คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 03 | อัปครบ
**คำเตือน**
นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหา คำพูด การกระทำ และฉากที่ไม่เหมาะสม
ไม่ควรลอกเลียนแบบ ตรรกะความคิดของตัวละครผิดเพี้ยนไปตามคาแรคเตอร์
ผู้อ่านควรมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
และผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ
| บทที่ 03 | |
อาบน้ำชำระร่างกายเสร็จผมก็หยิบเสื้อผ้านะโมมาสวม
เสื้อเขามันค่อนข้างหลวมเมื่อมาอยู่บนตัวผม
แม้ส่วนสูงจะไม่ได้ต่างกันมากแต่ขนาดตัวผมเทียบเขาไม่ได้เลย
แหงล่ะ เขาสูงและร่างกายสมส่วนที่สุดในกลุ่มเพื่อนเลยนี่
แต่ก็ช่างเถอะ
ในเมื่อมันจำเป็นก็ต้องใส่หลวม ๆ
แบบนี้แหละ
ครืด! ครืด!
โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่หัวเตียงสั่นครืดเรียกความสนใจให้ผมหันไปมอง
หลังจากแต่งตัวและเก็บข้าวของต่าง ๆ
ใส่เป้เรียบร้อยดีแล้วผมจึงเดินไปหยิบเครื่องมือสื่อสารที่หน้าจอราวจนแทบจะเรียกได้ว่าแหลกละเอียดขึ้นมาเปิดดูข้อความ
พ่อ : แพมจะมาทานข้าวด้วย
พ่อ : รีบกลับมาบ้าน น้องอยากเจอ
น้องเหรอ?
ผมได้แต่ทวนถามคำนั้นอยู่ในใจ
จำได้ว่าแม่คลอดผมออกมาแค่คนเดียว
ผมไม่ได้มีน้องสักหน่อย ลูกสาวของพิมพาผมไม่นับเป็นน้องหรอกนะ แม้ว่าพ่อจะยัดเยียดให้แค่ไหนก็ตาม
ผมอ่านข้อความนั้น
ทว่าไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
ได้แต่ถือโทรศัพท์เครื่องซอมซ่อไว้ในมือ
ซ้ำยังเผลอออกแรงบีบมันแน่นเพื่อกักเก็บอารมณ์ร้าย ๆ ที่พร้อมจะประทุอยู่ทุกเมื่อ
ตุบ!
กระเป๋าเป้ใบเหี่ยวถูกผมเหวี่ยงลงเตียงพร้อม
ๆ กับโทรศัพท์
ไม่กลับแล้ว
ผมทิ้งโทรศัพท์กับข้าวของไว้ในห้องนอนแล้วเดินอาด
ๆ ออกไปนอกห้อง
กึก!
ทันทีที่ผมหยุดการเคลื่อนที่ลงตรงโซนนั่งเล่นที่นะโมนั่งอยู่ดวงตาคมสวยก็กวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้า
มุมปากหยักยกยิ้มนิด ๆ … มันเป็นรอยยิ้มที่ชวนหงุดหงิดไม่น้อย
“ขออยู่ด้วยอีกสักพัก”
หนังสือเล่มบางถูกปิดลงก่อนที่เจ้าของห้องจะเอนกายไปพิงพนักโซฟาด้วยท่าทางสบาย
ๆ
สีหน้านะโมดูพอใจมากที่ได้ยินผมบอกแบบนั้น
“จริง ๆ เธออยู่ตลอดไปพี่ก็ไม่ได้ว่านะ”
