ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ☁ #สภาวะลืมรัก (end)

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 05 | อัปครบ

    • อัปเดตล่าสุด 17 ธ.ค. 63


    **คำเตือน**
    นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหา คำพูด การกระทำ และฉากที่ไม่เหมาะสม
    ไม่ควรลอกเลียนแบบ ตรรกะความคิดของตัวละครผิดเพี้ยนไปตามคาแรคเตอร์
    ผู้อ่านควรมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
    และผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ



    | บทที่ 05 |




    [พูดกับพี่ได้นะ]

    ไม่อยากพูด

    ไม่อยากอ่อนแอ ไม่อยากให้ใครมาสงสาร ผมไม่เคยพูดความรู้พรรค์นั้นให้ใครฟัง และก็ยังจะไม่พูดต่อไป ให้ความอ่อนแอพวกนั้นถูกกลบทับไปด้วยกักขฬะน่ะดีแล้ว

    ให้คนมองผมด้วยสายตาเกลียดชังมันยังดีเสียกว่าถูกมองด้วยความสงสารเห็นใจ

    ผมไม่ชอบ

    [งั้น เธออยากฟังเพลงมั้ย]

    “…”

    [พี่ร้องให้ฟังได้นะ]

    ไม่อยาก

    [เสียงพี่เพราะมาก]

    อย่ามาโม้หน่อยเลยนะโม

    [พี่ไม่เคยร้องให้ใครฟังเลยนะ เธอจะเป็นคนแรก]

    เราไม่ได้อยากฟังซะหน่อย

    [แต่พี่อยากร้องให้เธอฟัง] เสียงปรับสายกีต้าร์ดังแทรกเข้ามาผมเลยคว้าโทรศัพท์มาดูหน้าจออีกครั้ง นะโมตั้งกล้องให้เห็นเขาจับกีต้าร์ สายตาที่สื่อผ่านหน้าจอมามันดูจริงจัง [ต้องใจฟังหน่อยนะ]

    “…”

    [เพลงนี้ให้เธอ เป็นพิเศษเลย]

    “…” ผมไม่ได้ตอบรับ แค่จับจ้องนะโมที่กำลังดีดกีต้าร์เป็นทำนอง และร้องเพลง

    เสียงเขาไพเราะเสียจนน่าตกใจ

    [สิ่งที่ฉันไม่รู้ สิ่งที่ฉันไม่ค่อยรู้ ก็หัวใจของคน อ่านหนังสือเล่มไหน วนเวียนวกวน แต่ไม่นานยังเข้าใจ บอกให้ฉันรับรู้ บอกกับฉันว่าไม่รัก ไม่ขอเป็นเพื่อนใจ แต่ถ้าฉันได้เห็น แววตาครั้งใด ไม่เหมือนคำที่พูดเลย]

    “…”

    เพลงนั้นเป็นเพลงที่ผมรู้จัก

    [ใจคนเรายากเย็นเกินไป ไม่เห็นต้องทำให้ยากเลย อย่างฉันก็ทำ ก็เป็นเหมือนอย่างเคย บอกเลยจากใจ ว่า ... รักเธอ]

    “…”

    พอถึงท่อนฮุกผมก็เข้าใจว่าคำ ให้เธอเป็นพิเศษทันที

    [ปากเธอแข็งรู้มั้ย แต่ว่าฉันก็รับไหว ด้วยหัวใจที่รอ ... ได้แต่หวังสักครั้ง คำเดียวก็พอ .... อยากได้ยินว่ารักกัน]

    “…” สิ้นเสียงกีต้าร์คนเป็นพี่ก็คว้ากล้องโทรศัพท์ไปจ่อหน้าทันที

    [เป็นไง]

    อะไรเป็นไง

    [เพลงไง]

    ก็ไม่เห็นจะเป็นไงแม้จะเพราะ ทว่าผมก็ไม่ได้เอ่ยชม

    เขาต้องรู้ตัวอยู่แล้วว่าเขาร้องเพลงเพราะ ซ้ำยังเล่นกีต้าร์ดีไม่มีผิดคอร์ดอีกด้วย

    [ไม่เพราะเหรอ]

