้ย่ะ”

                คนเป็นพี่ละมือที่กำลังจับพวงมาลัยข้างหนึ่งมาตีที่หน้าตักของน้องสาวดังเพี๊ยะ ใบหน้าหวานละม้ายคล้ายตัวเองแถมยังได้รับการขัดเกลาผิวพรรณที่เคยกระด้าง เซ็ทให้ผมที่เจ้าตัวมักจะถักเปียข้างหนึ่งแบบลวกๆ ก่อนยุ่งเยิงระหว่างวันให้เงางามพลิ้วไสวไปกับสายลม

                “เอาล่ะ ถึงหน้าทางเข้าไร่ของไอ้บ้านนอกกับยายคุณนายนั่นแล้ว ฉันส่งเธอแค่นี้แล้วกัน”

                “ตลกหรือเปล่า พี่จะให้พลอยนุ่งสั้นเดินลากกระเป๋าชมพูดแป๊ดด้วยรองเท้าส้นสูงเข้าไปในไร่ของเขาเนี่ยนะ”

    “ก็มันไม่มีทางเลือก ได้ข่าวว่าบ้านมันมีคนงานเป็นร้อยหูตายั๊วะเยี๊ยะยังกับสัปปะรด ขืนขับรถเข้าไปแล้วบังเอิญมีคนเห็นฉันเข้า แผนคงได้พังตั้งแต่สองวันแรก และถ้าคุณแม่รู้ คุณแม่จะต้องโกรธฉันมากแน่ๆ”

    เรื่องที่สองสาวฝาแฝดแอบสลับตัวกันแน่นอนว่าแม่ของพวกเธอไม่รู้ คนเป็นน้องจึงหันมามองพี่สาวด้วยสีหน้าตั้งคำถามว่าจะเอาแบบนั้นจริงๆหรือ

    “เอาน่า...เดินไปไม่ถึงห้าสิบเมตรเธอก็เลี้ยวไปตรงทางข้างหน้านั่น ลากกระเป๋าต่อไปอีกสักหน่อยก็คงจะถึงแล้ว เข้าใจที่พูดก็รีบๆ ลงไปได้แล้ว”

    พลอยชมพูหันมาเม้มริมฝีปากพยายามข่มอารมณ์ไม่ให้ฉุน เธอจัดการสะบัดหน้า เดินลงจากรถพร้อมลากกระเป๋าที่ยัดเอาไว้ด้านหลังออกมา หากแต่ช่วงที่กำลังจะเดินผ่านตัวรถ เพชรไพลินก็ยังไม่วายเลื่อนกระจกพร้อมชะโงกหน้าออกมา

    “จำเอาไว้นะว่าต้องเล่นให้แนบเนียนมากที่สุด อย่าทำให้ภาพพจน์ของฉันป่นปี้เพราะพฤติกรรมเถื่อนๆ ของเธอเป็นอันขาด อ้อ! และที่สำคัญ ของที่ฉันยัดไว้ให้ในกระเป๋าน่ะ พกติดตัวเอาไว้ด้วยเผื่อมีอะไรฉุกเฉินเธอจะได้ไม่ทำอะไรเซ่อซ่าและเอาตัวรอดได้”

    กระจกรถเลื่อนปิดพร้อมกับท่วงท่าสวมแว่นกันแดดอย่างมีสไตล์ ก่อนจะเคลื่อนออกไปโดยไม่มีทางที่จะวกกลับมาอย่างแน่นอน เพชรไพลินมักจะมีบุคลิกเช่นนี้เสมอ สวยสง่างดงาม ถึงจะแต่งกายเซ็กซี่แต่ก็ไม่ดูด้อยค่า เป็นคุณสมบัติที่เธอไม่สามารถจะเลียนแบบได้ ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญที่จะต้องคำนึงถึงในตอนนี้ เท่ากับเรื่องที่จะทำยังไงถึงจะลากกระเป๋าใบโตด้วยรองเท้าส้นสูงที่พี่สาวปราณีให้ใส่แค่สามนิ้ว กับชุดกระโปรงเข้ารูปสีดำสั้นเลย....มาราวฝ่ามือครึ่ง

    “เอาวะ...เดินก็เดิน”

