ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ☁ #สภาวะลืมรัก (end)

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 03 | อัปครบ

    • อัปเดตล่าสุด 17 ธ.ค. 63


    **คำเตือน**

    นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหา คำพูด การกระทำ และฉากที่ไม่เหมาะสม

    ไม่ควรลอกเลียนแบบ ตรรกะความคิดของตัวละครผิดเพี้ยนไปตามคาแรคเตอร์

    ผู้อ่านควรมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป

    และผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ




    | บทที่ 03 |




    อาบน้ำชำระร่างกายเสร็จผมก็หยิบเสื้อผ้านะโมมาสวม เสื้อเขามันค่อนข้างหลวมเมื่อมาอยู่บนตัวผม แม้ส่วนสูงจะไม่ได้ต่างกันมากแต่ขนาดตัวผมเทียบเขาไม่ได้เลย

    แหงล่ะ เขาสูงและร่างกายสมส่วนที่สุดในกลุ่มเพื่อนเลยนี่

    แต่ก็ช่างเถอะ

    ในเมื่อมันจำเป็นก็ต้องใส่หลวม ๆ แบบนี้แหละ

    ครืด! ครืด!

    โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่หัวเตียงสั่นครืดเรียกความสนใจให้ผมหันไปมอง

    หลังจากแต่งตัวและเก็บข้าวของต่าง ๆ ใส่เป้เรียบร้อยดีแล้วผมจึงเดินไปหยิบเครื่องมือสื่อสารที่หน้าจอราวจนแทบจะเรียกได้ว่าแหลกละเอียดขึ้นมาเปิดดูข้อความ

    พ่อ : แพมจะมาทานข้าวด้วย

    พ่อ : รีบกลับมาบ้าน น้องอยากเจอ

    น้องเหรอ?

    ผมได้แต่ทวนถามคำนั้นอยู่ในใจ

    จำได้ว่าแม่คลอดผมออกมาแค่คนเดียว ผมไม่ได้มีน้องสักหน่อย ลูกสาวของพิมพาผมไม่นับเป็นน้องหรอกนะ แม้ว่าพ่อจะยัดเยียดให้แค่ไหนก็ตาม

    ผมอ่านข้อความนั้น

    ทว่าไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

    ได้แต่ถือโทรศัพท์เครื่องซอมซ่อไว้ในมือ ซ้ำยังเผลอออกแรงบีบมันแน่นเพื่อกักเก็บอารมณ์ร้าย ๆ ที่พร้อมจะประทุอยู่ทุกเมื่อ

    ตุบ!

    กระเป๋าเป้ใบเหี่ยวถูกผมเหวี่ยงลงเตียงพร้อม ๆ กับโทรศัพท์

    ไม่กลับแล้ว

    ผมทิ้งโทรศัพท์กับข้าวของไว้ในห้องนอนแล้วเดินอาด ๆ ออกไปนอกห้อง

    กึก!

    ทันทีที่ผมหยุดการเคลื่อนที่ลงตรงโซนนั่งเล่นที่นะโมนั่งอยู่ดวงตาคมสวยก็กวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้า มุมปากหยักยกยิ้มนิด ๆ มันเป็นรอยยิ้มที่ชวนหงุดหงิดไม่น้อย

    ขออยู่ด้วยอีกสักพัก

    หนังสือเล่มบางถูกปิดลงก่อนที่เจ้าของห้องจะเอนกายไปพิงพนักโซฟาด้วยท่าทางสบาย ๆ

    สีหน้านะโมดูพอใจมากที่ได้ยินผมบอกแบบนั้น

    จริง ๆ เธออยู่ตลอดไปพี่ก็ไม่ได้ว่านะ

    “…”

    ดีซะอีก

    แค่แป๊บเดียวผมสวนกลับนิ่ง ๆ

    งั้น แป๊บนาน ๆ หน่อยนะหนังสือในมือใหญ่ถูกเปิดอีกครั้ง ทว่าสายตาของนะโมก็ยังไม่ละไปจากหน้าผมเพื่ออ่านมันสักที

    ขอยืมคอมหน่อยได้มั้ย

    อยู่ในห้องนอน ไปหยิบสิ

    มีเน็กฟลิกซ์ป้ะ

    “…”

