ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ☁ #สภาวะลืมรัก (end)

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 04 | อัปครบ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 16.77K
      1.64K
      17 ธ.ค. 63

    **คำเตือน**

    นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหา คำพูด การกระทำ และฉากที่ไม่เหมาะสม

    ไม่ควรลอกเลียนแบบ ตรรกะความคิดของตัวละครผิดเพี้ยนไปตามคาแรคเตอร์

    ผู้อ่านควรมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป

    และผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ




    | บทที่ 04 |




    เธอเหมือนคนผีเข้าผีออกอะ” นะโมพูดกลั้วหัวเราะ ทำให้ผมจิ๊จ๊ะอย่างขัดใจก่อนจะปล่อยมือจากชายเสื้อเขา ยังไม่ทันได้เก็บมือมาขนาบข้างดี ๆ ร่างสูงก็คว้ามันไว้ก่อน “ไปไหนกันดี”

    พี่ก็ผีเข้าผีออกเหมือนกันนั่นแหละ”

    “…”

    เมื่อกี้ยังหูลู่หางตกอยู่เลย”

    ก็เธอดุพี่อะ”

    “…”

    ใจมันแป้ว”

    ผมถึงกับกลอกตาเมื่อได้ยินแบบนั้น

    นะโมมุมที่ไม่มีใครได้เห็นนี่มัน … เกินไปจริง ๆ

    หมายถึงน่ารำคาญใจเกินไปน่ะนะ

    ปล่อยมือเลย จะเดินด้วยก็เดินเฉย ๆ” ยื้อมือออกจากพันธนาการของคนเป็นพี่พร้อมกับบอกเสริม “เราไม่ได้ใจดีขนาดจะให้เดินจับมือหรอกนะ”

    นิดนึงก็ไม่ได้เลยเหรอ”

    ไม่”

    ใจร้ายจัง”

    ผมไม่ได้สนใจนะโมมากนักเลยเดินนำไปก่อน ซึ่งเขาก็ตามมาติด ๆ ไม่ทิ้งระยะห่างเลย

    เราต่างก็เดินกินไอติมเคียงกันไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีใครถามหาจุดหมายปลายทาง

    มาทำอะไรที่นี่”

    ผมเป็นฝ่ายถามเขาก่อน ถามโดยไม่ได้หันไปมองหน้าคู่สนทนาเลยแม้แต่น้อย

    เพิ่งกลับจากไปถ่ายรูปเลยแวะเอาฟิล์มมาล้างน่ะ”

    ทั้งหมดเป็นความบังเอิญจริง ๆ สินะ

    เชื่อแล้วก็ได้

    ชอบถ่ายรูปมากเลยเหรอ”

    ครั้งก่อนที่เราเจอกันเขาก็ไปถ่ายรูป ครั้งนี้ก็เหมือนกัน

    จากการที่รู้จักเขาผ่าน ๆ ผมก็มองว่าเขาเป็นคนชอบถ่ายรูปนะ แต่พอได้มาคุย ได้มาเจอบ่อย ๆ แบบนี้มันทำให้เห็นว่าเขาชอบถ่ายรูปมากกว่าที่ผมคิดเสียอีก

    ครับ ชอบมาก”

    ทำไมล่ะ” ผมหันไปเลิกคิ้วสูงใส่นะโม

    เพราะรูปถ่ายมันเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยให้พี่หยุดเวลาได้”

    คำตอบของเขาทำเอาผมอึ้งกิมกี่เลย

    มันไม่ใช่การตอบเพื่อให้ตัวเองดูเท่ สายตานะโมที่หลุบมองกล้องคู่ใจมันฉายชัดว่าเขารู้สึกแบบนั้นจริง ๆ

    แล้วปกติถ่ายอะไร วิวหรือคน”

    ส่วนมากก็ถ่ายวิว”

    “…”

    แต่ถ่ายคนพี่ก็ถ่ายสวยนะ เธออยากลองมาเป็นแบบให้มั้ยล่ะ”

    ไม่อยาก”

    ไม่คิดหน่อยเหรอ”

    ไม่จำเป็นหรอก” ผมละสายตาจากนะโมแล้วมองตรงไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมายเหมือนเดิม

    ผมเองก็ชอบถ่ายรูปนะ แต่ไม่ได้ชอบมากเหมือนอย่างนะโมหรอก ไม่ได้จับกล้องออกไปท่องโลกกว้างเหมือนอย่างเขา

