คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 04 | อัปครบ
**คำเตือน**
นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหา คำพูด การกระทำ และฉากที่ไม่เหมาะสม
ไม่ควรลอกเลียนแบบ ตรรกะความคิดของตัวละครผิดเพี้ยนไปตามคาแรคเตอร์
ผู้อ่านควรมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
และผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ
| บทที่ 04 | |
“เธอเหมือนคนผีเข้าผีออกอะ” นะโมพูดกลั้วหัวเราะ
ทำให้ผมจิ๊จ๊ะอย่างขัดใจก่อนจะปล่อยมือจากชายเสื้อเขา ยังไม่ทันได้เก็บมือมาขนาบข้างดี
ๆ ร่างสูงก็คว้ามันไว้ก่อน “ไปไหนกันดี”
“พี่ก็ผีเข้าผีออกเหมือนกันนั่นแหละ”
“…”
“เมื่อกี้ยังหูลู่หางตกอยู่เลย”
“ก็เธอดุพี่อะ”
“…”
“ใจมันแป้ว”
ผมถึงกับกลอกตาเมื่อได้ยินแบบนั้น
นะโมมุมที่ไม่มีใครได้เห็นนี่มัน … เกินไปจริง ๆ
หมายถึงน่ารำคาญใจเกินไปน่ะนะ
“ปล่อยมือเลย จะเดินด้วยก็เดินเฉย ๆ”
ยื้อมือออกจากพันธนาการของคนเป็นพี่พร้อมกับบอกเสริม
“เราไม่ได้ใจดีขนาดจะให้เดินจับมือหรอกนะ”
“นิดนึงก็ไม่ได้เลยเหรอ”
“ไม่”
“ใจร้ายจัง”
ผมไม่ได้สนใจนะโมมากนักเลยเดินนำไปก่อน ซึ่งเขาก็ตามมาติด
ๆ ไม่ทิ้งระยะห่างเลย
เราต่างก็เดินกินไอติมเคียงกันไปเรื่อย ๆ
โดยไม่มีใครถามหาจุดหมายปลายทาง
“มาทำอะไรที่นี่”
ผมเป็นฝ่ายถามเขาก่อน ถามโดยไม่ได้หันไปมองหน้าคู่สนทนาเลยแม้แต่น้อย
“เพิ่งกลับจากไปถ่ายรูปเลยแวะเอาฟิล์มมาล้างน่ะ”
ทั้งหมดเป็นความบังเอิญจริง ๆ สินะ
เชื่อแล้วก็ได้
“ชอบถ่ายรูปมากเลยเหรอ”
ครั้งก่อนที่เราเจอกันเขาก็ไปถ่ายรูป ครั้งนี้ก็เหมือนกัน
จากการที่รู้จักเขาผ่าน ๆ
ผมก็มองว่าเขาเป็นคนชอบถ่ายรูปนะ แต่พอได้มาคุย ได้มาเจอบ่อย ๆ
แบบนี้มันทำให้เห็นว่าเขาชอบถ่ายรูปมากกว่าที่ผมคิดเสียอีก
“ครับ ชอบมาก”
“ทำไมล่ะ” ผมหันไปเลิกคิ้วสูงใส่นะโม
“เพราะรูปถ่ายมันเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยให้พี่หยุดเวลาได้”
คำตอบของเขาทำเอาผมอึ้งกิมกี่เลย
มันไม่ใช่การตอบเพื่อให้ตัวเองดูเท่ สายตานะโมที่หลุบมองกล้องคู่ใจมันฉายชัดว่าเขารู้สึกแบบนั้นจริง
ๆ
“แล้วปกติถ่ายอะไร วิวหรือคน”
“ส่วนมากก็ถ่ายวิว”
“…”
“แต่ถ่ายคนพี่ก็ถ่ายสวยนะ เธออยากลองมาเป็นแบบให้มั้ยล่ะ”
“ไม่อยาก”
“ไม่คิดหน่อยเหรอ”
“ไม่จำเป็นหรอก”
ผมละสายตาจากนะโมแล้วมองตรงไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมายเหมือนเดิม
ผมเองก็ชอบถ่ายรูปนะ แต่ไม่ได้ชอบมากเหมือนอย่างนะโมหรอก
ไม่ได้จับกล้องออกไปท่องโลกกว้างเหมือนอย่างเขา
นับถือเลยคนที่มีความชอบชัดเจนแบบเขาน่ะ
นับถือเพราะคนแบบผมมันไม่มีอะไรให้ชอบมากขนาดนั้น
ครืดดดดดด ครืดดดดดด
ยังไม่ทันที่เราจะได้คุยกันต่อโทรศัพท์มือถือของผมก็สั่นครืด
ๆ เพื่อเตือนว่ามีคนโทรเข้ามา ผมไม่รอช้าที่จะล้วงมันขึ้นมากดรับ
[ไปไหนยะ] ยัยเตยถามเสียงแข็ง [รอแค่นี้ไม่ได้เลย เป็นต้องวาร์ป]
“แค่มากินไอติม”
[ฉันเสร็จแล้ว นายอยู่ไหน ร้านไอติมเหรอ]
“เปล่า เดินออกมาแล้ว”
[ฉันเดินผ่านร้านไอติมมาแล้วเนี่ย]
“...”