    ต้องทำงานส่งอาจารย์

    “…” นะโมเลิกคิ้วสูงเชิงถาม

    วิเคราะห์หนัง

    อยากดูเรื่องไร

    ได้หมด

    แค่วิเคราะห์ให้มันจบ ๆ ไป หนังอะไร แนวไหนอาจารย์ไม่ได้กำหนดมาให้ จะหนังเก่าเคยดูแล้วหรือหนังใหม่ก็ตามใจคนวิเคราะห์ เกณฑ์การให้คะแนนไม่ได้อยู่ที่ตัวหนังแต่อยู่ที่บทวิเคราะห์

    นั่นเลยทำให้ผมคิดว่าหากเป็นหนังเก่าที่เคยดูไปแล้วก็ต้องกลับมานั่งดูใหม่เพื่อวิเคราะห์อยู่ดี

    งั้นพี่ดูด้วยได้เปล่า

    “…”

    เขาไม่จำเป็นต้องขออนุญาตด้วยซ้ำ

    นี่ห้องเขานะ

    เงียบแปลว่าตกลงเนอะ

    “…”

    งั้นพี่เปิดหนังรอ เธอไปยิบแมคบุ๊คเถอะ

    คนเป็นพี่วางหนังสือในมือไว้บนโต๊ะกระจกตัวเตี้ยที่อยู่ตรงหน้าแล้วเลือกหยิบรีโมททีวี

    ผมเดินเข้าห้องนะโมแล้วตรงไปยังโต๊ะทำงานทันทีเพื่อหยิบแมคบุ๊ค ห้องเขาสะอาดสะอ้านดีมาก ข้าวของภายในห้องส่วนใหญ่เป็นสีขาว

    มันเป็นสีที่เหมาะกับเขานะ

    ฟุบ!

    หลังจากหอบแมคบุ๊คออกมาจากห้องนะโมได้แล้วผมก็ทิ้งตัวลงนั่งโซฟาตัวเดียวกับเขา โดยวางแมคบุ๊คคั่นกลางระหว่างเราเอาไว้

    หนังไรอะ

    “The Conjuring

    ฉิบหาย

    หนังผี

    จำได้ว่าเคยดูเรื่องนี้ไปแล้ว มีฉากจั้มสแกร์อยู่หลายฉาก ตอนไปดูคนเดียวในโรงภาพยนตร์ผมปิดตาแทบจะทั้งเรื่อง หายใจไม่ทั่วท้องเลยระหว่างดู

    ดูเรื่องอื่นได้ป้ะ

    ทำไมอะ

    “…”

    กลัวผีเหรอ

    เปล่าผมปฏิเสธทันควัน แค่ไม่ชอบ

    เธอเคยดูป้ะ

    เคย

    มันสนุกป้ะ

    ก็งั้น ๆ

    ผมจำเนื้อเรื่องหรือรายละเอียดหนังไม่ได้หรอก เพราะตลอดการฉายไม่ได้ใส่ใจดูมากนัก แต่ก็พอจำพล็อตได้อยู่

    เหรอ

    “…”

    พี่ไม่เคยดูน่ะ

    “…”

    งั้นเธอจะดูเรื่องไหนรีโมทสีดำสนิทถูกยื่นมาตรงหน้า เลือกเลย

    ผมจับจ้องนะโมอยู่ครู่หนึ่งก็ต้องพรูลมหายใจออกมาเบา ๆ

    ดูเรื่องนี้แหละ

    อ้าว

    ไม่เคยดูไม่ใช่หรือไง

    นะโมชะงักไปครู่ใหญ่ก่อนจะได้สติแล้วทวนถาม

    นี่กำลังตามใจพี่อยู่เหรอ

    “…”

    ตามใจพี่อยู่ใช่มั้ย

    ถามมากผมตัดรำคาญด้วยการด่าเขาแบบไม่จริงจัง จะดูมั้ยหนัง

    ตอบให้ชื่นใจหน่อยไม่ได้หรือไง

    “…” ผมปรายตามองนะโมนิ่ง ๆ โดยไม่พูดอะไร

    ทำไมเขาต้องพูดมากแค่เวลาอยู่กับผมด้วยนะ มันไม่ได้ทำให้รู้สึกพิเศษเลย กลับกันความรู้สึกมันเอียงไปทางรำคาญเสียด้วยซ้ำ