“…”
“ดีซะอีก”
“แค่แป๊บเดียว” ผมสวนกลับนิ่ง ๆ
“งั้น … แป๊บนาน ๆ หน่อยนะ”
หนังสือในมือใหญ่ถูกเปิดอีกครั้ง
ทว่าสายตาของนะโมก็ยังไม่ละไปจากหน้าผมเพื่ออ่านมันสักที
“ขอยืมคอมหน่อยได้มั้ย”
“อยู่ในห้องนอน ไปหยิบสิ”
“มีเน็กฟลิกซ์ป้ะ”
“…”
“ต้องทำงานส่งอาจารย์”
“…” นะโมเลิกคิ้วสูงเชิงถาม
“วิเคราะห์หนัง”
“อยากดูเรื่องไร”
“ได้หมด”
แค่วิเคราะห์ให้มันจบ ๆ ไป หนังอะไร
แนวไหนอาจารย์ไม่ได้กำหนดมาให้ จะหนังเก่าเคยดูแล้วหรือหนังใหม่ก็ตามใจคนวิเคราะห์
เกณฑ์การให้คะแนนไม่ได้อยู่ที่ตัวหนังแต่อยู่ที่บทวิเคราะห์
นั่นเลยทำให้ผมคิดว่าหากเป็นหนังเก่าที่เคยดูไปแล้วก็ต้องกลับมานั่งดูใหม่เพื่อวิเคราะห์อยู่ดี
“งั้นพี่ดูด้วยได้เปล่า”
“…”
เขาไม่จำเป็นต้องขออนุญาตด้วยซ้ำ
นี่ห้องเขานะ
“เงียบแปลว่าตกลงเนอะ”
“…”
“งั้นพี่เปิดหนังรอ เธอไปยิบแมคบุ๊คเถอะ”
คนเป็นพี่วางหนังสือในมือไว้บนโต๊ะกระจกตัวเตี้ยที่อยู่ตรงหน้าแล้วเลือกหยิบรีโมททีวี
ผมเดินเข้าห้องนะโมแล้วตรงไปยังโต๊ะทำงานทันทีเพื่อหยิบแมคบุ๊ค
ห้องเขาสะอาดสะอ้านดีมาก ข้าวของภายในห้องส่วนใหญ่เป็นสีขาว
มันเป็นสีที่เหมาะกับเขานะ
ฟุบ!
หลังจากหอบแมคบุ๊คออกมาจากห้องนะโมได้แล้วผมก็ทิ้งตัวลงนั่งโซฟาตัวเดียวกับเขา
โดยวางแมคบุ๊คคั่นกลางระหว่างเราเอาไว้
“หนังไรอะ”
“The
Conjuring”
ฉิบหาย
หนังผี
จำได้ว่าเคยดูเรื่องนี้ไปแล้ว มีฉากจั้มสแกร์อยู่หลายฉาก
ตอนไปดูคนเดียวในโรงภาพยนตร์ผมปิดตาแทบจะทั้งเรื่อง หายใจไม่ทั่วท้องเลยระหว่างดู
“ดูเรื่องอื่นได้ป้ะ”
“ทำไมอะ”
“…”
“กลัวผีเหรอ”
“เปล่า” ผมปฏิเสธทันควัน “แค่ไม่ชอบ”
“เธอเคยดูป้ะ”
“เคย”
“มันสนุกป้ะ”
“ก็งั้น ๆ”
ผมจำเนื้อเรื่องหรือรายละเอียดหนังไม่ได้หรอก
เพราะตลอดการฉายไม่ได้ใส่ใจดูมากนัก แต่ก็พอจำพล็อตได้อยู่
“เหรอ”
“…”
“พี่ไม่เคยดูน่ะ”
“…”
“งั้นเธอจะดูเรื่องไหน” รีโมทสีดำสนิทถูกยื่นมาตรงหน้า
“เลือกเลย”
ผมจับจ้องนะโมอยู่ครู่หนึ่งก็ต้องพรูลมหายใจออกมาเบา ๆ
“ดูเรื่องนี้แหละ”
“อ้าว”
“ไม่เคยดูไม่ใช่หรือไง”
นะโมชะงักไปครู่ใหญ่ก่อนจะได้สติแล้วทวนถาม
“นี่กำลังตามใจพี่อยู่เหรอ”
“…”
“ตามใจพี่อยู่ใช่มั้ย”
“ถามมาก” ผมตัดรำคาญด้วยการด่าเขาแบบไม่จริงจัง “จะดูมั้ยหนัง”