    นับถือเลยคนที่มีความชอบชัดเจนแบบเขาน่ะ

    นับถือเพราะคนแบบผมมันไม่มีอะไรให้ชอบมากขนาดนั้น

    ครืดดดดดด ครืดดดดดด

    ยังไม่ทันที่เราจะได้คุยกันต่อโทรศัพท์มือถือของผมก็สั่นครืด ๆ เพื่อเตือนว่ามีคนโทรเข้ามา ผมไม่รอช้าที่จะล้วงมันขึ้นมากดรับ

    [ไปไหนยะ] ยัยเตยถามเสียงแข็ง [รอแค่นี้ไม่ได้เลย เป็นต้องวาร์ป]

    แค่มากินไอติม”

    [ฉันเสร็จแล้ว นายอยู่ไหน ร้านไอติมเหรอ]

    เปล่า เดินออกมาแล้ว”

    [ฉันเดินผ่านร้านไอติมมาแล้วเนี่ย]

    “...”

    [โอ๊ะ! ฉันเห็นนายแล้ว ๆ รอก่อน]

    ตุ๊ด!

    สายถูกตัดไปผมเลยหันหลังกลับไปมองทางที่เพิ่งเดินผ่านมา ซึ่งยัยเตยก็กำลังก้าวฉับ ๆ เข้ามาหาอย่างไว ลุคใหม่ของเธอดูดีมาก

    ผมสั้นเพียงคอสีน้ำเงินเข้มนั่นสวยใช่เล่นเลย

    เตยเปลี่ยนสีผมบ่อย ก่อนหน้านี้ไม่นานก็เพิ่งทำสีเทาหม่นไป ตอนนี้เปลี่ยนใหม่อีกแล้ว

    ผมเองก็ชอบทำสีผมนะ ก่อนหน้านี้ทำสีแดงทับทิมไป แต่ตอนนี้พักไว้ที่สีดำ ยังไม่ทำอะไรกับมันเพราะขี้เกียจ

    พี่นะโมหวัดดีเพื่อนตัวเล็กยกมือไว้รุ่นพี่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก่อนจะถามต่อ มาไงคะเนี่ย

    มาล้างฟิล์มครับ

    บังเอิญเจอกันเหรอ

    “…” คนเป็นพี่พยักหน้าตอบ

    แล้วจะไปไหนกันอะ

    “…” นะโมไม่ได้ตอบ เขาหันมามองผมนิ่ง ๆ ราวกับอยากจะให้ผมเป็นคนพูด

    เดินเล่น

    และแน่นอนว่าผมต้องเป็นคนตอบ

    พี่นะโมว่างใช่ป้ะ

    “…” คนเป็นพี่พยักหน้าตอบซ้ำอีก

    พอเป็นคนอื่นที่สนทนาด้วยนะโมก็กลายเป็นคนพูดน้อยทันที

    งั้นไปร้านทำเล็บด้วยกันมั้ยคะ พี่ที่เตยรู้จักเขาเปิดร้านทำเล็บใหม่ ไปอุดหนุนกัน

    “…”

    ไปแล้วต้องทำนะคะ เดี๋ยวเตยจ่ายเอง เตยอยากอุดหนุนพี่เขา

    เอางั้นเหรอ

    ค่ะ

    โอเคครับ

    ไปค่ะเตยเดินมาแทรกกลางระหว่างผมกับนะโมแล้วคว้าแขนเราให้เดินตาม เพียงครู่เดียวมือเรียวก็ผละออกแล้วเดินนำไปก่อน ทิ้งผมกับนะโมให้เดินตามอยู่ข้างหลัง

    ถ้าพี่ไม่อยากไปกลับก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวบอกเตยให้ผมคุยกับนะโมในระดับเสียงที่เราได้ยินกันสองคน

    พี่อยากไปครับ

    มั่นใจเหรอ

    ครับ

    งั้นก็ตามใจ

    ที่ผมนึกห่วงเพราะยัยเตยมักจะทำอะไรตามอำเภอใจอยู่เรื่อย หากเธอเผลอไปเอาแต่ใจกับนะโมผมเกรงว่าเขาจะไม่ชอบใจ

    ผมไม่อยากให้ใครมองเธอไม่ดีน่ะ

    เธอมาเที่ยวกับน้องเตยบ่อยเหรอ

    อือ

    น่าอิจฉาจัง

    “…”