    อย่าถามในสิ่งที่รู้อยู่แล้วเลย มันน่าหงุดหงิด

    [ก็พี่อยากฟังคำชมจากเธอ]

    “…”

    [แค่นี้ให้กันไม่ได้เลยหรือ]

    “…”

    [ใจร้ายไปแล้ว]

    อือ เพราะดี สุดท้ายก็ต้องชมอยู่ดี

    [หึ] ปลายสายยิ้มขำใส่ [อยากฟังเพลงไหนอีกเปล่า]

    จะเล่นให้ฟังเหรอ

    [แน่นอนสิ]

    ไม่ต้องหรอก เรามียูทูป

    [เรื่องใจร้ายต้องยกให้เธอแหละ]

    “…”

    [รู้มั้ยว่าเธอไม่จำเป็นต้องร้ายกลบเกลือนเวลาคุยกับพี่]

    “…”

    [พี่รู้ว่าจริง ๆ แล้วเธอไม่ใช่คนแบบนั้น]

    พี่ไม่รู้จักเราจริง ๆ หรอก

    [รู้สิ พี่น่ะรู้จักเธอมากกว่าใครซะอีก] คำพูดของนะโมทำให้ผมเลือกที่จะเงียบ [คาแรคเตอร์ยัยตัวแสบไม่เหมาะกับเธอหรอก เชื่อพี่สิ]

    ยัยตัวแสบ?

    ทำไมเขาต้องเรียกแทนผมว่า ยัย ตลอดเลยวะ

    เราชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้

    [เป็นยัยตัวแสบน่ะเหรอ]

    อือ

    ยัยตัวแสบก็ยัยตัวแสบวะ

    [ทำไม]

    เพราะไม่มีคนดี ๆ ที่ไหนอยากยุ่งกับยัยตัวแสบ

    มันเป็นโล่ที่คอยปกป้องผม

    [งั้นพี่ก็คนเป็นคนบ้า]

    “…”

    [เพราะว่าพี่อยากยุ่งกับเธอ]

    หึผมแค่นหัวเราะแล้วพร่ำถามในสิ่งที่คาใจมาตลอด ทำไมถึงอยากยุ่ง

    [เหตุผลคือไม่มีเหตุผล]

    “…”

    [เพราะการชอบใครสักคนมันไม่ต้องมีเหตุผล]

    ไม่ว่านะโมจะพูดยังไง คำตอบที่ผมจะมอบให้เขาก็มีแค่คำตอบเดียวเท่านั้น

    แม้ว่าตอนนี้จะมองความรักในมุมที่กว้างขึ้นแล้วแต่ก็ใช่ว่าผมอยากมีมัน เพราะสุดท้ายแล้วความรักก็มาพร้อมกับความเจ็บปวดอยู่ดี

    และการมีรักมักจะทำให้คนเราอ่อนแอเสมอ

    นั่นแปลว่าผมไม่จำเป็นต้องมีมัน

    ไม่จำเป็นสักนิด

     

    ☁☁☁

     

    หลายวันต่อมา

    สีหน้ามึงดูง่วงมากผมหันมองตามเสียงทักที่แผ่วเบาเพราะกลัวว่าจะรบกวนเพื่อนคนอื่นที่กำลังตั้งใจเรียน ไม่ได้นอนเหรอ

    อือ

    แล้วไม่นอนอะ

    เมื่อคืนไม่ง่วง

    แล้วเสือกมาง่วงตอนเรียนเนี่ยนะ

    “…” ผมไหวไหล่ใส่อย่างไม่ยี่หระ

    เมื่อคืนผมไม่รู้สึกง่วงเลยนอนดูหนังทั้งคืน รู้ตัวอีกทีก็เช้าแล้ว และวันนี้ผมมีเรียนทั้งเช้าทั้งบ่าย นั่นแหละความฉิบหายที่แท้จริง

    ครืด!