[โอ๊ะ! ฉันเห็นนายแล้ว ๆ รอก่อน]
ตุ๊ด!
สายถูกตัดไปผมเลยหันหลังกลับไปมองทางที่เพิ่งเดินผ่านมา
ซึ่งยัยเตยก็กำลังก้าวฉับ ๆ เข้ามาหาอย่างไว ลุคใหม่ของเธอดูดีมาก
ผมสั้นเพียงคอสีน้ำเงินเข้มนั่นสวยใช่เล่นเลย
เตยเปลี่ยนสีผมบ่อย
ก่อนหน้านี้ไม่นานก็เพิ่งทำสีเทาหม่นไป ตอนนี้เปลี่ยนใหม่อีกแล้ว
ผมเองก็ชอบทำสีผมนะ ก่อนหน้านี้ทำสีแดงทับทิมไป
แต่ตอนนี้พักไว้ที่สีดำ ยังไม่ทำอะไรกับมันเพราะขี้เกียจ
“พี่นะโมหวัดดี” เพื่อนตัวเล็กยกมือไว้รุ่นพี่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก่อนจะถามต่อ
“มาไงคะเนี่ย”
“มาล้างฟิล์มครับ”
“บังเอิญเจอกันเหรอ”
“…”
คนเป็นพี่พยักหน้าตอบ
“แล้วจะไปไหนกันอะ”
“…”
นะโมไม่ได้ตอบ เขาหันมามองผมนิ่ง ๆ ราวกับอยากจะให้ผมเป็นคนพูด
“เดินเล่น”
และแน่นอนว่าผมต้องเป็นคนตอบ
“พี่นะโมว่างใช่ป้ะ”
“…”
คนเป็นพี่พยักหน้าตอบซ้ำอีก
พอเป็นคนอื่นที่สนทนาด้วยนะโมก็กลายเป็นคนพูดน้อยทันที
“งั้นไปร้านทำเล็บด้วยกันมั้ยคะ พี่ที่เตยรู้จักเขาเปิดร้านทำเล็บใหม่
ไปอุดหนุนกัน”
“…”
“ไปแล้วต้องทำนะคะ เดี๋ยวเตยจ่ายเอง เตยอยากอุดหนุนพี่เขา”
“เอางั้นเหรอ”
“ค่ะ”
“โอเคครับ”
“ไปค่ะ” เตยเดินมาแทรกกลางระหว่างผมกับนะโมแล้วคว้าแขนเราให้เดินตาม
เพียงครู่เดียวมือเรียวก็ผละออกแล้วเดินนำไปก่อน
ทิ้งผมกับนะโมให้เดินตามอยู่ข้างหลัง
“ถ้าพี่ไม่อยากไปกลับก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวบอกเตยให้” ผมคุยกับนะโมในระดับเสียงที่เราได้ยินกันสองคน
“พี่อยากไปครับ”
“มั่นใจเหรอ”
“ครับ”
“งั้นก็ตามใจ”
ที่ผมนึกห่วงเพราะยัยเตยมักจะทำอะไรตามอำเภอใจอยู่เรื่อย
หากเธอเผลอไปเอาแต่ใจกับนะโมผมเกรงว่าเขาจะไม่ชอบใจ
ผมไม่อยากให้ใครมองเธอไม่ดีน่ะ
“เธอมาเที่ยวกับน้องเตยบ่อยเหรอ”
“อือ”
“น่าอิจฉาจัง”
“…”
“พี่ต้องทำยังไงถึงจะได้อยู่กับเธอบ่อย ๆ เหมือนน้องเตยบ้าง”
คำพูดนั้นทำให้ผมหันไปมองรุ่นพี่ ซึ่งเขาก็มองมาที่ผมอยู่ไม่ต่างกัน
สายตาที่มีความหมายแบบนั้นผมไม่อยากให้นะโมใช้มองมาที่ผมเลย
มันน่ารำคาญใจ
ผมเลือกที่จะเมินคำถามของคู่สนทนา
เมินมันดื้อ ๆ นี่แหละ
☁☁☁
เตยพาผมกับนะโมไปทำเล็บด้วย ตอนนี้เล็บเราทั้งสามต่างก็ถูกแต่งแต้มด้วยสีต่าง
ๆ นานา
ของเตยเว่อร์วังหน่อยเพราะนั่นมันสไตล์เธอ
ส่วนของผมทำสีและเพิ่มลายแค่นิดหน่อยให้พอน่ารัก