    พลอยชมพูให้กำลังใจตนเองพร้อมลากกระเป๋าไปตามทาง ดีที่ว่าพื้นที่แถวนี้เป็นคอนกรีตไม่ใช่ดินลูกรังจึงทำให้สภาพของเธอดูไม่น่าเวทนามากจนเกินไป กระนั้นความสูงของรองเท้าที่ไม่คุ้นเคยก็เริ่มทำให้เธอพบกับความลำบากในการเดิน จนเมื่อผ่านไปได้สักระยะแล้วหันกลับมามองที่จุดเดิม เธอก็เพิ่งจะค้นพบว่าความก้าวหน้าของการเดินทางมีค่าแค่ห้าเมตรเท่านั้น มาถึงตรงนี้สีหน้าของหญิงสาวก็เริ่มอ่อนล้า เธอกำลังคิดว่าคงจะต้องใช้เวลากว่าครึ่งค่อนวันแล้วล่ะมั้ง หากจะต้องเดินเข้าไปที่ไร่แห่งนั้นด้วยสภาพเช่นนี้

    ในระหว่างที่หญิงสาวกำลังยืนด้วยสีหน้าระทมทุกข์อยู่ข้างทาง พอดีว่ามีรถกระบะสีดำคันหนึ่งกำลังเคลื่อนใกล้เข้ามา และด้วยลักษณะการแต่งกายอันโดดเด่นของเธอจึงทำให้สะดุดสายตาของคนที่อยู่ในรถโดยไม่ต้องสงสัย

    “คุณอิฐครับคุณอิฐ ดูนั่นสิครับ”

    เสียงร้องของคนงานที่ติดสอยห้อยตามเจ้านายเข้าไปทำธุระในเมืองชี้มือชี้ไม้ ท่าทางดูตื่นเต้นตาโตจนน่าประหลาดใจ

    “มีอะไร”

    “นางฟ้าครับ นางฟ้าที่ไหนไม่รู้หิ้วกระเป๋าใบโต๊โต ผมว่าแบบนี้มันแปลกๆ นะครับ ไม่รู้ว่ากำลังต้องการความช่วยเหลืออยู่หรือเปล่า”

    อิทธิฤทธิ์มองไปตามการชี้นำ นัยน์ตาคู่คมเพ่งไปที่หญิงสาวรูปร่างผิวพรรณดี แม้จะอยู่ในระยะไกลก็พอจะคาดคะเนได้ว่าเธอคงจะต้องหน้าตาดีโดยไม่ต้องสงสัย

    “แปลกอย่างที่แกว่า คนบ้าที่ไหนแต่งตัวแบบนี้มาเดินลากกระเป๋าคนเดียวบนทางที่มีแต่ที่โล่งๆ”

    เนื่องจากพื้นที่ติดถนนบริเวณนั้นมากกว่าร้อยไร่เป็นพื้นที่ของตระกูลซึ่งมีมาตั้งแต่ยุคคุณปู่คุณทวด ส่วนที่ดินกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาด้านในรวมกับเนื้อที่บริเวณบ้านของเขาคือที่ที่ชายหนุ่มใช้ประกอบธุรกิจประเภทเกษตรกรรมบางส่วนของธุรกิจทั้งหมด ดังนั้น การที่จู่ๆ มีหญิงสาวแต่งตัวราวจะไปเดินแคทวอล์คมาเพ่นพ่านแถวนี้จึงถือเป็นเรื่องแปลกประหลาดโดยไม่ต้องสงสัย

    “ฉันให้เวลาแกสามวินาที รีบถามยายนั่นให้มันเสร็จๆ อย่าทำให้ฉันเสียเวลา ฉันจะรีบขับรถกลับไปทำงานที่ไร่ต่อ”

    อิทธิฤทธิ์ขับรถเข้าไปใกล้เป้าหมายเพื่อให้นายจ้อน หรือคนงานคนสนิทชะโงกหน้าถามหญิงสาวที่กำลังทำท่าหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่คนเดียว โดยที่คนงานหนุ่มหันมามองเจ้านายทำหน้างงๆ เพราะตนเองยังไม่ได้เอ่ยปากร้องขอในเรื่องนี้ แต่สุดท้ายนายจ้อนก็รู้งาน มือคล้ำหยาบหนารีบเลื่อนจกรถลงมาทันที

    “คุณคนสวยครับ ไม่ทราบมีอะไรให้ผมกับเจ้านายรูปหล่อแถมยังใจดีอีกต่างหากช่วยหรือเปล่าครับ”

    นายจ้อนเป็นผู้ขับโดยมีเจ้านายนั่งอยู่ข้างๆ นั่นจึงทำให้หญิงสาวไม่ทันได้สนใจชายหนุ่มอีกคน นอกจากคนหน้าซื่อที่แม้ฝีปากจะชีกอและเยินยอเจ้านายสุดฤทธิ์ แต่ก็ดูไม่มีพิษมีภัยอะไร

    “มีค่ะ คือ ช่วยไปส่งฉันที่....”