“ตอบให้ชื่นใจหน่อยไม่ได้หรือไง”
“…”
ผมปรายตามองนะโมนิ่ง ๆ โดยไม่พูดอะไร
ทำไมเขาต้องพูดมากแค่เวลาอยู่กับผมด้วยนะ
มันไม่ได้ทำให้รู้สึกพิเศษเลย กลับกันความรู้สึกมันเอียงไปทางรำคาญเสียด้วยซ้ำ
“ก็ได้ ๆ”
“…”
“ไม่ถามแล้วก็ได้”
“…”
“พี่สรุปว่าเธอตามใจพี่แล้วกัน”
กล้าที่จะพูดเองเออเองนะ
แต่ก็เถียงไม่ได้ เพราะครั้งนี้ผมตามใจเขาจริง ๆ
ผมไม่ชอบดูหนังผี แต่ครั้งนี้จะยอมดูด้วยก็ได้
เห็นว่าเขาเป็นเจ้าของห้อง ซ้ำยังให้ผมยืมคอมใช้งานเฉย ๆ หรอกนะ ทั้งหมดที่ทำ … มันไม่ได้มีความหมายอะไรเกินไปกว่านั้น
ผมเลิกสนใจนะโมแล้วจดจ่ออยู่ที่หน้าจออย่างเดียว
เราทั้งคู่ปล่อยให้หนังดำเนินไปเรื่อย ๆ โดยไม่พูดอะไรกัน
มันเป็นหนังที่ผมเคยดูผ่าน ๆ
มาแล้วเลยรู้ว่าตอนไหนที่ทำให้ตกใจบ้าง
ขาทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมาไว้บนโซฟาเพราะรู้สึกวูบโหวง
“กลัวเหรอ” นะโมถามเบา ๆ
“เปล่า”
“แน่เหรอ…”
“…”
การถามย้ำที่เหมือนล้อเลียนนั้นทำให้ผมหันไปจ้องเขาตาแข็ง
“ขยับมาใกล้ ๆ ได้นะ”
“ไม่”
“งั้น…”
เจ้าของห้องทำท่าจะขยับเข้ามาใกล้ ทว่าก็ขยับมาไม่ได้เพราะผมใช้เท้ายันสีข้างแล้วขู่เขาเอาไว้ก่อน
“ถ้าขยับเข้ามา … ถีบจริง”
“เธอไม่ทำหรอก”
“…”
นะโมรู้จักผมน้อยไป
ร่างหนาฝืนคำเตือนด้วยการหยิบแมคบุ๊คที่คั่นอยู่ตรงกลางไปวางบนโต๊ะกระจกตรงหน้าแล้วขยับเข้ามาใกล้
ตุบ!
แน่นอนว่าผมไม่ได้พูดเล่น
ออกแรงถีบจนเจ้าของห้องโอนเอนไปอยู่อีกฟากของโซฟาทันที
“เธอทำว่ะ”
ใช่ … ผมทำ
นะโมไม่ได้โวยวาย
แต่ก็ทำสีหน้าให้ผมรู้สึกได้ว่าเขากำลังเซ็ง
“จะดูด้วยก็นั่งห่าง ๆ”
“…”
“อยู่เงียบ ๆ”
“…”
“ไม่งั้นก็ออกไป”
“ไล่เลยเหรอ”
“ไล่”
คนเป็นพี่เงียบไปครู่หนึ่ง
เขานั่งไขว้ขาขณะวางแขนขนานไปบนพนักพิงโซฟา ท่าทางของเขาดูสบายอารมณ์
ขัดกับสถานการณ์ระหว่างเรามาก
“งั้นพี่จะอยู่เงียบ ๆ”
พอได้ยินเช่นนั้นผมก็ละสายตาจากรุ่นพี่แล้วกลับมาสนใจหนังบนจออีกรอบ
จริง ๆ แล้วผมไม่มีสิทธิ์ไล่นะโมไปไหนหรอก แต่ที่พูดไปแบบนั้นเพราะรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องเป็นฝ่ายแพ้ให้
พอรู้ว่าเขาต้องการอะไร … มันก็ไม่ยากที่จะคาดเดา
ผมก็มองเขาออกทะลุปรุโปร่ง