    แชตจากเจ้าประจำ

    ไม่ต้องหงายหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมาดูผมก็รู้ว่าเป็นข้อความจากนะโม

    ปกติแล้วไม่มีใครคอยแชตมาหาผมทุกสามเวลาหลังอารหารเหมือนอย่างเขาหรอก โทรศัพท์เงียบอย่างกับเครื่องเจ๊งไปแล้ว ทว่าหลายวันที่ผ่านมาแจ้งเตือนแชตนะโมดังถี่มาก

    แกล้งเมินไปแล้วแหละ

    แต่สุดท้ายก็ต้องตอบ

    ความพยายามของเขามันน่าหงุดหงิด

    นะโม : กินข้าวยัง

    Me : ยัง

    นะโม : เรียนเช้าไม่ใช่เหรอ

    นะโม : กว่าเธอจะเลิก ทำไมไม่กินให้เรียบร้อย

    เขาก็ยังอุตส่าห์รู้เนอะว่าผมเรียนเช้า

    Me : ยุ่ง

    นะโม : มันยุ่งจนไม่มีเวลากินข้าวขนาดนั้นเลยเหรอ

    Me : ไม่

    Me : พี่น่ะ ยุ่ง

    นะโม : อ้าว

    นะโม : ด่าพี่นี่

    ผมได้แต่กลั้นขำเมื่ออ่านข้อความนั่นจบ

    นะโมไม่ใช่คนโง่เลย แต่เขาชอบเปิดช่องให้ผมด่าอยู่เรื่อย

    นะโม : เอานมมั้ยเดี๋ยวซื้อไปให้

    Me : ไม่เอา

    นะโม : ให้ตอบใหม่

    Me : ไม่เอา

    นะโม : คำตอบก็สมกับเป็นเธอดี

    นะโม : ยัยดื้อ

    ผมชักจะหน่ายการเพิ่มคำว่า ยัยหน้าคำด่าของนะโมเต็มทน

    Me : จะเรียนแล้ว

    นะโม : ครับ ตั้งใจนะ

    Me : ยุ่ง

    นะโม : อันนี้ก็ด่าพี่เนอะ

    ผมได้แต่ยิ้มขำคนเดียวเพียงเพราะอ่านข้อความนั้น

    เขาก็รู้ว่าผมด่า ยังจะมีหน้าพิมพ์มาตอกย้ำตัวเองให้ผมรู้อีก

    เดี๋ยวกูมานะ

    ไอ้เดย์หันมากระซิบบอกก่อนจะปลีกตัวออกไปนอกห้องเงียบ ๆ โดยไม่รอให้ผมหืออืออะไรเลย

    ผมนั่งเรียนไปโดยไม่ได้สนใจว่าไอ้เดย์จะไปไหน แม้จะง่วงเพียงใดผมก็ต้องถ่างตามองจอโปรเจคเตอร์เพราะเดี๋ยวจะตามไม่ทัน

    วิชานี้นี้เป็นวิชาที่ค่อนข้างหินพอควรเลย

    ซ้ำร้ายอาจารย์ยังชอบขู่ ไม่ได้กลัวหรอกนะ แค่รำคาญน่ะ รู้ว่าเรียนยาก ปล่อยเกรดยาก แต่ถ้าอาจารย์ลดความพูดมากลงหน่อยมันคงน่าเรียนกว่านี้

    เพื่อนหลายคนในคลาสดรอปไปแล้วเพราะเสนองานด่านแรกห้าหกครั้งแล้วไม่ผ่าน

    พวกนั้นรู้สึกเหมือนโดนอาจารย์แกล้งน่ะ

    ก็นะ มันเป็นการเสนอด่านแรก ยังมีด่านสองและสาม แค่ด่านแรกโดนไปห้าหกรอบแล้วยังไม่ผ่านมันก็ต้องหัวร้อนเป็นธรรมดาแหละ ตอนสอบเก็บคะแนนก็ใช่ว่าจะได้เยอะกัน มันเป็นวิชาปฏิบัติน่ะ

