คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 05 | อัปครบ
| บทที่ 05 | |
[พูดกับพี่ได้นะ]
“ไม่อยากพูด”
ไม่อยากอ่อนแอ ไม่อยากให้ใครมาสงสาร
ผมไม่เคยพูดความรู้พรรค์นั้นให้ใครฟัง และก็ยังจะไม่พูดต่อไป
ให้ความอ่อนแอพวกนั้นถูกกลบทับไปด้วยกักขฬะน่ะดีแล้ว
ให้คนมองผมด้วยสายตาเกลียดชังมันยังดีเสียกว่าถูกมองด้วยความสงสารเห็นใจ
ผมไม่ชอบ
[งั้น … เธออยากฟังเพลงมั้ย]
“…”
[พี่ร้องให้ฟังได้นะ]
“ไม่อยาก”
[เสียงพี่เพราะมาก]
“อย่ามาโม้หน่อยเลยนะโม”
[พี่ไม่เคยร้องให้ใครฟังเลยนะ เธอจะเป็นคนแรก]
“เราไม่ได้อยากฟังซะหน่อย”
[แต่พี่อยากร้องให้เธอฟัง] เสียงปรับสายกีต้าร์ดังแทรกเข้ามาผมเลยคว้าโทรศัพท์มาดูหน้าจออีกครั้ง
นะโมตั้งกล้องให้เห็นเขาจับกีต้าร์ สายตาที่สื่อผ่านหน้าจอมามันดูจริงจัง [ต้องใจฟังหน่อยนะ]
“…”
[เพลงนี้ให้เธอ … เป็นพิเศษเลย]
“…” ผมไม่ได้ตอบรับ แค่จับจ้องนะโมที่กำลังดีดกีต้าร์เป็นทำนอง
และร้องเพลง
เสียงเขาไพเราะเสียจนน่าตกใจ
[สิ่งที่ฉันไม่รู้ สิ่งที่ฉันไม่ค่อยรู้ ก็หัวใจของคน … อ่านหนังสือเล่มไหน วนเวียนวกวน แต่ไม่นานยังเข้าใจ … บอกให้ฉันรับรู้ บอกกับฉันว่าไม่รัก ไม่ขอเป็นเพื่อนใจ แต่ถ้าฉันได้เห็น
แววตาครั้งใด ไม่เหมือนคำที่พูดเลย]
“…”
เพลงนั้นเป็นเพลงที่ผมรู้จัก
[ใจคนเรายากเย็นเกินไป ไม่เห็นต้องทำให้ยากเลย อย่างฉันก็ทำ
ก็เป็นเหมือนอย่างเคย บอกเลยจากใจ ว่า ... รักเธอ]
“…”
พอถึงท่อนฮุกผมก็เข้าใจว่าคำ ‘ให้เธอเป็นพิเศษ’
ทันที
[ปากเธอแข็งรู้มั้ย แต่ว่าฉันก็รับไหว ด้วยหัวใจที่รอ ... ได้แต่หวังสักครั้ง
คำเดียวก็พอ .... อยากได้ยินว่ารักกัน]
“…”
สิ้นเสียงกีต้าร์คนเป็นพี่ก็คว้ากล้องโทรศัพท์ไปจ่อหน้าทันที
[เป็นไง]
“อะไรเป็นไง”
[เพลงไง]
“ก็ไม่เห็นจะเป็นไง” แม้จะเพราะ ทว่าผมก็ไม่ได้เอ่ยชม
เขาต้องรู้ตัวอยู่แล้วว่าเขาร้องเพลงเพราะ ซ้ำยังเล่นกีต้าร์ดีไม่มีผิดคอร์ดอีกด้วย
[ไม่เพราะเหรอ]