    ยังไม่ทันจะพูดจบเสียงเครื่องยนต์ที่เคยดังกระหึ่มก็ดับสนิท สีหน้าของนายจ้อนจากที่กำลังยิ้มแย้มประหนึ่งดีใจ ที่ตนกำลังจะได้เป็นพระเอกขี่ม้าขาวช่วยเจ้าหญิงแทบจะหดลงไปเหลือสองนิ้ว

    “เอ่อ...อย่าบอกนะครับว่าไอ้แก่ทำพิษอีกแล้ว...แบบนี้ไม่ดีนะครับผมเสียฟอร์ม คุณอิฐก็เสียหน้า เผลอๆ อดได้หิ้วปีกนางฟ้ากลับไปกินที่ไร่อีกด้วยนะครับ”

    คำหลังนายจ้อนหันไปป้องปากซุบซิบกับเจ้านายที่สีหน้ากำลังหงุดหงิด ไม่ชอบใจที่คนงานหนุ่มดันรู้ทันเพราะคนอย่างอิทธฤทธิ์ถึงจะชอบหิ้วสาวเป็นว่าเล่นแต่ก็มักจะมีฟอร์มอยู่เสมอ

    “เพ้อเจ้อไร้สาระอะไรของแก เรื่องรถเสียนี่มันความผิดของแกชัดๆ ถ้าแกไม่มัวแต่เสียเวลาอยู่กับผู้หญิงแต่งตัวบ้าๆ มาเดินไร้สาระข้างถนนแบบนี้ ป่านนี้ฉันกลับไปถึงไร่ตั้งนานแล้ว!

    “อ้าว...ไหง๋ เป็นงั้นล่ะครับ”

    ใบหน้าแสนซื่อออกอาการงงคูณสอง กระนั้นก็ไม่กล้าเหิมเกริมเพราะดูท่านัยน์ตาคู่คมหลังกรอบแว่นสีดำคงกำลังหัวเสียไม่ใช่น้อย ทว่าด้วยน้ำเสียงดุเข้ม ตะเบ็งใส่หน้าคนงานเสียงดังก็ทำให้หญิงสาวที่กำลังยืนอยู่ประตูฝั่งที่คนงานหนุ่มนั่ง ยกสองมือกระแทกลงไปที่ขอบหน้าต่าง โน้มตัวลงมาให้อยู่ในระดับเดียวกันกับคนที่เอ่ยปากว่าเธอบ้าและไร้สาระอยู่ข้างใน

    “นี่คุณ! ฉันไม่ได้บ้าและไม่ได้ไร้สาระ การที่ฉันนุ่งสั้นทำผมเหมือนตุ๊กตาบาร์บี้แล้วลากกระเป๋าชมพูหวานแหววปัญญาอ่อนมาเดินข้างถนน มันคือความจำเป็นระดับชาติที่พูดไปคนปากสุนัขอย่างคุณคงไม่เข้าใจ”

    คนถูกด่าหันมามองหน้าหญิงสาวนัยน์ตาเข้ม นายจ้อนนั่งเบิกตาอ้าปากกว้าง หญิงสาวจะรู้หรือไม่ก็ตาม...แต่เจ้านายของตนเป็นพวกไม่เคยถูกใครด่าระยะเผาขนมาก่อน ดังนั้น ช่วงวินาทีต่อมาอิทธิฤทธิ์จึงรีบเปิดประตูแล้วก้าวขาลงจากรถ ร่างสูงชะลูดราวร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรตรงเข้าหาหญิงสาวที่เพิ่งจะแสดงความหาญกล้าด่าว่ากัน

    “เมื่อกี้เธอว่าใครปากสุนัขนะ”