    พี่ต้องทำยังไงถึงจะได้อยู่กับเธอบ่อย ๆ เหมือนน้องเตยบ้าง

    คำพูดนั้นทำให้ผมหันไปมองรุ่นพี่ ซึ่งเขาก็มองมาที่ผมอยู่ไม่ต่างกัน สายตาที่มีความหมายแบบนั้นผมไม่อยากให้นะโมใช้มองมาที่ผมเลย

    มันน่ารำคาญใจ

    ผมเลือกที่จะเมินคำถามของคู่สนทนา

    เมินมันดื้อ ๆ นี่แหละ


    ☁☁☁

     

    เตยพาผมกับนะโมไปทำเล็บด้วย ตอนนี้เล็บเราทั้งสามต่างก็ถูกแต่งแต้มด้วยสีต่าง ๆ นานา

    ของเตยเว่อร์วังหน่อยเพราะนั่นมันสไตล์เธอ

    ส่วนของผมทำสีและเพิ่มลายแค่นิดหน่อยให้พอน่ารัก ก็เลี่ยงไม่ได้นี่เนอะ ยังไงยัยเตยก็คะยั้นคะยอให้ทำไม่เลิกไม่ลาอยู่ดีเลยตัดสินใจทำให้มันจบ ๆ ไป

    เรื่องนี้ดูจะแปลกใหม่สำหรับนะโมนิดหน่อย เขานั่งจ้องเล็บมือตัวเองตั้งแต่เราเข้ามาในร้านอาหาร

    ทำเล็บเสร็จนะโมเลยชวนทานข้าวน่ะ ซึ่งยัยเตยก็เห็นดีเห็นงามผมเลยเลี่ยงไม่ได้

    กลายเป็นว่าเราทั้งสามต้องมานั่งรวมกันที่ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ยัยเตยเป็นคนเลือก

    “พี่นะโมไปไหนต่อหรือเปล่าคะ”

    “กลับบ้านครับ”

    “...”

    “แล้วน้องเตยไปไหนต่อ”

    “เตยก็จะกลับบ้านค่ะ”

    นะโมพยักหน้าเข้าใจแล้วหันมาถามผมด้วยน้ำเสียงโมโนโทนแบบเดิม

    “แล้วเธอล่ะ ไปไหนต่อมั้ย”

    “ไม่”

    “กลับบ้านเลยเหรอ”

    “อือ” แม้จะยังไม่มืด และกลับไปก็คงไม่มีอะไรให้ทำมากมาย แต่อย่างน้อยกลับเร็วก็ไม่ต้องเสี่ยงเผชิญหน้ากับพ่อแหละ

    “ให้พี่ไปส่งมั้ย”

    “ไม่ต้อง เตยจะไปส่ง”

    แต่บ้านเธอกับบ้านน้องเตยอยู่คนละทางเลยนะ

    นะโมรู้จักบ้านผม เพราะตอนกลับจากทะเลเขาเป็นคนไปส่ง

    แล้วทำไม

    บ้านพี่อยู่ทางเดียวกับเธอ ให้พี่ไปส่งมั้ย

    ไม่ต้องอะ

    ไม่ต้องเกรงใจ ทางเดียวกัน

    ไม่ได้เกรงใจ เราไม่อยากไปกับพี่

    โหย ๆเตยแทรกขึ้นดื้อ ๆ เธอคว้าแขนผมไว้แล้วเหลือบมองนะโมนิดหน่อย พี่นะโมไม่ชินกับความใจร้ายของนายนะ เบาได้ก็เบาก่อน

    ไม่เป็นไรหรอกน้องเตย

    “…”

    พี่เริ่มชินแล้วแหละ

    ไม่รู้ว่านั่นเป็นเรื่องดีไหมที่เขาเริ่มชิน

    ไม่เป็นไรนะคะพี่นะโม เดี๋ยวเตยไปส่งพิงเอง

    “…”

    สบายมากค่ะ เตยไปบ่อย

    ครับคนเป็นพี่ตอบรับง่าย ๆ แล้วทานข้าวต่อ

    บรรยากาศบนโต๊ะอาหารไม่ได้น่าอัดอึด ยัยเตยพร่ำถามนั่นนี่นะโมอย่างกับเจ้าหนูจำไม ซึ่งรุ่นพี่ก็ตอบคำถามเป็นอย่างดี