เรานั่งดูหนังด้วยกันจนจบ ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง
ผมสะดุ้งแล้วสะดุ้งอีกกับฉากจั้มสแกร์หลาย ๆ ฉาก แสดงอาการตกใจหลายครั้งจนนะโมหลุดขำเลยล่ะ
“จะไปทำงานในห้อง” หลังจากหนังจบลงผมก็บอกรุ่นพี่พลางหยิบแมคบุ๊คแล้วยันตัวลุกขึ้นเต็มความสูง
“อ้าว … ไม่ทำตรงนี้ล่ะ”
“เบื่อหน้า”
“หน้าใคร”
“…” ผมไม่ได้ตอบ แค่มองหน้านะโมอยู่อย่างนั้นไม่ละไปไหน
“อ๋อ หน้าพี่”
“…”
ทั้ง ๆ ที่เขาก็รู้อยู่แก่ใจ ไม่รู้ทำไมยังถามให้ต้องตอกย้ำ
พิลึกคน
“งั้นไปเหอะ”
“…”
ผมเดินแยกตัวออกมาทันทีที่รุ่นพี่บอกแบบนั้น
จริง ๆ แล้วผมไม่ได้เบื่อหน้าเขาหรอกนะ
แค่อยากมีสมาธิกับงาน
หลังจากเข้าห้องมาพักหนึ่งผมก็ลงมือทำงานอยู่ตรงโต๊ะทำงานโลง
ๆ ที่ดูเหมือนไม่เคยถูกใช้งานเลย ผมวิเคราะห์ฉากต่าง ๆ
ของหนังที่เพิ่งดูไปเมื่อครู่ เพ่งสมาธิอยู่แค่กับงานโดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านมานานเท่าไหร่
กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ก๊อก ๆ
แกร๊ก!
เจ้าของห้องเปิดประตูเข้ามาหลังจากเคาะพอเป็นพิธี
“พี่เอาน้ำส้มกับขนมมาให้”
บริการดีไปไหนวะ
“ขอบใจ”
“ใกล้เสร็จยัง”
“ยัง”
“เย็นนี้ไปกินข้าวกันนะ”
“ไม่” ผมปฏิเสธแบบไม่ต้องคิด
“ให้ตอบใหม่”
“…”
“ใช้เวลาคิดสักสามนาทีก็ได้ พี่ไม่ว่า”
“ไม่ไป”
คำตอบของผมยังเหมือนเดิม
มันไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมต้องไปกับเขา
ส่งงานเสร็จก็จะกลับบ้านแล้ว
“พี่เลี้ยง”
“…” ผมหันไปมองคนตัวใหญ่ที่กำลังยืนพิงโต๊ะอย่างไม่เข้าใจ
จะตื๊อทำไมในเมื่อผมปฏิเสธชัดเจนแล้ว
“นะ”
“ไม่”
“…”
“ตื๊ออะไรนักหนา”
“ก็กินข้าวกับเธอมันอร่อยนี่นา”
หวานหยด
หมายถึงสายตานะโมน่ะ … หวานหยดเลย
หากเป็นคนอื่นจังหวะนี้คงใจสั่นไม่ไหว
ทว่าผมไม่ใช่คนประเภทที่จะใจสั่นกับอะไรแบบนั้น
“ออกไป จะทำงาน”
ไม่มีสิทธิ์ไล่
แต่จะไล่
ให้มันรู้ไปสิว่าเขาจะตื๊อต่อ
“จะไม่ไปด้วยกันจริงเหรอ”
“นะโม” ผมกดเสียงต่ำใส่เพราะเริ่มรู้สึกรำคาญเขาจริง
ๆ แล้ว
“ครับ ๆ ไปแล้ว”
แม้สีหน้าจะดูเซ็งแต่เจ้าของห้องก็ยอมโอนอ่อนให้ง่าย ๆ
นะโมผละออกไปจากโต๊ะทำงานแล้วเดินตรงไปที่ประตูเพื่อออกจากห้องทันที