“อย่าถามในสิ่งที่รู้อยู่แล้วเลย มันน่าหงุดหงิด”
[ก็พี่อยากฟังคำชมจากเธอ]
“…”
[แค่นี้ให้กันไม่ได้เลยหรือ]
“…”
[ใจร้ายไปแล้ว]
“อือ เพราะดี” สุดท้ายก็ต้องชมอยู่ดี
[หึ] ปลายสายยิ้มขำใส่ [อยากฟังเพลงไหนอีกเปล่า]
“จะเล่นให้ฟังเหรอ”
[แน่นอนสิ]
“ไม่ต้องหรอก … เรามียูทูป”
[เรื่องใจร้ายต้องยกให้เธอแหละ]
“…”
[รู้มั้ยว่าเธอไม่จำเป็นต้องร้ายกลบเกลือนเวลาคุยกับพี่]
“…”
[พี่รู้ว่าจริง ๆ แล้วเธอไม่ใช่คนแบบนั้น]
“พี่ไม่รู้จักเราจริง ๆ หรอก”
[รู้สิ … พี่น่ะรู้จักเธอมากกว่าใครซะอีก] คำพูดของนะโมทำให้ผมเลือกที่จะเงียบ [คาแรคเตอร์ยัยตัวแสบไม่เหมาะกับเธอหรอก
เชื่อพี่สิ]
ยัยตัวแสบ?
ทำไมเขาต้องเรียกแทนผมว่า ‘ยัย’ ตลอดเลยวะ
“เราชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้”
[เป็นยัยตัวแสบน่ะเหรอ]
“อือ”
ยัยตัวแสบก็ยัยตัวแสบวะ
[ทำไม]
“เพราะไม่มีคนดี ๆ ที่ไหนอยากยุ่งกับยัยตัวแสบ”
มันเป็นโล่ที่คอยปกป้องผม
[งั้นพี่ก็คนเป็นคนบ้า]
“…”
[เพราะว่าพี่อยากยุ่งกับเธอ]
“หึ” ผมแค่นหัวเราะแล้วพร่ำถามในสิ่งที่คาใจมาตลอด “ทำไมถึงอยากยุ่ง”
[เหตุผลคือไม่มีเหตุผล]
“…”
[เพราะการชอบใครสักคนมันไม่ต้องมีเหตุผล]
ไม่ว่านะโมจะพูดยังไง
คำตอบที่ผมจะมอบให้เขาก็มีแค่คำตอบเดียวเท่านั้น
แม้ว่าตอนนี้จะมองความรักในมุมที่กว้างขึ้นแล้วแต่ก็ใช่ว่าผมอยากมีมัน
… เพราะสุดท้ายแล้วความรักก็มาพร้อมกับความเจ็บปวดอยู่ดี
และการมีรักมักจะทำให้คนเราอ่อนแอเสมอ
นั่นแปลว่าผมไม่จำเป็นต้องมีมัน
ไม่จำเป็นสักนิด
☁☁☁
หลายวันต่อมา
“สีหน้ามึงดูง่วงมาก” ผมหันมองตามเสียงทักที่แผ่วเบาเพราะกลัวว่าจะรบกวนเพื่อนคนอื่นที่กำลังตั้งใจเรียน
“ไม่ได้นอนเหรอ”
“อือ”
“แล้วไม่นอนอะ”
“เมื่อคืนไม่ง่วง”
“แล้วเสือกมาง่วงตอนเรียนเนี่ยนะ”
“…”
ผมไหวไหล่ใส่อย่างไม่ยี่หระ
เมื่อคืนผมไม่รู้สึกง่วงเลยนอนดูหนังทั้งคืน
รู้ตัวอีกทีก็เช้าแล้ว และวันนี้ผมมีเรียนทั้งเช้าทั้งบ่าย
นั่นแหละความฉิบหายที่แท้จริง
ครืด!