    แอนิเมชัน 2 มิติ

    ถ้าตั้งใจเรียนและความจำดีก็รอดแหละ ศึกษาเองต่ออีกนิดหน่อยก็คล่อง

    อาจารย์น่ะไม่ได้แกล้งหรอก เพื่อนบางคนเสนอรอบเดียวผ่านก็มี แต่ต้องเป็นไอเดียที่เด็ดจริง ๆ

    ของผมกับไอ้เดย์โดนไปสามรอบกว่าจะผ่าน ถึงได้บอกว่าวิชานี้หิน

    จริง ๆ มันไม่ได้หินที่วิชา มันหินที่อาจารย์

    เคี่ยวฉิบหาย เคี่ยวเผื่ออาจารย์ทั้งมหาลัยเลยมั้ง

    แต่ผมจะไม่ยอมดรอปหรอก ขี้เกียจลงเรียนใหม่ แค่วิชาเลือกที่ดรอปไว้ผมก็ขี้เกียจจะตายแล้ว

    เวลาผ่านไปไม่นานมากไอ้เดย์ก็กลับเข้ามานั่งข้างผมอีกครั้งพร้อมกับนมกล่องและลูกอมรสแตงโม นั่นเป็นลูกอมที่ผมชอบ ชอบกินแก้ง่วงน่ะ

    ไปซื้อขนมทำไมไม่บอกอะกูจะได้ฝาก

    ไม่ต้องฝาก นี่ของมึง นมและลูกอมถูกวางแหมะลงตรงหน้าผม

    ซื้อมาให้เหรอ

    “…” เพื่อนตัวดีไม่ได้ตอบ

    ซึ่งผมก็ไม่ได้ซักถามอะไรต่อ

    เท่าไหร่ เดี๋ยวเอาตังค์ให้

    ไม่ต้องอะ แดก ๆ ไปเหอะ

    อ้าว

    “…”

    ขอบใจละกัน

    เอากองไว้ตรงนั้นแหละ

    สัสผมด่าเพื่อนอย่างไม่จริงจังก่อนจะเจาะนมดื่มเงียบ ๆ ขณะฟังอาจารย์บรรยายไปด้วย

    พอได้นมมาดื่มก็รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย

    แถมยังมีลูกอมอีก

    รอดแล้วเช้านี้

     

    ☁☁☁

     

    วันนี้เพื่อนคนสวยมึงไม่ชวนไปไหนเหรอ เพื่อนตัวดีถามอย่างสู่รู้ระหว่างที่เรากำลังเดินลงบันไดหลังจากเรียนชั่วโมงบ่ายเสร็จแล้ว

    เพื่อนคนสวยที่ไอ้เดย์พูดถึงคือเตย

    เธอน่ะท็อปของรุ่นเลยนะ สวย รวย ค่อนข้างเป็นคนที่ดูสมบูรณ์แบบ มีแค่เพื่อนสนิทเท่านั้นแหละที่รู้ว่ายัยนี่พิลึกคนแค่ไหน แต่ถ้าให้พูดถึงความสวยเฉย ๆ ล่ะก็ ดาวคณะยังสวยสู้เธอไม่ได้เลย