ผมทำตัวอย่างกับเป็นเจ้าของห้องแหนะ
มันจะไม่เกิดขึ้นเลยหากนะโมคัดค้านสักหน่อย
เขายอมผมง่ายไป … ยอมง่ายไปหมดเสียทุกอย่าง
☁☁☁
ผมใช้เวลาทำงานอยู่ห้องนะโมนานพอสมควร
เวลาช่วงบ่ายทั้งหมดนั่นแหละที่ผมอยู่ห้องเขา
หลังจากส่งงานผ่านอีเมลให้อาจารย์แล้วผมก็กลับบ้าน
นะโมอาสามาส่ง ทว่าผมก็ปฏิเสธไปอย่างเดิม ไม่อยากมีอะไรติดค้างกับเขาน่ะ
ผมลงแท็กซี่ที่หน้าปากซอย แล้วแวะซื้อโรตีเหมือนอย่างเคย
ระหว่างรอผมก็ควักโทรศัพท์ขึ้นมาเช็ก
มีข้อความจากพ่อเร่งให้กลับบ้านเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว
ผมทำเมินเฉยใส่ข้อความนั้นแล้วกดเข้าอินสตาแกรมเพื่อเช็กว่าแพมยังอยู่ที่บ้านไหม
แม้จะไม่ชอบ … ทว่าเราก็ฟอลกันใน ig
ไม่รู้หรอกว่าเธอฟอลผมเพราะอะไร
แต่ผมแค่ฟอลเธอเพราะอยากรู้ความเคลื่อนไหวเวลาเธอมาบ้านเหมือนอย่างวันนี้
แพมมักจะโพสต์รูปหรือไม่ก็
ig story อัปเดตชีวิตบ่อย ๆ เคลื่อนไหวไปไหนหรือทำอะไรก็ต้องอัปตลอด
เมื่อสิบนาทีที่แล้ว
‘คุณพ่อทำของโปรดให้ทานด้วยยยย’
คำบรรยายวีดีโอที่เธอโพสต์ใน ig story ทำให้ผมกลอกตาเป็นเลขแปด
คุณพ่อ?
เหอะ
ในวีดีโอนั้นมันเป็นการถ่ายอาหารที่เรียงรายอยู่เต็มโต๊ะแล้วแพลนกล้องไปหาพิมพาและพ่อ
ไม่มีผมก็กินข้าวกันได้นี่
ไม่จำเป็นต้องชวนผมให้เสียเวลาสักนิด
ผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงเมื่อรู้ว่าแพมยังอยู่ที่บ้าน
รับโรตีแล้วจ่ายเงิน จากนั้นก็เดินเข้าร้านเกมที่อยู่ใกล้ ๆ ปล่อยให้ครอบครัวเขาได้มีความสุขกันไปเถอะ
ผมยอมลำบากอีกหน่อยก็ได้
“ไง ไอ้ตัวแสบ” เสียงห้าวหาญเอ่ยทักทันทีที่ผมก้าวเข้ามาในร้าน
“หายหน้าเลยนะช่วงนี้”
เจ้าของเสียงที่นั่งอยู่หลังจอคอมพ์มีชื่อว่า ‘เจ๋’
เธอเป็นรุ่นพี่ผู้หญิงที่ผมรู้จัก และเป็นเจ้าของร้านเกมแห่งนี้
เรารู้จักกันตั้งแต่ผมขึ้นมัธยมปลาย เพราะมักจะโดดเรียนมาเล่นเกมบ่อย ๆ
บางครั้งทะเลาะกับพ่อผมก็มาลี้ภัยที่นี่
พี่เจ๋เปิดร้านเกมตั้งแต่สมัยเธอยังเรียนมหาวิทยาลัย
ตอนนี้จบออกมาแล้วร้านก็ยังไม่เจ๊ง
จะเจ๊งหรือไม่เจ๊งพี่มันก็ไม่ได้แคร์เท่าไหร่หรอก
เหมือนเปิดเอาสนุกมากกว่า บ้านพี่มันรวยจะตายห่า ถึงล้มก็ล้มบนฟูก
แบ็คดีมีอะไรต้องกังวลอีกล่ะ จริงไหม?