    ที่นะโมดูเป็นคนพูดน้อยคงเพราะเขาชอบตอบแค่สิ่งที่โดนถาม

    ไม่พูดหรือแสดงความคิดตัวเองให้คนอื่นได้รู้

    เวลาอยู่กับคนอื่นเขาดูเข้าถึงยากระดับหนึ่งเลยแหละ

    ทานข้าวเสร็จนะโมก็แยกตัวไป มื้อนี้เขาเป็นคนเลี้ยง เขาอาสาน่ะ คัดค้านไปก็ไร้ประโยชน์เพราะยัยเตยเต็มใจน้อมรับน้ำใจนั้นไว้

    รู้จักพี่นะโมมาตั้งหลายปี วันนี้ฉันคุยกับเขาเยอะสุดเลย เจ้าของรถที่นั่งอยู่ประจำตำแหน่งคนขับกล่าวขึ้นหลังจากเคลื่อนรถยนต์คันหรูออกสู่ท้องถนนเขาดูเป็นคนพูดน้อยนะ

    “…”

    แต่ถามนายไม่หยุดเลย

    “…”

    ฉันสังเกตตั้งแต่ตอนเดินไปร้านทำเล็บแล้ว แถมยังเรียกแทนนายว่าเธออีก ... ทำไมเป็นงั้นอะ

    “…” ผมไหวไหล่ไม่รู้ไม่ชี้

    จะให้พูดว่านะโมสนใจผมเลยชอบพูดจ้อเวลาอยู่ด้วยกันมันก็ดูจะเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองไปหน่อย

    แต่นายน่ะเตยเหลือบมามองผมครู่หนึ่ง ไม่ได้ใช้สรรพนามมึงกูกับพี่เขาเลยนี่

    “…”

    ปกติไม่ชอบแก๊งพี่ชายฉันไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นเคารพใครเลย

    “…”

    ทำไมกับพี่นะโมถึงได้แทนตัวเองว่าเราแทนเขาว่าพี่แบบนั้นล่ะ

    ใช่ ผมค่อนข้างลำเอียงนิดหน่อย

    กับนะโมผมไม่ได้รู้สึกแย่ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกดี ออกแนวเฉย ๆ เสียมากกว่า

    เขาน่าเคารพที่สุดแล้วไม่ใช่เหรอถ้าเทียบกับคนในกลุ่มน่ะ

    นั่นเป็นเหตุผลเหรอ

    ใช่มั้ง

    เหรอ…”

    เตยถามเหมือนไม่อยากได้คำตอบผมเลยเลือกที่จะเพิกเฉย ไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก

     

    ☁☁☁

     

    หลังจากยัยเตยมาส่งลงปากซอยผมก็นั่งวินมอเตอร์ไซค์เข้าบ้านแล้วขลุกตัวอยู่แต่ในห้อง จับกีต้าร์ขึ้นมาแต่งเพลงที่ค้างไว้ต่อเพราะไม่มีอะไรทำ

    ผมใช้เวลาจดจ่ออยู่กับกีต้าร์ตัวโปรดอยู่อย่างนั้นโดยไม่สนใจเวลาเลยว่ามันจะผ่านพ้นไปนานแค่ไหนแล้ว

    ครืด! ครืด!

    ผมละมือออกจากการจับคอร์ดกีต้าร์เพื่อคว้าโทรศัพท์เครื่องเยินมาดูแจ้งเตือน

    นะโม : ทำอะไรอยู่

    นะโม : ถึงห้องยัง

    ตั้งแต่วันที่ให้ไลน์ไปนะโมก็ทักมาเรื่อย ๆ ส่วนผมก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้างแล้วแต่อารมณ์ ไม่ได้สนใจแชตเขาเป็นพิเศษหรอก

    Me : ถึงแล้ว

    ผมเมินคำถามแรกแล้วตอบไปแค่นั้น ผ่านมาเกือบนาทีคนเป็นพี่เลยถามย้ำ

    นะโม : แล้วทำอะไรอยู่

    Me : ไม่ได้ทำไร

    Me : มีธุระอะไร

    แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่านะโมไม่ได้มีธุระ ทว่าผมกลับถามไปแบบนั้น

    นะโม : ต้องมีธุระถึงจะทักได้เหรอ

    ไม่ได้จะหมายความแบบนั้นหรอก แต่ในเมื่อเขาหมายความไปแบบนั้นก็

    Me : อือ

    นะโม : แล้วคิดถึงนับเป็นธุระมั้ยครับ

    ผมได้แต่กลั้นขำเมื่อกวาดตาอ่านข้อความจบ

    หมอนี่ไม่ใช่นะโมที่ผมรู้จัก หากไม่ได้รู้ว่าเขารู้สึกยังไงด้วยผมคงคิดว่ามีใครแย่งโทรศัพท์เขาไปพิมพ์เพื่อแกล้ง