    วันนี้เธอนัดกับแม่

    แต่ถึงเตยจะชวนไปเที่ยวเตร่ผมก็ไม่ไปด้วยหรอก ร่างกายต้องการเตียง

    นี่มันเกินหนึ่งวันแล้วที่ผมไม่ได้นอน

    เสียดายแฮะ ว่าจะขอเกาะไปด้วยซะหน่อย

    อะไรผมหันไปหรี่ตามองเพื่อนอย่างจับผิด

    ก็แบบ มึงไม่เคยแนะนำกูให้เธอรู้จักเลยอะ อยากสนิทด้วย

    ผมเข้าใจคำว่า อยากสนิทด้วยของเพื่อนดี ไอ้เดย์สนใจเตย แต่

    กูไม่ให้สนิท

    เฮ้ยนาย เพื่อนป้ะวะ

    อย่าเจ๊าะแจ๊ะ

    ไอ้เดย์มันไม่จริงจังกับใครหรอก มันมีคนคุย คุยไปเรื่อย ๆ ไม่ได้หวังคบ ก็คุยทีละคนแหละนะ มันไม่ได้มั่ว กับคนคุยมันน่ะเข้ากันไม่ได้หรือความคิดไม่ตรงกันก็เลิกคุย ผมไม่เคยเห็นมันคบใครเป็นแฟนเลย

    นั่นเป็นเหตุผลที่ผมไม่อยากให้มันยุ่งกับเตย

    มึง ถ้ากูได้คุยกับเธอกูสัญญาจะเป็นเด็กดี

    เตยไม่เอามึงหรอก

    แรง

    เตยไม่โง่นะ สวยแถมฉลาด คนอย่างมึงไม่มีหวังหรอก

    อีกนิดกูร้องไห้จริง ๆ นะพิง ไอ้สัส

    จีบไปก็อกหัก

    “…”

    ปวดคอบ้างเหอะแหงมองดอกฟ้าน่ะ

    พอ…” ไอ้เดย์ยกมือทำปางห้ามญาติใส่ผม พอแล้ว พอได้แล้ว กูยอมแล้ว ไม่เจ๊าะแจ๊ะก็ไม่เจ๊าะแจ๊ะ

    หึผมยิ้มขำใส่มันโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ

    ง่ายกว่าที่คิดเยอะเลย

    ครืด!

    โทรศัพท์ในมือสั่นเตือนว่ามีข้อความเข้าผมเลยหงายมันขึ้นมาดู

    เป็นนะโมนั่นแหละ

    นะโม : ให้ไปส่งมั้ย

    ผมกำลังจะพิมพ์ตอบว่าไม่ แต่ยังไม่ทันกดส่งเสียงเพื่อนที่เดินเคียงอยู่ข้าง ๆ ก็ถามขึ้นมาเสียก่อน

    มึงมีคนคุยเหรอ

    “…”

    ช่วงนี้ติดแชตนะ

    คนคุย?

    ผมกดส่งคำปฏิเสธที่ค้างไว้ก่อนหน้านี้ไปให้นะโมก่อนจะตอบไอ้เดย์ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

    เปล่า

    “…”

    คนไม่อยากคุยมากกว่า

    แต่กูเห็นมึงตอบตลอดเลย

    ไม่อยากคุยแต่คุยไง

    สรุปก็คือคนคุย?

    ไม่คุย

    เอ๋าไอ้เดย์ขมวดคิ้วยุ่ง สรุปคือคนคุยหรือคนไม่คุย หรือคนคุยที่ไม่คุย หรือคนไม่คุยแต่คุย

    “…”

    สัส เพลงใหม่วง Getsunova ป้ะเนี่ย

    “…”

    งงไอ้เดย์ทำหน้างงตามที่บอก

    สีหน้าเพื่อนตอนนี้ทำให้ผมขำออกมาอย่างอารมณ์ดี

    อือ กูก็งงผมพูดกลั้วหัวเราะ ถ้ามึงได้คำตอบดี ๆ มาบอกกูด้วยละกันว่าคนคุยหรือไม่คุย

    ปวดหัวเลยว่ะ

    ผมยิ้มร่าแล้วเดินนำหน้าเพื่อนลงบันไดไปก่อน ปล่อยให้มันคิดจนหัวแตกไปเถอะสถานะนั่นน่ะ มันไม่มีจริงตั้งแต่แรกแล้ว นะโมทักมาผมก็แค่ตอบ

    การที่เราจะคุยหรือไม่คุย มันขึ้นอยู่กับอารมณ์ผมล้วน ๆ

     

    ☁☁☁

     