แชตจากเจ้าประจำ
ไม่ต้องหงายหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมาดูผมก็รู้ว่าเป็นข้อความจากนะโม
ปกติแล้วไม่มีใครคอยแชตมาหาผมทุกสามเวลาหลังอารหารเหมือนอย่างเขาหรอก
โทรศัพท์เงียบอย่างกับเครื่องเจ๊งไปแล้ว
ทว่าหลายวันที่ผ่านมาแจ้งเตือนแชตนะโมดังถี่มาก
แกล้งเมินไปแล้วแหละ
แต่สุดท้ายก็ต้องตอบ
ความพยายามของเขามันน่าหงุดหงิด
นะโม : กินข้าวยัง
Me
: ยัง
นะโม : เรียนเช้าไม่ใช่เหรอ
นะโม : กว่าเธอจะเลิก ทำไมไม่กินให้เรียบร้อย
เขาก็ยังอุตส่าห์รู้เนอะว่าผมเรียนเช้า
Me
: ยุ่ง
นะโม : มันยุ่งจนไม่มีเวลากินข้าวขนาดนั้นเลยเหรอ
Me
: ไม่
Me
: พี่น่ะ ยุ่ง
นะโม : อ้าว
นะโม : ด่าพี่นี่
ผมได้แต่กลั้นขำเมื่ออ่านข้อความนั่นจบ
นะโมไม่ใช่คนโง่เลย แต่เขาชอบเปิดช่องให้ผมด่าอยู่เรื่อย
นะโม : เอานมมั้ยเดี๋ยวซื้อไปให้
Me
: ไม่เอา
นะโม : ให้ตอบใหม่
Me
: ไม่เอา
นะโม : คำตอบก็สมกับเป็นเธอดี
นะโม : ยัยดื้อ
ผมชักจะหน่ายการเพิ่มคำว่า ‘ยัย’
หน้าคำด่าของนะโมเต็มทน
Me
: จะเรียนแล้ว
นะโม : ครับ ตั้งใจนะ
Me
: ยุ่ง
นะโม : อันนี้ก็ด่าพี่เนอะ
ผมได้แต่ยิ้มขำคนเดียวเพียงเพราะอ่านข้อความนั้น
เขาก็รู้ว่าผมด่า
ยังจะมีหน้าพิมพ์มาตอกย้ำตัวเองให้ผมรู้อีก
“เดี๋ยวกูมานะ”
ไอ้เดย์หันมากระซิบบอกก่อนจะปลีกตัวออกไปนอกห้องเงียบ ๆ
โดยไม่รอให้ผมหืออืออะไรเลย
ผมนั่งเรียนไปโดยไม่ได้สนใจว่าไอ้เดย์จะไปไหน
แม้จะง่วงเพียงใดผมก็ต้องถ่างตามองจอโปรเจคเตอร์เพราะเดี๋ยวจะตามไม่ทัน
วิชานี้นี้เป็นวิชาที่ค่อนข้างหินพอควรเลย
ซ้ำร้ายอาจารย์ยังชอบขู่ ไม่ได้กลัวหรอกนะ แค่รำคาญน่ะ
รู้ว่าเรียนยาก ปล่อยเกรดยาก
แต่ถ้าอาจารย์ลดความพูดมากลงหน่อยมันคงน่าเรียนกว่านี้
เพื่อนหลายคนในคลาสดรอปไปแล้วเพราะเสนองานด่านแรกห้าหกครั้งแล้วไม่ผ่าน
พวกนั้นรู้สึกเหมือนโดนอาจารย์แกล้งน่ะ
ก็นะ มันเป็นการเสนอด่านแรก ยังมีด่านสองและสาม … แค่ด่านแรกโดนไปห้าหกรอบแล้วยังไม่ผ่านมันก็ต้องหัวร้อนเป็นธรรมดาแหละ
ตอนสอบเก็บคะแนนก็ใช่ว่าจะได้เยอะกัน มันเป็นวิชาปฏิบัติน่ะ