“ช่วงนี้ยุ่ง”
“ใช่เปล่า ไม่ใช่ติดสาวนะ”
“ติดสาวไรไม่มีหรอก”
“อย่ามาโม้ กูเห็นมาส่งออกจะบ่อย”
“…”
“รถหรูด้วยนะประเด็น”
“นั่นเพื่อนเหอะ”
สาวที่พี่เจ๋กำลังพูดถึงคือยัยเตย
พักหลังมานี้เธอมักจะชวนผมไปเดินห้างเป็นเพื่อนบ่อย ๆ เลยชอบมาแวะส่งที่ปากซอยเป็นประจำ
“แน่ใจเหรอพ่อหนุ่ม”
“จะแซวให้ได้อะไรเนี่ย”
คนเป็นพี่ไหวไหล่ใส่ก่อนจะถามเปลี่ยนประเด็นไปง่าย ๆ
“วันนี้เอากี่ชั่วโมง”
“สิบ”
“มึงจะอยู่นานขนาดนั้นเลยหรือไง”
“ไม่รู้” ซื้อสิบชั่วโมงก็ใช่ว่าผมจะเล่นหมดวันนี้เสียหน่อย
“ทะเลาะกับพ่อมาอีกเหรอ”
“ขี้เสือก”
“เด็กเวร”
เจ้าของร้านด่าพร้อมกับมองผมตาเขียวขณะเดียวกันก็ยื่นบัตรล็อกอินมาให้
“โค้กขวด แล้วก็มาม่าถ้วย” ผมสั่งเพิ่มเพราะยังไม่ได้ทานข้าว
หากตกลงไปทานข้าวกับนะโมผมคงไม่ต้องมาจบที่การกินมาม่าแบบนี้
แต่ก็ช่างเถอะ
มาม่าก็ไม่ได้แย่หรอก
“บริการตัวเอง”
“ผมเป็นลูกค้าวีไอพีนะ”
“บริการตัวเอง”
“เจ๋…” ผมเรียกอีกคนด้วยชื่อเฉย ๆ
อาจจะดูเหมือนไม่เคารพ แต่ไม่ใช่เลย ผมเคารพเธอ … แค่กวนตีนเฉย
ๆ
“ปีเกิดมันเป็นแค่ตัวเลขเนาะ” แม้ปากจะพูดประชดประชันทว่าเจ้าของร้านก็ยอมลุกขึ้นไปจัดแจงของที่สั่งมาให้
ผมหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ตัวประจำที่อยู่ใกล้ ๆ
กับคอมพ์เจ้าของร้าน
ปลดเป้สะพายหลังออกแล้วล็อกอินรหัสเพื่อเปิดเพลงฟังรอพี่เจ๋ต้มมาม่าให้
ระหว่างนั้นก็กินโรตีรอ
ขอปักหลักอยู่นี่สักพักแล้วกัน
☁☁☁
หลายวันผ่านไป
@ห้างC
“เอาชาเขียวอัลมอนด์ไซซ์เอ็มครับ”
“ชาเขียวอัลมอนด์ไซซ์เอ็มนะคะ” พนักงานร้านไอศกรีมทวนออเดอร์ก่อนจะว่าเสริม
“ห้าสิบบาทค่ะ”
ผมจ่ายเงินและรับเงินทอนจากพนักงานสาวก่อนจะก้าวออกมายืนรอรับไอศกรีมอีกฝั่ง
เรียนเสร็จยัยเตยก็ลากผมให้พามาทำสีผมใหม่
นั่งรอในร้านหลายชั่วโมงแล้วก็ยังไม่เสร็จสักทีผมเลยหนีออกมาหาอะไรกินรอ
เดี๋ยวต้องใช้พลังงานอีกเยอะ
ยัยนี่ไม่จบแค่มาทำสีผมหรอก
เดี๋ยวต้องไปนั่นไปนี่อีกแน่ ๆ
แต่ก็ดีเหมือนกัน … ผมไม่ค่อยรีบกลับบ้านเท่าไหร่หรอก
“ไง…” เสียงทักแสนคุ้นหูทำให้ผมต้องหันขวับไปมองจนคอแทบหัก
“…”
เป็นนะโมจริง ๆ ด้วย
รุ่นพี่อยู่ในชุดไปรเวท เสื้อยืดสีขาวสะอาดตาคลุมทับด้วยแจ็คเก็ตยีนส์