ก็เลี่ยงไม่ได้นี่เนอะ ยังไงยัยเตยก็คะยั้นคะยอให้ทำไม่เลิกไม่ลาอยู่ดีเลยตัดสินใจทำให้มันจบ
ๆ ไป
เรื่องนี้ดูจะแปลกใหม่สำหรับนะโมนิดหน่อย
เขานั่งจ้องเล็บมือตัวเองตั้งแต่เราเข้ามาในร้านอาหาร
ทำเล็บเสร็จนะโมเลยชวนทานข้าวน่ะ
ซึ่งยัยเตยก็เห็นดีเห็นงามผมเลยเลี่ยงไม่ได้
กลายเป็นว่าเราทั้งสามต้องมานั่งรวมกันที่ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ยัยเตยเป็นคนเลือก
“พี่นะโมไปไหนต่อหรือเปล่าคะ”
“กลับบ้านครับ”
“...”
“แล้วน้องเตยไปไหนต่อ”
“เตยก็จะกลับบ้านค่ะ”
นะโมพยักหน้าเข้าใจแล้วหันมาถามผมด้วยน้ำเสียงโมโนโทนแบบเดิม
“แล้วเธอล่ะ ไปไหนต่อมั้ย”
“ไม่”
“กลับบ้านเลยเหรอ”
“อือ” แม้จะยังไม่มืด และกลับไปก็คงไม่มีอะไรให้ทำมากมาย แต่อย่างน้อยกลับเร็วก็ไม่ต้องเสี่ยงเผชิญหน้ากับพ่อแหละ
“ให้พี่ไปส่งมั้ย”
“ไม่ต้อง เตยจะไปส่ง”
“แต่บ้านเธอกับบ้านน้องเตยอยู่คนละทางเลยนะ”
นะโมรู้จักบ้านผม
เพราะตอนกลับจากทะเลเขาเป็นคนไปส่ง
“แล้วทำไม”
“บ้านพี่อยู่ทางเดียวกับเธอ … ให้พี่ไปส่งมั้ย”
“ไม่ต้องอะ”
“ไม่ต้องเกรงใจ ทางเดียวกัน”
“ไม่ได้เกรงใจ … เราไม่อยากไปกับพี่”
“โหย ๆ” เตยแทรกขึ้นดื้อ ๆ
เธอคว้าแขนผมไว้แล้วเหลือบมองนะโมนิดหน่อย “พี่นะโมไม่ชินกับความใจร้ายของนายนะ
เบาได้ก็เบาก่อน”
“ไม่เป็นไรหรอกน้องเตย”
“…”
“พี่เริ่มชินแล้วแหละ”
ไม่รู้ว่านั่นเป็นเรื่องดีไหมที่เขาเริ่มชิน
“ไม่เป็นไรนะคะพี่นะโม เดี๋ยวเตยไปส่งพิงเอง”
“…”
“สบายมากค่ะ เตยไปบ่อย”
“ครับ” คนเป็นพี่ตอบรับง่าย ๆ
แล้วทานข้าวต่อ
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารไม่ได้น่าอัดอึด
ยัยเตยพร่ำถามนั่นนี่นะโมอย่างกับเจ้าหนูจำไม ซึ่งรุ่นพี่ก็ตอบคำถามเป็นอย่างดี
ที่นะโมดูเป็นคนพูดน้อยคงเพราะเขาชอบตอบแค่สิ่งที่โดนถาม
ไม่พูดหรือแสดงความคิดตัวเองให้คนอื่นได้รู้
เวลาอยู่กับคนอื่นเขาดูเข้าถึงยากระดับหนึ่งเลยแหละ
ทานข้าวเสร็จนะโมก็แยกตัวไป
มื้อนี้เขาเป็นคนเลี้ยง เขาอาสาน่ะ คัดค้านไปก็ไร้ประโยชน์เพราะยัยเตยเต็มใจน้อมรับน้ำใจนั้นไว้
“รู้จักพี่นะโมมาตั้งหลายปี
วันนี้ฉันคุยกับเขาเยอะสุดเลย”
เจ้าของรถที่นั่งอยู่ประจำตำแหน่งคนขับกล่าวขึ้นหลังจากเคลื่อนรถยนต์คันหรูออกสู่ท้องถนน
“เขาดูเป็นคนพูดน้อยนะ”
“…”
“แต่ถามนายไม่หยุดเลย”
“…”