    มือหนาดึงแว่นกันแดดออกหวังที่จะเห็นหน้าหญิงสาวปากเก่งคนนี้ให้ชัดๆ กระนั้นเองเมื่อชายหนุ่มมายืนอยู่ตรงหน้า นัยน์ตาคู่หวานก็จ้องมองเขาแน่นิ่ง เธอเพิ่งจะเคยเห็นผู้ชายหล่อลากไส้ รูปร่างสูงอกกว้างผ่าเผยและเดาได้ว่าภายใต้เสื้อเชิ้ตสีเข้มเรียบๆ ตัวนี้คงจะเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อและซิคแพ็คซ่อนเร้นอยู่แน่นอน ทว่าเมื่อนัยน์ตาของเธอไล่ระดับจากใบหน้าลงมาที่แผงอกกว้างและก่อนที่จะเลยต่ำลงไปกว่าเอว พลอยชมพูก็รีบสลัดความคิด เธอตั้งสติหันมาประจันหน้ากับคนปากสุนัขที่ว่าใหม่

    “ก็คุณไงปากสุนัข ถ้าไม่เข้าใจจะให้ใช้คำว่าปากหมาแทนก็ได้นะ เผื่อว่าคนอย่างคุณจะไม่คุ้นเคยกับคำว่าสุภาพ”

    หญิงสาวยืนกอดอกเน้นคำว่า “หมา ใส่หน้าอิทธิฤทธิ์ไปเต็มๆ ตอนนี้นัยน์ตาคู่สีดำเป็นประกายเจิดจรัส แต่ก่อนที่มือข้างหนึ่งจะเอื้อมไปคว้าตัวเธอ คนงานหนุ่มที่เห็นท่าจะไม่ดีก็รีบเปิดประตูแล้วกระโจนลงจากรถ ยกสองมือขึ้นมารั้ง ระหว่างที่ยืนคั้นกลางเพื่อให้ทั้งคู่แยกออกจากกัน

    “ใจเย็นๆ นะครับคุณอิฐ อากาศมันร้อนแถมน้องเขายังต้องหอบหิ้วกระเป๋าใบโตๆ คนเดียวอีก น้องเขาก็เลย คงจะอารมณ์เสียนะครับ ฮะๆๆๆ”

    นายจ้อนพยายามเค้นเสียงหัวเราะหวังสร้างความอภิรมย์แม้จะรู้ดีว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่น่าขำ ทว่าถ้อยคำของเขาก็เข้าไปเตือนสติให้พลอยชมพูระลึกขึ้นมาได้ว่าเธอต้องรีบมุ่งหน้าไปที่ไร่ของคุณนายสุโกศลกับลูกชายที่รู้จักเพียงแค่ชื่อจริง ขณะเดียวกันอิทธิฤทธิ์ก็ตระหนักถึงงานที่ต้องเร่งกลับไปทำเพื่อให้ทันออร์เดอร์จากลูกค้าต่างประเทศอีกหลายเจ้าด้วยเช่นเดียวกัน

    “ถ้าอย่างนั้นแกก็ควรจะรีบไสหัวไปทำให้เครื่องยนต์มันติดได้แล้ว เพราะถ้าขืนฉันยังต้องยืนอยู่ตรงนี้อีกเพียงแค่สามนาที แกได้ลงไปนอนกองอยู่ข้างทางแทนยายนี่แน่ๆ”

    คำขู่ของอิทธิฤทธิ์ทำเอาคนงานหนุ่มหน้าเสีย แต่นั่นกลับทำให้ริมฝีปากอิ่มบิดขึ้นอย่างหมั่นไส้

    “โห...รถเสียก็โทษลูกจ้าง อารมณ์ไม่ดีก็โทษลูกจ้าง นิสัยสถุลพอๆ กับปากเลยจริงๆ”

    “เมื่อกี้เธอพูดว่ายังไงนะ”

    ร่างสูงเบนทิศทางจากคนงานที่รีบวิ่งเข้าไปสตาร์ทเครื่องยนต์ในรถ หันมาทางหญิงสาวที่แอบบ่นอะไรงุบงิบเพียงลำพัง แต่เขาดันหูดีแม้จะจับใจความไม่ได้ทว่าก็มั่นใจว่ากำลังโดนด่า พลอยชมพูไม่มีอารมณ์จะมาต่อล้อต่อเถียง แม้เธอจะไม่อยากพึ่งพาอาศัยเขา แต่ก็ไม่อยากเดินเท้าเข้าไปในไร่ภูวดิษฐ์ด้วยเหมือนกัน