แอนิเมชัน 2 มิติ
ถ้าตั้งใจเรียนและความจำดีก็รอดแหละ
ศึกษาเองต่ออีกนิดหน่อยก็คล่อง
อาจารย์น่ะไม่ได้แกล้งหรอก
เพื่อนบางคนเสนอรอบเดียวผ่านก็มี แต่ต้องเป็นไอเดียที่เด็ดจริง ๆ
ของผมกับไอ้เดย์โดนไปสามรอบกว่าจะผ่าน … ถึงได้บอกว่าวิชานี้หิน
จริง ๆ มันไม่ได้หินที่วิชา มันหินที่อาจารย์
เคี่ยวฉิบหาย เคี่ยวเผื่ออาจารย์ทั้งมหา’ลัยเลยมั้ง
แต่ผมจะไม่ยอมดรอปหรอก ขี้เกียจลงเรียนใหม่
แค่วิชาเลือกที่ดรอปไว้ผมก็ขี้เกียจจะตายแล้ว
เวลาผ่านไปไม่นานมากไอ้เดย์ก็กลับเข้ามานั่งข้างผมอีกครั้งพร้อมกับนมกล่องและลูกอมรสแตงโม
นั่นเป็นลูกอมที่ผมชอบ …
ชอบกินแก้ง่วงน่ะ
“ไปซื้อขนมทำไมไม่บอกอะกูจะได้ฝาก”
“ไม่ต้องฝาก … นี่ของมึง”
นมและลูกอมถูกวางแหมะลงตรงหน้าผม
“ซื้อมาให้เหรอ”
“…”
เพื่อนตัวดีไม่ได้ตอบ
ซึ่งผมก็ไม่ได้ซักถามอะไรต่อ
“เท่าไหร่ เดี๋ยวเอาตังค์ให้”
“ไม่ต้องอะ แดก ๆ ไปเหอะ”
“อ้าว”
“…”
“ขอบใจละกัน”
“เอากองไว้ตรงนั้นแหละ”
“สัส” ผมด่าเพื่อนอย่างไม่จริงจังก่อนจะเจาะนมดื่มเงียบ
ๆ ขณะฟังอาจารย์บรรยายไปด้วย
พอได้นมมาดื่มก็รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย
แถมยังมีลูกอมอีก
รอดแล้วเช้านี้
☁☁☁
“วันนี้เพื่อนคนสวยมึงไม่ชวนไปไหนเหรอ” เพื่อนตัวดีถามอย่างสู่รู้ระหว่างที่เรากำลังเดินลงบันไดหลังจากเรียนชั่วโมงบ่ายเสร็จแล้ว
‘เพื่อนคนสวย’ ที่ไอ้เดย์พูดถึงคือเตย
เธอน่ะท็อปของรุ่นเลยนะ สวย รวย
ค่อนข้างเป็นคนที่ดูสมบูรณ์แบบ
มีแค่เพื่อนสนิทเท่านั้นแหละที่รู้ว่ายัยนี่พิลึกคนแค่ไหน
แต่ถ้าให้พูดถึงความสวยเฉย ๆ ล่ะก็ … ดาวคณะยังสวยสู้เธอไม่ได้เลย
“วันนี้เธอนัดกับแม่”
แต่ถึงเตยจะชวนไปเที่ยวเตร่ผมก็ไม่ไปด้วยหรอก
ร่างกายต้องการเตียง
นี่มันเกินหนึ่งวันแล้วที่ผมไม่ได้นอน
“เสียดายแฮะ ว่าจะขอเกาะไปด้วยซะหน่อย”
“อะไร” ผมหันไปหรี่ตามองเพื่อนอย่างจับผิด
“ก็แบบ … มึงไม่เคยแนะนำกูให้เธอรู้จักเลยอะ
อยากสนิทด้วย”
ผมเข้าใจคำว่า ‘อยากสนิทด้วย’ ของเพื่อนดี ไอ้เดย์สนใจเตย แต่…
“กูไม่ให้สนิท”