    ก็ได้ ๆ

    “…”

    ไม่ถามแล้วก็ได้

    “…”

    พี่สรุปว่าเธอตามใจพี่แล้วกัน

    กล้าที่จะพูดเองเออเองนะ

    แต่ก็เถียงไม่ได้ เพราะครั้งนี้ผมตามใจเขาจริง ๆ

    ผมไม่ชอบดูหนังผี แต่ครั้งนี้จะยอมดูด้วยก็ได้ เห็นว่าเขาเป็นเจ้าของห้อง ซ้ำยังให้ผมยืมคอมใช้งานเฉย ๆ หรอกนะ ทั้งหมดที่ทำ มันไม่ได้มีความหมายอะไรเกินไปกว่านั้น

    ผมเลิกสนใจนะโมแล้วจดจ่ออยู่ที่หน้าจออย่างเดียว

    เราทั้งคู่ปล่อยให้หนังดำเนินไปเรื่อย ๆ โดยไม่พูดอะไรกัน

    มันเป็นหนังที่ผมเคยดูผ่าน ๆ มาแล้วเลยรู้ว่าตอนไหนที่ทำให้ตกใจบ้าง

    ขาทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมาไว้บนโซฟาเพราะรู้สึกวูบโหวง

    กลัวเหรอนะโมถามเบา ๆ

    เปล่า

    แน่เหรอ…”

    “…” การถามย้ำที่เหมือนล้อเลียนนั้นทำให้ผมหันไปจ้องเขาตาแข็ง

    ขยับมาใกล้ ๆ ได้นะ

    ไม่

    งั้น…”

    เจ้าของห้องทำท่าจะขยับเข้ามาใกล้ ทว่าก็ขยับมาไม่ได้เพราะผมใช้เท้ายันสีข้างแล้วขู่เขาเอาไว้ก่อน

    ถ้าขยับเข้ามา ถีบจริง

    เธอไม่ทำหรอก

    “…”

    นะโมรู้จักผมน้อยไป

    ร่างหนาฝืนคำเตือนด้วยการหยิบแมคบุ๊คที่คั่นอยู่ตรงกลางไปวางบนโต๊ะกระจกตรงหน้าแล้วขยับเข้ามาใกล้

    ตุบ!

    แน่นอนว่าผมไม่ได้พูดเล่น

    ออกแรงถีบจนเจ้าของห้องโอนเอนไปอยู่อีกฟากของโซฟาทันที

    เธอทำว่ะ

    ใช่ ผมทำ

    นะโมไม่ได้โวยวาย แต่ก็ทำสีหน้าให้ผมรู้สึกได้ว่าเขากำลังเซ็ง

    จะดูด้วยก็นั่งห่าง ๆ

    “…”

    อยู่เงียบ ๆ

    “…”

    ไม่งั้นก็ออกไป

    ไล่เลยเหรอ

    ไล่

    คนเป็นพี่เงียบไปครู่หนึ่ง เขานั่งไขว้ขาขณะวางแขนขนานไปบนพนักพิงโซฟา ท่าทางของเขาดูสบายอารมณ์ ขัดกับสถานการณ์ระหว่างเรามาก

    งั้นพี่จะอยู่เงียบ ๆ

    พอได้ยินเช่นนั้นผมก็ละสายตาจากรุ่นพี่แล้วกลับมาสนใจหนังบนจออีกรอบ

    จริง ๆ แล้วผมไม่มีสิทธิ์ไล่นะโมไปไหนหรอก แต่ที่พูดไปแบบนั้นเพราะรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องเป็นฝ่ายแพ้ให้

    พอรู้ว่าเขาต้องการอะไร มันก็ไม่ยากที่จะคาดเดา

    ผมก็มองเขาออกทะลุปรุโปร่ง

    เรานั่งดูหนังด้วยกันจนจบ ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง

    ผมสะดุ้งแล้วสะดุ้งอีกกับฉากจั้มสแกร์หลาย ๆ ฉาก แสดงอาการตกใจหลายครั้งจนนะโมหลุดขำเลยล่ะ