“ฉันสังเกตตั้งแต่ตอนเดินไปร้านทำเล็บแล้ว
แถมยังเรียกแทนนายว่าเธออีก ... ทำไมเป็นงั้นอะ”
“…” ผมไหวไหล่ไม่รู้ไม่ชี้
จะให้พูดว่านะโมสนใจผมเลยชอบพูดจ้อเวลาอยู่ด้วยกันมันก็ดูจะเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองไปหน่อย
“แต่นายน่ะ” เตยเหลือบมามองผมครู่หนึ่ง
“ไม่ได้ใช้สรรพนามมึงกูกับพี่เขาเลยนี่”
“…”
“ปกติไม่ชอบแก๊งพี่ชายฉันไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นเคารพใครเลย”
“…”
“ทำไมกับพี่นะโมถึงได้แทนตัวเองว่าเราแทนเขาว่าพี่แบบนั้นล่ะ”
ใช่ … ผมค่อนข้างลำเอียงนิดหน่อย
กับนะโมผมไม่ได้รู้สึกแย่ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกดี
ออกแนวเฉย ๆ เสียมากกว่า
“เขาน่าเคารพที่สุดแล้วไม่ใช่เหรอถ้าเทียบกับคนในกลุ่มน่ะ”
“นั่นเป็นเหตุผลเหรอ”
“ใช่มั้ง”
“เหรอ…”
เตยถามเหมือนไม่อยากได้คำตอบผมเลยเลือกที่จะเพิกเฉย
ไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก
☁☁☁
หลังจากยัยเตยมาส่งลงปากซอยผมก็นั่งวินมอเตอร์ไซค์เข้าบ้านแล้วขลุกตัวอยู่แต่ในห้อง
จับกีต้าร์ขึ้นมาแต่งเพลงที่ค้างไว้ต่อเพราะไม่มีอะไรทำ
ผมใช้เวลาจดจ่ออยู่กับกีต้าร์ตัวโปรดอยู่อย่างนั้นโดยไม่สนใจเวลาเลยว่ามันจะผ่านพ้นไปนานแค่ไหนแล้ว
ครืด! ครืด!
ผมละมือออกจากการจับคอร์ดกีต้าร์เพื่อคว้าโทรศัพท์เครื่องเยินมาดูแจ้งเตือน
นะโม : ทำอะไรอยู่
นะโม : ถึงห้องยัง
ตั้งแต่วันที่ให้ไลน์ไปนะโมก็ทักมาเรื่อย
ๆ ส่วนผมก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้างแล้วแต่อารมณ์ ไม่ได้สนใจแชตเขาเป็นพิเศษหรอก
Me : ถึงแล้ว
ผมเมินคำถามแรกแล้วตอบไปแค่นั้น
ผ่านมาเกือบนาทีคนเป็นพี่เลยถามย้ำ
นะโม : แล้วทำอะไรอยู่
Me : ไม่ได้ทำไร
Me : มีธุระอะไร
แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่านะโมไม่ได้มีธุระ
ทว่าผมกลับถามไปแบบนั้น
นะโม : ต้องมีธุระถึงจะทักได้เหรอ
ไม่ได้จะหมายความแบบนั้นหรอก
แต่ในเมื่อเขาหมายความไปแบบนั้นก็…
Me : อือ
นะโม : แล้วคิดถึงนับเป็นธุระมั้ยครับ
ผมได้แต่กลั้นขำเมื่อกวาดตาอ่านข้อความจบ
หมอนี่ไม่ใช่นะโมที่ผมรู้จัก
หากไม่ได้รู้ว่าเขารู้สึกยังไงด้วยผมคงคิดว่ามีใครแย่งโทรศัพท์เขาไปพิมพ์เพื่อแกล้ง
เสี่ยวชะมัด
Me : ไปคุยกับรากมะม่วงไปนะโม
ผมทั้งพิมพ์ทั้งกลั้นขำในคราวเดียว