“เฮ้ยนาย เพื่อนป้ะวะ”
“อย่าเจ๊าะแจ๊ะ”
ไอ้เดย์มันไม่จริงจังกับใครหรอก มันมีคนคุย คุยไปเรื่อย ๆ
ไม่ได้หวังคบ ก็คุยทีละคนแหละนะ มันไม่ได้มั่ว
กับคนคุยมันน่ะเข้ากันไม่ได้หรือความคิดไม่ตรงกันก็เลิกคุย
ผมไม่เคยเห็นมันคบใครเป็นแฟนเลย
นั่นเป็นเหตุผลที่ผมไม่อยากให้มันยุ่งกับเตย
“มึง ถ้ากูได้คุยกับเธอกูสัญญาจะเป็นเด็กดี”
“เตยไม่เอามึงหรอก”
“แรง”
“เตยไม่โง่นะ สวยแถมฉลาด คนอย่างมึงไม่มีหวังหรอก”
“อีกนิดกูร้องไห้จริง ๆ นะพิง ไอ้สัส”
“จีบไปก็อกหัก”
“…”
“ปวดคอบ้างเหอะแหงมองดอกฟ้าน่ะ”
“พอ…” ไอ้เดย์ยกมือทำปางห้ามญาติใส่ผม “พอแล้ว พอได้แล้ว กูยอมแล้ว ไม่เจ๊าะแจ๊ะก็ไม่เจ๊าะแจ๊ะ”
“หึ” ผมยิ้มขำใส่มันโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ
ง่ายกว่าที่คิดเยอะเลย
ครืด!
โทรศัพท์ในมือสั่นเตือนว่ามีข้อความเข้าผมเลยหงายมันขึ้นมาดู
เป็นนะโมนั่นแหละ
นะโม : ให้ไปส่งมั้ย
ผมกำลังจะพิมพ์ตอบว่าไม่
แต่ยังไม่ทันกดส่งเสียงเพื่อนที่เดินเคียงอยู่ข้าง ๆ ก็ถามขึ้นมาเสียก่อน
“มึงมีคนคุยเหรอ”
“…”
“ช่วงนี้ติดแชตนะ”
คนคุย?
ผมกดส่งคำปฏิเสธที่ค้างไว้ก่อนหน้านี้ไปให้นะโมก่อนจะตอบไอ้เดย์ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“เปล่า”
“…”
“คนไม่อยากคุยมากกว่า”
“แต่กูเห็นมึงตอบตลอดเลย”
“ไม่อยากคุยแต่คุยไง”
“สรุปก็คือคนคุย?”
“ไม่คุย”
“เอ๋า” ไอ้เดย์ขมวดคิ้วยุ่ง “สรุปคือคนคุยหรือคนไม่คุย
หรือคนคุยที่ไม่คุย หรือคนไม่คุยแต่คุย”
“…”
“สัส เพลงใหม่วง Getsunova ป้ะเนี่ย”
“…”
“งง” ไอ้เดย์ทำหน้างงตามที่บอก
สีหน้าเพื่อนตอนนี้ทำให้ผมขำออกมาอย่างอารมณ์ดี
“อือ กูก็งง” ผมพูดกลั้วหัวเราะ “ถ้ามึงได้คำตอบดี ๆ มาบอกกูด้วยละกันว่าคนคุยหรือไม่คุย”
“ปวดหัวเลยว่ะ”
ผมยิ้มร่าแล้วเดินนำหน้าเพื่อนลงบันไดไปก่อน
ปล่อยให้มันคิดจนหัวแตกไปเถอะสถานะนั่นน่ะ มันไม่มีจริงตั้งแต่แรกแล้ว
นะโมทักมาผมก็แค่ตอบ
การที่เราจะคุยหรือไม่คุย … มันขึ้นอยู่กับอารมณ์ผมล้วน
ๆ
☁☁☁
ผมกลับถึงบ้านตอนฟ้ามืดสนิท