    “เอางี้...ถ้าฉันทำให้รถของคุณสตาร์ทติดได้ คุณจะต้องขับรถไปส่งฉัน หลังจากนั้นก็ทางใครทางมัน ไม่ต้องมาทนยืนเหม็นหน้ากันอยู่ตรงนี้อีกต่อไป”

    พลอยชมพูจงใจหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามชายหนุ่ม แต่มุ่งประเด็นอื่นที่ทำให้ริมฝีปากหยักต้องนึกขัน

    “หึ๊! สารรูปอย่างเธอน่ะเหรอจะมีปัญญาทำให้รถคันนี้สตาร์ทติด”

    มือหนาตีป๊าดไปที่ตัวรถ ขณะที่นายจ้อนพยายามฟื้นคืนชีวิตให้กับมันจนหน้าดำหน้าแดง และยังไม่มีทีท่าว่าจะสามารถทำให้เครื่องยนต์ติดได้ตามระยะเวลาที่เจ้านายกำหนด ใบหน้าสวยแต่งหน้าแต่พองามหันมาที่ร่างสูงแล้วบิดริมฝีปากยิ้ม

    “ถือว่านั่นเป็นคำตกลงของคุณ”

    พลอยชมพูเป็นประเภทไม่ชอบให้ใครมาดูหมิ่น ดังนั้นทันทีที่อิทธิฤทธิ์เอ่ยถ้อยคำเหมือนดูแคลน ร่างบางก็เดินตรงไปที่กระโปรงรถแล้วจัดการเปิดมันขึ้นด้วยท่าทีทะมัดทะแมง ก่อนจะโน้มลำตัวลงเพื่อกวาดสายตามองเครื่องยนต์ที่อยู่ข้างใน ตอนนั้นเองที่นัยน์ตาคู่คมเริ่มมองเห็นอะไรในบางสิ่ง นั่นก็คือสะโพกกลมสวย ต้นขาเรียวขาวกับส่วนเว้าส่วนโค้ง ช่วงที่หญิงสาวกำลังโก่งโค้งคารถกระบะสีดำของเขานั่นเอง

    อิทธิฤทธิ์จำต้องสะบัดศรีษะไปมา ขับไล่ความคิดเกือบเคลิ้มไปว่าหญิงสาวมีรูปร่างที่สวยและเย้ายวน ถ้าหากเป็นยามปกติเขาคงได้ใช้ความเฉียบเนี้ยบ ที่ใครๆ มักจะมองไม่เห็นถึงความเป็นเสือผู้หญิงที่ซ่อนลาย หลอกล่อเธอเข้าไปอยู่ในดินแดนอันสงบ ก่อนจะพากันขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไปสักทีสองที

    “ถ้าเธอมีปัญญาทำให้มันสตาร์ทติดได้จริงๆ ฉันจะยอมเสียเวลาอันมีค่าขับรถไปส่งผู้หญิงไร้สาระอย่างเธอถึงที่ แต่ฉันมีเวลาไม่มาก คงจะให้เวลาเธอได้อีกแค่นาทีเดียว”

    น้ำเสียงหยามเหยียดประหนึ่งว่าเธอไม่มีทางทำได้แน่ๆ เป็นตัวกระตุ้นให้ใบหน้าสวยค่อยๆ หันมาที่ร่างสูง เธอบิดริมฝีปากอีกครั้ง ก่อนจะเหยียดลำตัวขึ้นมาตรงๆ

    “พี่คะ พี่ที่อยู่ในรถน่ะ มีปะแจใหญ่ๆ พกมาบ้างหรือเปล่า”

    หญิงสาวร้องทักคนที่นั่งหน้าซีด มองการปะทะคารมกันระหว่างคนที่สวยจัดกับเจ้านายที่ดุและแอบหื่นของตนไปมา กระนั้นนายจ้อนก็ยังมีสติพอที่จะรีบพยักหน้าเร็วๆ รีบโน้มตัวไปทางเบาะหลัง มุดหน้าหาอะไรอยู่สักพักก่อนคว้าปะแจขนาดเหมาะมือ แล้ววิ่งออกมาเพื่อส่งมอบมันให้กับเธอ