มันอดตลกไม่ได้จริง ๆ
[แต่พี่อยากคุยกับเธอ]
รอบนี้ไม่ใช่การพิมพ์ตอบอีกแล้ว
นะโมส่งข้อความเสียงมา
น้ำเสียงที่ใช้ไม่ได้หวานหยดหรือผิดเพี้ยนไปจากน้ำเสียงปกติของเขา
มันเป็นคำพูดแสนธรรมดาผนวกกับน้ำเสียงธรรมดา
ทว่าก็ทำให้ผมสับสนว่าควรรู้สึกยังไงกับประโยคนั้น
Me : ไม่ว่าง
[ไหนบอกว่าไม่ได้ทำอะไรไง โม้นี่]
Me : ไม่ได้อยากคุย
[บางทีพี่ก็สงสัยว่าเธอใจร้ายกับทุกคนหรือใจร้ายแค่กับพี่]
Me : ก็ไม่ได้เจาะจงใครเป็นพิเศษ
มันปกติ
ผมมักจะผลักคนที่ไม่มีผลกับชีวิต
หรือคนที่ไม่มีเหตุผลที่จะต้องแคร์ออกไปห่าง ๆ เสมอ วิธีการอาจจะดูใจร้ายไปบ้าง … แต่ใช่ ผมจงใจให้เป็นแบบนั้น
[พี่อยากพิเศษ] นะโมเว้นหายใจไปชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ
[ไม่ได้อยากให้เธอร้ายใส่เป็นพิเศษนะ
แต่อยากให้เธอดีด้วยเป็นพิเศษ … เหมือนที่พี่ทำให้เธอพิเศษ]
Me : ใครอยาก?
[พี่]
Me : อือ
Me : เราไม่อยาก
[แปลกดี]
Me : อะไรแปลก
[แปลกที่เธอใจร้ายขนาดนี้แต่พี่ก็ยังชอบ]
นั่นเป็น … คำตอบที่ผมไม่คิดว่าจะได้รับ
Me : ทำไมต้องพยายามขนาดนี้
[การชอบเธอมันไม่ได้ใช้ความพยายามเลยนะ]
นึกไม่ออกเลยว่าอะไรทำให้เขาหันมาสนใจผมนักหนา
ก่อนหน้านี้ไม่เห็นจะเข้ามาวุ่นวายอะไร
Me : ไปหาคนอื่นเหอะนะโม
Me : เราไม่ใช่แบบที่พี่ชอบจริง ๆ หรอก
[เธอไม่ชอบพี่พี่ไม่ว่านะ แต่ขอร้อง … อย่าไล่] คนเป็นพี่ผ่อนลมหายใจเบา ๆ ก่อนจะเสริมอีก [คอลได้มั้ย พี่อยากคุยด้วย]
ยังไม่ทันที่ผมจะได้พิมพ์ตอบหน้าจอโทรศัพท์ที่ร้าวจนแทบจะแหลกละเอียดก็โชว์ว่านะโมคอลมา
คอลวีดีโอด้วยแหละ
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
สุดท้ายผมก็กดรับโดยยื่นโทรศัพท์ห่างหน้าแค่นิดหน่อย
แต่ก็ไม่ได้เอ่ยทักทายอีกคนเลยสักประโยค
นะโมเองก็ไม่ได้พูดอะไร
เขานิ่งไปจนผมนึกว่าเน็ตเจ๊ง
“นะโม” ผมเรียกอีกฝ่ายเพื่อเช็กว่าเขายังอยู่ไหม
แม้หน้าจอโทรศัพท์ผมจะร้าวแต่มันก็ยังเห็นชัดว่าใบหน้าหล่อคมถูกประดับประดาด้วยรอยยิ้ม
รอยบุ๋มที่ข้างแก้มเขาเห็นไม่ค่อยชัดนักเวลาต้องมองผ่านหน้าจอแบบนี้
[พี่ไม่นึกว่าเธอจะรับด้วยซ้ำ]
“คุยให้จบตรงนี้”
[ใครอยากจบ]
“เรา”
[อือ … พี่ไม่อยาก]
นะโมกำลังยอกย้อน
“มีอะไรก็รีบ ๆ พูดมาดีกว่ามั้ย”
[ห้องเธอสวย]
“นั่นเหรอประเด็นที่จะพูด”