    จะไปทำงานในห้องหลังจากหนังจบลงผมก็บอกรุ่นพี่พลางหยิบแมคบุ๊คแล้วยันตัวลุกขึ้นเต็มความสูง

    อ้าว ไม่ทำตรงนี้ล่ะ

    เบื่อหน้า

    หน้าใคร

    “…” ผมไม่ได้ตอบ แค่มองหน้านะโมอยู่อย่างนั้นไม่ละไปไหน

    อ๋อ หน้าพี่

    “…” ทั้ง ๆ ที่เขาก็รู้อยู่แก่ใจ ไม่รู้ทำไมยังถามให้ต้องตอกย้ำ

    พิลึกคน

    งั้นไปเหอะ

    “…”

    ผมเดินแยกตัวออกมาทันทีที่รุ่นพี่บอกแบบนั้น

    จริง ๆ แล้วผมไม่ได้เบื่อหน้าเขาหรอกนะ แค่อยากมีสมาธิกับงาน

    หลังจากเข้าห้องมาพักหนึ่งผมก็ลงมือทำงานอยู่ตรงโต๊ะทำงานโลง ๆ ที่ดูเหมือนไม่เคยถูกใช้งานเลย ผมวิเคราะห์ฉากต่าง ๆ ของหนังที่เพิ่งดูไปเมื่อครู่ เพ่งสมาธิอยู่แค่กับงานโดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านมานานเท่าไหร่ กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

    ก๊อก ๆ

    แกร๊ก!

    เจ้าของห้องเปิดประตูเข้ามาหลังจากเคาะพอเป็นพิธี

    พี่เอาน้ำส้มกับขนมมาให้

    บริการดีไปไหนวะ

    ขอบใจ

    ใกล้เสร็จยัง

    ยัง

    เย็นนี้ไปกินข้าวกันนะ

    ไม่ผมปฏิเสธแบบไม่ต้องคิด

    ให้ตอบใหม่

    “…”

    ใช้เวลาคิดสักสามนาทีก็ได้ พี่ไม่ว่า

    ไม่ไป

    คำตอบของผมยังเหมือนเดิม

    มันไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมต้องไปกับเขา

    ส่งงานเสร็จก็จะกลับบ้านแล้ว

    พี่เลี้ยง

    “…” ผมหันไปมองคนตัวใหญ่ที่กำลังยืนพิงโต๊ะอย่างไม่เข้าใจ จะตื๊อทำไมในเมื่อผมปฏิเสธชัดเจนแล้ว

    นะ

    ไม่

    “…”

    ตื๊ออะไรนักหนา

    ก็กินข้าวกับเธอมันอร่อยนี่นา

    หวานหยด

    หมายถึงสายตานะโมน่ะ หวานหยดเลย

    หากเป็นคนอื่นจังหวะนี้คงใจสั่นไม่ไหว ทว่าผมไม่ใช่คนประเภทที่จะใจสั่นกับอะไรแบบนั้น

    ออกไป จะทำงาน

    ไม่มีสิทธิ์ไล่

    แต่จะไล่

    ให้มันรู้ไปสิว่าเขาจะตื๊อต่อ

    จะไม่ไปด้วยกันจริงเหรอ

    นะโมผมกดเสียงต่ำใส่เพราะเริ่มรู้สึกรำคาญเขาจริง ๆ แล้ว

    ครับ ๆ ไปแล้ว

    แม้สีหน้าจะดูเซ็งแต่เจ้าของห้องก็ยอมโอนอ่อนให้ง่าย ๆ นะโมผละออกไปจากโต๊ะทำงานแล้วเดินตรงไปที่ประตูเพื่อออกจากห้องทันที

    ผมทำตัวอย่างกับเป็นเจ้าของห้องแหนะ

    มันจะไม่เกิดขึ้นเลยหากนะโมคัดค้านสักหน่อย

    เขายอมผมง่ายไป ยอมง่ายไปหมดเสียทุกอย่าง

     

    ☁☁☁

     

