“ การเกิดมาเป็นคนธรรมดาว่ายากแล้ว แต่การที่เป็นคนมีพรสวรรค์นับว่ายากกว่า แต่เดิมชีวิตหลายคนมุ่งหวังอยากจะเป็นดาวเด่น สร้างชื่อเสียงให้ตัวเองโด่งดัง เต็มไปด้วยอำนาจล้นฟ้าอยากจะมีบารมีล้นมือ
แต่หารู้หรือไม่ว่า คนส่วนน้อยนักที่เป็นคนธรรมดาสามัญไม่มีความสามารถจะเป็นได้
เหล่าผู้กุมอำนาจต่างมีตำแหน่งใหญ่โตได้เพราะความสามารถและฐานะที่ดีกว่าโดยไม่ต้องทำอะไรมากมายนัก นั้นเพราะมาจากจุดเริ่มต้นที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ช่างแตกต่างกันลิบลับ กับพวกที่เริ่มต้นมาจากศูนย์อย่างแท้จริง ระยะทาง ประสบการณ์ และโอกาส ล้วนบ่งบอกได้ถึงความไม่ยุติธรรมทางสังคม
ฝ่ายหนึ่งมีความสามารถ พร้อมไปด้วยอำนาจล้นฟ้าของเงินตรา ฝ่ายหนึ่งมีความสามารถไม่แพ้กันแต่ไม่มีโอกาศทางสังคมมากนัก แถมยังถูกตราหน้าว่าเป็นพวกมักใหญ่ใฝ่สูงจนเกินตัว เพียงเพราะไม่มีจำนวนเม็ดเงินมหาศาลในจำนวนที่เท่ากัน
แต่อะไรล่ะ ? ที่สามารถเป็นตัวการันตีว่าคนๆนั้นเป็นของจริงได้โดยไม่สนฐานะใดๆในโลกใบนี้...
พรแสวงยังไงล่ะ
มันเป็นเส้นบางๆระหว่างความทะเยอทะยานและความสามารถที่น้อยคนนักจะมี
หากไม่มีฝีมือ ก็ไม่มีคนเคารพ
หากไม่มีทักษะ จะกลายเป็นตัวถ่วง
หากไม่แข็งแกร่ง จะปกป้องใครไม่ได้
หากไม่สู้และเฝ้ารอชะตาอย่างสิ้นหวังก็จะไม่สำเร็จ
และหากไม่พยายามก็จะเป็นได้แค่ฝัน
จงอย่าร้องไห้ในโชคชะตาที่เราไม่ได้เลือก แต่จงเลือกที่จะเปลี่ยนโชคชะตาให้ก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคงแทน... ” เมื่ออ่านจบ ฝ่ามือเหี่ยวย่นก็ประกบหนังสือเข้าหากัน
“ เธอคิดว่าอย่างไรล่ะไคโอ ”
“ ก็แค่คำพูดปลุกใจธรรมดาๆของพวกขี้แพ้ที่ไม่เคยปลุกใจใครได้ก็เท่านั้น สำหรับฉันมันก็เหมือนมีคนเปิดเทปเก่าๆให้ฟังผ่านหูเท่านั้นแหละยายแก่ ” เด็กหนุ่มกระแทกเสียงใส่ผู้หญิงตรงหน้าที่ตนเรียกว่ายายแก่อย่างฉุนเฉียว
“ แต่ต้องขอยอมรับตามตรงเลยว่าประโยคท้ายๆนั้นฟังดูโลกสวยดีทีเดียว เหอะ! ”
“ สำหรับคนเข้มแข็งอย่างเธอมันคงเป็นเพียงตัวหนังสือธรรมดาๆไม่มีความหมายอะไรมากมายนัก แต่สำหรับคนที่ท้อแท้และหาทางออกไม่ได้นั้น มันช่างมีความหมายมากมายเกินกว่าที่เธอจะรับรู้ได้โดยการปลอบใจจากตัวหนังสือเหล่านี้ ” สาวรุ่นใหญ่กล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบๆชวนสงบ
“ จะสื่ออะไรกันแน่ยายแก่ ”
“ หึๆ... ฉันก็แค่เปรียบเทียบให้เธอฟังเท่านั้นเด็กน้อย คนทุกคนย่อมมีขีดจำกัดไม่เท่ากัน สุดแล้วแต่ใครจะทนไหว ฉันอยากให้เธอเข้าใจตรงจุดนี้ไว้ซักหน่อย ในอนาคตเธอต้องได้ใช้มันอย่างแน่นอน ” เธอกล่าวอย่างอารมณ์ดีพลางเอนหลังพิงเก้าอี้พร้อมหลับตาลงเพื่อพักผ่อน
“ กว่าจะถึงตอนนั้นฉันคงลืมมันไปเป็นสิบชาติ ” ฝ่ายเด็กหนุ่มค่อนแขวะ
เมื่อฝ่ายคนชราไม่พูดอะไรต่อ บรรยากาศรอบๆตัวของคนทั้งสองพลันสงบลงทันที เมื่อเด็กหนุ่มสังเกตุเห็นถึงคนสูงวัยกว่าหลับตาลงเพื่อพักผ่อนแล้ว ตนก็ตัดสินใจลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ เดินหันหลังจากไปโดยไม่เอ่ยคำล่ำลาใดๆดั่งเช่นทุกที
เขามักจะเดินจากไปอย่างเงียบเฉียบเสมอ...
ในตอนที่เด็กชายตัดสินใจหันหลังเดินจากไป หญิงชราที่คาดว่าหลับแล้วก็ลืมตาตื่นขึ้นมา พร้อมกับพูดประโยคบางอย่างที่เด็กชายไม่รับรู้ แต่ถึงรับรู้ก็ไม่อยากจะรับฟังมากนักหรอก
“ เธอเจ็บปวดมามากไคโอ เจ็บปวดมามากจริงๆ ” น้ำเสียงของหญิงชราเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยเคร้าด้วยน้ำตาแห่งความสงสารและคะนึงหา...
เด็กคนนั้นอยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด ใช้ชีวิตด้วยตัวคนเดียว เรียนรู้ด้วยตัวคนเดียว ไม่มีคนสนใจ ไม่มีใครสั่งสอน ไม่ใครเห็นเขาอยู่ในสายตา ต้องดิ้นรนให้ตัวเองมีชีวิตรอดจากความยากจน ไม่มีใครสักคนให้ระบายความในใจที่ฝืนแบกรับ กลายเป็นเด็กขาดความอบอุ่น จากผ้าฝ้ายสีขาวนุ่มในวันนั้นกลายเป็นเอ็นเชือกสีขุ่นขมัวพร้อมเฉือดเชือนใครก็ตามที่เข้าใกล้เขาในวันนี้...
ช่างน่าเห็นใจไม่แพ้ลูกของท่านผู้นั้นเลยจริงๆ
ความคิดเห็น