การขนส่งสาธารณะและการจราจรของประเทศเส็งเคร็งนี่ไม่เคยปราณีใคร
แม้จะเคยไม่นอนสามวันติดมาแล้วแต่ให้ทำแบบนั้นอีกคงไม่ไหว
ตอนนี้ร่างกายผมมันเพลียมาก เปลือกตาพร้อมจะหลับลงทุกเมื่อ
“พี่พิง”
ทันทีที่ก้าวขาเข้ามาในบ้านเสียงน่ารำคาญของลูกสาวพิมพาก็เอ่ยเรียก
ผมไม่ได้เช็กว่าแพมอยู่ไหน
แบตโทรศัพท์ใกล้หมดเลยไม่ได้หยิบมันขึ้นมาใส่ใจน่ะ
หากรู้ว่าเธอมาบ้าน … ผมไม่กลับแน่ ๆ
“มากินข้าวสิ” เสียงพ่อเรียกจากโต๊ะอาหาร
พิมพาก็อยู่
“ไม่หิว” ผมตอบห้วน ๆ
และพยายามจะหนีขึ้นห้องไปนอน
ทว่าแพมก็ไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น
เธอรีบวิ่งมาเกาะแขนพลางเอ่ยรั้งผมเอาไว้
“กินด้วยกันก่อนสิพี่”
ผมสะบัดมือเรียวออกโดยไม่ได้เก็บสีหน้าหรือท่าทีรังเกียจ
ใช่ … ผมรังเกียจเธอ
ทั้งแม่ทั้งลูก
“อย่ามาแตะ”
“แพมขอโทษ”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมแสดงออกว่ารังเกียจ
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมแสดงอาการต่อต้าน
ไม่เข้าใจว่าทำไมสองแม่ลูกถึงได้พยายามวอแวผมนัก
“มากินข้าวกับน้องสักครั้งมันจะเป็นอะไรไป”
“ผมไม่มีน้อง” ผมหันไปจ้องพ่อตาแข็ง
“เลิกยัดเยียดคนอื่นมาเป็นแม่กับน้องให้ผมซะที”
“ทำไมแกมีปัญหานักพักพิง”
“…”
“แพมกับพิมพยายามดีกับแกทุกทางทำไมแกเอาแต่ผลักไส หัดเปิดใจบ้างสิ
แกรู้มั้ยว่าคนอื่นต้องเหนื่อยเพราะแกมากขนาดไหน”
“แค่เลิกพยายาม มันไม่ได้ยาก”
“พักพิง!”
“…”
“เลิกทำตัวมีปัญหาแล้วมากินข้าว!”
เป็นผมที่ผิดตลอด
เป็นผมที่มีปัญหาเสมอ
แค่ปล่อยผมขึ้นห้องไปเงียบ ๆ
มันจะตายกันหมดหรือไง
“เห็นหน้าเมียกับลูกสาวพ่อแล้วผมกินไม่ลง”
ปัง!
โต๊ะทานข้าวถูกกำปั้นหนัก ๆ
ทุบลงโดยไม่ออมแรง ถ้วยแกงและกับข้าวต่าง ๆ บนโต๊ะนั้นสะเทือนไปทั่ว
“แกเลิกมีปัญหากับพิมและแพมซะที!”
“…”
“กี่ปีเข้าไปแล้วที่แม่แกทิ้งไป! ลืม
ๆ มันไปซะทีผู้หญิงคนนั้น มันแค่คลอดแกออกมาเท่านั้นแหละ ซึ่งมันไม่น่าคลอดแกออกมาเลย!!”
“…” คำด่าต่าง ๆ
ที่พ่อเคยพ่นใส่มันดูเล็กน้อยไปเลยเมื่อเทียบกับตอนนี้
ไม่น่าคลอดออกมาเลย?