    ผมใช้เวลาทำงานอยู่ห้องนะโมนานพอสมควร

    เวลาช่วงบ่ายทั้งหมดนั่นแหละที่ผมอยู่ห้องเขา

    หลังจากส่งงานผ่านอีเมลให้อาจารย์แล้วผมก็กลับบ้าน นะโมอาสามาส่ง ทว่าผมก็ปฏิเสธไปอย่างเดิม ไม่อยากมีอะไรติดค้างกับเขาน่ะ

    ผมลงแท็กซี่ที่หน้าปากซอย แล้วแวะซื้อโรตีเหมือนอย่างเคย

    ระหว่างรอผมก็ควักโทรศัพท์ขึ้นมาเช็ก

    มีข้อความจากพ่อเร่งให้กลับบ้านเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว

    ผมทำเมินเฉยใส่ข้อความนั้นแล้วกดเข้าอินสตาแกรมเพื่อเช็กว่าแพมยังอยู่ที่บ้านไหม

    แม้จะไม่ชอบ ทว่าเราก็ฟอลกันใน ig

    ไม่รู้หรอกว่าเธอฟอลผมเพราะอะไร แต่ผมแค่ฟอลเธอเพราะอยากรู้ความเคลื่อนไหวเวลาเธอมาบ้านเหมือนอย่างวันนี้ แพมมักจะโพสต์รูปหรือไม่ก็ ig story อัปเดตชีวิตบ่อย ๆ เคลื่อนไหวไปไหนหรือทำอะไรก็ต้องอัปตลอด

    เมื่อสิบนาทีที่แล้ว

    คุณพ่อทำของโปรดให้ทานด้วยยยย

    คำบรรยายวีดีโอที่เธอโพสต์ใน ig story ทำให้ผมกลอกตาเป็นเลขแปด

    คุณพ่อ?

    เหอะ

    ในวีดีโอนั้นมันเป็นการถ่ายอาหารที่เรียงรายอยู่เต็มโต๊ะแล้วแพลนกล้องไปหาพิมพาและพ่อ

    ไม่มีผมก็กินข้าวกันได้นี่

    ไม่จำเป็นต้องชวนผมให้เสียเวลาสักนิด

    ผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงเมื่อรู้ว่าแพมยังอยู่ที่บ้าน รับโรตีแล้วจ่ายเงิน จากนั้นก็เดินเข้าร้านเกมที่อยู่ใกล้ ๆ ปล่อยให้ครอบครัวเขาได้มีความสุขกันไปเถอะ

    ผมยอมลำบากอีกหน่อยก็ได้

    ไง ไอ้ตัวแสบเสียงห้าวหาญเอ่ยทักทันทีที่ผมก้าวเข้ามาในร้าน หายหน้าเลยนะช่วงนี้

    เจ้าของเสียงที่นั่งอยู่หลังจอคอมพ์มีชื่อว่า เจ๋เธอเป็นรุ่นพี่ผู้หญิงที่ผมรู้จัก และเป็นเจ้าของร้านเกมแห่งนี้ เรารู้จักกันตั้งแต่ผมขึ้นมัธยมปลาย เพราะมักจะโดดเรียนมาเล่นเกมบ่อย ๆ

    บางครั้งทะเลาะกับพ่อผมก็มาลี้ภัยที่นี่

    พี่เจ๋เปิดร้านเกมตั้งแต่สมัยเธอยังเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนี้จบออกมาแล้วร้านก็ยังไม่เจ๊ง

    จะเจ๊งหรือไม่เจ๊งพี่มันก็ไม่ได้แคร์เท่าไหร่หรอก เหมือนเปิดเอาสนุกมากกว่า บ้านพี่มันรวยจะตายห่า ถึงล้มก็ล้มบนฟูก แบ็คดีมีอะไรต้องกังวลอีกล่ะ จริงไหม?