    เสี่ยวชะมัด

    Me : ไปคุยกับรากมะม่วงไปนะโม

    ผมทั้งพิมพ์ทั้งกลั้นขำในคราวเดียว

    มันอดตลกไม่ได้จริง ๆ

    [แต่พี่อยากคุยกับเธอ]

    รอบนี้ไม่ใช่การพิมพ์ตอบอีกแล้ว นะโมส่งข้อความเสียงมา น้ำเสียงที่ใช้ไม่ได้หวานหยดหรือผิดเพี้ยนไปจากน้ำเสียงปกติของเขา

    มันเป็นคำพูดแสนธรรมดาผนวกกับน้ำเสียงธรรมดา

    ทว่าก็ทำให้ผมสับสนว่าควรรู้สึกยังไงกับประโยคนั้น

    Me : ไม่ว่าง

    [ไหนบอกว่าไม่ได้ทำอะไรไง โม้นี่]

    Me : ไม่ได้อยากคุย

    [บางทีพี่ก็สงสัยว่าเธอใจร้ายกับทุกคนหรือใจร้ายแค่กับพี่]

    Me : ก็ไม่ได้เจาะจงใครเป็นพิเศษ

    มันปกติ

    ผมมักจะผลักคนที่ไม่มีผลกับชีวิต หรือคนที่ไม่มีเหตุผลที่จะต้องแคร์ออกไปห่าง ๆ เสมอ วิธีการอาจจะดูใจร้ายไปบ้าง แต่ใช่ ผมจงใจให้เป็นแบบนั้น

    [พี่อยากพิเศษ] นะโมเว้นหายใจไปชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ [ไม่ได้อยากให้เธอร้ายใส่เป็นพิเศษนะ แต่อยากให้เธอดีด้วยเป็นพิเศษ เหมือนที่พี่ทำให้เธอพิเศษ]

    Me : ใครอยาก?

    [พี่]

    Me : อือ

    Me : เราไม่อยาก

    [แปลกดี]

    Me : อะไรแปลก

    [แปลกที่เธอใจร้ายขนาดนี้แต่พี่ก็ยังชอบ]

    นั่นเป็น คำตอบที่ผมไม่คิดว่าจะได้รับ

    Me : ทำไมต้องพยายามขนาดนี้

    [การชอบเธอมันไม่ได้ใช้ความพยายามเลยนะ]

    นึกไม่ออกเลยว่าอะไรทำให้เขาหันมาสนใจผมนักหนา ก่อนหน้านี้ไม่เห็นจะเข้ามาวุ่นวายอะไร

    Me : ไปหาคนอื่นเหอะนะโม

    Me : เราไม่ใช่แบบที่พี่ชอบจริง ๆ หรอก

    [เธอไม่ชอบพี่พี่ไม่ว่านะ แต่ขอร้อง อย่าไล่] คนเป็นพี่ผ่อนลมหายใจเบา ๆ ก่อนจะเสริมอีก [คอลได้มั้ย พี่อยากคุยด้วย]

    ยังไม่ทันที่ผมจะได้พิมพ์ตอบหน้าจอโทรศัพท์ที่ร้าวจนแทบจะแหลกละเอียดก็โชว์ว่านะโมคอลมา

    คอลวีดีโอด้วยแหละ

    ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายผมก็กดรับโดยยื่นโทรศัพท์ห่างหน้าแค่นิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยทักทายอีกคนเลยสักประโยค

    นะโมเองก็ไม่ได้พูดอะไร เขานิ่งไปจนผมนึกว่าเน็ตเจ๊ง

    นะโมผมเรียกอีกฝ่ายเพื่อเช็กว่าเขายังอยู่ไหม

    แม้หน้าจอโทรศัพท์ผมจะร้าวแต่มันก็ยังเห็นชัดว่าใบหน้าหล่อคมถูกประดับประดาด้วยรอยยิ้ม รอยบุ๋มที่ข้างแก้มเขาเห็นไม่ค่อยชัดนักเวลาต้องมองผ่านหน้าจอแบบนี้

    [พี่ไม่นึกว่าเธอจะรับด้วยซ้ำ]

    คุยให้จบตรงนี้

    [ใครอยากจบ]

    เรา

    [อือ พี่ไม่อยาก]

    นะโมกำลังยอกย้อน

    มีอะไรก็รีบ ๆ พูดมาดีกว่ามั้ย

    [ห้องเธอสวย]