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ยังไม่ทันทีปลายสายจะได้ตอบกลับเสียงเคาะประตูห้องก็แทรกขึ้น
และตามด้วยเสียงของพิมพา
“พักพิง ทานข้าวเย็นจ้ะ”
ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
แค่กลอกตานิดหน่อยตอนได้ยินเสียงเธอ
[จะไม่ตอบรับแม่หน่อยเหรอ] ปลายสายที่เงียบอยู่ครู่ใหญ่ถามขึ้น
มันเป็นคำถามที่ทำให้ผมหงุดหงิด
“ไม่ใช่แม่”
พิมพาไม่เคยเทียบแม่ผมติด
[เหรอ … หน้าตาเธอดูอารมณ์ไม่ดีมากเลยตอนนี้]
“…”
[หัวคิ้วจะชนกันอยู่แล้ว]
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
“พักพิงจ๊ะ ยังอยู่มั้ย”
“…”
“ได้เวลาข้าวเย็นแล้วจ้ะ”
น่ารำคาญ
ทำไมเธอต้องน่ารำคาญขนาดนี้
ตุบ!
ผมวางกีต้าร์และโยนโทรศัพท์เครื่องบางไว้บนเตียงนอน
จากนั้นก็เดินอาด ๆ ไปเปิดประตูเผชิญหน้ากับความน่ารำคาญ
“เลิกยุ่งกับผมซะทีเหอะ”
“…”
“บอกหลายครั้งแล้วว่าไม่ต้องมาเรียก จะกินก็กินกันไปสิ
ไม่มีผมบนโต๊ะอาหารสักคนมันไม่ตายหรอก”
“น้าแค่…”
ปัง!
ผมปิดประตูกระแทกเสียงดังโดยไม่ฟังคำอธิบายใด
ๆ เลย
หากคิดว่าผมกำลังอคติ … ใช่ คิดถูกแล้ว
ผมอคติ
อคติจนมองว่าความหวังดีต่าง ๆ
ของพิมพาเป็นเรื่องน่ารำคาญ
น่ารำคาญทั้งหมด!
[เธอไม่ควรตะคอกน้าแบบนั้นนะ] ทันทีที่ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจ่อหน้านะโมก็รับบทนางสอนทันที
“ไม่ต้องมาบอกว่าอะไรควรไม่ควร โตแล้ว คิดเองเป็น”
[แล้วทำไมยังทำแบบนั้น]
“เพราะคิดมาแล้ว เลยทำ”
[…]
“มีปัญหาหรือไง”
[เธอมันเด็กไม่ดี]
“เราไม่เคยบอกว่าตัวเองดี”
[แต่เธอดีได้]
“ดีไปเพื่ออะไรในเมื่อโลกนี้มีแต่คนใจร้ายเท่านั้นที่อยู่รอด”
ผมนอนตะแคง วางโทรศัพท์เครื่องบางไว้ข้าง ๆ
ให้กล้องถ่ายติดแค่เพดานสีขาว รู้สึกได้ว่าเสียงมันแผ่วลงตอนที่พูดประโยคต่อมา “เราแค่อยากอยู่ให้รอด”
อยู่ให้รอดในบ้านหลังใหญ่ที่ให้ความรู้สึกโดดเดี่ยว
โต๊ะอาหารที่ถูกห้อมล้อมด้วยพิมพาและพ่อมันให้ความรู้สึกโดดเดี่ยว
เหมือนผมเป็นคนนอก ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่
[พูดกับพี่ได้นะ]
“ไม่อยากพูด”
ไม่อยากอ่อนแอ ไม่อยากให้ใครมาสงสาร
ผมไม่เคยพูดความรู้พรรค์นั้นให้ใครฟัง และก็ยังจะไม่พูดต่อไป
ให้ความอ่อนแอพวกนั้นถูกกลบทับไปด้วยกักขฬะน่ะดีแล้ว
ให้คนมองผมด้วยสายตาเกลียดชังมันยังดีเสียกว่าถูกมองด้วยความสงสารเห็นใจ
ผมไม่ชอบ
ความคิดเห็น