    ผมกลับถึงบ้านตอนฟ้ามืดสนิท

    การขนส่งสาธารณะและการจราจรของประเทศเส็งเคร็งนี่ไม่เคยปราณีใคร

    แม้จะเคยไม่นอนสามวันติดมาแล้วแต่ให้ทำแบบนั้นอีกคงไม่ไหว ตอนนี้ร่างกายผมมันเพลียมาก เปลือกตาพร้อมจะหลับลงทุกเมื่อ

    พี่พิง

    ทันทีที่ก้าวขาเข้ามาในบ้านเสียงน่ารำคาญของลูกสาวพิมพาก็เอ่ยเรียก

    ผมไม่ได้เช็กว่าแพมอยู่ไหน

    แบตโทรศัพท์ใกล้หมดเลยไม่ได้หยิบมันขึ้นมาใส่ใจน่ะ

    หากรู้ว่าเธอมาบ้าน ผมไม่กลับแน่ ๆ

    มากินข้าวสิเสียงพ่อเรียกจากโต๊ะอาหาร

    พิมพาก็อยู่

    ไม่หิวผมตอบห้วน ๆ และพยายามจะหนีขึ้นห้องไปนอน

    ทว่าแพมก็ไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น เธอรีบวิ่งมาเกาะแขนพลางเอ่ยรั้งผมเอาไว้

    กินด้วยกันก่อนสิพี่

    ผมสะบัดมือเรียวออกโดยไม่ได้เก็บสีหน้าหรือท่าทีรังเกียจ

    ใช่ ผมรังเกียจเธอ

    ทั้งแม่ทั้งลูก

    อย่ามาแตะ

    แพมขอโทษ

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมแสดงออกว่ารังเกียจ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมแสดงอาการต่อต้าน ไม่เข้าใจว่าทำไมสองแม่ลูกถึงได้พยายามวอแวผมนัก

    มากินข้าวกับน้องสักครั้งมันจะเป็นอะไรไป

    ผมไม่มีน้องผมหันไปจ้องพ่อตาแข็ง เลิกยัดเยียดคนอื่นมาเป็นแม่กับน้องให้ผมซะที

    ทำไมแกมีปัญหานักพักพิง

    “…”

    แพมกับพิมพยายามดีกับแกทุกทางทำไมแกเอาแต่ผลักไส หัดเปิดใจบ้างสิ แกรู้มั้ยว่าคนอื่นต้องเหนื่อยเพราะแกมากขนาดไหน

    แค่เลิกพยายาม มันไม่ได้ยาก

    พักพิง!”

    “…”

    เลิกทำตัวมีปัญหาแล้วมากินข้าว!”

    เป็นผมที่ผิดตลอด

    เป็นผมที่มีปัญหาเสมอ

    แค่ปล่อยผมขึ้นห้องไปเงียบ ๆ มันจะตายกันหมดหรือไง

    เห็นหน้าเมียกับลูกสาวพ่อแล้วผมกินไม่ลง

    ปัง!

    โต๊ะทานข้าวถูกกำปั้นหนัก ๆ ทุบลงโดยไม่ออมแรง ถ้วยแกงและกับข้าวต่าง ๆ บนโต๊ะนั้นสะเทือนไปทั่ว

    แกเลิกมีปัญหากับพิมและแพมซะที!”

    “…”

    กี่ปีเข้าไปแล้วที่แม่แกทิ้งไป! ลืม ๆ มันไปซะทีผู้หญิงคนนั้น มันแค่คลอดแกออกมาเท่านั้นแหละ ซึ่งมันไม่น่าคลอดแกออกมาเลย!!”

    “…” คำด่าต่าง ๆ ที่พ่อเคยพ่นใส่มันดูเล็กน้อยไปเลยเมื่อเทียบกับตอนนี้

    ไม่น่าคลอดออกมาเลย?