    “นี่ครับน้อง”

    “ขอบคุณค่ะ พี่ช่วยเข้าไปในรถรอจังหวะแล้วสตาร์ทอีกทีนะคะ”

    มือเรียวยื่นออกไปรับปะแจที่ดูจะใหญ่กว่ามือของเธอสักเล็กน้อย ก่อนหันมาทางคนที่กำลังกอดอกแกล้งยืนทำหน้ากดดัน ก่อนที่เธอจะก็จัดการใช้ของที่ถืออยู่ในมือกระทุ้งเข้าไปที่ตัวมอเตอร์สีดำสองสามที แม้จะลงน้ำหนักมือไม่มากจนเกินไปแต่มันก็ดังเคร้งๆ จนน่าตกใจ

    “นั่นเธอทำอะไรของเธอ คิดจะพังรถฉันเล่นหรือยังไง”

    ร่างสูงเดินเข้าหาประหนึ่งว่าจะปราม แต่หญิงสาวกลับหันมาด้วยสายตาที่ดูเย่อหยิ่งอยู่พอควร

    “พี่คะ ลองสตาร์ทรถดูอีกรอบทีสิค่ะ”

    เสียงเล็กๆ ดังขึ้นตอนที่มือจัดการปิดกระโปรงรถลงมา จากนั้นเธอเพียงแค่ยืนเชิดหน้า จ้องสบตากับอิทธิฤทธิ์ระหว่างรอให้นายจ้อนจัดการสตาร์ทเครื่องยนต์ เพียงแค่คลิ๊กเดียวเท่านั้น เสียงรถยนต์ก็กลับมาดังกระหึ่มอีกครั้ง

    “รถติดแล้วครับคุณอิฐ น้องคนสวยเก่งจริงๆ เลยนะครับ ปกติพี่ต้องใช้เวลาตั้งเกือบสิบนาทีกว่าจะสตาร์ทอีแก่คันนี้ให้ติดได้ ขอบคุณนะครับ ขอบคุณมากจริงๆ ที่ช่วยไม่ให้พี่ถูกคุณอิฐถีบลงไปนอนกองอยู่ข้างทาง”

    “เรื่องเล็กค่ะ แค่นี้สบายมาก ว่าแต่....”

    หญิงสาวหันไปยิ้มรับให้กับนายจ้อน แต่จงใจทิ้งช่วงเพื่อหันมายิ้มเยาะใส่หน้าใครบางคน

    “คุณเป็นผู้ชายแท้ๆ รูปร่างหน้าตาก็ไม่ได้อินโนเซ้นท์ ดูจากสภาพแล้วแบตเตอร์รี่ยังใหม่อยู่คงจะเพิ่งเปลี่ยนได้ไม่นาน แต่ก็ยังพบปัญหารถติดๆ ดับๆ สตาร์ทไม่ติดเหมือนเดิม ไม่รู้เลยจริงๆ เหรอว่ามันน่าจะเป็นที่ไดสตาร์ท”

    ได้ทีพลอยชมพูก็รีบทับถม ยิ่งเร่งให้นัยน์ตาคู่สีดำขมวดจ้อง นึกเจ็บใจที่ถูกเธอหยามน้ำหน้าแต่มันยิ่งเลวร้ายกว่า ที่ผู้ชายอกสามศอกเช่นเขาดันไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าไดสตาร์ทคืออะไร

    “หุบปากและรีบขนกระเป๋าปัญญาอ่อนของเธอขึ้นรถฉันได้แล้ว ฉันต้องรีบไปทำงาน”

    เสียงทุ้มกรรโชกขึ้นมา สีหน้าหรือก็แข็งกร้าวช่วงเดินลงน้ำหนักเท้าเข้าไปในรถ ดูก็รู้ว่าคงจะเสียฟอร์มและกำลังหัวเสียเอามากๆ แต่ไม่รู้ทำไมนายจ้อนถึงได้มีสีหน้าเบิกบาน ซ้ำยังแอบยกนิ้วโป้งขึ้นมาชื่มชมหญิงสาวลับหลังเจ้านาย ก่อนจะทำหน้าที่ช่วยเธอยกข้าวของสัมภาระไปไว้ที่ท้ายรถกระบะ