    ช่วงนี้ยุ่ง

    ใช่เปล่า ไม่ใช่ติดสาวนะ

    ติดสาวไรไม่มีหรอก

    อย่ามาโม้ กูเห็นมาส่งออกจะบ่อย

    “…”

    รถหรูด้วยนะประเด็น

    นั่นเพื่อนเหอะ

    สาวที่พี่เจ๋กำลังพูดถึงคือยัยเตย พักหลังมานี้เธอมักจะชวนผมไปเดินห้างเป็นเพื่อนบ่อย ๆ เลยชอบมาแวะส่งที่ปากซอยเป็นประจำ

    แน่ใจเหรอพ่อหนุ่ม

    จะแซวให้ได้อะไรเนี่ย

    คนเป็นพี่ไหวไหล่ใส่ก่อนจะถามเปลี่ยนประเด็นไปง่าย ๆ

    วันนี้เอากี่ชั่วโมง

    สิบ

    มึงจะอยู่นานขนาดนั้นเลยหรือไง

    ไม่รู้ซื้อสิบชั่วโมงก็ใช่ว่าผมจะเล่นหมดวันนี้เสียหน่อย

    ทะเลาะกับพ่อมาอีกเหรอ

    ขี้เสือก

    เด็กเวร เจ้าของร้านด่าพร้อมกับมองผมตาเขียวขณะเดียวกันก็ยื่นบัตรล็อกอินมาให้

    โค้กขวด แล้วก็มาม่าถ้วยผมสั่งเพิ่มเพราะยังไม่ได้ทานข้าว

    หากตกลงไปทานข้าวกับนะโมผมคงไม่ต้องมาจบที่การกินมาม่าแบบนี้

    แต่ก็ช่างเถอะ

    มาม่าก็ไม่ได้แย่หรอก

    บริการตัวเอง

    ผมเป็นลูกค้าวีไอพีนะ

    บริการตัวเอง

    เจ๋…” ผมเรียกอีกคนด้วยชื่อเฉย ๆ

    อาจจะดูเหมือนไม่เคารพ แต่ไม่ใช่เลย ผมเคารพเธอ แค่กวนตีนเฉย ๆ

    ปีเกิดมันเป็นแค่ตัวเลขเนาะแม้ปากจะพูดประชดประชันทว่าเจ้าของร้านก็ยอมลุกขึ้นไปจัดแจงของที่สั่งมาให้

    ผมหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ตัวประจำที่อยู่ใกล้ ๆ กับคอมพ์เจ้าของร้าน ปลดเป้สะพายหลังออกแล้วล็อกอินรหัสเพื่อเปิดเพลงฟังรอพี่เจ๋ต้มมาม่าให้

    ระหว่างนั้นก็กินโรตีรอ

    ขอปักหลักอยู่นี่สักพักแล้วกัน

     

    ☁☁☁

     

    หลายวันผ่านไป

    @ห้างC

    เอาชาเขียวอัลมอนด์ไซซ์เอ็มครับ

    ชาเขียวอัลมอนด์ไซซ์เอ็มนะคะพนักงานร้านไอศกรีมทวนออเดอร์ก่อนจะว่าเสริม ห้าสิบบาทค่ะ

    ผมจ่ายเงินและรับเงินทอนจากพนักงานสาวก่อนจะก้าวออกมายืนรอรับไอศกรีมอีกฝั่ง

    เรียนเสร็จยัยเตยก็ลากผมให้พามาทำสีผมใหม่ นั่งรอในร้านหลายชั่วโมงแล้วก็ยังไม่เสร็จสักทีผมเลยหนีออกมาหาอะไรกินรอ เดี๋ยวต้องใช้พลังงานอีกเยอะ

    ยัยนี่ไม่จบแค่มาทำสีผมหรอก

    เดี๋ยวต้องไปนั่นไปนี่อีกแน่ ๆ

    แต่ก็ดีเหมือนกัน ผมไม่ค่อยรีบกลับบ้านเท่าไหร่หรอก

    ไง…” เสียงทักแสนคุ้นหูทำให้ผมต้องหันขวับไปมองจนคอแทบหัก

    “…”

    เป็นนะโมจริง ๆ ด้วย

    รุ่นพี่อยู่ในชุดไปรเวท เสื้อยืดสีขาวสะอาดตาคลุมทับด้วยแจ็คเก็ตยีนส์ บวกด้วยกางเกงยีนส์ขาดเข่าแบบมีสไตล์ สะพายกล้องฟิล์ม ทรงผมไม่ได้เซ็ต ทั้งหมดมันดูลงตัว

    ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาดูดี

    เป็นการแต่งตัวที่ไม่ได้มากมาย

    แต่ดูดีมากมาย

    บังเอิญจังนะโมส่งยิ้มใจดีให้

    “…”

    ผมมองอย่างไม่ค่อยเชื่อใจ

    ไม่รู้ว่ามันเป็นความบังเอิญจริง ๆ หรือเปล่า

    มาทำอะไรน่ะเรา

    ใส่บาตรผมประชด

    ก็เห็น ๆ อยู่ว่ามาซื้อไอติม

    นะโมมองผมเหมือนอยากด่า ทว่าก็เงียบไปเฉย ๆ

    ชาเขียวอัลมอนด์ได้แล้วค่ะ

    ผมรับไอศกรีมแล้วเดินออกจากบริเวณหน้าร้านทันที แม้จะมีเสียงเรียกไล่หลังมาก็ไม่ได้แยแส

    รอพี่ด้วยสิ

    ใครจะไปรอ บ้าหรือเปล่า

    เราไม่ได้มาด้วยกันเสียหน่อย

    ผมเดินกลับทางเดิมเพื่อไปหาเตยที่ร้านทำผม ระหว่างทางนะโมก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมาจนทัน เขาถือแก้วไอศกรีมรสสตรอว์เบอร์รี่เดินเคียงอยู่ข้าง ๆ ผม

    ตามมาทำไม

    ไปด้วยได้มั้ย

    ไม่ได้ จะไปหาเตย

    มาทำอะไรกัน

    พาเตยมาทำผม

    แล้วไปไหนต่อ

    นี่!” ผมชะงักฝีเท้าลงแล้วหันไปสบตากับนะโมตรง ๆ วอแวอะไรนักหนา

    “…”

    เหงาหรือไง

    มันหงุดหงิดในใจจนเผลอใส่อารมณ์เกินไปตอนที่ถาม

    “…” คนเป็นพี่ไม่ได้ตอบอะไร แต่สีหน้าดูไม่ดีเลย

    ไม่ได้ดูไม่พอใจ

    แต่เป็นสีหน้าแบบกำลังถอดใจมากกว่า

    ผมพรูลมหายใจเบา ๆ อย่างนึกยอมแพ้

    ขอโทษ

    “…”

    ไม่ได้จะใส่อารมณ์ขนาดนั้น มันเป็นไปเอง

    พลังงานลบ ๆ ในตัวผมมันเยอะมาก บางครั้งก็ห้ามไม่อยู่เลยเผลอปล่อยใส่คนอื่น

    ไม่ได้ตั้งใจ

    มันเป็นไปเอง

    พี่วอแวเธอเกินไปเองแหละ

    “…”

    ไปเหอะ เดี๋ยวพี่กลับแล้ว

    สีหน้าที่ดูหม่นลงอย่างเห็นได้ชัดของนะโมกำลังทำให้ผมรู้สึกผิด

    หมับ!

    ก่อนที่คนเป็นพี่จะได้หันหลังเดินจากไปผมก็คว้าชายเสื้อเขาไว้ได้ทัน นะโมหันมามองผมนิ่ง ๆ แล้วเลิกคิ้วเชิงถาม

    โกรธมั้ย

    “...” เขาส่ายหน้าเบา ๆ เป็นคำตอบ

    ไปเดินด้วยกันก่อนก็ได้

    “…”

    เตยยังทำผมไม่เสร็จหรอก

    “…” นะโมไม่ได้ตอบกลับในทันที ใบหน้าคนเป็นพี่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม

    ตอนทำหน้าหม่น ๆ ก็ชวนให้รู้สึกผิดอยู่หรอก

    แต่ตอนนี้ชักจะหมั่นไส้แล้ว

    อย่ายิ้มแบบนั้นได้ป้ะ มันน่าหมั่นไส้”




    tbc.
    สกรีมแท็ก #สภาวะลืมรัก เลยคับ

    อ่านแล้วอย่าลืมส่งฟีดแบคให้เราด้วยน๊า
    T____T

    (ยังไม่ตรวจคำผิดนะคะ ถ้าเจอเม้นบอกได้)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×