    คำนี้มันให้ความรู้สึกที่เกินคำว่าเจ็บไปมาก

    แกคิดว่าแม่แกจะกลับมาหาเหรอ! คิดว่ามันจะกลับมาเป็นแม่ให้แกได้อีกเหรอ! เลิกเพ้อ!!”

    คุณคะ! ทำไมพูดแบบนี้พิมพาพยายามปรามแล้วแต่อารมณ์พ่อไม่มีท่าทีว่าจะเย็นลงเลยสักนิด

    พูดให้มันคิด! จำใส่หัวแกไว้ซะบ้างว่ามีแค่ฉันที่เลี้ยงแกมาพักพิง!”

    ก็ขอบคุณแล้วกันที่เลี้ยงผมมาอย่างดีผมพูดอย่างประชดประชัน พ่อเป็นพ่อที่ประเสริฐมาก

    แก!” แน่นอนว่าพ่อมองออกว่าผมประชดปากดี!”

    พ่อคะพอเถอะค่ะ

    ห้ามไปก็เท่านั้นแหละ ผมว่าขึ้นขณะจ้องหน้าพ่อเขม็ง เขาไม่เคยฟังใครหรอก

    “…”

    ไม่เคยรับฟังอะไรสักอย่าง

    ต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไม่ตะโกนออกไป

    ถ้าแกอยากให้คนอื่นฟัง แกต้องฟังคนอื่นด้วย

    เหรอผมถามอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะตัดบทง่าย ๆ ทานข้าวให้อร่อยนะครับ

    กระเป๋าเป้ใบเหี่ยวที่มีแค่กระดาษไม่กี่แผ่นกับปากกาด้ามเดียวถูกผมขว้างลงพื้นก่อนจะเดินออกจากบ้านมาโดยไม่ฟังเสียงเอ่ยรั้งหรือด่าไล่หลังมา

    ทั้ง ๆ ที่เรียกว่า บ้านแต่ทำไมหาความสุขสงบจากที่นี่ไม่ได้เลย

    ทั้ง ๆ ที่เรียกว่า พ่อแต่ทำไมไม่เคยได้รับความอบอุ่นความห่วงใยใด ๆ

    ผมจำได้ว่าตอนที่แม่อยู่มันดีกว่านี้

    ทุกอย่างมันเคยดีกว่านี้!

     

    ☁☁☁

     

    ความเครียดและอาการเสียใจทำให้ผมมานั่งอยู่ไนต์คลับ

    แอลกอฮอล์แก้วแล้วแก้วเล่าถูกยกดื่มเพื่อดับอารมณ์หม่น ๆ ภายในใจ

    คำพูดของพ่อวิ่งวนอยู่ในหัวราวกับโดนตั้งค่ารีเพลย์เอาไว้ หลาย ๆ คำพูดมันทำร้ายจิตใจเสียจนผมอยากจะร้องไห้ออกมา ติดแค่ว่าน้ำตามันไม่ยอมไหล ไม่ไหลเลยสักหยด

    ตอนนี้ดึกมากแล้ว

    ผมออกจากบ้านมาโดยมีแค่โทรศัพท์มือถือที่แบตเตอรี่กำลังจะหมดและกระเป๋าเงินที่มีอยู่เงินไม่มากนัก

    ยามลำบากแบบนี้มันทำให้หวนคิดถึงช่วงวันเวลาดี ๆ ที่เคยมี

    ถ้ารู้ว่าแม่จะทิ้งไปผมคงกอดแม่ก่อนนอนทุกคืน บอกรักแม่ทุกเช้า และเข้าครัวไปเป็นลูกมือท่านบ่อย ๆ

    ถ้ารู้ก่อน มันคงดี

    ผมเป็นแขกคนสุดท้ายของร้าน นั่งอยู่นานจนพนักงานเชิญให้ออกจากร้านเพราะถึงเวลาปิดแล้ว