    “จะให้ไปส่งที่ไหน”

    ชายหนุ่มยังไม่วายทำเสียงเข้ม ทันทีที่หญิงสาวเดินเข้ามานั่งในอยู่ในรถ

    “ฉันต้องการให้คุณไปส่งที่ไร่ภูวดิษฐ์ทางเข้าอยู่ข้างหน้านั่น คงไม่ไกลจากตรงนี้สักเท่าไหร่”

    เสียงเล็กตอบกลับห้วนๆ ทว่าจุดหมายปลายทางก็ทำให้นายจ้อนและอิทธิฤทธิ์ต้องขมวดคิ้วหันหน้ากลับมาถาม

    “จะไปที่นั่นทำไม”

    “ฉันเป็นแขกของที่นั่น ที่เหลือไม่ใช่ธุระกงการอะไรของคุณ รู้แค่นี้พอใจหรือยัง”

    พลอยชมพูนั่งกอดอกหันมาตอบอย่างยียวน แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ชายหนุ่มเกิดความสงสัยมากขึ้นกว่าเดิม

    “เป็นแขกของที่นั่นอย่างนั้นเหรอ....เธอชื่ออะไร ตอบฉันมาคำถามสุดท้าย ไม่งั้นรถไม่เคลื่อนไปไหนอย่างแน่นอน”

    ชายหนุ่มเริ่มระแคะระคายอะไรในบางสิ่ง จึงรวบรัดถามชื่อพร้อมคำข่ม ซึ่งแน่นอนว่าหญิงสาวเองก็อยากจะให้เรื่องมันจบๆ และก็ลาจากกันไปเสียที

    “ชื่อของฉันคือพละ...เพชรไพลิน ลีลาตะวานิช เป็นลูกสาวเพื่อนสนิทของคุณนายสุโกศล ได้ข่าวว่าคุณนายเป็นคนที่ค่อนข้างมีอิทธิพล รู้จักคนใหญ่คนโตในจังหวัดนี้เยอะ ฉันว่าถ้าคุณไม่อยากมีปัญหา รีบหุบปากและขับรถไปส่งฉันสักทีเถอะ”

    พลอยชมพูไม่ชอบให้ใครมาข่ม เธอจึงใช้วิธีข่มคนตรงหน้ากลับหลังจากที่เกือบจะหลุดบอกชื่อที่แท้จริงออกไป แต่นั่นกลับทำให้ริมฝีปากหยักกระตุกยิ้ม นัยน์ตาคู่คมปราดมองหญิงสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า

    “หึ๊! ไม่น่าเชื่อ เธอนี่เอง”

    “เอ่อ...คือ คุณอิฐครับอย่าบอกนะว่านี่...”

    ชายหนุ่มหันมาจ้องคนงานประหนึ่งต้องการที่จะให้เขาหุบปาก นายจ้อนเลยรีบเก็บคำถาม ไม่กล้าพูดต่อไปว่า อย่าบอกนะว่านี่คือว่าที่เมียของเจ้านาย ที่จะเดินทางมาอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน ตามที่คุณนายสุโกศลเคยลั่นวาจาเอาไว้เมื่อสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา

    “เอาเป็นว่าฉันจะรีบขับรถพาเธอไปส่งให้ถึงที่ก็แล้วกัน...เพชรไพลิน”

    “ก็ดี...รีบไปซะสิ”

     

    หญิงสาวทำเสียงสูงด้วยอยากจะให้เขารีบพาไปถึงที่หมายใจจะขาด เนื่องจากแววตาที่เปลี่ยนจากขึงกร้าวเป็นประกายระยับคล้ายจงใจซ่อนเจตนาบางสิ่งเริ่มทำให้เธอรู้สึกไม่ปลอดภัย โดยไม่รู้ตัวเลยว่าจุดหมายปลายทางข้างหน้าของเธอจะเป็นจุดหมายปลายทางเดียวกันกับคนที่เพิ่งเจอแต่เหม็นขี้หน้า เหมือนชังกันมานานนับปี และความตั้งใจที่จะได้แยกย้ายจากกัน ไม่ต้องทนเห็นหน้ากันอีกคงจะไม่มีวันเป็นจริงแล้วนั่นเอง



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×