บวกด้วยกางเกงยีนส์ขาดเข่าแบบมีสไตล์ สะพายกล้องฟิล์ม ทรงผมไม่ได้เซ็ต
ทั้งหมดมันดูลงตัว
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาดูดี
เป็นการแต่งตัวที่ไม่ได้มากมาย
แต่ดูดีมากมาย
“บังเอิญจัง” นะโมส่งยิ้มใจดีให้
“…”
ผมมองอย่างไม่ค่อยเชื่อใจ
ไม่รู้ว่ามันเป็นความบังเอิญจริง ๆ หรือเปล่า
“มาทำอะไรน่ะเรา”
“ใส่บาตร” ผมประชด
ก็เห็น ๆ อยู่ว่ามาซื้อไอติม
นะโมมองผมเหมือนอยากด่า ทว่าก็เงียบไปเฉย ๆ
“ชาเขียวอัลมอนด์ได้แล้วค่ะ”
ผมรับไอศกรีมแล้วเดินออกจากบริเวณหน้าร้านทันที
แม้จะมีเสียงเรียกไล่หลังมาก็ไม่ได้แยแส
“รอพี่ด้วยสิ”
ใครจะไปรอ บ้าหรือเปล่า
เราไม่ได้มาด้วยกันเสียหน่อย
ผมเดินกลับทางเดิมเพื่อไปหาเตยที่ร้านทำผม
ระหว่างทางนะโมก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมาจนทัน
เขาถือแก้วไอศกรีมรสสตรอว์เบอร์รี่เดินเคียงอยู่ข้าง ๆ ผม
“ตามมาทำไม”
“ไปด้วยได้มั้ย”
“ไม่ได้ จะไปหาเตย”
“มาทำอะไรกัน”
“พาเตยมาทำผม”
“แล้วไปไหนต่อ”
“นี่!” ผมชะงักฝีเท้าลงแล้วหันไปสบตากับนะโมตรง ๆ “วอแวอะไรนักหนา”
“…”
“เหงาหรือไง”
มันหงุดหงิดในใจจนเผลอใส่อารมณ์เกินไปตอนที่ถาม
“…”
คนเป็นพี่ไม่ได้ตอบอะไร แต่สีหน้าดูไม่ดีเลย
ไม่ได้ดูไม่พอใจ
แต่เป็นสีหน้าแบบกำลังถอดใจมากกว่า
ผมพรูลมหายใจเบา ๆ อย่างนึกยอมแพ้
“ขอโทษ”
“…”
“ไม่ได้จะใส่อารมณ์ขนาดนั้น มันเป็นไปเอง”
พลังงานลบ ๆ ในตัวผมมันเยอะมาก
บางครั้งก็ห้ามไม่อยู่เลยเผลอปล่อยใส่คนอื่น
ไม่ได้ตั้งใจ
มันเป็นไปเอง
“พี่วอแวเธอเกินไปเองแหละ”
“…”
“ไปเหอะ เดี๋ยวพี่กลับแล้ว”
สีหน้าที่ดูหม่นลงอย่างเห็นได้ชัดของนะโมกำลังทำให้ผมรู้สึกผิด
หมับ!
ก่อนที่คนเป็นพี่จะได้หันหลังเดินจากไปผมก็คว้าชายเสื้อเขาไว้ได้ทัน
นะโมหันมามองผมนิ่ง ๆ แล้วเลิกคิ้วเชิงถาม
“โกรธมั้ย”
“...”
เขาส่ายหน้าเบา ๆ เป็นคำตอบ
“ไปเดินด้วยกันก่อนก็ได้”
“…”
“เตยยังทำผมไม่เสร็จหรอก”
“…”
นะโมไม่ได้ตอบกลับในทันที ใบหน้าคนเป็นพี่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
ตอนทำหน้าหม่น ๆ ก็ชวนให้รู้สึกผิดอยู่หรอก
แต่ตอนนี้ชักจะหมั่นไส้แล้ว
“อย่ายิ้มแบบนั้นได้ป้ะ มันน่าหมั่นไส้”
ความคิดเห็น