    ม้านั่งใกล้ ๆ คลับเป็นที่เอนกายให้ผมได้ดีในยามนี้

    แม้แสงไฟบริเวณนี้จะไม่สว่างมากแต่อย่างน้อยมันก็ไม่ได้น่ากลัว

    ผมควักโทรศัพท์มือถือที่แบตเตอรี่เหลือน้อยเต็มทนออกมากดโทรออกหาไอ้เดย์เพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งรอไม่นานมันก็รับ

    [อ๊า เดย์คะ เบา ๆ] เสียงประหลาด ๆ ที่ดังผะแผ่วจากปลายสายทำให้ผมกลอกตาทันที

    ไม่ว่างก็ไม่ต้องรับก็ได้มั้ยไอ้สัส

    [เผื่อมึงมีอะไรด่วน]

    แค่นี้แหละ

    [อ้าว มีไรอะ ยังไม่คุยเลย อ๊า]

    ไม่มีไรแล้ว แค่นี้แหละไอ้ห่าไปทำธุระมึงให้เสร็จเหอะ

    ผมบอกแค่นั้นแล้วกดตัดสายไอ้เดย์ไปดื้อ ๆ

    ไม่อยากขัดความสุขมัน

    หน้าจอโทรศัพท์เตือนว่าแบตเตอรี่เหลือน้อยกว่า 10%

    ผมตัดสินใจเปิดแชตของนะโมขึ้นมาแทนที่จะเป็นอี้ผิง เจ้าเอย หรือเตย ไม่อยากรบกวนผนวกกับการไม่อยากตอบคำถามมากมายจากเพื่อนทำให้ผมตัดสินใจแบบนั้น

    ผมไม่ได้กวาดตาอ่านข้อความที่ค้างอยู่ แต่กลับพิมพ์ข้อความส่งไปโดยไม่รู้เลยว่าเขาจะตอบกลับมาหรือเปล่าเพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว

    Me : มารับหน่อย

    Me : *you sent a location.

    นะโม : เธอไปทำอะไรที่นั่น

    ผมนึกว่านะโมนอนแล้ว แต่เขากลับตอบข้อความกลับมาในทันที

    ระหว่างที่ผมกำลังพิมพ์ตอบ ทว่ายังไม่กดส่งหน้าจอโทรศัพท์ก็ดับไปต่อหน้าต่อตา

    เมื่อกี้แบตเตอรี่ยัง 10% อยู่เลย ไหงมาดับดื้อ ๆ

    ห่า! เป็น ai แต่เสือกนับเลขถอยหลังไม่เป็น

    ผมยกขาขึ้นมานั่งในท่าชันเขา เรียวแขนโอบกอดขาตัวเองไว้หลวม ๆ เพราะรู้สึกหนาวแปลก ๆ สายลมเย็น ๆ ตอนกลางดึกแบบนี้มันให้ความรู้สึกอ้างว้างมาก บรรยากาศรอบ ๆ ก็ใช่ว่าจะดี ที่นี่มันสถานที่อโคจร

    ผมจะรอนะโม

    รอโดยไม่รู้ว่าเขาจะมารับไหม

    เขาไม่ได้รับปากว่าจะมา

    แต่อย่างน้อยคืนนี้ผมก็หวังว่าเขาจะมา

    หวัง เพราะผมไม่มีใครให้พึ่งพิงแล้ว

    ผมรออยู่อย่างนั้นนานพอสมควร อาการเหนื่อยล้าของร่างกายทำให้ผล็อยหลับไปในท่านั้น ไม่รู้เลยว่าหลับอยู่นานเท่าไหร่

    รู้แค่ว่าเสียงเรียกของนะโมที่ทำให้ตื่น

    พี่มารับแล้วครับ

    นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมเห็นหน้านะโมแล้วรู้สึกดีใจ



    tbc.
    สกรีมแท็ก #สภาวะลืมรัก
    ให้พี่นะโมได้ทำหน้าที่พระเอกหน่อยแหละ
    เจอกันตอนหน้านะคับบบบบบ

    (ยังไม่ตรวจคำผิดนะคะ ถ้าเจอเม้นบอกได้)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×