คำนี้มันให้ความรู้สึกที่เกินคำว่าเจ็บไปมาก
“แกคิดว่าแม่แกจะกลับมาหาเหรอ!
คิดว่ามันจะกลับมาเป็นแม่ให้แกได้อีกเหรอ! เลิกเพ้อ!!”
“คุณคะ! ทำไมพูดแบบนี้” พิมพาพยายามปรามแล้วแต่อารมณ์พ่อไม่มีท่าทีว่าจะเย็นลงเลยสักนิด
“พูดให้มันคิด! จำใส่หัวแกไว้ซะบ้างว่ามีแค่ฉันที่เลี้ยงแกมาพักพิง!”
“ก็ขอบคุณแล้วกันที่เลี้ยงผมมาอย่างดี” ผมพูดอย่างประชดประชัน “พ่อเป็นพ่อที่ประเสริฐมาก”
“แก!” แน่นอนว่าพ่อมองออกว่าผมประชด
“ปากดี!”
“พ่อคะพอเถอะค่ะ”
“ห้ามไปก็เท่านั้นแหละ”
ผมว่าขึ้นขณะจ้องหน้าพ่อเขม็ง “เขาไม่เคยฟังใครหรอก”
“…”
“ไม่เคยรับฟังอะไรสักอย่าง”
ต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไม่ตะโกนออกไป
“ถ้าแกอยากให้คนอื่นฟัง แกต้องฟังคนอื่นด้วย”
“เหรอ” ผมถามอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะตัดบทง่าย
ๆ “ทานข้าวให้อร่อยนะครับ”
กระเป๋าเป้ใบเหี่ยวที่มีแค่กระดาษไม่กี่แผ่นกับปากกาด้ามเดียวถูกผมขว้างลงพื้นก่อนจะเดินออกจากบ้านมาโดยไม่ฟังเสียงเอ่ยรั้งหรือด่าไล่หลังมา
ทั้ง ๆ ที่เรียกว่า ‘บ้าน’ แต่ทำไมหาความสุขสงบจากที่นี่ไม่ได้เลย
ทั้ง ๆ ที่เรียกว่า ‘พ่อ’ แต่ทำไมไม่เคยได้รับความอบอุ่นความห่วงใยใด ๆ
ผมจำได้ว่าตอนที่แม่อยู่มันดีกว่านี้
ทุกอย่างมันเคยดีกว่านี้!
☁☁☁
ความเครียดและอาการเสียใจทำให้ผมมานั่งอยู่ไนต์คลับ
แอลกอฮอล์แก้วแล้วแก้วเล่าถูกยกดื่มเพื่อดับอารมณ์หม่น
ๆ ภายในใจ
คำพูดของพ่อวิ่งวนอยู่ในหัวราวกับโดนตั้งค่ารีเพลย์เอาไว้
หลาย ๆ คำพูดมันทำร้ายจิตใจเสียจนผมอยากจะร้องไห้ออกมา ติดแค่ว่าน้ำตามันไม่ยอมไหล
ไม่ไหลเลยสักหยด
ตอนนี้ดึกมากแล้ว
ผมออกจากบ้านมาโดยมีแค่โทรศัพท์มือถือที่แบตเตอรี่กำลังจะหมดและกระเป๋าเงินที่มีอยู่เงินไม่มากนัก
ยามลำบากแบบนี้มันทำให้หวนคิดถึงช่วงวันเวลาดี
ๆ ที่เคยมี
ถ้ารู้ว่าแม่จะทิ้งไปผมคงกอดแม่ก่อนนอนทุกคืน
บอกรักแม่ทุกเช้า และเข้าครัวไปเป็นลูกมือท่านบ่อย ๆ
ถ้ารู้ก่อน … มันคงดี
ผมเป็นแขกคนสุดท้ายของร้าน
นั่งอยู่นานจนพนักงานเชิญให้ออกจากร้านเพราะถึงเวลาปิดแล้ว
ม้านั่งใกล้ ๆ