    นั่นเหรอประเด็นที่จะพูด

    ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

    ยังไม่ทันทีปลายสายจะได้ตอบกลับเสียงเคาะประตูห้องก็แทรกขึ้น และตามด้วยเสียงของพิมพา

    พักพิง ทานข้าวเย็นจ้ะ

    ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แค่กลอกตานิดหน่อยตอนได้ยินเสียงเธอ

    [จะไม่ตอบรับแม่หน่อยเหรอ] ปลายสายที่เงียบอยู่ครู่ใหญ่ถามขึ้น

    มันเป็นคำถามที่ทำให้ผมหงุดหงิด

    ไม่ใช่แม่

    พิมพาไม่เคยเทียบแม่ผมติด

    [เหรอ หน้าตาเธอดูอารมณ์ไม่ดีมากเลยตอนนี้]

    “…”

    [หัวคิ้วจะชนกันอยู่แล้ว]

    ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

    พักพิงจ๊ะ ยังอยู่มั้ย

    “…”

    ได้เวลาข้าวเย็นแล้วจ้ะ

    น่ารำคาญ

    ทำไมเธอต้องน่ารำคาญขนาดนี้

    ตุบ!

    ผมวางกีต้าร์และโยนโทรศัพท์เครื่องบางไว้บนเตียงนอน จากนั้นก็เดินอาด ๆ ไปเปิดประตูเผชิญหน้ากับความน่ารำคาญ

    เลิกยุ่งกับผมซะทีเหอะ

    “…”

    บอกหลายครั้งแล้วว่าไม่ต้องมาเรียก จะกินก็กินกันไปสิ ไม่มีผมบนโต๊ะอาหารสักคนมันไม่ตายหรอก

    น้าแค่…”

    ปัง!

    ผมปิดประตูกระแทกเสียงดังโดยไม่ฟังคำอธิบายใด ๆ เลย

    หากคิดว่าผมกำลังอคติ ใช่ คิดถูกแล้ว

    ผมอคติ

    อคติจนมองว่าความหวังดีต่าง ๆ ของพิมพาเป็นเรื่องน่ารำคาญ

    น่ารำคาญทั้งหมด!

    [เธอไม่ควรตะคอกน้าแบบนั้นนะ] ทันทีที่ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจ่อหน้านะโมก็รับบทนางสอนทันที

    ไม่ต้องมาบอกว่าอะไรควรไม่ควร โตแล้ว คิดเองเป็น

    [แล้วทำไมยังทำแบบนั้น]

    เพราะคิดมาแล้ว เลยทำ

    […]

    มีปัญหาหรือไง

    [เธอมันเด็กไม่ดี]

    เราไม่เคยบอกว่าตัวเองดี

    [แต่เธอดีได้]

    ดีไปเพื่ออะไรในเมื่อโลกนี้มีแต่คนใจร้ายเท่านั้นที่อยู่รอดผมนอนตะแคง วางโทรศัพท์เครื่องบางไว้ข้าง ๆ ให้กล้องถ่ายติดแค่เพดานสีขาว รู้สึกได้ว่าเสียงมันแผ่วลงตอนที่พูดประโยคต่อมา เราแค่อยากอยู่ให้รอด

    อยู่ให้รอดในบ้านหลังใหญ่ที่ให้ความรู้สึกโดดเดี่ยว

    โต๊ะอาหารที่ถูกห้อมล้อมด้วยพิมพาและพ่อมันให้ความรู้สึกโดดเดี่ยว

    เหมือนผมเป็นคนนอก ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่

    [พูดกับพี่ได้นะ]

    ไม่อยากพูด

    ไม่อยากอ่อนแอ ไม่อยากให้ใครมาสงสาร ผมไม่เคยพูดความรู้พรรค์นั้นให้ใครฟัง และก็ยังจะไม่พูดต่อไป ให้ความอ่อนแอพวกนั้นถูกกลบทับไปด้วยกักขฬะน่ะดีแล้ว

    ให้คนมองผมด้วยสายตาเกลียดชังมันยังดีเสียกว่าถูกมองด้วยความสงสารเห็นใจ

    ผมไม่ชอบ



    tbc.
    สกรีมแท็ก #สภาวะลืมรัก
    ความคิดของตัวละครมันบิดเบี้ยวตามคาแรคเตอร์นะ
    ตรองกันดีๆนะคับ
    เจอกันตอนหน้าน๊าาาา

    (ยังไม่ตรวจคำผิดนะคะ ถ้าเจอเม้นบอกได้)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×