คลับเป็นที่เอนกายให้ผมได้ดีในยามนี้
แม้แสงไฟบริเวณนี้จะไม่สว่างมากแต่อย่างน้อยมันก็ไม่ได้น่ากลัว
ผมควักโทรศัพท์มือถือที่แบตเตอรี่เหลือน้อยเต็มทนออกมากดโทรออกหาไอ้เดย์เพื่อขอความช่วยเหลือ
ซึ่งรอไม่นานมันก็รับ
[อ๊า … เดย์คะ เบา ๆ] เสียงประหลาด ๆ ที่ดังผะแผ่วจากปลายสายทำให้ผมกลอกตาทันที
“ไม่ว่างก็ไม่ต้องรับก็ได้มั้ยไอ้สัส”
[เผื่อมึงมีอะไรด่วน]
“แค่นี้แหละ”
[อ้าว มีไรอะ ยังไม่คุยเลย … อ๊า]
“ไม่มีไรแล้ว แค่นี้แหละไอ้ห่าไปทำธุระมึงให้เสร็จเหอะ”
ผมบอกแค่นั้นแล้วกดตัดสายไอ้เดย์ไปดื้อ
ๆ
ไม่อยากขัดความสุขมัน
หน้าจอโทรศัพท์เตือนว่าแบตเตอรี่เหลือน้อยกว่า
10%
ผมตัดสินใจเปิดแชตของนะโมขึ้นมาแทนที่จะเป็นอี้ผิง
เจ้าเอย หรือเตย ไม่อยากรบกวนผนวกกับการไม่อยากตอบคำถามมากมายจากเพื่อนทำให้ผมตัดสินใจแบบนั้น
ผมไม่ได้กวาดตาอ่านข้อความที่ค้างอยู่
แต่กลับพิมพ์ข้อความส่งไปโดยไม่รู้เลยว่าเขาจะตอบกลับมาหรือเปล่าเพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว
Me : มารับหน่อย
Me : *you sent a location.
นะโม : เธอไปทำอะไรที่นั่น
ผมนึกว่านะโมนอนแล้ว
แต่เขากลับตอบข้อความกลับมาในทันที
ระหว่างที่ผมกำลังพิมพ์ตอบ
ทว่ายังไม่กดส่งหน้าจอโทรศัพท์ก็ดับไปต่อหน้าต่อตา
เมื่อกี้แบตเตอรี่ยัง 10% อยู่เลย ไหงมาดับดื้อ ๆ
ห่า! เป็น ai แต่เสือกนับเลขถอยหลังไม่เป็น
ผมยกขาขึ้นมานั่งในท่าชันเขา
เรียวแขนโอบกอดขาตัวเองไว้หลวม ๆ เพราะรู้สึกหนาวแปลก ๆ สายลมเย็น ๆ
ตอนกลางดึกแบบนี้มันให้ความรู้สึกอ้างว้างมาก บรรยากาศรอบ ๆ ก็ใช่ว่าจะดี
ที่นี่มันสถานที่อโคจร…
ผมจะรอนะโม
รอโดยไม่รู้ว่าเขาจะมารับไหม
เขาไม่ได้รับปากว่าจะมา
แต่อย่างน้อยคืนนี้ผมก็หวังว่าเขาจะมา
หวัง … เพราะผมไม่มีใครให้พึ่งพิงแล้ว
ผมรออยู่อย่างนั้นนานพอสมควร
อาการเหนื่อยล้าของร่างกายทำให้ผล็อยหลับไปในท่านั้น
ไม่รู้เลยว่าหลับอยู่นานเท่าไหร่
รู้แค่ว่าเสียงเรียกของนะโมที่ทำให้ตื่น
“พี่มารับแล้วครับ”
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมเห็นหน้านะโมแล้วรู้สึกดีใจ
ความคิดเห็น